ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
ซอด..แซด... ซอด..ซอด... เสียงโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งไว้ไร้ช่องสัญญาณ บ่งบอกให้รู้ว่าคนเปิดดูไม่รู้หลบอยู่ที่ไหน หลงเหลือแต่เพียงห้องหรูกว้างรสนิยมดีเท่านั้น ดวงตากลมโตเสมือนปลานิลกวาดมองไปทั่ว ก่อนจะหยุดอยู่ตรงประตูอีกบานที่ข้างในใช้เป็นห้องนอน แง้มจนแสงไฟข้างในเล็ดลอดออกมา “ดีจัง พี่คิมยังไม่นอน” เธอฉีกยิ้มกว้างเสียจนแก้มทั้งสองขึ้นรอยบุ๋ม กำชับตุ๊กตาตัวโปรดที่อุ้มมาด้วยไว้แน่น พลางเดินช้าเข้าไปข้างในหวังจะให้เจ้าของห้องเล่านิทานให้เธอฟัง แอด... ทว่าหลังบานประตูเปิดออก เธอกลับเห็นสิ่งนี้ที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งแทน “เฮ้ย!” เพราะในจังหวะนั้นชายหนุ่มที่ว่า กำลังขัดจรวดของตัวเองอยู่ เขาถึงกับตกใจ ทันทีที่หันมาเห็นเด็กน้อยวัยสิบขวบยืนตาแป๋วมองเขาอยู่ คนๆนั้นก็คือคนเดียวกันกับที่เธออยากให้เล่านิทานนั่นแหละ! “เรรันต์ ดึกดื่นป่านนี้ เข้ามาทำไมครับ!” เขาเผลอเสียงเข้มใส่ พลางดึงผ้านวมมาปิดท่อนล่าง ในขณะเด็กน้อยตรงหน้า ไม่ได้รู้สึกรู้สาหรือตกใจอะไร เธอกลับยืนหน้านิ่งไร้ความรู้สึก ก่อนจะ
“อ่าว เรรันต์” ร่างสูงถึงกับถอดสีหน้า “หนูมาทำอะไรที่นี่คะ” เธอไม่ตอบ แต่กลับชะโงกหน้าผ่านวงแขนล่ำปราศจากเสื้อผ้า ใช้สายตาสอดส่องไปทั่ว ก่อนจะสะดุดตรงโซฟา ที่มีมือบางข้างหนึ่งตกลงมา พลางช้อนตาพูด “นายแม่ไม่พอใจใหญ่เลย ที่พี่คิมพาเพื่อนมานอนที่นี่อีกแล้ว มันไม่ดีเลยนะคะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ชะงักงันก่อนโน้มตัวลงมา ใช้มือข้างหนึ่งค้ำหัวเธอไว้ ส่วนอีกข้างเกาท้ายทอยแกรกๆ พลางแค่นหัวเราะ “จริงๆแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของเด็กเลยนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไหนๆหนูอุตส่าห์มาตามแล้ว พี่คิมไปร่วมงานด้วยก็ได้” “...” “เรรันต์ลงไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่คิมตามไป” “ได้ค่ะ” จบประโยคนั้น เธอหมุนตัวเดินไปอย่างว่าง่ายทันที ด้วยแววตาที่แป๋วเสียจนน่าทะนุถนอม และเพราะตรงนี้ละมั้ง ที่ทำคิมหันต์เอ็ดเธอไม่ลง ถึงจะไม่พอใจอยู่บ้างในบางที แต่ทว่า..เขาก็ไม่เคยถือสาเธอสักครั้ง “ฮึ” สิบนาทีผ่านไป อย่าว่าแต่คุณนายอารีย์ที่หันไปมองแล้วขมวดคิ้วเลย แขกในงานคงไม่ต่างกัน ซ
ถึงกำหนดที่คิมหันต์จะต้องเดินทาง คราวนี้คนงอแงที่สุดไม่อยากจะให้ไปคงหนีไม่พ้น..เรรันต์ เด็กน้อยผู้มีดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์ เธอคือลูกสาวของเพื่อนคุณนายอารีย์ ที่ป่วยเป็นโรคร้ายตายไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนหล่อนยังสาว สมัยเรียนกับแม่ของเรรันต์ที่สนิทกันมาก พักด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน กลายเป็นข่าวลือราวกับพวกเขานั้นเป็นเลสเบี้ยนกัน จะเรียกตัวติดกันเลยก็ว่าได้ มีปัญหาอะไรต่างคนต่างช่วยเหลือกันมาตลอด แบ่งปันยามที่ไม่มี แม้กระทั่งบางครั้งคุณนายอารีย์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ก็มีแม่ของเรรันต์นี่แหละ ที่คอยอยู่ช่วยเหลืออยู่เสมอ มาวันนี้ ถึงเวลาที่เพื่อนจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทิ้งลูกสาววัยสองขวบไว้หนึ่งคน มีหรือหล่อนจะช่วยเพื่อนไม่ได้ เป็นธุระรับเรรันต์เป็นลูกบุณธรรมสืบมา แต่กระนั้นคนทั้งตระกูลต่างรู้แก่ใจดี คุณนายอารีย์มีลูกชายสามคน คนเล็กโตจนสุนัขเลียก้นไม่ถึงขนาดนั้น แถมสามีด่วนมาตายจากตั้งแต่ลูกยังเล็ก เอาเวลาไหนไปตั้งท้องเด็กวัยนั้นมาได้เล่า ทว่า...พวกเขาแค่ไม่พูดถึง และสัญชาตญาณของเรรันต์เองก็พอจะรู้ ตัวสาวเจ้าแท้จริงคือลูกของใคร
ตกดึกที่มันดึกจริงๆ เพราะทวีปตรงข้ามประเทศไทยที่เธออยู่ มันคือกลางวัน เรรันต์นอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่กลางฟูกเริ่มจะเคลิ้มหลับ แต่แล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขัดเธอให้ตาสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ....หน้าจอเผยชื่อคนเดียวกันกับที่เธอรอคอย ( เฮ้ ..) เสียงปลายสายดูสดชื่น ในขณะที่เรรันต์เริ่มหงอยเต็มที ผุดขึ้นเปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นท่านั่ง ก่อนจะกรอกเสียงตอบกลับไป “พี่คิม..” ( ไหงเสียงเป็นงั้นล่ะคะ หนูง่วงเหรอ ) “ง่วงสิ ก็พี่เล่นโทรมาซะป่านนี้ นี่มันดึกแล้วนะคะ” เธอบอกทำหน้าบู้บี้ใส่โทรศัพท์ ถึงปลายสายจะไม่เห็น แต่น้ำเสียงแบบนี้ก็พอจะเดาออก คิมหันต์จึงเป็นฝ่ายรู้สึกผิดเต็มๆ ( เฮ้อ...ก็คนมันยุ่งนี่นา ) “อ้างๆๆ พี่คิมติดสาวหนึบแหง” ( เฮ้ย! ใช่ที่ไหน แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา ) “ไม่ได้แก่แดดค่ะ มันเรื่องจริงใช่มั้ย?” ( อย่ามาทำเป็นรู้ดี ติดสงติดสาวที่ไหนกันเล่า ชีวิตมีแต่เรียนกับเรียนเบื่อจะตายอยู่แล้วเนี่ย เมื่อไหร่จะได้กลับไทยสักที )
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
เมา... ศักยภาพของมันคืออะไรใครพอจะเข้าใจถึงความหมายตรงนี้บ้าง?? สำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่ามันทำให้ขาดสติ ทำอะไรสักอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความคิดส่วนตัวอย่างแอดมินสกั้งคนเขียนเรื่อง จะบอกให้รู้เลยตรงนี้ว่า.. ประเด็นสำคัญหลักของคนเมาไม่ได้อยู่น้ำเมา แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนที่ดื่มเข้าไป บางคนไม่ได้แย่ เมาคือการปล่อยโอกาสให้สันดานไม่ดีในจิตใต้สำนึกของคนกินนั้นออกมามากกว่า ดุจแพรววาตอนนี้ ที่ต่อให้เมารึไม่ ความเป็นเธอก็ยังคงเป็นเธอ ควงจริตยังไงไว้ข้างในก็ยังคงมีมันอยู่อย่างนั้น ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนนั้นผิด ผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมหันต์เพราะจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ใช่ความรัก หล่อนก็ยังไม่แคร์ สำนึกผิดอยู่ตรงไหนในความคิดหล่อน...คงไม่มี อันที่จริงหล่อนควรจะหายไปจากชีวิตของคิมหันต์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะกลับมาให้เห็นหน้านับตั้งแต่เขาจับได้ คิมหันต์ทำตามข้อตกลงกับหล่อนอย่างถี่ถ้วนไม่มีข้อบกพร่องด้วยเงินห้าล้านบาท ทว่า..ทำไมยังไม่พอ หล่อนยังหวนคืนกลับมาใหม่ เพื่อยั่วยวนเขา
คำจากปากหมอ ที่ว่าเรรันต์นั้นพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยหายห่วงแล้ว ทำทุกคนซึ่งเฝ้าคอยแต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ใช่อยู่ว่าเธอไม่ตาย แต่ทำไมยังไม่ฟื้น นี่ก็ผ่านมาจะเข้าวันที่สิบแล้ว หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ความวิตกกังวลมาตกอยู่ที่คิมหันต์ เขาจะต้องทรมานแค่ไหน หากวันนึงไม่มีเธอ เขาเอาแต่โทษตัวเขาเอง กับการเจ็บตัวที่เรรันต์นั้นได้รับ กร่นด่าในใจสารพัด เฝ้าภาวนาให้เธอนั้นฟื้น เพื่อที่วันนั้นเขาจะได้กลับไปแก้ตัวเองใหม่ ทิ้งสันดานไม่ดี ผวนกลับมาดูแลเธอเต็มที่ ให้สมกับสิ่งที่เธอคู่ควร ...ซึ่งในฐานะภรรยาไม่ใช่น้องสาว.... ทุกๆภาพ ทุกๆเหตุการณ์ มันทำให้เขาเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำมันเลย รู้ว่ามันสาย รู้ว่าเพ้อฝัน และรู้ว่าเขานั้นผิด...พูดคำนี้ใครได้ยิน ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า เหยียบย้ำซ้ำเติม ทว่า มันไม่มีความคิดไหนอีกแล้ว ที่จะเยียวยาจิตใจ นอกไปจากการสำนึกผิด และโทษตัวเองแบบนี้ สิบวันที่ผ่าน ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มนอนหลับ คิมหันต์เครียดแทบจะอยู่บ้านไม่ติด ไม่ใช่ว่าคุณนายอารีย์เอาแต่ด่า ไม่ใช่หล่อนเอาแต่บึ้งตึงใส่
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่เขานั่งมองมือซึ่งเปื้อนคราบเลือดอยู่ตรงนี้ หน้าห้องฉุกเฉินพร้อมกับความรู้สึกผิดถึงขีด สุด หลายครั้งที่นั่งอยู่ดีๆ ปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจุกในอก หัวใจถูกบีบหนัก เจ็บทุกครั้งที่กลืนน้ำลายลงคอ พร่ำโทษตัวเองซ้ำๆ ผู้กระทำให้เธอเป็นแบบนี้ เขาไม่ควรทำแบบนั้นเลยจริง จริง ก่อนจะก้มหน้าสะอื้นตัวสั่นเทา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำเขาช็อคไม่หาย รถเรรันต์หมุนเหมือนลูกค่าง เพราะแรงเบรค ก่อนจะหักไปชนต้นไม้ข้างทางเข้าอย่างจัง โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่เซฟตัวหญิงสาวได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด เธอไม่ได้พุ่งออกมาจากรถ อีกทั้งแรงกระแทกนั้นไม่ได้หนักถึงขั้นทำเธอให้ตาย หนักสุดคงมีแค่ศีรษะแตกมีเลือดออก ทว่า ถึงเธอจะปลอดภัย นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้เขาหายวิตกกังวล สิ่งที่เขากลัวที่สุดต่างหากที่สำคัญไม่แพ้กัน ภาวนา..อย่าให้มันเป็นไปอย่างที่เขาคิดเลย หากเรรันต์กับลูก เป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันอภัยตัวเองแน่นอน " พี่ขอโทษนะรันต์ ขอโทษจริงๆ " แม้
....สิบห้านาทีก่อนจากนี้..... ในขณะคิมหันต์เมามาย ปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนขอตัวไปทำธุระ ระหว่างทางเดินไม่ทันจะถึงห้องโถง ร่างบางสง่าในชุดเดรสแดงเพลิงทั้งชุดเกิดเดินเข้ามา ในมือของหล่อน กอดดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วย ซึ่งทนมองอยู่ห่างๆ รอจังหวะมานานหลายชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้างาน จนกระทั่งถึงเวลานี้ กว่าหล่อนจะเดินเข้ามาได้ ต้องเปลืองเวลาและน้ำลาย หลอกยั่วการ์ดหน้างานไปตั้งเท่าไหร่ ฉะนั้น ถ้าจะต้องพลาดพบเจอกับคู่สวาทเก่าตามลำพังเล่าก็ มันคงไม่ใช่วิสัยของคนหวังสูงอย่างหล่อนแน่นอน " คิมคะ " เสียงหวานเรียกขานปนยิ้มยั่ว ยืนตะหง่านอยู่เบื้องข้าง คิมหันต์เหลือบตาชำเลืองหันไปมอง ก่อนขมวดคิ้วงง " แพรว คุณมาได้ยังไง " มองสลับหน้าหล่อนกับทางออก ถามเสียงห้วน ไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะยืนรอคำตอบ " ก็เดินเข้ามาสิคะถามแปลก " ทว่า หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจ อย่างมีจริต " ผมไม่ได้เชิญคุณนี่ " ชายหนุ่ม ในชุดสูทดำหล่อเนี้ยบเป็นพิเศษยักไหล่โพล่งเสียงถาม ทว่า..คนตรงหน้ากลับยิ้มยั่วหนักกว่าเดิม แถมยังจะเดินเข้ามาใกล้ ประชิดตัว
...20.00 น... งานฉลองผู้บริหารคนใหม่ หนุ่มหล่อไฟแรง และจบด็อกเตอร์จากเมืองนอก ..คิมหันต์ จรัญทิพย์ ... เพียงแค่อายุ 28 ปี เขาก็คว้าตำแหน่ง CEO หนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทส่งออก ซึ่งใหญ่ที่สุด และรวยที่สุดได้แล้ว คุณนายอารีย์งานนี้ถึงกับยิ้มแก้มปริหุบไม่ลงกันเลยสักนาทีเดียว ภูมิใจซะเต็มประดา กับสิ่งที่ต้องการแล้วได้ดั่งสมความปราถนา หล่อนชายตามองไปรอบๆ เห็นคนในงานที่มีมากเกินกว่าที่คิด แล้วยิ้มหนักกว่าเก่า ก่อนจะมาชะงักจริงๆก็ตอนที่มองไปไม่เห็นคิมหันต์ " เคล.. เคลมานี่สิ " " ครับนายแม่ " จึงเรียกลูกชายคนโตในขณะยืนคุยกับนักธุรกิจคนอื่นๆอยู่ " มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ " " คิมไปไหน " เคลถึงกับขมวดคิ้วมองไปรอบๆตาม ราวช่วยค้นหา เมื่อไม่มีอย่างที่นายแม่ว่าจริงๆ ถึงกับเครียด ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างโล่งอกภายหลัง เมื่อเห็นเรรันต์ยืนยิ้มหวานอยู่กับพวกผู้ใหญ่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะทีแรก เขาคิดว่า สองคนนี้คงจะใช้โอกาสนี้ไปนอนกกกันอีก แต่หากเห็นอีกคนนึงอยู่ที่