ถึงกำหนดที่คิมหันต์จะต้องเดินทาง คราวนี้คนงอแงที่สุดไม่อยากจะให้ไปคงหนีไม่พ้น..เรรันต์
เด็กน้อยผู้มีดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์ เธอคือลูกสาวของเพื่อนคุณนายอารีย์ ที่ป่วยเป็นโรคร้ายตายไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนหล่อนยังสาว สมัยเรียนกับแม่ของเรรันต์ที่สนิทกันมาก พักด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน กลายเป็นข่าวลือราวกับพวกเขานั้นเป็นเลสเบี้ยนกัน
จะเรียกตัวติดกันเลยก็ว่าได้ มีปัญหาอะไรต่างคนต่างช่วยเหลือกันมาตลอด แบ่งปันยามที่ไม่มี แม้กระทั่งบางครั้งคุณนายอารีย์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ก็มีแม่ของเรรันต์นี่แหละ ที่คอยอยู่ช่วยเหลืออยู่เสมอ มาวันนี้ ถึงเวลาที่เพื่อนจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทิ้งลูกสาววัยสองขวบไว้หนึ่งคน มีหรือหล่อนจะช่วยเพื่อนไม่ได้
เป็นธุระรับเรรันต์เป็นลูกบุณธรรมสืบมา แต่กระนั้นคนทั้งตระกูลต่างรู้แก่ใจดี คุณนายอารีย์มีลูกชายสามคน คนเล็กโตจนสุนัขเลียก้นไม่ถึงขนาดนั้น แถมสามีด่วนมาตายจากตั้งแต่ลูกยังเล็ก เอาเวลาไหนไปตั้งท้องเด็กวัยนั้นมาได้เล่า
ทว่า...พวกเขาแค่ไม่พูดถึง และสัญชาตญาณของเรรันต์เองก็พอจะรู้ ตัวสาวเจ้าแท้จริงคือลูกของใคร
“พี่คิมไปเรียนที่โน่น เรรันต์ต้องเป็นเด็กดีนะรู้เปล่า”
คิมหันต์โน้มตัวลงมาบอก ระหว่างรอไฟล์ทบิน ใช้มือฝ่ามือใหญ่ค้ำหัวเธอ อย่างที่เคยทำมาตลอดด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับเอาแต่ก้มหน้านิ่ง
“หนูจะเหงาไหมคะ”
อยู่ๆ เอ่ยถามคนตัวสูงทั้งๆ ที่สายตาตัวเองยังหลบมองพื้น ร่างสูงถอนหายใจอีกระลอก
“เฮ้อ...”
ทรุดลงนั่งยองศีรษะระดับเดียวกัน พลางดึงเด็กน้อยหน้าละห้อยเข้ามากอด
“ไม่หรอก หนูมีทั้งนายแม่ ทั้งพี่เคล ไหนจะพี่คอปอีก ไม่มีเวลาเหงาหรอกค่ะ”
“แต่พอถึงเวลาพวกเขาก็ไปทำงานกันหมดนี่คะ กว่าจะกลับหนูก็หลับไปแล้ว”
“จริงด้วย...” เขาเอ่ยเสียงแหบ
“คงไม่มีใครเล่านิทานให้หนูฟังอีกแล้ว พวกเขาทำแบบพี่คิมไม่ได้”
ก่อนชายหนุ่มจะหน้าสลด เมื่อเห็นเจ้าหนูตรงหน้าเบ้ปากเตรียมจะร้องไห้
“จุๆๆ อย่าขี้แยน่า...”
“ไม่ไปได้ไหมคะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่คิมต้องไปเรียนต่อ”
เขาบอก เด็กสาวก้มหน้างุนอีกครั้ง สูดน้ำมูกซืดๆ จนคิมหันต์อดสงสารเธอไม่ได้ เขาเข้าใจดี คงต้องเหงามากหากเขาไม่อยู่ เพราะในบ้านหลังนั้นมีเขาเพียงคนเดียวที่เรรันต์สนิทด้วย แต่จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อนี่คือหน้าที่ที่คุณนายอารีย์มอบหมายให้เขาต้องทำ และมันต้องเป็นเมืองนอกเท่านั้น!
เรียนจบให้เหมือนพี่ชายทั้งสอง แล้วหล่อนจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขาอีก เพราะเหตุผลนี้ไง เขาถึงเลี่ยงไม่ได้
....คิมหันต์ชอบที่สุดคือความอิสระ
“งั้นเอางี้”
ระหว่างที่เขานั่งนิ่งช่างใจคิด อยู่ๆก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยื่นโทรศัพท์เครื่องสำรองที่เขาเคยใช้คุยกับสาวๆไปให้เธอ พลางยิ้มกว้าง
“เก็บเจ้านี่ไว้ พี่คิมจะได้โทรมาหาเรรันต์บ่อยๆ ดีไหมคะ”
“โทรศัพท์นี่คะ ?”
“ใช่ค่ะ พี่คิมจะโทรมาเล่านิทานให้เรรันต์ฟังก่อนนอนทุกคืนไง ดีไหม?”
จบประโยคนี้ สาวน้อยตรงหน้าจึงยิ้มออกเสียที ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากรับมันมาถือไว้
“พี่คิมไปแล้วนะคะ”
ร่างสูงยื่นปลายจมูกจุมพิตผาก ขยี้หัวอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนผุดลุกขึ้น หลังได้ยินฝ่ายประชาสัมพันธ์ประกาศเตรียมความพร้อมของลูกค้า
“ พี่คิม..ฮึก..”
“ เป็นเด็กดีนะคะ”
“ ฮึกๆ พี่คิม.. “
แต่ทว่า เด็กก็คือเด็ก ที่ต่อให้มีข้อต่อรองมาล่อแค่ไหน สุดท้ายจิตใจข้างในของเธอก็ไม่อยากจะให้ไปอยู่ดี ร้องเรียกคิมหันต์ในขณะยิ่งเรียกเหมือนเจ้าตัวยิ่งไกลห่าง
“พี่คิม!!! ฮื้อ...”
ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กคนนี้ต้องดิ้นพล่านร้องไห้แน่ๆ หากเขาต้องไปจริงๆ แต่นั่นคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะนี่คือสิ่งที่นายแม่ต้องการ และนั่นก็คืออนาคตของเขา คิมหันต์เลยเลือกที่จะยิ้มกว้างให้เธอ และโบกมือลา จนกว่าจะหายลับเข้าไปในกลุ่มคน .
.... อีก 10 ปี เรรันต์ เราถึงจะได้เจอกันอีก .....
.....สิบปีนั้น เธอคงเป็นสาวพอดี....
5 ปี ผ่านไป
เรรันต์โตขึ้น เธออายุย่างเข้าสิบหก อยู่ในช่วงวัยรุ่นเต็มตัว เรียนไฮสคูลเอกชนชื่อดัง ค่าเทอมแพงหูฉี่ แต่ทว่ากลับทำตัวติดดิน เธอไม่ชอบทำตัวไฮโซตามใคร ยิ่งคุณนายอารีย์บังคับให้ทำแล้วกลับยิ่งทำเธอเมินใส่
เรรันต์เป็นผู้หญิงหวานพอตัว แต่นั่นก็ไม่เชิงว่าจะเฉิ่มจนเกินไป เวลายิ้มตอนเด็กมีลักยิ้มยังไงตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้น เธอเป็นคนน่ารัก และนี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้หัวบันไดหน้าห้องเรียนไม่เคยแห้ง
“รันต์”
“...”
“เรรันต์”
“หืม..”
เจ้าของชื่อผงกหัวจากท่าฟุบโต๊ะขึ้นมาตามเสียงเรียก ก็เห็นว่าเป็นเบสที่ยืนเกาะขอบประตูเรียกเธออยู่
“อ่าวเบส มีไรเหรอ...”
“เย็นนี้เลิกเรียนกี่โมง ร่อนเวลาเหมือนกับเรารึเปล่า ไปกินไอติมกันมั้ย”
เขายิ้มกว้างส่งมาให้ ก่อนจะหุบทันควัน เพราะถูกปฏิเสธ หญิงสาวส่ายหัวเบาๆโดยไม่ทันคิด พร้อมสีหน้าละห้อยกลับมา
“อ่าว ทำไมล่ะ”
“ไม่ว่างหรอก วันนี้นายแม่ส่งคนมารับเรา”
“โถ่ ก็เวลามันร่อนไม่ใช่เหรอ ไปหน่อยเถอะ วันก่อนรันต์ยังไปได้เลย”
“วันไหน” เธอขมวดคิ้วฉงน “อ่อ...ถ้าเบสหมายถึงวันนั้นล่ะก็ ไปกันหลายคนนี่ เบสไม่ลองไปชวนคนอื่นดูล่ะ เผื่อเขาจะว่างกัน”
“ไม่เอาอ่ะ เบสอยากไปกับรันต์แค่สองคน”
“หืม คิดไรป่าวเนี่ย”
เรรันต์ย้อนถามแสร้งจับผิดนิ้วเรียวชี้หน้า ทำเจ้าของคำพูด ต้องยกมือปฏิเสธรนราน
“เฮ้ย เปล่าๆ ไม่ได้คิดไร ก็แค่อยากชวนไปกิน”
“วันนี้เราไม่ว่างน่ะ”
“เหรอ?? ก็ได้ ไว้วันอื่นก็ได้ รันต์รับปากแล้วนะ”
ใช้นิ้วชี้หน้าเธอ แสร้งแยกเขี้ยวขู่ไม่จริงจัง
“โอเค รับปากจ้า”
“โอเค งั้นกลับบ้านดีๆนะ”
“อ่าฮะ^^”
จบบทสนทนาของคนทักคู่ กระดิ๋งบอกเวลาหมดคาบพอดี เบสเป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน ก่อนที่เรรันต์และกลุ่มเพื่อนคนอื่นจะเดินตามไป วันนี้โรงเรียนเธอร่อนคาบเลยเลิกเร็ว ทำให้คนที่มารู้เอาที่หลังอย่างเรรันต์ต้องนั่งคอยเวลา เพราะไม่ได้โทรไปบอกคนที่บ้าน กลัวจะรบกวนพวกเขา ลมที่โชยมาเบาๆ ระหว่างนั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อน อยู่ๆ ก็เผลอทำให้เธอคิดถึงใครคนนึงขึ้นมา ซึ่งถ้าให้เดาเวลาประมาณนี้ คงจะหลับสนิทไปแล้ว
“จะเป็นยังไงบ้างนะ”
เรรันต์นึกพลางทำหน้าเศร้า ช่วงหลังๆ เธอรู้สึกว่าคิมหันต์ไม่เหมือนเดิม เขาไม่มีเวลาเหมือนแต่ก่อน ที่โทรมาทุกวันตั้งแต่เด็กจนโต จะมีก็เฉพาะตอนติดเรียนที่มีบ้างอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เดือนหนึ่งผ่านมาแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่ข้อความ จะว่าเปลืองค่าโทรก็คงไม่ใช่ สถานะอย่างตระกูลเขาน่ะหรือ คิดจะมาประหยัดค่าโทรทางไกลเอาตอนนี้
“เฮอะ ไม่มีทางซะหรอก อยู่กับสาวสิไม่ว่า”
เธอบ่นพึมพำคนเดียว ก่อนจะหมุนโทรศัพท์เล่นไปมาบนโต๊ะ แต่ทว่าจังหวะที่มันหมุนอยู่
ติ๊ดๆๆ
อยู่ๆ ข้อความก็เข้ามา
+ พี่คิม +
เธอตะครุบมันขึ้นมาเปิดดู พลางอมยิ้ม
... คิดถึงเด็กน้อยที่นั่นจังแฮะ ป่านนี้คงโตเป็นสาวแล้วสิ เป็นไงบ้างคะ ดูแลตัวเองตามที่พี่สั่งดีรึเปล่า ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรไปหาเลย งานยุ่งมากๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ อย่าเพิ่งรีบนอน ....
นั่นทำให้เรรันต์ถึงกับหุบยิ้มไม่ลง แลบลิ้นใส่โทรศัพท์ในมือด้วยความหมั่นไส้
“คนบ้าไร.. ตายยากชะมัด”
ตกดึกที่มันดึกจริงๆ เพราะทวีปตรงข้ามประเทศไทยที่เธออยู่ มันคือกลางวัน เรรันต์นอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่กลางฟูกเริ่มจะเคลิ้มหลับ แต่แล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขัดเธอให้ตาสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ....หน้าจอเผยชื่อคนเดียวกันกับที่เธอรอคอย ( เฮ้ ..) เสียงปลายสายดูสดชื่น ในขณะที่เรรันต์เริ่มหงอยเต็มที ผุดขึ้นเปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นท่านั่ง ก่อนจะกรอกเสียงตอบกลับไป “พี่คิม..” ( ไหงเสียงเป็นงั้นล่ะคะ หนูง่วงเหรอ ) “ง่วงสิ ก็พี่เล่นโทรมาซะป่านนี้ นี่มันดึกแล้วนะคะ” เธอบอกทำหน้าบู้บี้ใส่โทรศัพท์ ถึงปลายสายจะไม่เห็น แต่น้ำเสียงแบบนี้ก็พอจะเดาออก คิมหันต์จึงเป็นฝ่ายรู้สึกผิดเต็มๆ ( เฮ้อ...ก็คนมันยุ่งนี่นา ) “อ้างๆๆ พี่คิมติดสาวหนึบแหง” ( เฮ้ย! ใช่ที่ไหน แก่แดดใหญ่แล้วนะเรา ) “ไม่ได้แก่แดดค่ะ มันเรื่องจริงใช่มั้ย?” ( อย่ามาทำเป็นรู้ดี ติดสงติดสาวที่ไหนกันเล่า ชีวิตมีแต่เรียนกับเรียนเบื่อจะตายอยู่แล้วเนี่ย เมื่อไหร่จะได้กลับไทยสักที )
หลักจากเบสโพล่งประโยคขอคบหากับเรรันต์ออกมา แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว นอกจากมีปากกาที่หลุดจากง่ามนิ้วทั้งห้าแล้ว ยังมีปากที่อ้ากว้างค้างของเธอด้วยเธอถึงกับไปต่อไม่ถูกได้แต่นั่งอ้ำอึ้งอยู่อีกฝั่งของคนพูด เบสปั้นหน้าขอความเห็นใจสุดๆ เรียกคะแนนน่าสงสาร จากสายตาละห้อยนั้นของเขา เพราะไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธจากเธอเลย ในขณะหญิงสาวเหมือนจะใบ้กินไปแล้ว เธอเอาแต่หลบตา จนกระทั่งนานเกินไป ทำให้คนใจร้อนอย่างเบสทนรอไม่ไหว ต้องยื่นนิ้วชี้ตัวเองเข้าไปเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอขึ้นมาเขย่า " นะ รันต์นะ เบสชอบรันต์จริงๆ อย่าใจร้ายกับเบสเลย " " แต่ว่า .." " นะ ให้โอกาสเบสเถอะนะ " " คือ.." " นะ... " เบสขัดคอเธอทุกทาง ดักทางเธอซะตันแบบนี้ ทำเอาสาวน้อยตาหวานถึงกับช่างใจ ตอนนี้เบสไม่ต่างกับเด็กน้อยขี้อ้อนร้องขอขนมเลย เธอมองหน้าเขาพร้อมครุ่นคิด สักพักนัยย์ต่ก็เกิดประกายขึ้นมา เสมือนนึกอะไรบางอย่างออก ...บางทีเบสอาจจะช่วยให้เธอลืมความรู้สึกดีๆที่มีต่อคิมหันต์ก็ได้ ... ก่อนเม้มปากแน่น
" พี่คิม!!! " จนแผ่นหลังชายหนุ่มถึงติดพนัก ก่อนเขาจะอมยิ้มกว้างต่อความบ๊องของเธอ แต่ไม่คิดจะดันออก ปล่อยให้เรรันต์กอดอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง... " โตขึ้นเยอะเลยนะเรา.." "............" " ตัวหนักชะมัด" " อุ๊ย..ขอโทษค่ะ " คนถูกกอดเขินอายเพิ่งนึกขึ้นได้ ผละตัวออกเปลี่ยนเป็นท่าคุกเข่าพลางยิ้มเขิน หลุบตาลงนิ่ง ในขณะที่เขามองเธอไม่วางตา ก่อนจะยื่นเรียวนิ้วมาเชยคาง แล้วยิ้มกว้างซะจนตาหยี หญิงสาวจึงแก้เขิน แสร้งหันเบือนหน้า ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงรวดเร็ว " เอ่อ.. พี่คิมมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ หนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย " เธอถามเสียงตะกุกตะกัก พลางเบิกตาโต เมื่อคิมหันต์ลุกขึ้นยืนบ้าง ว้าว... ดูดีจัง.... ผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาสูงขึ้น ขาวขึ้น และที่สำคัญเป็นหนุ่มขึ้น ภายใต้เสื้อหนังแบรนด์เนมตัวนั้นเผยให้ดูออกว่ามันต้องซ่อนเร้นแผงอกที่ผ่าเผย กับก้อนเนื้อเป็นมัดๆไว้ข้างในแค่ไหน... " เพิ่งจะถึงนี่แหละ" ก่อนจะสลัดความคิดนั่นออกแทบไม่ทัน เมื่ออยู่ๆ คิมหันต์ขมวดคิ้วถาม " หืม...เป็
..เกือบจะเที่ยงคืน... หลังจากเรรันต์หลับไปแล้ว เธอกลับต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาใหม่ เพราะเสียงเห่ากรรโชกของลัคกี้ หมาพันธุ์ไซบิเรียนจอมขี้บ่นที่เพิ่งได้เป็นของขวัญมา มันเอาแต่ร้องฮิ่งๆและกระดิกหาง ทำเรรันต์เริ่มรำคาญ ผุดลุกจากท่านอนเป็นท่านั่ง ขยี้หน้าขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด "เห่าทำไมลัคกี้ หนูกำลังทำพี่นอนไม่หลับอยู่นะ" เธอบ่นอุบ ก่อนจะผละลงจากเตียงไปหาสาเหตุ เผลอมองลงต่ำ เห็นช่องลมหลังบานประตูมีแสงไฟ "ชู่ว..ลัคกี้ เงียบนะ" ทันทีที่รู้ว่าบางอย่างอยู่ข้างนอก เธอก็ชี้หน้าหมาพลางกระซิบ ย่อตัวไปจับมันขึ้นมาอุ้ม ก่อนค่อยๆย่องไปที่ประตู "เที่ยงคืนแล้ว ใครมาเปิดไฟทางเดิน " พึมพำ พลางยื่นมือไปหมุนลูกบิดแง้มมันออก ความกว้างแค่ตาข้างเดียวมองเห็น ก่อนกะพริบถี่เตรียมเพ่ง ทว่า..ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิม เมื่อเพ่งไปเห็นภาพอันไม่สมควร คิมหันต์ในท่ายืนหันหลังคุยกับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งไม่ใช่คนในครอบครัวนี้ ทว่ากลับได้ยินแค่เสียงไม่เห็นหน้าที่ชัดเจนของหล่อน เพราะแผ่นหลังเขาบดบัง
แกร็ก... เสียงหมุนลูกบิดที่ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับคนเปิด ทำเรรันต์ซึ่งนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในทีแรกถึงกับหน้าเหวอ อ้าปากค้าง ทำตัวไม่ถูก คิมหันต์ผุดเข้ามาเลิกคิ้วขึ้น เสมือนถาม เธอเป็นอะไรไป? ทำไมถึงไม่ลงไปทานข้าวพร้อมกับคนอื่นข้างล่าง ทว่า.เรรันต์กลับหลุบตาลง ทำเป็นไม่สนใจ เอนหลังพิงพนักเตียง จรดนิ้วเรียวพิมพ์งานต่อ “เฮ้อ” นั่นทำคิมหันต์ถึงกับผ่อนลมหายใจระงม ระบายความอาการไม่พอใจออกมา วางถาดอาหารลงบนโต๊ะ เดินไปยืนเท้าสะเอวข้างๆ “ไม่สบายเหรอคะ” ถามเสียงเรียบด้วยความเป็นห่วง ในขณะคนถูกถามยังไม่ตอบ “หรือไม่หิว?” เหมือนเดิม เธอแสร้งเงียบ ทำอย่างกับเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีตัวตน... “มีเรียนรึเปล่า” นั่นเลยทำให้คนถามขัดใจหนัก ถึงกับโน้มตัวลงไปกระชากแขนเธออย่างแรง เพื่อให้เธอหันมาสนใจ “เรรันต์ ไม่ได้ยินที่พี่ถามเหรอ!” “หนูไม่ว่างคุย ไม่เห็นเหรอว่ารีบทำรายงานอยู่น่ะ เดี๋ยวก็ส่งอาจารย์ไม่ทันหรอก” ประโยคหลังเธอแค่พึมพำกับตัวเอง ในขณะดวงตายังคงจ้องมองจอคอมอยู่อย่างนั้น นั่นเลยทำให้คิมหันต์รู้เลยทันที ว่าเธอต้
ด้านของเรรันต์ หลังจากแอลกอฮอล์เข้าปากไปไม่รู้กี่แก้วต่อกี่แก้ว ดูเหมือนเธอจะไม่เป็นตัวของตัวเอง มันรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก ความร้อนวูบวาบที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างกายทำปฏิกริยาก่อให้เกิดเลือดฉูบฉีดเต็มไปหมด เธอไม่เคยรู้สึกสนุกขนาดนี้มาก่อน สนุกชนิดที่ว่าไม่ต้องคิดอะไรเลย จากที่เคยเต้นไม่เป็น กลับโยกย้ายส่ายสะเอวเสียจนหลุดโลก ทำผู้ชายที่เดินผ่านไปผ่านมา แม้แต่นั่งอยู่เหลียวหลังมองแต่เธอเป็นตาเดียวกัน ท่ามกลางแสงไฟสลัว บวกกับเสียงเพลงกระหึ่มสร้างความหึกเหิมให้กับคนเมาอย่างเธอเต็มที่ ยิ่งทำให้เบสภาคภูมิใจ ยิ้มกรุ่มกริ่มพร้อมคิด ไม่เสียแรงที่ได้เรรันต์มาเป็นแฟน เธอทั้งสวย ทั้งเซ็กซี่ ใครเห็นก็ต่างพากันอิจฉาตาร้อนเขา หากแต่ทว่า คงไม่ใช่คนนี้แน่นอน ที่มีความรู้สึกต่างกันลิบ เขายืนกอดอกดูอยู่ไกล ขมวดคิ้วชนกันเป็นปม จ้องเรรันต์ตาเขม็ง ไม่พอใจสุดๆที่เห็นน้องสาวนอกสายเลือดของตัวเองทำตัวแบบนี้ สวมชุดเว้าหน้าเว้าหลัง มือซ้ายถือแก้ว มือขวาคล้องแขนผู้ชาย ซึ่งในสายตาคนอื่นอาจจะมองดูดี หรือคิดแบบไหนเขาไม่อาจรู้ได้ แต่สำหรับเขา..มันไม่ใช่เลย ตัดสินใจเดิน
ถ้าในตอนนี้จะให้คิมหันต์บอกใครต่อใครว่าเขาไม่มีความรู้สึกเลย มันคงจะกลายเป็นเรื่องที่โกหกมหันต์ และเหมือนจะมากด้วย อะไรเหรอที่มันทำให้พี่ชายแสนดีมองผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงน้องสาวมาตลอดแล้วใจแตกได้ ถ้ามันไม่ใช่สิ่งนี้ ที่หากให้พูดแบบตรงๆ ไม่มีงอแล้วล่ะก็ .. ...องค์ประกอบของผู้หญิงที่เรรันต์มีไม่แพ้หญิงไทยในโลกเลย... ก่อนจะรีบสลัดมันออกโดยเร็ว เมื่อเห็นว่าคนนอนอยู่กำลังขยับตัวเพื่อเปลี่ยนท่านอน ลืมตาขึ้นมากะพริบมองเขาปริบๆ ในจังหวะที่เขาทำท่าจะปลีกตัวหนีแล้ว แต่เธอกลับยื้อไว้ “เดี๋ยวค่ะ พี่คิม...” ด้วยน้ำเสียงที่เบี่ยงไปทางสั่นกระเซ่านิดๆ แถมตาเยิ้มซะจนเขาอดก้มลงไปมองไม่ไหว “งานเข้าแล้วไง คิม มึง” “อย่า เพิ่ง ปาย...” “เมาก็นอนซะรันต์” แต่นั่นก็ต้องเก็บอาการไว้ ยื่นมือไปลูบหัวเธออย่างเอ็นดู บอกเป็นนัยๆให้เธอรู้ว่าเขากำลังจะไปจากห้องนี้แล้ว ทว่าเหมือนเธอจะไม่ฟัง เปลี่ยนจากการขยุ้มเพียงชายเสื้อ มาจับหมับตรงท่อนแขน ยื้อรั้งเขาไว้ให้แข็งแรงกว่าเก่า “อยู่กับหนูก่อนไม่ได้เหรอคะ แปปเดียวเอง
รุ่งสางไม่ทันตะวันจะขึ้น คิมหันต์สะดุ้งตื่น ในขณะอ้อมแขนยังคงกอดเรรันต์อยู่ ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปม ก่อนจะดันตัวเธอออกห่างเบาๆ ระวังอย่างมากที่จะไม่ให้เธอตื่น ...ไม่ใช่เขาไม่สนใจ ไม่ใช่ว่าจะหนีปัญหา... ...เขารู้ตัวดี เขาทำอะไรลงไป เพียงแต่ตอนนี้ด้วยสถานะ จึงไม่สามารถนอนกกเธอได้ เขาเลือกที่จะกลับห้องของตัวเองก่อนสว่าง นอกจากไม่อยากใหัใครมาเห็นแล้ว วันนี้เป็นวันทำงานของเขาวันแรกด้วย เนื่องจากตำแหน่งใหม่ในบริษัทตระกูลจรัญทิพย์คนถูกเลือกหนึ่งในนั้นคือคิมหันต์ ความจำเป็นมันจึงสูงลิ่ว มองหน้าเรรันต์ที่หลับสนิทอยู่พักใหญ่ ประทับริมฝีปากบนหน้าผากมน แล้วจึงจะปลีกตัวออกมา ใช้ท่าทางไม่ต่างกันเลยกับคนแอบได้แอบเสียกันเอง ใช่ เขาย่อง และเธอก็รู้ แอด... ซึ่งในขณะที่คนตัวสูงกำลังเดินย่องออกไป จนกระทั่งบานประตูปิดลงแล้วนั้น หลังบานประตูเขาจะไม่เห็นเลย ว่ามีผู้หญิงคนนึงนอนกอดตัวเองร้องไห้อยู่ เธอบีบผ้านวมที่ห่มร่างเปลือยแน่น ปล่อยน้ำตาไหลเปื้อนหมอน ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งผิดหวังตัวเอง ทั้งจุก ทั้งเสียด ไปพร้อ
“ นี่ ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้นะ! “ “ ....” “ ปล่อย...” “ อึม! “ “ โอ้ย เจ็บนะ “ “ จะดิ้นทำไม ไม่เข้าใจ “ “ ก็คนมันเวียนหัวจะอ้วกนี่คะ “ “ มันอั้นไม่ได้เลยรึไง “ “ อะไรนะ “ “ ไอ้อาการนั่นน่ะ เก็บไว้ไม่ได้เลยเรอะ มันเสี่ยงนายแม่จับได้นะรู้ไหม “ “ พี่คิม ..” เรรันต์เบิกตาโต “ แพ้ท้องนะคะพี่ ไม่ได้เรียกร้องความสนใจ ถึงจะสั่งมันได้! ” “ ....” “ คนเห็นแก่ตัว “ เรรันต์ถึงกับขมวดคิ้วน้ำตาคลอเบ้า ช้อนตามองไม่กระพริบ หลังจากคิมหันต์พาเดินโทงๆ อุ้มเธอมาทุ่มไว้บนที่นอนของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นความน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นมาฉับพลันทันที เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูด เธอปาดน้ำตาตัวเองออก ก่อนไต่จากที่นอนลงมายืนหวังจะเดินกลับห้อง ทว่า..กลับถูกคั่นไว้ด้วยแขนกำยำ พร้อมลมปากมากระซิบ “ เดี๋ยว..คุยกันก่อน “ “ อย่ามายุ่งนะ หนูไม่อยากอยู่ใกล้พี่แล้ว อยากจะนอน เหม็นขี้หน้า “ เรรันต์สะบัดแขน “ นอนที่นี่ก็ได้ “ คิมหันต
หลายวันผ่านมา ไม่มีใครบอกเรื่องที่เบสทะเลาะกับคิมหันต์ตรงลานจอดรถ เปล่ามีเรื่องเพล่งพรายออกไปถึงหูคุณนายอารีย์ หรือใครอื่นให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แม้แต่เรรันต์เองก็ไม่อาจจะรู้ได้ นั่นเพราะเธอหนีปัญหาโดยการไม่รับสายเบสซะดื้อๆ แถมยังหลบหน้าอีกต่างหาก เพียงเหตุผลแค่ว่า เบสทำเธอตกใจในวันนั้น...เท่านั้น "รันต์...” “ หื้ม “ เสียงแอม เพื่อนอีกคนของเธอสะกิดเรียก เรรันต์ที่กำลังเหม่อลอยถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หันไปขานรับ ในขณะที่สีหน้าเธอจืดชืดไม่ต่างกับผีดิบ “ เป็นอะไรรึเปล่า เราเรียกตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นจะได้ยิน “ “ เรียกหลายครั้งแล้วเหรอ “ “ อืม ใช่ “ “ โทษทีนะ เราไม่ค่อยสบายน่ะ “ เธอบอก เสียงแหบ แอมถึงกับขมวดคิ้วสงสัย “ หมู่นี้รันต์ไม่ไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วเหรอ ปกติเราเห็นหลังเลิกเรียนรันต์จะอยู่แต่ที่นั่น “ ซึ่งคำถามนี้แหละ ที่ทำเธอหลบตาก้มหน้าสลด นึกถึงวันวานแล้วถอนหายใจ “ เฮ้อ...ไม่ค่อยมีเวลา “ “ จริงเหรอ ไม่ใช่เรื่องเบสหรอกนะ ใช่มั้ย? “
" เบส...คือรันต์ ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เลยนะ แต่..." เสียงที่เปล่งออกมามีแค่นั้น ก่อนจะกลืนกลับไปของเรรันต์ ทำให้เบสพอจะรู้แล้วว่า เธอหมดใจแล้วจริงๆ ไม่ใช่สิ..ไม่เคยมีใจให้เขาเลยต่างหาก ที่ผ่านมาเขาหลอกตัวเองทั้งนั้น สำคัญไปมากกว่านั้น ระยะเวลาการรอคอยของเขา ต่อให้อดทนเนิ่นนานแค่ไหน สุดท้าย ..เธอก็ไม่มีวันหันมารักเขา ในเมื่อเธอมีคนอื่นอยู่ในใจอยู่ก่อน มันจะต่างอะไร กับการรักข้างเดียว ความเจ็บปวดที่ก่อตัวอยู่ภายในใจของเบส มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นั่นเพราะว่ามันมีมากเกินคำบรรยาย.. เขากลัวเจ็บ... เจ็บในชนิดที่ว่า ไม่ขอเสียเธอไปได้ไหม เขายอมโง่ก็ได้ “ เบสขอมากไปเหรอ ถ้าจะขอให้รันต์... “ " อย่าเลยเบส รันต์รู้ว่าการกระทำของรันต์นั้นมันเห็นแก่ตัว ไม่ยุติธรรมกับเบส แต่อย่าเลยนะ...เราไม่อยากเป็นคนสองใจอ่ะ " “ ใช่ ... เบสลืมไป รันต์คงไม่อยากคบซ้อน หรือนอกใจเขา “ " ..... " " เบส เข้าใจ" ความข่มขื่นที่แลกมาด้วยความจำเป็น มันทำเรรันต
หลายวันถัดมาต่อจากคืนนั้น วันนี้เป็นวันที่เรรันต์จะต้องแสดงละคร แต่หลังรู้ว่าในท้องตนเองนั้นมีน้อง เธอก็กังวลเรื่องการสวมชุดรัดแน่นไปโดยปริยาย กระนั้นคิดจะแก้ ก็ดูจะสายเกินไป เหมียวนักศึกษารุ่นพี่ที่อาสารับชุดเธอไปซักเมื่อวันก่อน ปฏิบัติการเย็บเข้ารูปตามคำขอของเธอไปเรียบร้อย ทันจะแก้ไข นั่นเลยเป็นสาเหตุทำให้เรรันต์วิตกกังวลอยู่ตอนนี้ ตึงเครียดมากจนถึงขนาดทำให้เธอหมดความมั่นใจ " เป็นอะไรรึเปล่าน้องรันต์ หน้าซีดเชียว "เสียงถามจากข้างหลังทำเธอสะดุ้งตื่น กังวลหนักเข้าไปอีก หญิงสาวหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นสตาฟที่เดินมาทักทายสีหน้ายิ้มแย้ม " เปล่าค่ะพี่ หนูคงตื่นเต้น " เธอโกหก " ธรรมดาแหละ คนซื้อตั๋วมาดูเยอะขนาดนั้น เป็นพี่ พี่ก็คงทำอะไรไม่ถูก แต่อย่างน้องรันต์พี่มั่นใจนะ ว่าน้องต้องทำได้ ตอนซ้อมพี่เห็นตั้งใจมาตลอด วันจริงคงจะจำบทได้แม่นแน่ๆ เรื่องความมั่นใจนี่ไม่ต้องพูดถึง สวยๆอย่างน้องรันต์มุมไหนก็เป๊ะจ้ะ " " แหม พี่ว่านก็ชมเกินไป รันต์เขินนะคะ " เธอบอก แสร้งทำท่าเอียงอาย จนคนข้างหลังขำ ก่อนชะงักกลางคันเพราะคนมาใหม่คน
เอี๊ยด!! เสียงล้อซุปเปอร์คาร์ถูกชะงัก ก่อนแล่นเข้ามาจอดสนิทใต้หลังคาเหล็ก ทำชายรูปร่างสูงหน้าตาดีสองคนหันมามองพร้อมกัน ก่อนหนึ่งในนั้นจะพ่นควันบุหรี่ออกมาแสะยิ้มแค่มุมปาก ทิ้งก้นมันลงถังแล้วเดินล้วงกระเป๋าลงไปหาถึง ประตูรถ " ไง..ไอ้เสือ " ทักทายเสียงทุ้ม สีหน้าสดใส ทว่า..คนในรถกลับไม่เล่นด้วย เขาผลักมือที่เท้าอยู่บนหลังคารถของเพื่อนออก ก่อนลงมายืนเทียบ " ไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ มาหากูทีไร เครียดมาทุกที กูไม่ใช่กระโถนนะโว้ย " " ก็คล้ายล่ะวะ" คิมหันต์แทรกติดตลก ก้าวฉับๆไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้า ก่อนจะโยนเงินปึกหนึ่งให้ ในจังหวะทีเขาแทบจะรับมันไม่ทัน " เงิน? เงินอะไร" " ปิดผับ คืนนี้ กูสองคนเหมา " เขาบอก เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปแบบไม่สนใจคำตอบ ทำเอาคนรับเงินไปแล้วอย่างเจ้าของผับถึงกับลำบากใจ หันมองสิงขรแล้วขมวดคิ้ว " เอาน่า ตามใจมันหน่อย " " จะให้กูไล่แขกเหรอ ห้องวีไอพีของกู มันก็ใช้ได้นี่ อีกอย่าง ไม่กี่ชั่วโมงก็จะปิดแล้ว" เขาออกความเห็นขอความเห็นใจ ก่อน
หลังผ้าม่าน ในห้องน้ำ บนคอห่าน มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่าเรรันต์นั่งนิ่งอยู่ เธออยู่กับความรู้สึกช็อคสุดๆ ไม่ต่างเลยกับหุ่นขี้ผึ้ง หลังทำใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจ ใช้เครื่องตรวจครรภ์จุ่มลงไปในปัสสาวะของตัวเอง ก่อนจะมานั่งลุ้น ว่าสิ่งที่อยู่ในสมองตอนนี้เป็นจริงอย่างที่คิดรึไม่ เธอภาวนาอย่าให้มันเกิดขึ้นเลย เธอยังไม่พร้อม ในสถานะนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบ เป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย แต่แล้ว.. เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เรรันต์ถึงกับทิ้งร่างอย่างเบาหวิว หัวใจตกลงไปบนตาตุ่ม เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า เมื่อก้มลงไปดู แล้วพบว่ามันขึ้น... สองขีด “ ฮึก...” เธอปิดปากตัวเองแน่น ร้องไห้โฮ “ ฮึกๆๆ ฮื้อ...” กำเครื่องตรวจคันในมือแทบหัก เงียบไปอึดใจนึงเหมือนช็อค ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลงไปตรงขาตัวเองจนเจ็บ ด้วยความโมโห จนได้! และแล้วเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นกับเธอจนได้! หญิงสาวถึงกับใบ้กิน เครียดหนัก ได้แต่เอามือลูบหน้าตัวเองวนอยู่อย่างนั้น เธอรู้ เธออาจจะมีอะไ
คิมหันต์ถึงกับนิ่ง เขาชะงักกลางคัน ขมวดคิ้วมองคนข้างล่างที่ตอนนี้นอนอมยิ้มอยู่ ก่อนจะหรี่ตาข้างเดียวเหมือนครุ่นคิด “ จริงรึเปล่า...” พลางแกล้งถาม พร้อมกับทำบางอย่าง ที่สามารถทำให้คนนอนยิ้มอยู่ข้างล่างนั้น หุบยิ้มได้ทันที หลังจากตกใจหนัก ต่อการพิสูจน์มันด้วยตัวของเขาเอง “ ว๊าย! “ นั่นคือมือของเขาที่ยื่นมาแตะน้องน้อยหอยสังข์ของเรรันต์ ซึ่งมีแต่ผ้าลื่นชุดนอนไร้ชั้นใน “ ไหน? ไม่เห็นมีผ้าอนามัยเลย “ กับเสียงถาม ที่ทำเธอหน้าแดงก่ำ หญิงสาวเงียบกริบ มีแต่ตาที่เบิกโพลง “ เดี๋ยวนี้หัดโกหกพี่แล้วเหรอ ร้ายนะเรา “ ต่างจากเขายังยิ้มกว้าง ใช้น้ำเสียงโทนเสียง ราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร ส่วนเธอ.. “ พี่...คิม!!! ” ตะโกนใส่หน้า พร้อมกำปั้นเล็ก ทุบรัวๆ บนแผงอกแกร่งไปแล้ว “ ทำไมถึงทำแบบนี้เนี่ย “ “ ฮ่าๆๆ ชู่ว...ไม่เสียงดังสิคะ เดี๋ยวคนอื่นก็ตื่นกันหมดหรอก “ “ ก็พี่น่ะ! ...” “ ชู่ว...บอกว่าอย่าเสียงดังไง “ ชายหนุ
"อะไรกัน! " เสียงใสหญิงแต่แหบใหญ่ของผู้อาวุโสที่สุดในบ้านดังขึ้น ทั้งคู่หันขวับไปมองตามเสียง ก่อนจะพากันนิ่ง ราวกับมีความคิดเดียวกัน ...ไม่รู้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วได้ยินอะไรรึเปล่า ... ทว่า..ต้องขอบคุณโชคช่วย เพราะดูเหมือนคุณนายอารีย์จะเข้ามาไม่นาน " แกทำอะไรน้องน่ะคิม โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงกันแล้ว ยังจะเล่นเป็นเด็กๆอีก เสียงดังไปถึงข้างบนโน่น " พวกเขาถอนหายใจพร้อมกัน ก่อนเรรันต์จะแสร้งทำเป็นนอยด์ " นายแม่ พี่คิมเอ็ดหนูค่ะ " เธอตอบเสียงหวานฟังดูน่ารัก พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ในขณะคิมหันต์ตอนนี้ เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน " เห้ย โยนมานี่เลยเรอะ?! เอ่อ ก็แค่ถามน้องทำไมกลับดึกครับนายแม่ ไม่มีอะไร " " แล้วทำไมต้องเสียงดัง " หล่อนทำหน้าดุ มองคนทั้งคู่ " ก็นั่นน่ะสิคะ นายแม่ พี่คิมจะเสียงดังทำไมก็ไม่รู้ หนูเลยคิดว่าเอ็ดหนูน่ะสิ " เรรันต์แทรกขึ้นทันที ประโยคนี้ ทำเอาคิมหันต์ถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนเปลี่ยนสีหน้าทันควัน ตัดปัญหาโ
ช่วงเย็นในมหาลัย เรรันต์เลิกเรียนแล้วแต่ยังไม่ได้กลับบ้าน เธอมีกิจกรรมที่จะต้องทำต่อ นั่นคือการซ้อมละครเวที ซึ่งถูกรุ่นพี่รับมอบหมายให้เป็นนางเอก คู่กันกับนักศึกษาชายแปลกหน้าอีกคน ถ้าให้ถามถึงความชอบพอไหมในสิ่งที่ทำนี้ เรรันต์บอกได้เต็มปากเลยว่า เธอไม่ได้เต็มใจสักนิด เหตุผลมาจากความเกรงใจล้วนๆ “ ดีมากเลยจ้ะน้องรันต์ นี่ขนาดซ้อมนะ ยังเริ่ดขนาดนี้ แสดงจริงล่ะก็ คงเพอร์เฟ็คน่าดู “ “ พี่ก็...ชมเกินไปแล้วค่ะ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก “ เรรันต์ยิ้มกว้าง ในขณะที่มือเธอนั้นกำลังเก็บของจากล็อคเกอร์ใส่กระเป๋าอยู่ “ เกินไปที่ไหน พี่พูดจากใจค่า “ “ ฮ่าๆ งั้นก็ ขอบคุณนะคะ “ “ ว่าแต่..กลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย คนที่บ้านมารับไหม “ “ วันนี้รันต์ขับรถมาเอง “ “ อ่อ งั้นขับรถดีๆนะจ๊ะ ระวังโดนฉุดล่ะ “ “ ฮ่าๆๆ ค่า ^^ “ เธอขำ ก่อนจะปิดล็อคเกอร์ ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ทำท่าจะเดิน แต่ทว่า.. “ อุ๊ย..ผู้ชายมา