ฉันกัดริมฝีปากแน่นไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกพี่ลีวายท้วงแบบนี้ พลางคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนว่าตัวเองกลับมาที่บ้านได้ยังไง
“เมื่อคืน… พะ... พี่ลีวายมาส่งมิลินเหรอคะ”
“ใช่ ฉันมาส่งเธอถึงในห้อง”
“…” นะ... ในห้องเลยเหรอ
ฉันกำมือแน่นอย่างเป็นกังวลเพราะกลัวว่าพี่ลีวายจะเห็น
อัลบั้มภาพที่ฉันแอบถ่ายเขาไว้นับร้อยรูป ไหนจะเรื่องจูบอีก“อยากรู้ไหมว่าเธอทำอะไรกับฉันบ้าง”
“มะ... ไม่อยากรู้ค่ะ” ฉันพยายามจะเดินเลี่ยงแต่ถูกฝ่ามือหนา
รั้งแขนเอาไว้“เธอจูบฉัน”
แปลว่าเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันหรอกเหรอ
ใบหน้าของฉันเริ่มแดงก่ำเมื่อคิดว่าตัวเองได้จูบกับพี่ลีวาย
มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่กล้าฝันแต่มันเกิดขึ้นแล้ว ถึงจะตอนเมาก็เถอะ“ยิ้มอะไรของเธอ”
เมื่อได้ยินคำนั้นหัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ฉันพยายามถามตัวเองอย่างไม่เชื่อว่าทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ๆ
“มะ… มิลินเมา…”
“ใช่เธอเมา รู้ไหมว่ามันน่ารังเกียจขนาดไหน”
จึก!! ราวกับโลกทั้งใบมันหยุดหมุน คำพูดของพี่ลีวายทำให้
ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเอามีดมาจ้วงแทงกลางอกซ้ำ ๆ“ขอโทษที่มิลินทำตัวน่ารังเกียจกับพี่ลีวายนะคะ” ฉันก้มหน้าบอกแล้วสะบัดมือออกอย่างแรง
“รู้ตัวก็ดี”
เขาต้องการมาพูดแค่นี้เองสินะ แค่อยากจะใช้คำพูดให้ฉัน
เสียความรู้สึกก็แค่นั้น เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกปวดใจไปมากกว่านี้ ฉันจึงตัดสินใจเดินหนีพี่ลีวายออกมาหยดน้ำตามันไหลอาบแก้มเพราะคำว่ารังเกียจที่พี่ลีวายพูด
กริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเบอร์ของแทนที่โทรมา ฉันรีบ
เช็ดน้ำตาออกจากแก้มแล้วกดรับสาย“ว่าไงแทน”
(พี่มิลินว่างไหมครับ ผมอยากจะชวนออกมากินข้าวด้วยกัน)
“อือ ได้สิ”
ที่ฉันตอบตกลงไปแบบนั้น ก็เพราะไม่อยากอยู่ที่บ้านในตอนนี้ มันรู้สึกอยากออกไปไหนก็ได้ โชคดีที่แทนโทรมาชวน
ฉันส่งโลเคชันให้แทนมารับที่บ้าน จริง ๆ ไม่เคยคิดจะให้ผู้ชายคนไหนมารับแต่เพราะคำพูดของพี่ลีวายมันปลุกความกล้าในตัวของฉัน
หลังจากอาบน้ำฉันก็เลือกว่าจะใส่ชุดไหนก่อนที่สายตา
จะเหลือบเห็นชุดเดรสที่ซื้อมาไว้นานแล้วแต่ไม่เคยใส่มันเลย วันนี้ จึงตัดสินใจจะใส่มันสิ่งที่ฉันทำเหมือนคนที่กำลังประชดชีวิตของตัวเองอยู่… และใช่ฉันคิดแบบนั้น ในเมื่อที่ผ่านมาฉันเป็นคนที่น่ารังเกียจสำหรับพี่ลีวาย
ฉันก็จะทำตัวในแบบที่เขาคิดแทน: มาถึงแล้วครับ
แทนส่งข้อความมาบอก ฉันที่แต่งตัวเสร็จพอดีรีบหยิบกระเป๋าเดินออกมาจากห้องเพื่อมาหาแทนที่รถ
“ว้าว! พี่มิลินสวยมากเลยครับวันนี้”
ฉันยิ้มเขินให้กับคำชมของแทน ก่อนที่เขาตะเปิดประตูรถให้
แต่ทว่ายังไม่ทันจะเข้าไปนั่งในรถเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาซะก่อนหัวใจดวงน้อยเต้นรัวเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรมาคือเบอร์ของ
พี่ลีวาย ฉันชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
(ห้องฉันรก ขึ้นมาทำความสะอาดให้หน่อยสิ)
“ตอนนี้มิลินไม่ว่าง ถ้ากลับมาแล้วจะรีบไปทำความสะอาดให้
นะคะ”(คนใช้อย่างเธอมีสิทธิ์ขัดคำสั่งเจ้านายได้ด้วยหรือไง)
“…”
(คิดว่าตัวเองเป็นใคร)
“จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
คำพูดที่ทำให้จุกอกจนฉันไม่สามารถโต้เถียงได้ของพี่ลีวาย
ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะสถานะของฉันคือคนรับใช้“แทนพี่ขอโทษนะ”
“ไม่ว่างแล้วเหรอครับ”
“อือ”
แทนแสดงออกถึงความผิดหวัง แต่จู่ ๆ เขาก็ยิ้มออกมา
“ไม่เป็นไรครับเอาไว้คราวหน้าก็ได้ แต่คืนนี้ผมขอโทรหาพี่มิลินได้ไหม”“… อือ”
หลังจากส่งแทนกลับไปแล้วฉันก็เดินมาหยิบอุปกรณ์
ทำความสะอาดขึ้นมาบนห้องของพี่ลีวายโดยที่ยังไม่เปลี่ยนชุด“กรี๊ด!!”
เมื่อเปิดประตูเข้ามาฉันถึงกับกรี๊ดเสียงหลงเพราะพี่ลีวาย
กำลังเปลือยเปล่า ไม่สิ! มีผ้าขนหนูผืนเดียวพันอยู่รอบเอว แต่แบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเปลือยเปล่าอยู่ดี“สะ... ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วมิลินจะเข้ามาทำความสะอาด
ให้นะคะ”“ไม่ต้อง ฉันไม่อยากให้เธอทำแล้ว”
ร่างหนาเดินมาใกล้ ๆ ทำให้ฉันรีบถอยหนี ก่อนที่สายตาของ
พี่ลีวายจะมองสำรวจชุดที่ฉันใส่“ถ้าอยากจะนัดเจอกับผู้ชายก็ไปนัดเจอข้างนอก ไม่ใช่ให้มัน
เข้ามาหาถึงในบ้าน!!”ฉันไม่รู้ว่าพี่ลีวายรู้ได้ยังไงว่าแทนมาที่บ้าน ห้องนอนของเขามันอยู่คนละฝั่งกับโรงจอดรถเลยนี่นา หรือว่าได้ยินเสียงตอนแทนขับรถเข้ามาอย่างนั้นเหรอหมับ!! ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้แขนของฉันก็ถูกดึงกระชากไปอย่างแรง“พะ... พี่ลีวายมิลินเจ็บนะคะ”“อยู่บ้านแต่งตัวมิดชิดปิดถึงคอ แต่พอจะออกไปข้างนอกกับผู้ชาย…” พี่ลีวายเว้นคำพูดก่อนจะใช้สายตามองเรือนร่างของฉันอย่างพิจารณา แล้วพูดต่อ “แต่งตัวแรดจังนะ”“พี่ลีวาย!!” ฉันตวาดเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดมันจะมีสักครั้งไหมที่เวลาพี่ลีวายจะพูดอะไรแล้วคิดแคร์ความรู้สึกของฉันบ้าง… ไม่เลยสินะ“ทำไม! ฉันพูดผิดตรงไหน?”“นี่มันร่างกายของมิลิน แต่งตัวแบบไหนมันก็เป็นสิทธิ์ของมิลิน”“ก็… แรดดี”“…”“อย่าเพิ่งเปลี่ยนชุดล่ะ ฉันอยากให้พ่อเห็นเธอแต่งตัวแรด ๆ แบบนี้”ฉันกำมือแน่น การถูกคนที่ตัวเองชอบมองด้วยสายตาดูถูกแบบนั้นมันเจ็บปวดสุด ๆ ไปเลยแหละ“ต่อไปนี้… ต่างคนต่างอยู่เถอะนะคะ” คำขอร้องของฉันมันออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ถึงแม้จะยังชอบพี่ลีวายอยู่มาก ๆ แต่ฉันไม่สามารถอดทนกับสายตาและคำพูดของเขาได้ตลอด“ฉันก็ไม่ได้อยากจะไปยุ่งวุ่นวายกับเ
ปกติคุณท่านเป็นคนมีเหตุแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอมฟังอะไรเลย ถึงจะชอบพี่ลีวายมากขนาดไหนแต่การที่ถูกเข้าใจผิดแถมยังจะได้หมั้นกันแบบนี้มันไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีเลยสักนิดหลังจากออกมาจากห้องทำงานของคุณท่านพี่ลีวายก็ขับรถออกไปจากบ้านด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด ฉันเองรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่ได้ช่วยพูดอะไรเลยคืนนี้ทั้งคืนฉันพยายามข่มตานอนแต่ทำไม่ได้ หัวใจมันกระวนกระวายคิดถึงแต่เรื่องที่คุณท่านบอกให้พี่ลีวายหมั้นกับฉัน สมองมันจินตนาการไปต่าง ๆ นานาถ้าเกิดว่าหมั้นกับเขาจริง ๆ ฉันต้องทุกข์ใจมากแน่ ๆ เพราะพี่ลีวายไม่ได้รักฉันเลย แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ ชีวิตของฉันต่อจากนี้จะเป็นยังไงกันนะ…@หนึ่งอาทิตย์ต่อมาตั้งแต่วันนั้นพี่ลีวายก็ไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย คุณท่านโทรหาเขาก็ไม่รับ ที่คอนโดก็ไม่อยู่ทำให้ฉันทุกข์ใจเป็นอย่างมาก“ติดต่อลูกชายตัวดีของฉันได้บ้างหรือเปล่า” คุณท่านถามขณะที่ฉันยื่นยาพร้อมแก้วน้ำให้“ไม่เลยค่ะ”“หึ! ไอ้ลูกไม่รักดี แค่ก ๆๆ” คุณท่านไอพร้อมกุมหัวใจของตัวเองเอาไว้ทำให้ฉันตกใจมาก ๆ“อย่าโมโหไปเลยค่ะ เดี๋ยวอาการป่วยจะกำเริบอีกนะคะ” คุณท่านป่วยเป็นโรคหัวใจ เรื่องนี้พี่ลีวายยั
พี่ลีวายขมวดคิ้วกับคำพูดของฉันก่อนจะกระชากตัวฉันอย่างแรงจนเซมาจนกับอกแกร่ง“พูดว่าไงนะ”“ปล่อยค่ะ”“ฉันถามว่าเมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร!!” เสียงตวาดของพี่ลีวายดังลั่นไปทั่วสวน“มิลินจะไปบอกคุณท่านว่าวันนั้นพี่ลีวายพยายามจะขืนใจ…โอ้ย!!” ฉันร้องออกมาเสียงหลงเพราะถูกพี่ลีวายบีบแขนแรงมาก ๆ รู้สึกเจ็บเหมือนกระดูกมันร้าวไปหมด“พูดบ้าอะไรของเธอฮะ!!”“ปล่อยนะมิลินเจ็บ”“มานี่!!”พี่ลีวายฉุดกระชากฉันให้ตามตัวเองมาที่รถ ก่อนจะเปิดประตูแล้วจับตัวของฉันยัดเข้าไปด้านใน“อื้อปล่อย จะพามิลินไปไหนคะ”“หุบปาก!!” เขาตะคอกบอกเสียงแข็งก่อนจะเดินอ้อมไปทางฝั่งคนขับ จากนั้นก็ขับรถออกไปจากบ้านด้วยความเร็ว“ปะ... ไปไหนคะ”“พี่ลีวายจอดรถนะ”“มิลินบอกให้จอดไง”ต่อให้ฉันพูดอะไรพี่ลีวายก็ไม่ตอบกลับ ไม่มีแต่จะหันมามอง เขาขับรถด้วยความเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยหกสิบและหักพวงมาลัยปาดซ้ายปาดขวาแซงขึ้นอย่างน่าหวาดเสียวจนฉันต้องหลับตาปี๋พร้อมหัวใจดวงน้อยที่เต้นรัวเพราะความกลัวพี่ลีวายหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามาในคอนโดของตัวเอง ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจว่าเขาพาฉันมาที่นี่ทำไม หลังจากรถจอดสนิทเขาก็ลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูทางฝั่งที่ฉันนั่
ร่างกายของฉันเริ่มสั่นเพราะความกลัว เหมือนว่าการพูดออกไปแบบนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด“มะ… มิลินไม่ได้ต้องการแบบที่พี่ลีวายคิด”“ถ้าไม่ต้องการแล้วจะบอกพ่อว่าฉันขืนใจเธอทำไมฮะ!!”“…”“ฉันกำลังจะทำตามที่เธอพูด… ไม่ดีใจหรือไง”“มะ… ไม่ค่ะ”“ตอนเล่าให้พ่อฉันฟังก็อย่าลืมบอกว่าเราทำท่าไหนกันบ้าง…”“ปะ… เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ”พรึบ!! เสื้อเชิดที่อยู่บนตัวของพี่ลีวายตอนนี้ถูกเขาถอดออกแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนที่มือหนาจะปลดเข็มขัดกางเกงต่อ“ไม่ถอด?”“…” ฉันกัดริมฝีปากแน่นครั้งนี้แววตาของพี่ลีวายมันจริงจังไม่ใช่ว่าแค่ทำขู่ ซึ่งฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่ก็ไม่ต้องการออกไปจากชีวิตเขาเหมือนกัน“อยากให้ฉันเป็นคนถอดให้สินะ”ทำไมฉันถึงยังนั่งอยู่ทั้งที่รู้สึกกลัวขนาดนี้ ทำไมฉันไม่รีบวิ่งหนีออกไปจากห้อง…“ทะ... ทำอะไรคะ พะ... พี่ลีวายอย่านะ” ฉันร้องออกเสียงหลงเมื่อพี่ลีวายใช้เข็มขัดที่ปลดออกมามัดมือของฉันเอาไว้“ฉันไม่เคยคิดจะทำเรื่องต่ำ ๆ แบบนี้กับเธอเลยสักนิด” เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะผลักฉันนอนราบบนโซฟา แล้วขึ้นมาคร่อมรวบแขนฉันขึงตึงไว้เหนือศีรษะก่อนจะพูดต่อ “เธอเป็นคนเสนอความต้องการให้ฉันเอง… จำไว้!
พี่ลีวายกระชากเสื้อที่ขาดลุ่ยของฉันออกจากตัว ก่อนจะพยายามถอดกางเกง ฉันพยายามหนีบขาเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงผู้ชายที่ตัวโตกว่าได้น้ำตามันไหลอาบแก้มเมื่อถูกผู้ชายที่ตัวเองรักกระทำเรื่องน่าอายแบบนี้ แต่ทำไมร่างกายกลับไม่ต่อต้าน มันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว… ถ้าฉันเป็นของพี่ลีวายแล้วบางครั้งความรู้สึกที่เกลียดชังอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น…“จะร้องไห้ทำไม เธอควรจะดีใจมากกว่านะที่ทำสำเร็จ”“มะ… มิลินไม่ได้ต้องการ… อึก~”“ถ้าต้องหมั้นกับผู้หญิงอย่างเธอ… ฉันจะย่ำยีไม่ให้เหลือชิ้นดี”“…”“ยังต้องการแบบนั้นอยู่ไหม?”“… มิลิน… อึก”“ไม่ต้องบีบน้ำตา คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ”“พะ… พูดเรื่องอะไรคะ… อึก~”“เลิกทำตัวใสซื่อต่อหน้าฉันได้แล้ว”“อึก~”ฉันไม่เข้าใจว่าพี่ลีวายกำลังพูดเรื่องอะไรและในตอนนี้ร่างกายของฉันที่ไร้เสื้อผ้าปกคลุมก็ได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าเขาแล้ว“หึ!! ไม่คิดว่าพอแก้ผ้าแล้วผู้หญิงแบบเธอจะทำให้ฉันมีอารมณ์ได้”พี่ลีวายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สายตาอำมหิตจ้องมองฉันที่ถูกมัดมือนอนตัวสั่นเทาพร้อมกับถอดกางเกงออกจากท่อนขา ฉันรีบหันหน
ฉันมองเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกพี่ลีวายกระชากจนขาดกองอยู่บนพื้น ไม่มีเสื้อผ้าใส่แบบนี้แล้วจะกลับได้ยังไงให้ออกไปทั้งแบบนี้ก็ไม่ได้“อ่าเจ็บจัง~” แค่ขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บตรงนั้น มันคงฉีกขาดอย่างที่คิดจริง ๆ ถึงได้มีเลือดออกมา“อึก~” ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อฉันทำได้เพียงร้องไห้สะอื้นอีกครั้งให้กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ของฉันดัง ก่อนจะเห็นว่าเป็นคุณท่านที่โทรมา ถึงไม่อยากรับสายแต่ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้เพราะไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง เพราะฉันหายออกมาจากบ้านดื้อ ๆ“ฮัลโหลค่ะ” ฉันเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแล้วทำเสียงให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้คุณท่านสงสัย(ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน)“เอ่อคือ… หนูออกมาหาเพื่อนน่ะค่ะ… ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้แจ้งให้คุณท่านทราบก่อน”(ได้ยินแบบนี้ฉันก็โล่งใจ)คุณท่านวางสายไป ที่โทรมาถามเพราะท่านคงจะเป็นห่วงฉันจริง ๆ และฉันเองก็รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแบบนั้นพรึบ!! ผ้าขนหนูผืนใหญ่ถูกโยนมากระแทกหน้าฉันอย่างแรง“คลุมตัวไว้ซะเห็นแล้วมันทุเรศตา”“…” ฉันมองหน้าพี่ลีวาย เขาทำเหมือนเมื่อกี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราเลย“เธอหยิบเสื้อผ้าในตู้ใส่ไปก่
วันต่อมาฉันตื่นมาด้วยอาการที่ปวดระบมไปทั้งตัวแค่นั้นไม่พอยังปวดหัวราวกับจะระเบิด คงเป็นเพราะตากฝนเมื่อวานอยากลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยแต่ทำไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแถมยังเจ็บที่ตรงกลางระหว่างขาเอามาก ๆสมองของฉันมันคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อยากให้เป็นเพียงความฝันที่ความเจ็บปวดมันตอกย้ำว่าทุกอย่างได้เกิดขึ้นจริง ๆสำหรับฉันพี่ลีวายคือคนแรกสำหรับทุก ๆ อย่าง ถึงแม้ว่าเขาจะใจร้ายสักแค่ไหน… ฉันก็เกลียดเขาไม่ลงฉันพยายามหอบสังขารของตัวเองลุกขึ้นจากเตียงมาหายากิน โชคดีที่มียาอยู่ในห้องไม่ต้องเดินไปเอาที่บ้านใหญ่หลังจากกินยาแล้วฉันก็นอนพักเผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะดีขึ้น@วันต่อมาไม่คิดว่ากินยาไปแค่สองเม็ดจะทำให้ฉันหลับยาวขนาดนี้ ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเที่ยงแล้ว อาการปวดหัวปวดเนื้อตัวมันดีขึ้นมาแค่นิดหน่อยเองกริ่ง~ สายเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันควานมือหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา“ฮัลโหลค่ะ”(วันนี้ไม่มาเรียนอีกแล้วเหรอครับ)“นั่นใครพูดเหรอคะ”(ผมแทนเองครับ เสียใจนะเนี่ยที่พี่มิลินจำผมไม่ได้)“อื้อโทษทีนะแทนพี่ไม่ทันมองเบอร์น่ะ”(ไม่สบายหรือเปล่าคร
หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัว ๆ เมื่อได้ยินที่พี่ลีวายสั่งและได้มองแววตาของเขา“คิดจะเป็นเลขา… เธอต้องพร้อมรับอารมณ์ของฉันได้ทุกเวลาสิ”“พะ… พี่ลีวายทำแบบนั้น… กะ… กับเลขาทุกคนเลยเหรอคะ” ฉันกำมือแน่นขณะรอคำตอบ ทั้งที่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร“ก็… ไม่ทุกคน”สำหรับพี่ลีวายแล้วความสัมพันธ์บนเตียงชั่วข้ามคืนคงเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ และเขาไม่คิดจะผูกมัดกับใครทั้งนั้น… รวมถึงฉันด้วยเพราะฉะนั้นฉันก็ควรทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา“ปล่อยมิลินเถอะค่ะ เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า”“ใครจะกล้าเข้ามา”“ที่ไม่ยอมปล่อยเพราะพี่ลีวาย… อยากกอดมิลินไว้แบบนี้เหรอคะ” ฉันตั้งใจพูดเพื่อให้พี่ลีวายปล่อยมือและมันก็ได้ผล เขาผละตัวออกห่างราวกับรังเกียจ“ฉันไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว”พูดแล้วพี่ลีวายก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิม แถมเขายังจ้องฉันเขม็ง“ออกไป”“คุณท่านสั่งให้มิลินมาช่วยงานค่ะ”“ไม่มีงานอะไรที่เธอทำได้ ออกไปซะ!! เห็นหน้าแล้วทำให้หงุดหงิดฉิบ!!”“มิลินจะนั่งเงียบ ๆ ถ้ามีอะไรก็เรียกนะคะ” ฉันเดินมานั่งบนโซฟาตัวใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของคุณท่านคงกลับไปตั้งนานแล้ว“แค่เห็นว่าเธออยู่ในห้องมัน
สี่เดือนผ่านไปหลังจากที่พูดเรื่องแต่งครั้งนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลยเพราะฉันยุ่งเรื่องเรียน ส่วนพี่ลีวายก็ยุ่งเรื่องงานที่บริษัท เอาจริง ๆ คือเราแทบไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำเพราะโทรหากันบ่อยมากกว่าไปเจอฉันไม่ยอมย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะคอนโดมันใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า ทั้งที่คุณท่านและพี่ลีวายก็ขอให้ย้ายกลับไป แต่คิดว่าอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะเรียนจบแล้วฉันจึงขออยู่ให้ถึงเรียนจบเลยดีกว่านี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่พี่ลีวายว่างมารอรับที่มหาวิทยาลัย เพราะปกติเขางานยุ่งแทบไม่มีเวลาปลีกตัวทำอะไรเลยไหนจะต้องบินไปฮ่องกงบ่อย ๆ อีก“มิลิน ๆ งานโปรเจกต์ที่จะทำด้วยกันจะนัดทำที่ไหนดี” อาตถามเพราะอาจารย์จับคู่ให้เขาสองคน“อาตสะดวกที่ไหน ถ้าบ้านมิลินคงต้องขออนุญาตคุณท่านก่อน”“ที่บ้านมิลินก็ได้เพราะถ้าทำที่บ้านเราเดี๋ยวเธออึดอัด มันไม่เหมาะสมด้วย” อาตค่อนข้างวางตัวดี ยังจำได้ว่าตอนนั้นเขาเกือบจะจีบฉัน แต่มีน้องแทนมาตัดหน้าซะก่อนพูดถึงน้องแทนตอนนี้เขาย้ายไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว นาน ๆ ทีจะส่งข้อความมาคุยกัน พอถามเรื่องหัวใจก็บอกว่ามีดู ๆ อยู่บ้าง ฉันดีใจนะที่ตอนนี้แทนยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองแล้ว
กว่าจะโอ๋ให้พี่ลีวายหยุดร้องไห้ได้ก็นานพอสมควร เขาคงรู้สึกผิดและเข็ดหลาบแล้วจริง ๆ แต่ตอนนี้นี่สิ นั่งกอดฉันไว้บนตักไม่ยอมให้ลุกขึ้นไปไหนเลย“พี่ลีวาย”“หืม?”“มิลินนั่งอยู่บนตักพี่ลีวายแบบนี้มาเป็นชั่วโมงแล้วนะคะ”“แล้วยังไงต่อครับ”“ปล่อยหนูก่อนได้ไหม”“รู้ไหมว่าพูดแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ไม่อยากปล่อย”ไม่พูดเปล่าพี่ลีวายกดริมฝีปากจูบลงมาบนซอกคอของฉันด้วย เขาลากไล้ริมฝีปากดูดเลียและขบเม้มจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว“อื้อ~ ยะ... หยุดก่อน”“พี่คิดถึงเธอใจแทบขาด”พอได้ยินอีกฝ่ายแทนตัวเองว่าพี่ทำเอาฉันถึงกับทำตัวไม่ถูก ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแล้วตอนนี้“อยากเป็นเด็กเหรอคะถึงแทนตัวเองว่าพี่”“ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น”“แต่ก็แก่อยู่ดีนี่นา”“ทำไมชอบว่าฉันแก่” พี่ลีวายถามเสียงเข้ม เมื่อกี้ยังพูดเสียงอ้อนเสียงหวานอยู่เลยพอพูดเข้มใส่มันทำให้ฉันตกใจไม่น้อย“ก็พี่ลีวายสามสิบกว่าแล้ว”“ทำไมชอบพูดเรื่องอายุ”“ทำไมต้องโกรธมิลินด้วย” ฉันถามกลับเพราะเหมือนว่าตอนนี้พี่ลีวายกำลังไม่พอใจ“ก็ดูเธอพูด ทำไมชอบบอกว่าฉันแก่ แก่ยังไงก็เป็นผัวเธอ”“อื้อ!!!”ฉันร้องอุทานเสียงดังเมื่อถูกเขี้ยวฟันคมของพี่ลีวายงับมาบนพวงแก้ม ถึงแ
Talk ลีวาย“กูบอกมึงแล้วว่าแผนมันไม่เวิร์ค!!”“ทำอะไรไม่คิด”“เป็นไงพวกกูเลยถูกมิลินงอนไปด้วย”“มึงก็น่าจะบอกไปตั้งแต่แรกไม่น่ารอให้จับได้”“โง่ฉิบ!!”“พวกมึงหยุด!!!”ผมตวาดออกไปเสียงดังบอกให้คัลเลนและไอ้คาแลนให้หยุด เพราะตั้งแต่มาถึงที่คาสิโนมันก็เอาแต่บ่นไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ“กูให้มาช่วยคิดวิธีง้อ ไม่ใช่ซ้ำเติม”“สมควร!!” มันสองพี่น้องสบถออกมาพร้อมกัน ทำให้ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ คงคิดผิดจริง ๆ ที่ขอให้มันสองคนช่วย“แล้วยังไง มิลินก็โกรธกูเนี่ย” ไอ้คัลเลนยกมือขึ้นมากุมขมับ “โทรหาก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ”“มึงโทรหาเมียกู?” ผมขมวดคิ้วถามมัน“เออ”“โทรหาทำไม”“ก็มึงบอกว่ามิลินโกรธกู”“มึงจะเดือดร้อนอะไร กูมากกว่าไหมที่ต้องเดือดร้อน เมียไม่ยอมให้ไปเจอหน้า”“นั่นน้องกูไหมวะ”“มั่นใจว่ามึงคิดแค่น้อง?” ผมถามอย่างหาเรื่อง ถึงจะเป็นเพื่อนแต่เรื่องนี้คงยอมให้ไม่ได้“มึงสองตัวหยุด! จะเถียงกันเพื่อ”“ดูน้องชายมึง! ทำไมมันชอบวุ่นวายกับเมียกูนัก”“เออคัลเลนมึงเลิกวอแวกับเมียมันก่อน ดูดิหวงจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว”“มึงเลิกโทรหาเมียกูเลยนะ”“เมียจะทิ้งอยู่แล้วยังจะหวง”“ไอ้สัส มึงเลิกพูด! เมียกูแค่งอนไม
#วันต่อมาฉันนอนอยู่บนเตียงโดยมีพี่ลีวายนอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างกาย เมื่อคืนเขานั้นร้อนแรงราวกับเพลิงไฟ ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทั้งที่อายุก็เข้าเลขสามแล้วแท้ ๆ“ทำไมมีรอยตรงนี้นะ” ฉันมองท่อนแขนแกร่งที่มีรอยแผลเป็นซึ่งน่าจะเป็นรอยใหม่ ๆ ด้วย เพราะก่อนหน้าจำได้ว่าไม่มีแน่ ๆแผลมันอยู่สูงขึ้นมาเกือบจะถึงไหล่ ทำให้ฉันคิดว่าเขาไปได้รอยแผลนี้มาจากไหน หรือว่าถูกยิงสองจุดแล้วไม่ยอมบอกพรึบ! ฉันดึงผ้าห่มออกเพื่อจะสำรวจแผลที่ถูกยิงของพี่ลีวาย แต่ก็ต้องแปลกใจที่พยายามมองหาตรงแผงอกและหน้าท้องเท่าไร ก็ไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเป็น บนตัวเขามีเพียงรอยแผลเดียวตรงท่อนแขนเท่านั้นแล้วตอนที่อยู่โรงพยาบาล เขาพันผ้าพันแผลรอบแผงอกล่ะ มันหมายความว่ายังไง แผลหายไปไหน“พี่ลีวาย!!” ฉันเรียกคนที่นอนหลับอยู่เสียงดังลั่นห้อง ทำให้ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือขึ้นมามองช้า ๆ“ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“อื้อ วันนี้ไม่เข้าบริษัทขอนอนต่ออีกนิดได้ไหม” เขาตอบเสียงงัวเงีย“ไม่ได้ มิลินจะคุยเดี๋ยวนี้ ตอนนี้” ฉันยื่นคำขาด ทำให้พี่ลีวายต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่ตายังไม่อยากจะลืมขึ้นมามอง“มีอะไร”“บอกมิลินอีกครั้งได้ไหม
พี่ลีวายหมกมุ่นอยู่กับฉันหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ฟังไม่ผิด เขาไม่ทำอะไรเลยนอกจากเรื่องบนเตียงแล้วก็ขี้อ้อนไปวัน ๆ“จะไปจริง ๆ ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”พี่ลีวายทำหน้างอเมื่อฉันบอกว่าจะกลับคอนโดของตัวเอง อยากถ่ายคลิปตอนนี้เอาไว้ให้เขาดูจริง ๆ ว่าตัวเองงอแงขนาดไหน“ทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน”“นี่เราก็อยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์แล้วนะคะ”“หมายถึงย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน”“อยู่คอนโดมันใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่าไงคะ”“อยู่ที่บ้านฉันก็ไปส่งเธอได้ ได้ทุกวัน”“แต่พี่ลีวายต้องทำงาน”“ไปส่งเธอแล้วไปทำงาน”“อยู่คอนโดดีแล้วค่ะ สะดวกที่สุดแล้ว”ฉันตัดบทสนทนาอย่างเด็ดขาด จริง ๆ เรื่องกลับไปอยู่ที่บ้านพี่ลีวายพูดหลายครั้งแล้วแต่ฉันคิดว่าการอยู่คอนโดมันสะดวกมากกว่า อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วด้วย จบแล้วค่อยกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้#วันต่อมาวันนี้ฉันมาเรียนแล้วยื่นคำขาดกับพี่ลีวายว่าจะกลับมานอนที่คอนโดของตัวเอง ซึ่งเขาก็ทำหน้างอนตุบป่องตั้งแต่เช้า“ได้ข่าวว่าพี่ลีวายติดแกมากเลยเหรอมิลิน” น้ำอิงถามพร้อมยิ้มกริ่ม“พี่เฟยบอกใช่ไหม รู้ดีจริง ๆ เลย”“อือ เล่าว่างานไม่ยอมทำเลยด้วย”“วันนี้ฉันไล่ให้ไปทำงาน หน้างอมาก”“ก็เขาติดแ
พอได้ยินฉันพูดแบบนั้นพี่ลีวายก็เริ่มยิ้มออก เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วขโมยหอมไปหนึ่งที“ฉันรักเธอมาก ๆ มากที่สุด”“ค่ะ มิลินก็รักพี่ลีวายมาก ๆ มากที่สุดเหมือนกัน”สายตาของเราทั้งคู่มองประสานกัน ส่งมอบความรักทั้งหมดที่มีผ่านแววตานี้ ใบหน้าของพี่ลีวายขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนริมฝีปากของเราห่างกันไม่ถึงคืบปลายจมูกโด่งแนบชิดกับปลายจมูกฉัน พร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมา ทำเอาหัวใจเต้นตุ้บตั้บไม่เป็นจังหวะฉันสัมผัสได้ถึงจังหวะการหายใจของพี่ลีวายที่คล้ายจะถี่ขึ้น จึงขยับใบหน้าออกห่าง ทว่ากลับถูกมือหนาคว้าท้ายทอยไว้ ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาจูบอย่างแนบแน่นดวงตาฉันเบิกกว้างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทว่าครู่เดียวก็คล้อยตามไปกับจูบหวานละมุนของคนตรงหน้าพี่ลีวายบรรจงขบเม้มและดูดดึงกลีบปากของฉันอย่างอ่อนโยน เขาใช้ปลายลิ้นลากเลีย บางครั้งก็ใช้ฟันกัดมันเบา ๆ จนตอนนี้มันเริ่มบวมเห่อและได้กลิ่นคาวของเลือด“อื้อ~” ฉันส่งเสียงในลำคอเบา ๆ เมื่อเรียวลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าในโพรงปากโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวเขาตวัดเลีย รุกไล่ และเกี่ยวกระหวัดอย่างชำนาญ ลิ้นของเราทั้งคู่พัวพันกันจนน้ำลายสีใสไหล
แกร็ก!! เมื่อประตูเปิดออก ฉันสังเกตสีหน้าของพี่ลีวายดูซีด ๆ นี่เขาซุกกิ๊กเอาไว้จริงเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้แสดงความกังวลออกมาแบบนั้น“ค... คุณท่าน”“พ่อ”ทั้งฉันและพี่ลีวายต่างหันมองหน้ากัน เพราะไม่คิดว่าคนที่มาเคาะห้องจะเป็นคุณท่าน นี่ก็ลืมไปเลยว่าคุณท่านบอกไปแล้วเรื่องกลับไทย ลืมสนิทจริง ๆ“เห็นหน้าฉันแล้วทำไมถึงตกใจขนาดนั้น”“กลับมาเมื่อไรครับ”คุณท่านไม่ตอบคำถามของพี่ลีวาย ก่อนจะเดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง เดินไปนั่งบนโซฟา สีหน้าที่ค่อนข้างตึงเครียดทำให้ฉันค่อนข้างทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าท่านกำลังโกรธอยู่หรือเปล่า“ถูกยิงทำไมไม่บอกพ่อสักคำ”“ผมไม่อยากให้เป็นห่วง”“ลากตัวคนทำมาได้หรือยัง”“ผมให้ลูกน้องตามสืบอยู่”“ปกติลูกน้องแกไม่เคยทำงานช้า ไม่กี่วันก็รู้ตัวพวกบงการแล้ว ทำไมรอบนี้ถึงหาตัวคนทำมาไม่ได้”อืม! มันก็จริงอย่างที่คุณท่านว่า ปกติลูกน้องของพี่ลีวายเก่งเรื่องสืบจะตาย ไม่มีทางที่จะรู้ตัวคนทำช้าขนาดนี้“ผม… ก็ไม่รู้ครับ” พี่ลีวายก้มหน้าตอบ ปกติจะประจันหน้าตลอดครั้งนี้ทำเอาแปลกใจ หรือว่ากลัวคุณท่านอย่างนั้นเหรอ“นิสัยลูกชายฉันมันต้องเร่งหาตัวคนทำสิ ใครทำงานช้าก็จะไล่ออก แกทำให้
#เช้าวันใหม่ฉันตื่นเช้าพร้อมกับความรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว เพราะเมื่อคืนเจอศึกหนัก กว่าพี่ลีวายจะยอมให้นอนก็เกือบตีสี่ เขาดุร้ายราวกับเสือที่อดอาหารมานาน ทำกับฉันเหมือนตัวเองไม่ได้เพิ่งถูกยิงมาบางทีก็แอบสงสัยว่าทำแรงขนาดนั้นพี่ลีวายไม่รู้สึกเจ็บแผลบ้างเลยหรือไงหลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เปิดตู้เสื้อผ้าของพี่ลีวายก่อนจะหยิบเสื้อออกมาตัวนึงอย่างถือวิสาสะ เพราะไม่มีชุดใส่ก็เลยต้องเอาชุดของเขามาใส่ก่อนเพราะพี่ลีวายตัวโตกว่ามากเมื่อชุดของเขามาอยู่บนตัวฉันจึงมีความยาวเกือบถึงเข่า เพิ่งรู้ว่าตัวเองตัวเล็กมากก็ตอนนี้แหละแต่งตัวเสร็จฉันก็หันมองพี่ลีวายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อมาทำอาหารเช้าไว้รอเขา เลือกทำเมนูง่าย ๆ เช่นข้าวต้ม เพราะไม่มีของอะไรให้ทำมากนัก“พี่ลีวายตื่นได้แล้วค่ะ” หลังจากทำข้าวต้มเสร็จแล้ว ฉันก็เดินกลับมาปลุกคนขี้เซาที่นอนไม่ยอมตื่นสักที“อื้อ”“ตื่นได้แล้ว มิลินทำข้าวต้มไว้ให้รีบไปล้างหน้าเร็ว”พี่ลีวายค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมอง ใบหน้าตอนเพิ่งตื่นของเขานั้นไม่ได้ดูแย่เลย กลับกัน มันดูดีจนฉันรู้สึกหวง“ตื่นเช้าจัง เมื่อคืนฉันทำตั้งหลายรอบทำไมลุกไหว หืม” ริมฝีป
“ใจร้ายชะมัด” เขาทำหน้าบึ้ง แต่ก็ยอมดึงกางเกงขึ้นแล้วกลับมานอนในท่าเดิม “ไม่ทำแบบนั้นแต่ใช้มือช่วยหน่อยได้ไหม อารมณ์มันค้าง”“ถ้าพี่ลีวายพูดอีกคำเดียว มิลินจะกลับไปนอนโซฟาจริง ๆ ด้วย”“แค่มือก็ไม่ได้เหรอ” พี่ลีวายทำเสียงเศร้า ๆ หวังจะให้ฉันใจอ่อนเหรอ ไม่มีทางหรอก“มิลินว่ามิลินรู้จักพี่ลีวายดีค่ะ มันไม่มีทางจบแค่มือแน่นอน”คนอย่างเขาถ้าฉันใช้มือทำให้จริง ๆ เดี๋ยวก็หาทางแตะต้องร่างกายฉันจนเกิดอารมณ์ แล้วสุดท้ายเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ก็จะวนมาอีกครั้งจุ๊บ~จู่ ๆ พี่ลีวายก็เขยิบใบหน้าเข้ามาขโมยจุ๊บที่หน้าผากฉันแรง ๆ “ชอบจังเลยคนรู้ทันเนี่ย”แล้วไม่ใช่แค่จุ๊บแต่เขายังใช้ปลายจมูกไล้หอมไปทั่วใบหน้าจนฉันแทบหายใจไม่ออก“หยุดลวนลามมิลินแล้วนอนสักทีได้ไหมคะ ไม่อยากออกจากโรงพยาบาลไว ๆ รึไง”“โอโห แค่จุ๊บกับหอมก็ไม่ได้ คอยดูนะแผลฉันหายดีเมื่อไรจะทบต้นทบดอกให้ร้องขอชีวิตเลย”“ถ้าพี่ลีวายทำแบบนั้นมันจะเป็นการมีอะไรกันครั้งสุดท้ายแน่นอนค่ะ”“นี่ฉันต้องโทษตัวเองใช่ไหม ที่ทำร้ายเธอบ่อย ๆ จนทำให้เธอเข้มแข็งได้ขนาดนี้เนี่ย”“ใช่ค่ะ โทษตัวเองไปเยอะ ๆ เลย ตอนมิลินยอมทุกอย่างก็มาใจร้ายด้วยเองนี่”“ค้าบ ๆ