วันต่อมาฉันตื่นมาด้วยอาการที่ปวดระบมไปทั้งตัวแค่นั้นไม่พอยังปวดหัวราวกับจะระเบิด คงเป็นเพราะตากฝนเมื่อวานอยากลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยแต่ทำไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแถมยังเจ็บที่ตรงกลางระหว่างขาเอามาก ๆสมองของฉันมันคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อยากให้เป็นเพียงความฝันที่ความเจ็บปวดมันตอกย้ำว่าทุกอย่างได้เกิดขึ้นจริง ๆสำหรับฉันพี่ลีวายคือคนแรกสำหรับทุก ๆ อย่าง ถึงแม้ว่าเขาจะใจร้ายสักแค่ไหน… ฉันก็เกลียดเขาไม่ลงฉันพยายามหอบสังขารของตัวเองลุกขึ้นจากเตียงมาหายากิน โชคดีที่มียาอยู่ในห้องไม่ต้องเดินไปเอาที่บ้านใหญ่หลังจากกินยาแล้วฉันก็นอนพักเผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะดีขึ้น@วันต่อมาไม่คิดว่ากินยาไปแค่สองเม็ดจะทำให้ฉันหลับยาวขนาดนี้ ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเที่ยงแล้ว อาการปวดหัวปวดเนื้อตัวมันดีขึ้นมาแค่นิดหน่อยเองกริ่ง~ สายเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันควานมือหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา“ฮัลโหลค่ะ”(วันนี้ไม่มาเรียนอีกแล้วเหรอครับ)“นั่นใครพูดเหรอคะ”(ผมแทนเองครับ เสียใจนะเนี่ยที่พี่มิลินจำผมไม่ได้)“อื้อโทษทีนะแทนพี่ไม่ทันมองเบอร์น่ะ”(ไม่สบายหรือเปล่าคร
หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัว ๆ เมื่อได้ยินที่พี่ลีวายสั่งและได้มองแววตาของเขา“คิดจะเป็นเลขา… เธอต้องพร้อมรับอารมณ์ของฉันได้ทุกเวลาสิ”“พะ… พี่ลีวายทำแบบนั้น… กะ… กับเลขาทุกคนเลยเหรอคะ” ฉันกำมือแน่นขณะรอคำตอบ ทั้งที่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร“ก็… ไม่ทุกคน”สำหรับพี่ลีวายแล้วความสัมพันธ์บนเตียงชั่วข้ามคืนคงเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ และเขาไม่คิดจะผูกมัดกับใครทั้งนั้น… รวมถึงฉันด้วยเพราะฉะนั้นฉันก็ควรทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา“ปล่อยมิลินเถอะค่ะ เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า”“ใครจะกล้าเข้ามา”“ที่ไม่ยอมปล่อยเพราะพี่ลีวาย… อยากกอดมิลินไว้แบบนี้เหรอคะ” ฉันตั้งใจพูดเพื่อให้พี่ลีวายปล่อยมือและมันก็ได้ผล เขาผละตัวออกห่างราวกับรังเกียจ“ฉันไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว”พูดแล้วพี่ลีวายก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิม แถมเขายังจ้องฉันเขม็ง“ออกไป”“คุณท่านสั่งให้มิลินมาช่วยงานค่ะ”“ไม่มีงานอะไรที่เธอทำได้ ออกไปซะ!! เห็นหน้าแล้วทำให้หงุดหงิดฉิบ!!”“มิลินจะนั่งเงียบ ๆ ถ้ามีอะไรก็เรียกนะคะ” ฉันเดินมานั่งบนโซฟาตัวใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของคุณท่านคงกลับไปตั้งนานแล้ว“แค่เห็นว่าเธออยู่ในห้องมัน
ถึงแม้ว่าฉันไม่อยากให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งแต่พี่ลีวายคงไม่ยอมฟัง ไม่เพียงแค่ต้องการย่ำยีร่างกาย แต่เขาได้ย่ำยีหัวใจของฉันด้วย “พะ… พี่ลีวายหยุดนะ” ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างเมื่อกางเกงซับในพร้อมกางเกงในตัวจิ๋วหลุดติดมือพี่ลีวายออกไปด้วยต่อให้พูดอะไรคนตรงหน้าก็ไม่ยอมฟัง กระโปรงนักศึกษาถูกถกขึ้นมากองไว้บนท้องน้อยก่อนที่พี่ลีวายจะลุกขึ้นถอดเสื้อและกางเกงของตัวเองทิ้งลงพื้น“อย่าทำอีกเลยนะคะ…”“ปากบอกว่าไม่อยากทำ แต่พอฉันจับนิดจับหน่อยก็ครางออกมาซะเสียงดัง”“…”“คิดว่าไม่รู้หรือไง ว่าเธออยากจะมาให้ท่าฉัน”“ปะ… เปล่านะคะมิลินไม่ได้คิดแบบนั้น”“บอกแล้วไงว่าต่อหน้าฉันหยุดทำตัวใสซื่อ”“… มิลินจะกลับแล้ว”ฉันตั้งใจจะลุกขึ้นแต่ถูกแขนแกร่งผลักให้เอนหลังมาแนบติดกับโซฟา จากนั้นพี่ลีวายก็นั่งคุกเข่าตรงหน้าระหว่างกลางช่องขาของฉัน“ยะ... อยากให้กลับไม่ใช่เหรอคะ มะ... มิลินกำลังจะกลับนี่ไง” ฉันพูดแบบไม่มองหน้าเพราะอายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว“สมองช้ารึไง!!”“…”“ตอนนี้ฉันไม่อยากให้เธอกลับแล้วน่ะสิ”พี่ลีวายจับขาทั้งสองของฉันชันเข่าขึ้น จากนั้นเขาก็ยืดตัวสูงใช้มือกำรูดแก่นกายก่อนจะเอามาจ่อตรงปากท
ไม่เข้าใจว่าพี่ลีวายกำลังคิดอะไรอยู่ทั้งที่เพิ่งไล่ฉันไปให้พ้นหน้าแต่พอจะไปกลับบอกให้อยู่ หรือเป็นเพราะได้ยินที่ฉันคุยกับแทน ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าคิดว่าเขาทำไปเพราะหึงหวง ฉันไม่กล้าหวังหรอก…“รีบจัดการซะ ฉันกลับมาทุกอย่างต้องเรียบร้อย”“ตะ… แต่มิลินนัดกับแทนไว้แล้วนะคะ”“แล้วยังไง?” พี่ลีวายเดินออกไปจากห้องโดยที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้“…” ฉันถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บพวกเอกสารบนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็โทรไปเลื่อนนัดแทนแทนตัดพ้อกับฉันจนแอบรู้สึกผิดไม่น้อยเพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วฉันเปิดเอกสารทีละหน้าและอ่านมันอย่างละเอียด แต่ด้วยความที่ไม่เคยทำงานบริษัทเลยจึงไม่เข้าใจหลายจุด คิดว่าถามพี่ลีวาย เขาก็คงไม่ยอมบอกหลายชั่วโมงผ่านไปตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มฉันอ่านเอกสารจนครบหมดแล้ว และรอพี่ลีวายกลับมา แต่ไร้วี่แววตั้งแต่เขาออกไปจากห้องก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยแกร็ก! ขณะที่กำลังเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา ฉันรีบหอบเอกสารกองโตลุกขึ้นยืนทันที“พี่ลีวายคะมิลินอ่าน…”“บริษัทปิดแล้วนะทำไมหนูถึงยังอยู่ที่นี่” นั่นไม่ใช่เสียงของพี่ลีวายแต่เป็นเสียงของลุงยามที่ดูแลความปลอดภัยบ
พอได้ยินคำพูดของพี่ลีวายทำให้แทนขมวดคิ้วอย่างสงสัยทันที“หมั้นเหรอครับ?” คำถามของแทนทำให้ฉันนิ่งไป พร้อมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง“ตอบมันไปสิว่าเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของฉัน”“ว่าที่คู่หมั้น?” แทนทวนคำพูดของพี่ลีวายอีกครั้ง ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งพี่ลีวายเดินมาใกล้ ๆ แทนก่อนจะเหลือบตามองฉันแล้วถาม “เธอไม่ได้บอกเหรอ?”“…” ฉันไม่ตอบอะไรทั้งนั้นได้แต่นิ่งและเงียบเมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมตอบพี่ลีวายก็เปลี่ยนมามองแทน แล้วถาม “อยากหมั้นกับเธอแทนฉันไหมล่ะ เอาสิ! ฉันยกให้”มันจุกแน่นไปทั้งอกกับคำพูดที่พี่ลีวายเพิ่งพ่นออกมา เห็นฉันเป็นสิ่งของหรือไงถึงคิดจะยกให้ใครก็ได้แบบนี้ รู้ว่าเขาไม่เคยแคร์ความรู้สึกฉันเลยเวลาพูดคำเหล่านั้น แต่ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า“ถ้าผมตอบว่าอยากได้… ก็จะยกให้เลยอย่างนั้นใช่ไหมครับ?” เหมือนแทนจะจริงจังซะด้วย เขาจ้องหน้าพี่ลีวายอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด“ได้! ก็แค่ของเหลือจากฉัน… อยากได้ก็เอาไป”“หมายความว่ายังไงครับพี่มิลิน”“… ไม่มีอะไรหรอกแทนกลับไปก่อนนะพี่ขอ”“บอกมันไปสิว่าเธอกับฉันเอา…”“พี่ลีวาย!! หยุดได้แล้วค่ะ” ครั้งแรกที่ฉันขึ้นเสียงใส่พี่ลีว
“คนนี้ใครเหรอคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ พี่ลีวายถามขึ้นมา“เธอควรสนใจฉันไม่ใช่คนอื่น” พี่ลีวายออกคำสั่ง ก่อนที่เธอคนนั้นจะยิ้มเย้ยฉัน แล้วเอามือเลื่อนลงต่ำลูบเป้ากางเกงของพี่ลีวายหัวใจของฉันมันรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขีดสุด หากเราสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันคงไม่เจ็บขนาดนี้ ทั้งการกระทำและคำพูดนั้น หากต้องนั่งอยู่ตรงนี้ฉันอาจจะร้องไห้ออกมาผ่านไปเกือบสิบนาทีที่ฉันนั่งก้มหน้าก้มตาและพี่ลีวายก็นัวเนียกับผู้หญิง ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ พี่ลีวาย เธอทั้งพูดประจบเอาใจสารพัดฉันได้แต่กำมือแน่นจนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พยายามข่มใจไม่ให้ตัวเองร้องไห้ทั้งที่มันทั้งเจ็บและจุกไปทั้งอก“มึงจะให้น้องมาดูตัวเองทำแบบนี้เนี่ยนะ” พี่คัลเลนถามพี่ลีวาย“เกี่ยวอะไรกับมึง” ฉันเหลือบตามองคนตรงหน้า ซึ่งพี่ลีวายก็มองอยู่เหมือนกัน“มึงแม่งโคตรบ้าเลยว่ะ”“แล้วยังไง”พี่คัลเลนถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับฉัน“อยากออกไปจากตรงนี้ไหม?”“เอ่อ… อยาก…”“มึงยุ่งอะไรด้วย” ยังพูดไม่จบพี่ลีวายก็รีบขัดจังหวะ ก่อนจะแสดงสีหน้าไม่พอใจ ไม่รู้ทำไมแค่พี่คัลเลนชวนฉันคุยแค่นี้เองไม่เห็นจะต้องทำหน้าแบบนั
พี่ลีวายโน้มใบหน้าลงมาใกล้กว่าเดิมแล้วถามย้ำ “รีบตอบมาสิ ฉันอุตส่าห์ใจดีให้เธอเลือก”“มิลินไม่อยากทำแบบนั้นแล้วค่ะ”“มั่นใจ?”“…” ทั้งที่ตอบไปแล้วแต่พอถูกถามย้ำอีกครั้งฉันก็ยังลังเลเหมือนเดิม “ให้โอกาสตอบอีกครั้ง”“พี่ลีวายต้องการให้มิลินตอบว่าอะไรคะ”“เธอคงไม่อยากให้ฉันไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น” พี่ลีวายบอกอย่างมั่นใจเพราะเขารู้ความรู้สึกของฉัน และก็ใช่อย่างที่ว่ามา ฉันไม่ต้องการให้พี่ลีวายไปทำอะไรกับใคร“แล้วพี่ลีวายอยากทำกับมิลินหรือผู้หญิงพวกนั้นเหรอคะ” คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับ ทำให้พี่ลีวายยิ้มมุมปาก เหมือนเขาจะชอบใจไม่น้อยที่กล้าถามออกไปแบบนี้“ถ้าฉันอยากทำกับเธอ… แล้วเธอจะพร้อมอ้าขาให้หรือเปล่า?” เขามันเจ้าเล่ห์ต่อให้ฉันตั้งคำถามกลับยังไงก็แพ้พี่ลีวายอยู่ดี“มิลินเคยมีค่าในสายตาของพี่ลีวายบ้างไหมคะ”“ถ้าอยากมีค่าก็ทำตามที่ฉันสั่งสิ”“…”“อ้าขาออก”ฉันเม้มปากแน่นไม่ยอมทำตามคำสั่ง พี่ลีวายใช้สายตาคมมองสำรวจเรือนร่างของฉันอย่างพิจารณา ก่อนจะกดริมฝีปากมาบดขยี้ริมฝีปากของฉันอย่างรุนแรงจนรู้สึกปวดหนึบ“อื้อ” ฉันส่งเสียงประท้วงในลำคอพยายามใช้กำปั้นเล็ก ๆ ทุบบนแผงอกแกร่ง แต่
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาที่ผ่านมาฉันไม่ได้ไปช่วยงานพี่ลีวายแล้วเพราะอ้างกับคุณท่านว่าเรียนหนัก แต่ความจริงคือฉันพยายามหลบหน้าเขา ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอแต่เพราะความใจร้ายของพี่ลีวายทำให้ฉันอยากถอยห่าง… แต่ความรู้สึกที่มีมันยังไม่ยอมลดลงวันนี้คุณท่านต้องไปต่างประเทศแล้วและฉันรู้ดีว่าต้องเจอกับพี่ลีวายอย่างเลี่ยงไม่ได้“ไปอยู่ที่นู้นอย่าลืมโทรมาหาหนูบ้างนะคะ ครั้งนี้คุณท่านไปนานมาก ๆ หนูคงคิดถึงแย่” คุณท่านยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของฉันเบา ๆ อย่างเอ็นดู“สายแล้วลูกชายตัวดีของฉันยังไม่โผล่หัวมาอีกรึไง นี่ถ้ามันรู้ว่าฉันกำลังจะตายมันจะเสียใจบ้างไหม”“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ”“เฮ้อ! ชอบทำให้หนักใจอยู่เรื่อยอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว”ฉันได้แต่ฟังคุณท่านบ่นพี่ลีวายอยู่อย่างนั่นพักใหญ่ ในใจภาวนาขอให้เขาไม่มา แต่ทว่าสิ่งที่ฉันภาวนามันไม่เป็นผลเมื่อเห็นพี่ลีวายเดินผ่านประตูบ้านเข้ามา“ทำไมถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้” พอเห็นหน้าลูกชายคุณท่านก็เค้นถามเสียงเข้มทันที“แค่พ่อจะไปต่างประเทศจะให้ผมมาทำไมครับ” พี่ลีวายถามคุณท่านแต่สายตากลับมองฉัน พอได้สบตากันฉันก็รีบก้มหน้าหลบความอำมหิต“ฉันมีเรื่องต้องสั่งแกไว้ก่อนไป”“เรื