ไม่เข้าใจว่าพี่ลีวายกำลังคิดอะไรอยู่ทั้งที่เพิ่งไล่ฉันไปให้พ้นหน้าแต่พอจะไปกลับบอกให้อยู่ หรือเป็นเพราะได้ยินที่ฉันคุยกับแทน ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าคิดว่าเขาทำไปเพราะหึงหวง ฉันไม่กล้าหวังหรอก…“รีบจัดการซะ ฉันกลับมาทุกอย่างต้องเรียบร้อย”“ตะ… แต่มิลินนัดกับแทนไว้แล้วนะคะ”“แล้วยังไง?” พี่ลีวายเดินออกไปจากห้องโดยที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้“…” ฉันถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บพวกเอกสารบนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็โทรไปเลื่อนนัดแทนแทนตัดพ้อกับฉันจนแอบรู้สึกผิดไม่น้อยเพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วฉันเปิดเอกสารทีละหน้าและอ่านมันอย่างละเอียด แต่ด้วยความที่ไม่เคยทำงานบริษัทเลยจึงไม่เข้าใจหลายจุด คิดว่าถามพี่ลีวาย เขาก็คงไม่ยอมบอกหลายชั่วโมงผ่านไปตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มฉันอ่านเอกสารจนครบหมดแล้ว และรอพี่ลีวายกลับมา แต่ไร้วี่แววตั้งแต่เขาออกไปจากห้องก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยแกร็ก! ขณะที่กำลังเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา ฉันรีบหอบเอกสารกองโตลุกขึ้นยืนทันที“พี่ลีวายคะมิลินอ่าน…”“บริษัทปิดแล้วนะทำไมหนูถึงยังอยู่ที่นี่” นั่นไม่ใช่เสียงของพี่ลีวายแต่เป็นเสียงของลุงยามที่ดูแลความปลอดภัยบ
พอได้ยินคำพูดของพี่ลีวายทำให้แทนขมวดคิ้วอย่างสงสัยทันที“หมั้นเหรอครับ?” คำถามของแทนทำให้ฉันนิ่งไป พร้อมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง“ตอบมันไปสิว่าเธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของฉัน”“ว่าที่คู่หมั้น?” แทนทวนคำพูดของพี่ลีวายอีกครั้ง ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งพี่ลีวายเดินมาใกล้ ๆ แทนก่อนจะเหลือบตามองฉันแล้วถาม “เธอไม่ได้บอกเหรอ?”“…” ฉันไม่ตอบอะไรทั้งนั้นได้แต่นิ่งและเงียบเมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมตอบพี่ลีวายก็เปลี่ยนมามองแทน แล้วถาม “อยากหมั้นกับเธอแทนฉันไหมล่ะ เอาสิ! ฉันยกให้”มันจุกแน่นไปทั้งอกกับคำพูดที่พี่ลีวายเพิ่งพ่นออกมา เห็นฉันเป็นสิ่งของหรือไงถึงคิดจะยกให้ใครก็ได้แบบนี้ รู้ว่าเขาไม่เคยแคร์ความรู้สึกฉันเลยเวลาพูดคำเหล่านั้น แต่ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า“ถ้าผมตอบว่าอยากได้… ก็จะยกให้เลยอย่างนั้นใช่ไหมครับ?” เหมือนแทนจะจริงจังซะด้วย เขาจ้องหน้าพี่ลีวายอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด“ได้! ก็แค่ของเหลือจากฉัน… อยากได้ก็เอาไป”“หมายความว่ายังไงครับพี่มิลิน”“… ไม่มีอะไรหรอกแทนกลับไปก่อนนะพี่ขอ”“บอกมันไปสิว่าเธอกับฉันเอา…”“พี่ลีวาย!! หยุดได้แล้วค่ะ” ครั้งแรกที่ฉันขึ้นเสียงใส่พี่ลีว
“คนนี้ใครเหรอคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ พี่ลีวายถามขึ้นมา“เธอควรสนใจฉันไม่ใช่คนอื่น” พี่ลีวายออกคำสั่ง ก่อนที่เธอคนนั้นจะยิ้มเย้ยฉัน แล้วเอามือเลื่อนลงต่ำลูบเป้ากางเกงของพี่ลีวายหัวใจของฉันมันรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขีดสุด หากเราสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันคงไม่เจ็บขนาดนี้ ทั้งการกระทำและคำพูดนั้น หากต้องนั่งอยู่ตรงนี้ฉันอาจจะร้องไห้ออกมาผ่านไปเกือบสิบนาทีที่ฉันนั่งก้มหน้าก้มตาและพี่ลีวายก็นัวเนียกับผู้หญิง ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ พี่ลีวาย เธอทั้งพูดประจบเอาใจสารพัดฉันได้แต่กำมือแน่นจนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พยายามข่มใจไม่ให้ตัวเองร้องไห้ทั้งที่มันทั้งเจ็บและจุกไปทั้งอก“มึงจะให้น้องมาดูตัวเองทำแบบนี้เนี่ยนะ” พี่คัลเลนถามพี่ลีวาย“เกี่ยวอะไรกับมึง” ฉันเหลือบตามองคนตรงหน้า ซึ่งพี่ลีวายก็มองอยู่เหมือนกัน“มึงแม่งโคตรบ้าเลยว่ะ”“แล้วยังไง”พี่คัลเลนถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับฉัน“อยากออกไปจากตรงนี้ไหม?”“เอ่อ… อยาก…”“มึงยุ่งอะไรด้วย” ยังพูดไม่จบพี่ลีวายก็รีบขัดจังหวะ ก่อนจะแสดงสีหน้าไม่พอใจ ไม่รู้ทำไมแค่พี่คัลเลนชวนฉันคุยแค่นี้เองไม่เห็นจะต้องทำหน้าแบบนั
พี่ลีวายโน้มใบหน้าลงมาใกล้กว่าเดิมแล้วถามย้ำ “รีบตอบมาสิ ฉันอุตส่าห์ใจดีให้เธอเลือก”“มิลินไม่อยากทำแบบนั้นแล้วค่ะ”“มั่นใจ?”“…” ทั้งที่ตอบไปแล้วแต่พอถูกถามย้ำอีกครั้งฉันก็ยังลังเลเหมือนเดิม “ให้โอกาสตอบอีกครั้ง”“พี่ลีวายต้องการให้มิลินตอบว่าอะไรคะ”“เธอคงไม่อยากให้ฉันไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น” พี่ลีวายบอกอย่างมั่นใจเพราะเขารู้ความรู้สึกของฉัน และก็ใช่อย่างที่ว่ามา ฉันไม่ต้องการให้พี่ลีวายไปทำอะไรกับใคร“แล้วพี่ลีวายอยากทำกับมิลินหรือผู้หญิงพวกนั้นเหรอคะ” คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับ ทำให้พี่ลีวายยิ้มมุมปาก เหมือนเขาจะชอบใจไม่น้อยที่กล้าถามออกไปแบบนี้“ถ้าฉันอยากทำกับเธอ… แล้วเธอจะพร้อมอ้าขาให้หรือเปล่า?” เขามันเจ้าเล่ห์ต่อให้ฉันตั้งคำถามกลับยังไงก็แพ้พี่ลีวายอยู่ดี“มิลินเคยมีค่าในสายตาของพี่ลีวายบ้างไหมคะ”“ถ้าอยากมีค่าก็ทำตามที่ฉันสั่งสิ”“…”“อ้าขาออก”ฉันเม้มปากแน่นไม่ยอมทำตามคำสั่ง พี่ลีวายใช้สายตาคมมองสำรวจเรือนร่างของฉันอย่างพิจารณา ก่อนจะกดริมฝีปากมาบดขยี้ริมฝีปากของฉันอย่างรุนแรงจนรู้สึกปวดหนึบ“อื้อ” ฉันส่งเสียงประท้วงในลำคอพยายามใช้กำปั้นเล็ก ๆ ทุบบนแผงอกแกร่ง แต่
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาที่ผ่านมาฉันไม่ได้ไปช่วยงานพี่ลีวายแล้วเพราะอ้างกับคุณท่านว่าเรียนหนัก แต่ความจริงคือฉันพยายามหลบหน้าเขา ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอแต่เพราะความใจร้ายของพี่ลีวายทำให้ฉันอยากถอยห่าง… แต่ความรู้สึกที่มีมันยังไม่ยอมลดลงวันนี้คุณท่านต้องไปต่างประเทศแล้วและฉันรู้ดีว่าต้องเจอกับพี่ลีวายอย่างเลี่ยงไม่ได้“ไปอยู่ที่นู้นอย่าลืมโทรมาหาหนูบ้างนะคะ ครั้งนี้คุณท่านไปนานมาก ๆ หนูคงคิดถึงแย่” คุณท่านยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของฉันเบา ๆ อย่างเอ็นดู“สายแล้วลูกชายตัวดีของฉันยังไม่โผล่หัวมาอีกรึไง นี่ถ้ามันรู้ว่าฉันกำลังจะตายมันจะเสียใจบ้างไหม”“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ”“เฮ้อ! ชอบทำให้หนักใจอยู่เรื่อยอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว”ฉันได้แต่ฟังคุณท่านบ่นพี่ลีวายอยู่อย่างนั่นพักใหญ่ ในใจภาวนาขอให้เขาไม่มา แต่ทว่าสิ่งที่ฉันภาวนามันไม่เป็นผลเมื่อเห็นพี่ลีวายเดินผ่านประตูบ้านเข้ามา“ทำไมถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้” พอเห็นหน้าลูกชายคุณท่านก็เค้นถามเสียงเข้มทันที“แค่พ่อจะไปต่างประเทศจะให้ผมมาทำไมครับ” พี่ลีวายถามคุณท่านแต่สายตากลับมองฉัน พอได้สบตากันฉันก็รีบก้มหน้าหลบความอำมหิต“ฉันมีเรื่องต้องสั่งแกไว้ก่อนไป”“เรื
แววตาคู่นั้นของพี่ลีวายมันไร้ความอ่อนโยน เขาไม่เคยมองฉันแบบนั้นเลยสักครั้ง… ไม่เคยเลย ทำไมกันนะความรักของฉันมันถึงเจ็บปวดมากขนาดนี้ฉันมองแววตาคู่นั้นของพี่ลีวายก่อนจะบอก “ที่มิลินไม่ยอมไปเพราะคุณท่าน”“เพราะพ่อฉันเกี่ยวอะไร?”“บ้านหลังนี้เป็นของคุณท่านถ้าท่านไล่มิลินก็จะไป”“ไม่นานบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นของฉัน”“ให้ถึงวันนั้นก่อนนะคะ”พี่ลีวายพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะรวบมือของฉันขึ้นมาขึงตรึงไว้เหนือศีรษะแล้วบีบแขนฉันแน่น จากนั้นก็ตวาดถาม “หรือว่าเธอคิดว่าควบทั้งพ่อทั้งลูก”“คิดอะไรบ้า ๆ แบบนั้นได้ยังไงคะ” เหลือจะเชื่อเลยจริง ๆ ที่พี่ลีวายคิดเรื่องแบบนั้นได้ลงคอทั้งที่คุณท่านเป็นผู้มีพระคุณของฉัน“ทำไมจะคิดไม่ได้”“พี่ลีวายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ปล่อยมิลินนะ!!”ครั้งนี้ฉันดิ้นอย่างแรง เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากตรงนี้ โดยที่พี่ลีวายก็ปล่อยให้ฉันดิ้นเขาเพียงแค่มองดู ไม่นานแรงของฉันก็ค่อย ๆ หมดลง ก่อนจะเหนื่อยหอบเพราะดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด“อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าเธออยากจะได้พ่อฉันเป็นผัวอีกคน” พี่ลีวายบีบแขนฉันแรงขึ้นพร้อมจ้องเขม็ง ก่อนจะพูดต่อ “เพราะเธอต้องมีฉันเป็นผัวแค่คนเดียว” “…” เสียง
“อื้อ!” ฉันพยายามดิ้นขัดขืน แต่ก็ไม่อาจสู้แรงที่มีมากของพี่ลีวายได้ กำปั้นเล็กรัวทุบเข้าที่แผงอกอย่างเต็มแรงแทนที่พี่ลีวายจะยอมหยุด แต่เขากลับใช้ฟันคมกัดริมฝีปากฉันราวกับต้องการลงโทษ ทั้งยังใช้สองมือประคองศีรษะเพื่อบดเบียดริมฝีปากเข้ามาให้แนบชิดกว่าเดิม จนตอนนี้ฉันแทบจะไม่มีอากาศได้หายใจ“โอ๊ย! จะทุบอะไรนักหนาวะ!!” ร่างสูงตวาดถามเสียงดัง แววตาเกรี้ยวกราดจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“มะ... มิลินขอตัวก่อนนะคะ” ขืนยังอยู่ตรงนี้ทุกอย่างมันคงไม่จบแค่ที่จูบอารมณ์พี่ลีวายฉุนเฉียวเอามาก ๆ ด้วย ฉันยังไม่อยากเจ็บตัว เพราะลำพังแค่เจ็บใจก็แทบจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว“คิดว่าเธอจะได้ก้าวขาออกจากห้องนี้ไปง่าย ๆ เหรอ?”“มะ... หมายความว่าไงคะ”“ก็หมายความว่าเธอต้องอยู่ให้ฉันเอาก่อนไง!”“กรี๊ดดด! ปล่อยมิลินนะคะพี่ลีวาย”จู่ ๆ พี่ลีวายก็อุ้มฉันขึ้นในท่าเจ้าสาว จากนั้นก็พาเดินไปที่เตียงตุ้บ!“โอ๊ย~” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อถูกโยนลงบนฟูกอย่างแรงจนรู้สึกจุกสายตาพร่ามัวจ้องมองพี่ลีวายที่กำลังปลดกระดุมเสื้อออกในตอนนั้นฉันแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเพราะรู้สึกเจ็บ ทว่าก็ไม่อาจปล่อยให้เขาทำเรื่องแบบนั้นได้พรึ่บ!
#ห้องของฉันกลับมาที่ห้องของตัวเองฉันก็เอาแต่ร้องไห้ ร่างกายมันบอบช้ำมีแต่รอยเต็มไปหมด นี่คุณท่านไปยังไม่ถึงวันฉันยังเป็นขนาดนี้ ถ้าเวลาต้องผ่านไปเป็นเดือน ๆ จะเป็นยังไง ถึงมหาวิทยาลัยจะใกล้ปิดเทอมแล้ว แต่มันก็เหลือเวลาอีกตั้งสองเดือน สำหรับฉันในตอนนี้มันเป็นเวลานานเอามาก ๆบอกตามตรงว่าฉันไม่มีความสุขเลยที่มีอะไรกับคนที่ตัวเองชอบอย่างพี่ลีวาย มันเป็นความรู้สึกที่แสนจะทรมาน เพราะรู้ดีว่าต้องแลกด้วยร่างกายอีกกี่ครั้งก็ไม่มีวันได้หัวใจของเขา“แม่จ๋ามิลินคิดถึงแม่จัง… อึก~”“พามิลินไปอยู่ด้วยได้ไหม ตอนนี้ อึก~ มันทรมานมากจริง ๆ”ฉันร้องไห้เอาแต่พูดถึงแม่ด้วยน้ำเสียงสะอื้น ไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องเจ็บมากขนาดไหนถึงจะยอมตัดใจถอยห่าง ถามหัวใจตัวเองตอนนี้มันก็ยังมีแต่พี่ลีวายทั้งใจ… หรือว่าฉันควรลองเปิดใจให้ใครสักคนดูเผื่อจะทำให้ความรู้สึกที่มีให้พี่ลีวายมันลดน้อยลง#วันต่อมาฉันรีบตื่นเช้าออกมามหาวิทยาลัยทั้งที่ตัวเองมีเรียนสิบโมงเช้า เหตุผลที่รีบออกมาจากบ้านก็เพราะกลัวว่าจะเจอกับพี่ลีวาย ไม่รู้เขาจะทำอะไรหากเจอฉัน คนแบบนั้นเดาใจยาก แต่ที่แน่ ๆ พี่ลีวายไม่เคยใจดีกับฉันเลย“มาเช้าจังเลยครับ