ปกติคุณท่านเป็นคนมีเหตุแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอม
ฟังอะไรเลย ถึงจะชอบพี่ลีวายมากขนาดไหนแต่การที่ถูกเข้าใจผิด แถมยังจะได้หมั้นกันแบบนี้มันไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีเลยสักนิดหลังจากออกมาจากห้องทำงานของคุณท่านพี่ลีวายก็ขับรถออกไปจากบ้านด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด ฉันเองรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่ได้ช่วยพูดอะไรเลย
คืนนี้ทั้งคืนฉันพยายามข่มตานอนแต่ทำไม่ได้ หัวใจมัน
กระวนกระวายคิดถึงแต่เรื่องที่คุณท่านบอกให้พี่ลีวายหมั้นกับฉัน สมองมันจินตนาการไปต่าง ๆ นานาถ้าเกิดว่าหมั้นกับเขาจริง ๆ ฉันต้องทุกข์ใจมากแน่ ๆ เพราะ
พี่ลีวายไม่ได้รักฉันเลย แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ ชีวิตของฉันต่อจากนี้ จะเป็นยังไงกันนะ…@หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
ตั้งแต่วันนั้นพี่ลีวายก็ไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย คุณท่านโทรหา
เขาก็ไม่รับ ที่คอนโดก็ไม่อยู่ทำให้ฉันทุกข์ใจเป็นอย่างมาก“ติดต่อลูกชายตัวดีของฉันได้บ้างหรือเปล่า” คุณท่านถามขณะที่ฉันยื่นยาพร้อมแก้วน้ำให้
“ไม่เลยค่ะ”
“หึ! ไอ้ลูกไม่รักดี แค่ก ๆๆ” คุณท่านไอพร้อมกุมหัวใจของตัวเองเอาไว้ทำให้ฉันตกใจมาก ๆ
“อย่าโมโหไปเลยค่ะ เดี๋ยวอาการป่วยจะกำเริบอีกนะคะ” คุณท่านป่วยเป็นโรคหัวใจ เรื่องนี้พี่ลีวายยังไม่รู้เพราะคุณท่านสั่งห้ามไม่ให้บอก ที่ต้องไปต่างประเทศบ่อย ๆ ก็เพราะไปรักษาตัว ไม่ได้ไปดูงานอย่างที่พี่ลีวายเข้าใจ
“ฉันไม่คิดว่ามันจะไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้”
“คุณท่าน… วันนั้นพี่ลีวายไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ” ฉันบอกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
คุณท่านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอก “ฉันรู้”
ฉันขมวดคิ้วอย่างงุนงงแล้วถาม “อะ... อ้าว รู้แล้วทำไมถึง…”
“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรไป… ฉันอยากเห็นลูกชายของตัวเองรักและเอ็นดูหนูเหมือนกับฉัน”
“ยะ... อย่าพูดแบบนั้นสิคะ... คุณท่านแข็งแรงขนาดนี้ต้องอยู่
กับหนูไปอีกนานเลยค่ะ”“ฉันรู้ว่าหนูคิดยังไงกับตาลีวาย เชื่อสิว่าสักวันมันจะต้องหลงในความน่ารักน่าเอ็นดูของหนูแบบฉัน”
ฉันก้มหน้าลงหัวใจเต้นรัวเมื่อความรู้สึกที่ถูกเก็บเอาไว้มานานถูกคุณท่านรับรู้
“ถ้าฉันเป็นอะไรไป… ฝากหนูดูแลตาลีวายแทนฉันหน่อย
ได้ไหม”“…”
“ฉันมันคงเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนมาก ๆ ลูกชายถึงเอาแต่ขัดคำสั่งทุกครั้ง”
“หนูบอกแล้วไงคะว่าคุณท่านแข็งแรง อย่าพูดแบบนั้นอีกนะคะหนูใจไม่ดีเลย”
“ฉันรู้ตัวเองดี”
“เราไม่สามารถบังคับใครได้ ระ... เรื่องความรู้สึก คนไม่ชอบ
จะบังคับให้มาชอบคงไม่ได้ หนูไม่ได้หวังอะไรที่มันเกินเอื้อมหรอกค่ะ เรื่องหมั้นอย่าให้มันเกิดขึ้นเลยนะคะ…”“ไม่ได้! ฉันตัดสินใจไปแล้วและฉันเชื่อว่าหนูทำให้ลูกชายที่หัวรั้นของฉันเป็นคนที่ดีขึ้นได้”
“หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“อืม ฉันอยากจะพักผ่อนแล้ว” คุณท่านบอกตัดบทสนทนา ทำให้ฉันไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้อีก
พอออกมาจากห้องของคุณท่านฉันก็เดินมาปลูกต้นไม้ที่สวน จริง ๆ มันไม่ใช่หน้าที่ แต่ว่าคุณลงคนสวนหยุดงานวันนี้พอดีก็เลย
อยากช่วยทำ“ดูเธออารมณ์ดีจังนะ”
เฮือก!! เสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้ฉันที่ได้ยินสะดุ้งโหยง
ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินมาหยุดตรงหน้า“ดีใจที่จะได้หมั้นกับฉัน?”
“ปะ... เปล่านะคะ”
“อยากรู้จริง ๆ ว่าเธอไปหลอกล่อพ่อฉันด้วยวิธีไหน”
“มิลินไม่ได้หลอกล่ออะไรคุณท่านเลยนะคะ”
“ฉันไม่เชื่อ!!”
หมับ!! พี่ลีวายกระชากแขนของฉันให้ลุกขึ้น แรงกระชาก
ที่รุนแรงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนแขนมันได้หลุดออกไปแล้วอย่างไงอย่างนั้น“มะ... มิลินเจ็บนะคะ”
“อย่าคิดว่าฉันจะยอมหมั้นกับเธอ ไม่มีวัน!!”
ฉันมองพี่ลีวายด้วนหัวใจที่เจ็บปวด เขาหายไปเป็นอาทิตย์
แต่กลับมาเพราะจะพูดเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ“พี่ลีวายไม่ได้ทำก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้นค่ะ”
“ต่อให้ฉันทำอะไรกับผู้หญิงอย่างเธอ… ฉันก็ไม่คิด
จะรับผิดชอบ!!”“…” จุก! น้ำตามันไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ทั้งที่ฉันไม่อยาก
จะร้องไห้ให้เขาเห็นเลยฉันรู้ว่าพี่ลีวายเกลียดตัวเองมาตลอด… แต่เพิ่งรู้ว่าเขาเกลียดฉันมากขนาดไหนก็วันนี้
“รีบไปคุยกับพ่อเรื่องหมั้น อย่าทำให้ฉันเกลียดเธอไปมากกว่านี้!!”
“เกลียดมิลินมากเลยเหรอคะ” ฉันกำมือแน่นถามเสียงสั่นเครือ
“ใช่! ฉันเกลียดเธอ”
ฉันที่อ่อนแอมาตลอด แต่จู่ ๆ ความเจ็บปวดมันกลับบอกให้
สู้เขาดูสักตั้ง ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มแบบลวก ๆ แล้วถาม คนตรงหน้า“แล้วถ้าต้องหมั้นกับคนที่เกลียดมากขนาดนี้… จะเป็น
ยังไงนะ… มิลินอยากรู้จัง”พี่ลีวายขมวดคิ้วกับคำพูดของฉันก่อนจะกระชากตัวฉันอย่างแรงจนเซมาจนกับอกแกร่ง“พูดว่าไงนะ”“ปล่อยค่ะ”“ฉันถามว่าเมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร!!” เสียงตวาดของพี่ลีวายดังลั่นไปทั่วสวน“มิลินจะไปบอกคุณท่านว่าวันนั้นพี่ลีวายพยายามจะขืนใจ…โอ้ย!!” ฉันร้องออกมาเสียงหลงเพราะถูกพี่ลีวายบีบแขนแรงมาก ๆ รู้สึกเจ็บเหมือนกระดูกมันร้าวไปหมด“พูดบ้าอะไรของเธอฮะ!!”“ปล่อยนะมิลินเจ็บ”“มานี่!!”พี่ลีวายฉุดกระชากฉันให้ตามตัวเองมาที่รถ ก่อนจะเปิดประตูแล้วจับตัวของฉันยัดเข้าไปด้านใน“อื้อปล่อย จะพามิลินไปไหนคะ”“หุบปาก!!” เขาตะคอกบอกเสียงแข็งก่อนจะเดินอ้อมไปทางฝั่งคนขับ จากนั้นก็ขับรถออกไปจากบ้านด้วยความเร็ว“ปะ... ไปไหนคะ”“พี่ลีวายจอดรถนะ”“มิลินบอกให้จอดไง”ต่อให้ฉันพูดอะไรพี่ลีวายก็ไม่ตอบกลับ ไม่มีแต่จะหันมามอง เขาขับรถด้วยความเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยหกสิบและหักพวงมาลัยปาดซ้ายปาดขวาแซงขึ้นอย่างน่าหวาดเสียวจนฉันต้องหลับตาปี๋พร้อมหัวใจดวงน้อยที่เต้นรัวเพราะความกลัวพี่ลีวายหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามาในคอนโดของตัวเอง ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจว่าเขาพาฉันมาที่นี่ทำไม หลังจากรถจอดสนิทเขาก็ลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูทางฝั่งที่ฉันนั่
ร่างกายของฉันเริ่มสั่นเพราะความกลัว เหมือนว่าการพูดออกไปแบบนั้นจะเป็นความคิดที่ผิด“มะ… มิลินไม่ได้ต้องการแบบที่พี่ลีวายคิด”“ถ้าไม่ต้องการแล้วจะบอกพ่อว่าฉันขืนใจเธอทำไมฮะ!!”“…”“ฉันกำลังจะทำตามที่เธอพูด… ไม่ดีใจหรือไง”“มะ… ไม่ค่ะ”“ตอนเล่าให้พ่อฉันฟังก็อย่าลืมบอกว่าเราทำท่าไหนกันบ้าง…”“ปะ… เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ”พรึบ!! เสื้อเชิดที่อยู่บนตัวของพี่ลีวายตอนนี้ถูกเขาถอดออกแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนที่มือหนาจะปลดเข็มขัดกางเกงต่อ“ไม่ถอด?”“…” ฉันกัดริมฝีปากแน่นครั้งนี้แววตาของพี่ลีวายมันจริงจังไม่ใช่ว่าแค่ทำขู่ ซึ่งฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้ แต่ก็ไม่ต้องการออกไปจากชีวิตเขาเหมือนกัน“อยากให้ฉันเป็นคนถอดให้สินะ”ทำไมฉันถึงยังนั่งอยู่ทั้งที่รู้สึกกลัวขนาดนี้ ทำไมฉันไม่รีบวิ่งหนีออกไปจากห้อง…“ทะ... ทำอะไรคะ พะ... พี่ลีวายอย่านะ” ฉันร้องออกเสียงหลงเมื่อพี่ลีวายใช้เข็มขัดที่ปลดออกมามัดมือของฉันเอาไว้“ฉันไม่เคยคิดจะทำเรื่องต่ำ ๆ แบบนี้กับเธอเลยสักนิด” เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะผลักฉันนอนราบบนโซฟา แล้วขึ้นมาคร่อมรวบแขนฉันขึงตึงไว้เหนือศีรษะก่อนจะพูดต่อ “เธอเป็นคนเสนอความต้องการให้ฉันเอง… จำไว้!
พี่ลีวายกระชากเสื้อที่ขาดลุ่ยของฉันออกจากตัว ก่อนจะพยายามถอดกางเกง ฉันพยายามหนีบขาเอาไว้แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงผู้ชายที่ตัวโตกว่าได้น้ำตามันไหลอาบแก้มเมื่อถูกผู้ชายที่ตัวเองรักกระทำเรื่องน่าอายแบบนี้ แต่ทำไมร่างกายกลับไม่ต่อต้าน มันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว… ถ้าฉันเป็นของพี่ลีวายแล้วบางครั้งความรู้สึกที่เกลียดชังอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น…“จะร้องไห้ทำไม เธอควรจะดีใจมากกว่านะที่ทำสำเร็จ”“มะ… มิลินไม่ได้ต้องการ… อึก~”“ถ้าต้องหมั้นกับผู้หญิงอย่างเธอ… ฉันจะย่ำยีไม่ให้เหลือชิ้นดี”“…”“ยังต้องการแบบนั้นอยู่ไหม?”“… มิลิน… อึก”“ไม่ต้องบีบน้ำตา คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ”“พะ… พูดเรื่องอะไรคะ… อึก~”“เลิกทำตัวใสซื่อต่อหน้าฉันได้แล้ว”“อึก~”ฉันไม่เข้าใจว่าพี่ลีวายกำลังพูดเรื่องอะไรและในตอนนี้ร่างกายของฉันที่ไร้เสื้อผ้าปกคลุมก็ได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าเขาแล้ว“หึ!! ไม่คิดว่าพอแก้ผ้าแล้วผู้หญิงแบบเธอจะทำให้ฉันมีอารมณ์ได้”พี่ลีวายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สายตาอำมหิตจ้องมองฉันที่ถูกมัดมือนอนตัวสั่นเทาพร้อมกับถอดกางเกงออกจากท่อนขา ฉันรีบหันหน
ฉันมองเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกพี่ลีวายกระชากจนขาดกองอยู่บนพื้น ไม่มีเสื้อผ้าใส่แบบนี้แล้วจะกลับได้ยังไงให้ออกไปทั้งแบบนี้ก็ไม่ได้“อ่าเจ็บจัง~” แค่ขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บตรงนั้น มันคงฉีกขาดอย่างที่คิดจริง ๆ ถึงได้มีเลือดออกมา“อึก~” ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อฉันทำได้เพียงร้องไห้สะอื้นอีกครั้งให้กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกริ่ง~ เสียงโทรศัพท์ของฉันดัง ก่อนจะเห็นว่าเป็นคุณท่านที่โทรมา ถึงไม่อยากรับสายแต่ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้เพราะไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง เพราะฉันหายออกมาจากบ้านดื้อ ๆ“ฮัลโหลค่ะ” ฉันเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแล้วทำเสียงให้ปกติที่สุดเพื่อไม่ให้คุณท่านสงสัย(ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน)“เอ่อคือ… หนูออกมาหาเพื่อนน่ะค่ะ… ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้แจ้งให้คุณท่านทราบก่อน”(ได้ยินแบบนี้ฉันก็โล่งใจ)คุณท่านวางสายไป ที่โทรมาถามเพราะท่านคงจะเป็นห่วงฉันจริง ๆ และฉันเองก็รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแบบนั้นพรึบ!! ผ้าขนหนูผืนใหญ่ถูกโยนมากระแทกหน้าฉันอย่างแรง“คลุมตัวไว้ซะเห็นแล้วมันทุเรศตา”“…” ฉันมองหน้าพี่ลีวาย เขาทำเหมือนเมื่อกี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราเลย“เธอหยิบเสื้อผ้าในตู้ใส่ไปก่
วันต่อมาฉันตื่นมาด้วยอาการที่ปวดระบมไปทั้งตัวแค่นั้นไม่พอยังปวดหัวราวกับจะระเบิด คงเป็นเพราะตากฝนเมื่อวานอยากลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยแต่ทำไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแถมยังเจ็บที่ตรงกลางระหว่างขาเอามาก ๆสมองของฉันมันคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อยากให้เป็นเพียงความฝันที่ความเจ็บปวดมันตอกย้ำว่าทุกอย่างได้เกิดขึ้นจริง ๆสำหรับฉันพี่ลีวายคือคนแรกสำหรับทุก ๆ อย่าง ถึงแม้ว่าเขาจะใจร้ายสักแค่ไหน… ฉันก็เกลียดเขาไม่ลงฉันพยายามหอบสังขารของตัวเองลุกขึ้นจากเตียงมาหายากิน โชคดีที่มียาอยู่ในห้องไม่ต้องเดินไปเอาที่บ้านใหญ่หลังจากกินยาแล้วฉันก็นอนพักเผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะดีขึ้น@วันต่อมาไม่คิดว่ากินยาไปแค่สองเม็ดจะทำให้ฉันหลับยาวขนาดนี้ ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเที่ยงแล้ว อาการปวดหัวปวดเนื้อตัวมันดีขึ้นมาแค่นิดหน่อยเองกริ่ง~ สายเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันควานมือหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา“ฮัลโหลค่ะ”(วันนี้ไม่มาเรียนอีกแล้วเหรอครับ)“นั่นใครพูดเหรอคะ”(ผมแทนเองครับ เสียใจนะเนี่ยที่พี่มิลินจำผมไม่ได้)“อื้อโทษทีนะแทนพี่ไม่ทันมองเบอร์น่ะ”(ไม่สบายหรือเปล่าคร
หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัว ๆ เมื่อได้ยินที่พี่ลีวายสั่งและได้มองแววตาของเขา“คิดจะเป็นเลขา… เธอต้องพร้อมรับอารมณ์ของฉันได้ทุกเวลาสิ”“พะ… พี่ลีวายทำแบบนั้น… กะ… กับเลขาทุกคนเลยเหรอคะ” ฉันกำมือแน่นขณะรอคำตอบ ทั้งที่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร“ก็… ไม่ทุกคน”สำหรับพี่ลีวายแล้วความสัมพันธ์บนเตียงชั่วข้ามคืนคงเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ และเขาไม่คิดจะผูกมัดกับใครทั้งนั้น… รวมถึงฉันด้วยเพราะฉะนั้นฉันก็ควรทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา“ปล่อยมิลินเถอะค่ะ เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า”“ใครจะกล้าเข้ามา”“ที่ไม่ยอมปล่อยเพราะพี่ลีวาย… อยากกอดมิลินไว้แบบนี้เหรอคะ” ฉันตั้งใจพูดเพื่อให้พี่ลีวายปล่อยมือและมันก็ได้ผล เขาผละตัวออกห่างราวกับรังเกียจ“ฉันไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว”พูดแล้วพี่ลีวายก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิม แถมเขายังจ้องฉันเขม็ง“ออกไป”“คุณท่านสั่งให้มิลินมาช่วยงานค่ะ”“ไม่มีงานอะไรที่เธอทำได้ ออกไปซะ!! เห็นหน้าแล้วทำให้หงุดหงิดฉิบ!!”“มิลินจะนั่งเงียบ ๆ ถ้ามีอะไรก็เรียกนะคะ” ฉันเดินมานั่งบนโซฟาตัวใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของคุณท่านคงกลับไปตั้งนานแล้ว“แค่เห็นว่าเธออยู่ในห้องมัน
ถึงแม้ว่าฉันไม่อยากให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งแต่พี่ลีวายคงไม่ยอมฟัง ไม่เพียงแค่ต้องการย่ำยีร่างกาย แต่เขาได้ย่ำยีหัวใจของฉันด้วย “พะ… พี่ลีวายหยุดนะ” ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างเมื่อกางเกงซับในพร้อมกางเกงในตัวจิ๋วหลุดติดมือพี่ลีวายออกไปด้วยต่อให้พูดอะไรคนตรงหน้าก็ไม่ยอมฟัง กระโปรงนักศึกษาถูกถกขึ้นมากองไว้บนท้องน้อยก่อนที่พี่ลีวายจะลุกขึ้นถอดเสื้อและกางเกงของตัวเองทิ้งลงพื้น“อย่าทำอีกเลยนะคะ…”“ปากบอกว่าไม่อยากทำ แต่พอฉันจับนิดจับหน่อยก็ครางออกมาซะเสียงดัง”“…”“คิดว่าไม่รู้หรือไง ว่าเธออยากจะมาให้ท่าฉัน”“ปะ… เปล่านะคะมิลินไม่ได้คิดแบบนั้น”“บอกแล้วไงว่าต่อหน้าฉันหยุดทำตัวใสซื่อ”“… มิลินจะกลับแล้ว”ฉันตั้งใจจะลุกขึ้นแต่ถูกแขนแกร่งผลักให้เอนหลังมาแนบติดกับโซฟา จากนั้นพี่ลีวายก็นั่งคุกเข่าตรงหน้าระหว่างกลางช่องขาของฉัน“ยะ... อยากให้กลับไม่ใช่เหรอคะ มะ... มิลินกำลังจะกลับนี่ไง” ฉันพูดแบบไม่มองหน้าเพราะอายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว“สมองช้ารึไง!!”“…”“ตอนนี้ฉันไม่อยากให้เธอกลับแล้วน่ะสิ”พี่ลีวายจับขาทั้งสองของฉันชันเข่าขึ้น จากนั้นเขาก็ยืดตัวสูงใช้มือกำรูดแก่นกายก่อนจะเอามาจ่อตรงปากท
ไม่เข้าใจว่าพี่ลีวายกำลังคิดอะไรอยู่ทั้งที่เพิ่งไล่ฉันไปให้พ้นหน้าแต่พอจะไปกลับบอกให้อยู่ หรือเป็นเพราะได้ยินที่ฉันคุยกับแทน ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าคิดว่าเขาทำไปเพราะหึงหวง ฉันไม่กล้าหวังหรอก…“รีบจัดการซะ ฉันกลับมาทุกอย่างต้องเรียบร้อย”“ตะ… แต่มิลินนัดกับแทนไว้แล้วนะคะ”“แล้วยังไง?” พี่ลีวายเดินออกไปจากห้องโดยที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้“…” ฉันถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเก็บพวกเอกสารบนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็โทรไปเลื่อนนัดแทนแทนตัดพ้อกับฉันจนแอบรู้สึกผิดไม่น้อยเพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วฉันเปิดเอกสารทีละหน้าและอ่านมันอย่างละเอียด แต่ด้วยความที่ไม่เคยทำงานบริษัทเลยจึงไม่เข้าใจหลายจุด คิดว่าถามพี่ลีวาย เขาก็คงไม่ยอมบอกหลายชั่วโมงผ่านไปตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มฉันอ่านเอกสารจนครบหมดแล้ว และรอพี่ลีวายกลับมา แต่ไร้วี่แววตั้งแต่เขาออกไปจากห้องก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยแกร็ก! ขณะที่กำลังเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา ฉันรีบหอบเอกสารกองโตลุกขึ้นยืนทันที“พี่ลีวายคะมิลินอ่าน…”“บริษัทปิดแล้วนะทำไมหนูถึงยังอยู่ที่นี่” นั่นไม่ใช่เสียงของพี่ลีวายแต่เป็นเสียงของลุงยามที่ดูแลความปลอดภัยบ