ตึกตัก ตึกตัก!ฉันตกใจชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวและแรงของพี่ลีวาย วูบนึงเกิดรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา แต่ฉันก็รีบตั้งสติแล้วดันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง“ถ้าอยากให้มิลินนอนที่นี่พี่ลีวายก็ไปนอนที่โซฟาค่ะ”พี่ลีวายยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ได้สิ”“ห้ามคิดทำเรื่องบ้า ๆ”“บอกแล้วไงว่าฉันเมาขนาดนี้ ทำอะไรเธอไม่ไหวหรอก”ฉันใช้สายตาเพ่งมองพี่ลีวายอย่างไม่ไว้ใจ คนแบบเขามันเชื่อไม่ได้สักอย่าง บางทีเขาอาจจะสร่างเมาไปแล้วก็ได้ ที่เห็นอยู่ตอนนี้คงเป็นแค่การแสดงถึงแม้การที่ฉันยอมนอนห้องเดียวกับพี่ลีวายมันจะดูเสี่ยงเกินไปหน่อย แต่ก็ไร้ทางเลือก เพราะคนดื้อรั้นอย่างเขาไม่มีทางยอม นิสัยที่ชอบบังคับคนอื่นฉันเจอมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้พอถึงเวลานอนฉันก็เดินไปปิดไฟแล้วกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียง ท่ามกลางความมืดสนิทและความเงียบสงบ เสียงนึงก็เอ่ยขึ้น“ฉันดีใจนะที่เธอยอมฝืนตัวเองทำแบบนี้”“…” ฉันเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำอะไร สิ่งที่เขาพูดนอกจากจะไม่ทำให้รู้สึกดีแล้ว ลึก ๆ ฉันแอบสะอิดสะเอียนด้วยซ้ำ“ฉันเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าที่อยากจะรั้งเธอไว้” น้ำเสียงของพี่ลีวายดูแผ่วลง ราวกับกำลังตัดพ้อกับตัวเ
Talk ลีวายผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้มันหลุดออกมาจากปากของมิลิน ก้อนเนื้อในอกซ้ายของผมตอนนี้มันปวดหนึบ เหมือนถูกใครมาขยุ้มมันไว้จนยับยู่ยี่“ก็ได้...” ผมก้มหน้าพูดบอกเสียงแผ่ว สองมือกำเข้าหากันแน่น “... ฉันจะพยายามไม่รบกวนเธออีก”“ไม่ใช่แค่พยายามค่ะ แต่ต้องทำให้ได้” พูดขนาดนี้แล้ว แต่มิลินก็ยังใจแข็งกับผมแบบไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนลงเลย“ฉันขอโทรหาบ้างได้ไหม?”“ไม่ได้ค่ะ”“แล้ว...”“มิลินขอกุญแจรถค่ะ” เธอพูดแทรกพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าผม หยดน้ำตามันเอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวถึงจะไม่อยากให้กลับ ถึงอยากจะกอดรั้งเอาไว้มากแค่ไหน แต่ผมก็ทำได้แค่หยิบกุญแจยื่นมันคืนให้กับเธอ“ให้ฉันไปส่งไหม สัญญาว่าจะส่งแล้วกลับ ไม่วุ่นวายอะไรเลย”“มิลินกลับเองได้ค่ะ พี่ลีวายนอนพักผ่อนเถอะ”“แต่...”“ไปนะคะ ขอบคุณสำหรับมื้อเช้า” ไม่รอให้ผมได้เอ่ยพูดอะไรอีก ร่างเล็กก็หันหลังเดินจากไปทันทีสายลมจาง ๆ พัดผ่านหน้าผมไปในตอนที่เธอเดินผ่าน ทำเอาหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตัวคนเดียวในที่มืด ทุกอย่างเงียบและนิ่ง ภายในหูได้ยินเสียงอู้อี้ ก่อนที่โลกทั้งใบจะถล่มลง
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมงที่ฉันยังคงนั่งมองประตูห้องฉุกเฉินอยู่แบบนั้นอย่างเหม่อลอย ภายในหัวมันอื้ออึงไปหมด คิดอะไรไม่ออก ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา มือไม้ยังสั่นไม่หาย ไม่รู้ว่าพี่ลีวายเป็นยังไงบ้างจนป่านนี้หมอก็ยังไม่ออกมาบอกอาการ… มันนานเกินไปหรือเปล่าเรื่องนี้ฉันไม่กล้าบอกให้คุณท่านรู้เพราะกลัวว่าถ้าบอกแล้วคุณท่านจะช็อก เอาไว้ถ้าพี่ลีวายปลอดภัยแล้วค่อยบอกก็แล้วกัน “กินอะไรหน่อยไหม” พี่คัลเลนหันมาถามฉันที่เอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมพูดจา“ไม่หิวเลยค่ะ ถ้าพี่คัลเลนหิวจะไปกินก็ได้นะคะ ตอนนี้มิลินกินอะไรไม่ลงจริง”“ถ้าลีวายรู้ว่าเธอห่วงมันขนาดนี้คงดีใจ”“ก็บอกให้เขารีบพ้นขีดอันตรายสิจะได้รู้… ว่าคนอื่นเป็นห่วงมากขนาดไหน”“ที่ผ่านมาพี่เห็นเราเอาแต่ปฏิเสธ…”“การกระทำของเขามันทำให้มิลินตัดสินใจไม่ยากหรอกนะคะ… แต่ตอนนี้มันต่างออกไป”“ยังไง”“มิลินกลัว กลัวว่าถ้าเขาเป็นอะไรไปจริง ๆ แล้ว…”“ถ้ายังไม่พร้อมอย่าเพิ่งพูดก็ได้ พี่ว่าลีวายมันคงอยากได้ยินเป็นคนแรกนะ”“… ถ้าอยากฟังมากก็แล้วทำไมหมอถึงไม่รีบออกมาบอกว่าเขาปลอดภัยแล้ว มันผ่านไปสองชั่วโมงแล้วนะพี่คัลเลน อึก!”จากที่ข่มความรู้สึกเอาไว้อยู่นานพอ
ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างคงช้ำจนบวมเปล่ง เพราะฉันร้องไห้นานหลายชั่วโมง เห็นทีว่าถ้าพี่ลีวายยังไม่ฟื้นน้ำตาก็คงไม่ยอมหยุดไหลไม่เคยจินตนาการถึงเหตุการณ์แบบนี้จึงใจแข็งอยู่ได้ แต่พอเจอเข้าจริง ๆ ฉันกลับห่วงเขาจนไม่เป็นอันทำอะไร“กลับไปอาบน้ำไหมเดี๋ยวพี่เฝ้ามันให้ก่อน”พี่คาแลนที่เงียบมองฉันร้องไห้อยู่นานเอ่ยขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รีบส่ายหน้า “มิลินอยากรอจนกว่าพี่ลีวายจะฟื้น”“มิลิน พี่ไม่อยากให้เธอแย่ไปอีกคนนะ” พี่คัลเลนแทรกขึ้นและมองฉันแบบดุ ๆ“มิลินไหวค่ะ”“กลับไปอาบน้ำเก็บเสื้อผ้า แล้วค่อยมาเฝ้ามันพี่ให้คนขับรถรออยู่ข้างล่างแล้ว”“แต่มิลิน…”“ถือว่าพี่สองคนขอได้ไหม”พอได้ยินพี่คาแลนพูดแบบจริงจังฉันก็จำเป็นต้องทำ เพราะรู้ว่าเขาเป็นห่วงจริง ๆ ถ้าดื้อด้านอยู่อาจจะโดนทั้งคู่ดุไปมากกว่านี้ ถึงแม้จะไม่อยากกลับไปเลยก็ตาม“ถ้าเขาฟื้นตอนที่มิลินกลับไป… รีบโทรมาบอกเลยนะคะ”“ไม่โกรธมันแล้วเหรอ”“โกรธค่ะ โกรธมากด้วย” ฉันมองหน้าคนที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไร หัวใจมันรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก“ถ้าโกรธแล้วจะมาเฝ้ามันทำไม”“มิลินโกรธที่พี่ลีวายเคยทำไม่ดีเอาไว้มากมาย แต่ที่ผ่านมาเขาดีขึ้น ดีขึ้นมา
ถึงจะงุนงงที่พี่คาแลนและพี่คัลเลนรีบกรูกันออกไปจากห้องราวกับมีเรื่องอะไรแต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ฉันสนใจคนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงมากกว่า“ถ้าฟื้นมาแล้วจะดีใจไหมคะ”“รีบฟื้นสิ”“มิลินมีเรื่องอยากจะพูดกับพี่ลีวายเยอะเลยนะ”พูดแค่นั้นเสียงมันก็สั่น ตอนนี้ภายในใจของฉันมันหวั่นไหวเอามาก ๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยจริง ๆเรื่องที่พี่ลีวายถูกยิงคุณท่านรู้แล้วและจะกลับไทยมาในอีกสองวันข้างหน้า ฉันตัดสินใจบอกเพราะเห็นว่าตอนนี้พี่ลีวายปลอดภัยแล้วถึงเวลาหมอมาตรวจ ฉันถูกสั่งให้ออกมารอด้านนอกถึงจะแปลกใจแต่ก็ยอมออกมาแต่โดยดี หลังจากหมอตรวจแล้วก็ออกมาบอกอาการคร่าว ๆ และมันเป็นข่าวดีมากจนฉันอดยิ้มไม่ได้หมอบอกว่าพี่ลีวายฟื้นตัวเร็วมากเขาอาจจะฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ นี้#ตกดึกหลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เตรียมตัวจะนอนที่โซฟาตัวใหญ่ พลางคิดไปว่าพรุ่งนี้ตื่นมาพี่ลีวายก็คงจะฟื้น แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจึงรีบหันไปมองที่เตียงเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด“อ่า!” เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยเต้นรัว ๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปที่เตียงของพี่ลีวายทันทีหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นสายตาค
#วันต่อมาพี่ลีวายดีขึ้นมาก ๆ ราวกับเขาพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลมานานนับอาทิตย์ แต่ความจริงเขาอยู่แค่สองวันเท่านั้น หมอบอกว่าพรุ่งนี้พี่ลีวายก็กลับบ้านได้แล้ว ทำให้ฉันแปลกใจเอามาก ๆ เขาถูกยิงเจ็บเจียนตายเข้าห้องฉุกเฉินไปนานหลายชั่วโมงแต่ทำไมดีขึ้นเร็วขนาดนี้“มิลินจ๋า มานั่งใกล้ ๆ ฉันหน่อยได้ไหม”“แต่มิลินเพิ่งลุกมานั่งที่โซฟาเมื่อกี้เองนะคะ”“ก็คนมันรักคนมันหลงอยากอยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้เลยเหรอครับ”ดูทำพูดเข้าสิ แล้วดูทำหน้าสิ ทำไมพี่ลีวายถึงได้น่าหยิกแก้มขนาดนี้นะ อายุสามสิบกว่าแล้วแท้ ๆ แต่อ้อนราวกับเด็กสามขวบตั้งแต่เมื่อคืนที่เราสองคนปรับความเข้าใจกันพี่ลีวายก็ออดอ้อนทำตัวน่ารักพูดจาหยอดคำหวานไม่ยอมหยุด“คนแก่หลงเด็กเหรอคะ”“แก่ที่ไหนจะเอวดีเอานานขนาดนี้ครับ… หื้ม”คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นจนแดงเถือกจนต้องหลบสายตา“เขินเหรอ”“ก็ดูพูดเข้าสิคะจะไม่ให้เขินได้ยังไง”“อยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว อยากทำเรื่องนั้นกับเธอจนใจจะขาด”“อ๋อ ที่ง้อเพราะอยากได้ตัวมิลินใช่ไหมคะ แบบนี้นี่เอง” ฉันทำหน้างอนแต่ไม่คิดว่าพี่ลีวายจะจริงจังจนหน้าสลดไปแบบนั้น“ขอโทษ ถ้าเธอยังไม่พร้อมฉันจะไม่ทำแต่อ
“ใจร้ายชะมัด” เขาทำหน้าบึ้ง แต่ก็ยอมดึงกางเกงขึ้นแล้วกลับมานอนในท่าเดิม “ไม่ทำแบบนั้นแต่ใช้มือช่วยหน่อยได้ไหม อารมณ์มันค้าง”“ถ้าพี่ลีวายพูดอีกคำเดียว มิลินจะกลับไปนอนโซฟาจริง ๆ ด้วย”“แค่มือก็ไม่ได้เหรอ” พี่ลีวายทำเสียงเศร้า ๆ หวังจะให้ฉันใจอ่อนเหรอ ไม่มีทางหรอก“มิลินว่ามิลินรู้จักพี่ลีวายดีค่ะ มันไม่มีทางจบแค่มือแน่นอน”คนอย่างเขาถ้าฉันใช้มือทำให้จริง ๆ เดี๋ยวก็หาทางแตะต้องร่างกายฉันจนเกิดอารมณ์ แล้วสุดท้ายเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ก็จะวนมาอีกครั้งจุ๊บ~จู่ ๆ พี่ลีวายก็เขยิบใบหน้าเข้ามาขโมยจุ๊บที่หน้าผากฉันแรง ๆ “ชอบจังเลยคนรู้ทันเนี่ย”แล้วไม่ใช่แค่จุ๊บแต่เขายังใช้ปลายจมูกไล้หอมไปทั่วใบหน้าจนฉันแทบหายใจไม่ออก“หยุดลวนลามมิลินแล้วนอนสักทีได้ไหมคะ ไม่อยากออกจากโรงพยาบาลไว ๆ รึไง”“โอโห แค่จุ๊บกับหอมก็ไม่ได้ คอยดูนะแผลฉันหายดีเมื่อไรจะทบต้นทบดอกให้ร้องขอชีวิตเลย”“ถ้าพี่ลีวายทำแบบนั้นมันจะเป็นการมีอะไรกันครั้งสุดท้ายแน่นอนค่ะ”“นี่ฉันต้องโทษตัวเองใช่ไหม ที่ทำร้ายเธอบ่อย ๆ จนทำให้เธอเข้มแข็งได้ขนาดนี้เนี่ย”“ใช่ค่ะ โทษตัวเองไปเยอะ ๆ เลย ตอนมิลินยอมทุกอย่างก็มาใจร้ายด้วยเองนี่”“ค้าบ ๆ
#เช้าวันใหม่ฉันตื่นเช้าพร้อมกับความรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว เพราะเมื่อคืนเจอศึกหนัก กว่าพี่ลีวายจะยอมให้นอนก็เกือบตีสี่ เขาดุร้ายราวกับเสือที่อดอาหารมานาน ทำกับฉันเหมือนตัวเองไม่ได้เพิ่งถูกยิงมาบางทีก็แอบสงสัยว่าทำแรงขนาดนั้นพี่ลีวายไม่รู้สึกเจ็บแผลบ้างเลยหรือไงหลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เปิดตู้เสื้อผ้าของพี่ลีวายก่อนจะหยิบเสื้อออกมาตัวนึงอย่างถือวิสาสะ เพราะไม่มีชุดใส่ก็เลยต้องเอาชุดของเขามาใส่ก่อนเพราะพี่ลีวายตัวโตกว่ามากเมื่อชุดของเขามาอยู่บนตัวฉันจึงมีความยาวเกือบถึงเข่า เพิ่งรู้ว่าตัวเองตัวเล็กมากก็ตอนนี้แหละแต่งตัวเสร็จฉันก็หันมองพี่ลีวายที่หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อมาทำอาหารเช้าไว้รอเขา เลือกทำเมนูง่าย ๆ เช่นข้าวต้ม เพราะไม่มีของอะไรให้ทำมากนัก“พี่ลีวายตื่นได้แล้วค่ะ” หลังจากทำข้าวต้มเสร็จแล้ว ฉันก็เดินกลับมาปลุกคนขี้เซาที่นอนไม่ยอมตื่นสักที“อื้อ”“ตื่นได้แล้ว มิลินทำข้าวต้มไว้ให้รีบไปล้างหน้าเร็ว”พี่ลีวายค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมอง ใบหน้าตอนเพิ่งตื่นของเขานั้นไม่ได้ดูแย่เลย กลับกัน มันดูดีจนฉันรู้สึกหวง“ตื่นเช้าจัง เมื่อคืนฉันทำตั้งหลายรอบทำไมลุกไหว หืม” ริมฝีป