เสียงร้องเพลงชาติดังไปทั่วทั้งบริเวณของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แม้ว่าเด็กที่มาเรียนในวันนี้จะมีจำนวนเพียงครึ่งเดียวก็ตาม เนื่องจากเป็นวันสอบปลายภาคเรียนวันแรกชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง กำลังเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคย แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความทรงจำก็ยังไม่จางหาย ภาพที่ตัวเองเคยวิ่งบนระเบียงอาคารจนถูกอาจารย์ดุอยู่เกือบทุกวันยังฉายชัด ขายาวก้าวไปตามระเบียงทางเดินชั้นสองซึ่งมีห้องเรียนเรียงอยู่นับสิบห้อง ก่อนจะหยุดที่หน้าล็อกเกอร์เก็บของที่อยู่ด้านในสุดของตัวอาคารมือเรียวยาวหยิบกุญแจหมายเลข 10 ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพง จากนั้นไขกุญแจตามหมายเลขที่ตรงกับลูกกุญแจในมือของตัวเองด้านในล็อกเกอร์มีอุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน ของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย แต่ที่สะดุดตาก็คงจะเป็นรองเท้าผ้าใบราคาแพงที่เขาจำได้ว่าเพิ่งจะซื้อให้กับเจ้าของล็อกเกอร์นี้ได้ไม่ถึงเดือนชายหนุ่มเก็บทุกอย่างลงไปในลังกระดาษที่เตรียมมาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องเป็นคนมาเก็บของออกจากล็อกเกอร์ของน้องชาย ในวันที่เจ้าตัวนั้นลาโลกไปแล้วพอตรวจสอบว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่แล้วเขาก็ปิดล
เด็กหนุ่มคิดตามที่เขาพูด จากนั้นก็เล่าถึงปัญหาที่ตัวเองกำลังเจออยู่ให้กับชายแปลกหน้าฟังเริ่มตั้งแต่เขารู้จักคนกลุ่มหนึ่งในเฟซบุ๊ค จากนั้นก็ถูกชักชวนให้ลงทุนเป็นเงินจำนวน 1,000 บาท พอครบหนึ่งสัปดาห์เขาก็ได้รับเงินคืนมา 1,300บาท พอสัปดาห์ที่สองเขาทำแบบเดิมอีก จากเงิน 1,000 กลายเป็นเงิน 1,300 บาท ทำแบบนั้นอยู่สองสัปดาห์เขากำไรถึง 600 บาท โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่พอเขาจะลงทุนเพิ่มสัปดาห์ที่สาม ทางกลุ่มก็ให้เขาเพิ่มจำนวนเงินเป็น 2,000 บาท เขาก็ทำตามเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้เงินคืน และพอครบสัปดาห์ ครั้งนี้เขาได้เงินถึง 3,000 บาท กำไรถึง 1,000 บาทเพราะเงินมันมากขึ้นเขาจึงเกิดความโลภ ครั้งสุดท้ายเขาจึงเอาเงินค่าเทอมและเงินค่าเช่าแผงขายของในตลาดไปลงทุนเป็นเงินถึง 20,000 บาท ทางกลุ่มบอกว่าถ้าครบสัปดาห์จะได้เงินคืนทั้งหมด 35,000 บาท แต่พอครบกำหนดฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมคืนเงินให้ พอจะแจ้งความก็โดนขู่ว่าจะมาทำร้ายมารดากับยาย สุดท้ายเขาก็ถูกพวกนั้นบล็อกทุกช่องทางการติดต่อ“นายก็เลยคิดจะฆ่าตัวตายใช่ไหม” คนอายุมากกว่าถามเด็กหนุ่ม“พี่ก็ได้ยินหมดแล้วนี่จะถามทำไมอีกล่ะ”“ถ้านายตายเพราะอุบัติเหตุแม่กับยาย
“หมอซันคะ อาจารย์หมอวัลลภเรียกให้ไปพบค่ะ”พยาบาลประจำแผนกศัลยกรรมคนหนึ่งรีบบอกอคิราห์ทันทีเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามายังแผนกอคิราห์เป็นประจำแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายื่นเรื่องขอลาออกกับทางโรงพยาบาลเพราะวางแผนไว้ว่าจะไปเรียนต่อศัลยกรรมตกแต่งที่ต่างประเทศ อาจารย์หมอคงจะเรียกเขาเข้าไปคุยเรื่องนี้“สวัสดีครับอาจารย์”“สวัสดี นั่งก่อนสิ”“อาจารย์เรียกมาพบเพราะเรื่องที่ผมลาออกใช่ไหม”“ใช่ ผมคิดว่าคุณควรจะขอลาไปเรียนมากกว่าลาออก” อาจารย์วัยเกือบเกษียณบอกกับคนที่เป็นทั้งรุ่นน้องและลูกศิษย์ เขาเสียดายชายหนุ่มฝีมือดีที่สอนมาเองกับมือ“ผมวางแผนไว้ว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะหางานที่นั่นสักพักค่อยกลับมาน่ะครับ”“แสดงว่าจะไปด้วยทุนส่วนตัวใช่ไหม”“ครับอาจารย์ ทุนของโรงพยาบาลเอาไว้ให้คนอื่นดีกว่า ผมเองก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง”อคิราห์ไม่อยากใช้ทุนของโรงพยาบาลเพราะถ้าเรียนจบก็ต้องรีบกลับมาใช้ทุน ชายหนุ่มไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเพราะครอบครัวพอมีฐานะ นอกจากนั้นยังได้เงินจากการฟ้องหย่าที่บิดาจ่ายให้กับมารดาของเขามากถึงยี่สิบล้านแต่เดิมเขาไม่คิดจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเพ
แล้วก็ถึงวันศุกร์ทุกคนต่างดีใจที่จะได้ปิดเทอม ไทธัชก็เหมือนกับคนอื่น แต่ไม่ใช่เพราะจะได้พักผ่อนอยู่บ้านหรือนอนเล่นเกมเหมือนเพื่อน ๆ แต่เพราะในช่วงปิดเทอมนี้เขาวางแผนแล้วว่าจะไปทำงานที่บาร์กับพี่ชายของแทนคุณ ซึ่งบอกว่าที่บาร์ยังต้องการเด็กเสิร์ฟอีกจำนวนมากและให้ไทธัชเข้าไปเริ่มงานได้ทันทีที่พร้อมหลังออกจากห้องสอบไทธัชก็รีบไปคุยกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอคินทร์“มึงจะเอาที่อยู่ของไอ้คิวไปทำไมวะ” เด็กหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจเพราะอคินทร์นั้นเสียชีวิตไปนานนับเดือนแล้ว“กูมีธุระจะคุยกับพี่ชายของมันนิดหน่อย”“ถ้ามึงอยากคุยกับพี่ไอ้คิวกูว่ามึงไปหาเขาที่ทำงานดีกว่า พี่ไอ้คิวกับไอ้คิวไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน”“แล้วเขาทำงานที่ไหน”เด็กหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอคินทร์บอกชื่อโรงพยาบาลของรัฐบาลแห่งหนึ่งให้กับไทธัช“ขอบใจมาก” ไทธัชกล่าวขอบคุณเพราะสอบเสร็จแล้ว เพื่อน ๆ เลยชวนกันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านหมูกระทะที่อยู่ข้างโรงเรียน แต่ไทธัชไม่ได้ไปกับเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะเขามีเรื่องที่ต้องไปจัดการระหว่างที่นั่งรอรถเมล์เด็กหนุ่มก็โทรศัพท์ไปบอกมารดาว่าเขาอาจจะกลับบ้านค่ำเพราะจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อน
ไทธัชรีบทานข้าวอย่างรวดเร็วเพราะเย็นนี้เขาต้องไปรอพี่ชายของแทนคุณที่บ้านก่อนจะไปทำงานที่บาร์ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยโทรไปแล้ว พี่เขตบอกกับเขาว่าคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เจ้าของบาร์รับเด็กพาร์ทไทม์เพิ่ม พอเขาส่งรูปไปให้ทางนั้นก็ยอมให้เข้าไปทำงานทันทีค่าแรงต่อหนึ่งคืนก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ได้เงินสักบาทเขามาถึงบ้านของแทนคุณตั้งแต่ยังไม่ห้าโมงเย็นบ้านหลังนี้แทนคุณและพี่ชายอยู่กันสองคนส่วนพ่อกับแม่นั้นพักอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงานมากกว่า“ไอ้ไท เข้ามาก่อนสิ พี่กูเพิ่งตื่น”“แม่ฝากคุกกี้มามึงกับพี่ด้วยนะ” เขายื่นคุกกี้ให้เพื่อนสองถุง ส่วนอีกถุงเก็บไว้ในเป้เพราะพรุ่งนี้จะแวะไปหาอคิราห์ เลยคิดว่าอยากหาอะไรติดมือไปฝากเขาด้วยนึกถึงชายคนนั้นแล้วไทธัชก็หงุดหงิดเขารอโทรศัพท์ทั้งวันแต่อีกฝ่ายก็เงียบ“กินข้าวมายังวะ” เจ้าของบ้านถาม“กินมาแล้ว มึงล่ะ”“ยังเลยว่าจะไปกินหน้าปากซอย มึงไปด้วยไหม”“อือ ไปสิ” ถึงตัวเองจะกินข้าวมาแล้วแต่ก็ไม่อยากนั่งอยู่คนเดียว แม้จะมาที่นี่หลายครั้งและรู้จักพี่ชายของเพื่อนเป็นอย่างดีแต่ไทธัชก็ไม่กล้านั่งอยู่คนเดียวไ
ห้องพักของอคิราห์ดูหรูหราในแบบที่ไทธัชไม่เคยเห็นมาก่อน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูมีราคา ขนาดห้องกว้างกว่าบ้านเขาทั้งหลังเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าของห้องคงไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เพราะห้องที่ดูหรูหรานั้นมันรกกว่าห้องนอนของเขาหลายเท่าเลยทีเดียว“นั่งสิจะได้คุยกัน” เจ้าของห้องนั่งลงบนโซฟาสีดำตัวโตกลางห้องด้วยท่าทางสบาย ๆไทธัชนั่งตามเขาลงไป แต่เว้นระยะห่างพอสมควร“พี่บอกจะมีอะไรให้ผมดู”อคิราห์หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาจากนั้นเสิร์ซเพจของทางร้านก่อนจะส่งให้ไทธัชดูสีหน้าของไทธัชดูประหลาดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้อยู่ไม่น้อย พี่ชายของแทนคุณไม่ได้บอกว่าร้านที่เข้าจะไปทำงานนั้นเป็นบาร์เกย์และตอนนี้ก็กำลังเปิดรับสมัครเด็กหนุ่มเพื่อมาบริการลูกค้า“แต่ผมไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟนะครับ”“พอเข้าไปในร้านแล้วนายคิดว่าเลือกได้เหรอว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร หน้าตาดีอย่างนายคงเรียกแขกได้มาก” เขาพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ“พี่เขาคงไม่โกหกหรอกมั้ง ผมเป็นเพื่อนน้องชายเขาเลยนะ”“นายมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วนะ เขามีน้องชายแล้วเขาให้น้องชายไปทำงานกับนายด้วยไหมล่ะ”เด็กหนุ่มนิ่ง มันน่าสงสัยอยู่เหมือนกันเพราะพี่ชายของแทนคุณไม่ยอมให้น้องชาย
ไทธัชลงจากรถเมล์แล้วเดินเข้าไปในซอยลึก แสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องสว่างตลอดทางเดิน ทำไม่ได้น่ากลัวแม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้วก็ตามใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีเขาก็มาถึงบ้านหลังเล็กที่ตอนนี้ทั้งบ้านผิดไฟมืดสนิท มารดากับยายจะเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำเพราะต้องรีบตื่นมาทำกับข้าวกันตั้งแต่เช้ามืดไทธัชไขกุญแจที่ประตูรั้วด้านหน้าอย่างเงียบที่สุด จากนั้นก็เดินอ้อมไปทางด้านหลังของตัวบ้าน เพราะถ้าเข้าทางประตูหน้าเสียงเปิดของมันจะดังกว่าประตูทางด้านหลังเนื่องจากบานพับมันเก่าและขึ้นสนิมเด็กหนุ่มรีบอาบน้ำและเข้านอน แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับ เพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาจากอคิราห์เมื่อตอนหัวค่ำเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าอคินทร์นั้นฆ่าตัวตาย แต่พอรู้แล้วก็รู้สึกหดหู่ ยิ่งเห็นสีหน้าของอคิราห์แล้วยิ่งรู้สึกเห็นใจเขามากขึ้นไทธัชหวนคิดถึงตัวเองถ้าวันนั้นไม่ได้เจอกับอคิราห์เขาเองก็คงจบชีวิตของตัวเองลงไปแล้ว และสิ่งที่จะตามมาจากนั้นก็คงจะเป็นความเศร้าโศกและเสียใจของมารดาและยาย นับว่าตัวเองยังโชคดีที่เจอเขา ได้เขาช่วยเตือนสติ และยังช่วยจ่ายเงินค่าเทอมรวมถึงให้เงินมาจ่ายแค่เชาแผงอีกด้วยเรื่องงานที่จะไปทำกับพี
ไทธัชกลับมาถึงบ้านเกือบสองทุ่ม มารดาและยายกำลังช่วยกันห่อข้าวต้มมัดเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระยายมักจะทำขนมหวานไปวางขายที่ตลาดด้วย“ไท กลับค่ำเชียวลูก”“ขอโทษครับยาย ผมคุยเพลินไปหน่อย” เด็กหนุ่มเข้ามากอดยายอย่างประจบ“กินอะไรมาหรือยังล่ะลูก” มัทนาถามลูกชายที่แม้จะตัวโตแล้วแต่ในสายตาเธอไทธัชก็ยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ“ยังเลยครับ หิวจังมีอะไรเหลือให้ผมกินบ้างครับแม่”“ในตู้เย็นมีแกงส้มเหลืออยู่ ส่วนในตู้กับข้าวมีน้ำพริกกะปิ ชะอมทอดและปลาทูทอด”“ของโปรดเลยครับ เดี๋ยวผมไปกินข้าวก่อนนะครับ แล้วจะมาช่วย”“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกลูก เดี๋ยวข้าวก็ได้ติดคอกันพอดี” ยายมาลัยพูดไล่หลังหลานชายด้วยความเป็นห่วงทานข้าวเสร็จแล้วไทธัชก็มาช่วยมารดาและยายห่อข้าวต้มมัด แม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่เขาก็ทำมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้สึกเคอะเขินที่จะทำงานของผู้หญิงระหว่างที่มือทำปากก็ชวนคุยไปเรื่อย เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะบอกมารดาว่าเขารับออเดอร์คุกกี้มาให้มารดาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไทธัชจะเป็นคนเอาไปส่งเองในอีกสองวันข้างหน้า“แม่ครับพรุ่งนี้ไทจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดนะครับแม่”“โรงเรียนปิดนี่ลูก ห้องสมุดจะเปิดเหรอ”“ห้องสมุดประชาชนค