บทที่ 1
แสนชัง
“ลาออก?”
หลังจากอ่านรายละเอียดในจดหมายที่ถูกยื่นมาจากมือของปวริศา ภาธรก็ร้องถามและเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าไม่ได้ดูตระหนกตกใจราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น
“ค่ะ”
“ไม่อยากอยู่ข้างฉันแล้วหรือหวาน” ชายหนุ่มถามอีกประโยคก่อนจะลอบยิ้มออกมา แววตาคมกริบฉายความร้าย
“อีกไม่นานคนของคุณจะมาเริ่มงาน”
เสียงสั่นตอบไปตามจริงและรู้ว่าชายหนุ่มรู้ถึงสิ่งที่หล่อนจะหมายถึง หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้ให้ใจเจ็บ เพราะการถูกแทนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำใจได้ในเร็ววัน และการถอยห่างให้เขามีความสุขมันก็ถูกต้องแล้ว
ที่สำคัญไม่คิดจะเรียกร้องอะไรจากชายหนุ่ม แม้กระทั่งหัวใจ เพราะรู้ว่าแม้ข้างๆ ใจของเขาก็ไม่ได้มีไว้ให้
“กลัวจะบาดใจ?”
ปวริศาเงียบ เพราะเขาพูดถูกเธอกลัวจะทนรั้งใจให้ไม่อิจฉาไม่ไหว
ตลอดสองปีที่อยู่ข้างเขาได้รับความเย็นชาและเงียบขรึม มันว่าเจ็บมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ไร้สถานะ มันคงไม่ต่างจากไร้ตัวตน คงเหมือนมีมีดมาปักกลางอก
“ฉันอนุมัติให้ไม่ได้หรอก แล้วใครจะสอนงานคนของฉันล่ะ”
“หวานรู้ว่าคุณธรไม่ได้อยากให้หวานสอนงาน แต่จะทำให้หวานเจ็บ” หล่อนสบตาคู่คมกริบเพราะอยากมองให้เห็นถึงความจริงพานให้หัวใจต้องคันยิบ
“ฮื้อ เก่ง”
คนไร้ใจขานรับ เพราะปวริศาพูดถูกต้องทุกประการเขานั้นตั้งใจ ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปใกล้คนที่เป็นอดีตไปแล้ว พร้อมหยิบปอยผมที่ร่วงหล่นระใบหน้าเศร้าขึ้นมาทัดหูให้ พลางโน้มใบหน้าลงกระซิบเสียงต่ำ
“ทนอยู่ต่อไปนะ เหมือนวิวาห์ที่ฉันต้องทนมาสองปี” มันทำให้ในหัวใจที่มีตะกอนแห่งความกรุ่นโกรธตีขึ้นเพราะวิวาห์ครั้งนั้นเขาถูกกระชากหัวใจออกไปไกล
ส่วนปวริศาก็เบี่ยงใบหน้าหนี ลมหายใจอุ่นร้อนกำลังเป่ารดใบหน้า
“ถ้าเข้าใจแล้ว นั่นประตู” และนี่คือการขับไล่ตรงๆ
“คุณธร”
ทั้งน้ำเสียงและสายตาส่งไปวอนขออยากให้เขาคิดใหม่ คนใจดำก็สวนกลับมาฉับไว
“ออกไป”
สิ้นวาจานั้นหญิงสาวก็มองด้วยแววตาตัดพ้อ และเห็นว่าเขาไม่ได้สะทกสะท้านใดๆสักนิด
“ค่ะหวานเข้าใจแล้ว”
สุดท้ายก็ต้องเลือกถอยห่าง และรู้ว่าต่อให้วิ่งหนีหายไปซ่อนตัวและเก่งแค่ไหน เขาก็คงมีวิธีหาทางให้กลับมาสยบอยู่ใต้เท้าได้อยู่ดี รู้ดีว่าพายุร้ายลูกใหญ่กำลังจะพัดถล่มมาเล่นงานให้ชอกช้ำหญิงสาวถอยร่นออกห่างพร้อมกำมือแน่น ไม่ใช่เพราะขุ่นเคือง แต่เพราะกำลังกลั้นความปวดร้าวและบังคับให้สองขาเดินต่อไปให้ไหว
เธอไม่รู้ว่าภาธรจะยอมยุติเกมบ้าๆ นี้เมื่อไหร่และไม่รู้ว่าอะไรที่มันจะหยุดก่อน ระหว่างหัวใจเธอและเขา
ไม่ทันจะพ้นวันให้ใจได้ฟื้นสภาพ ปวริศากลับต้องมาเจอความร้ายของภาธรซ้ำอีก
เข็มนาฬิกาบอกเวลาสิบหกนาฬิกา ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของอดีตสามี
ปิ๊บๆ
‘14 พ.ย. ฤกษ์แต่งงานของฉัน’
ปวริศาตาร้อนผะผ่าว ทั้งที่หลายชั่วโมงที่ผ่านมาพยายามตั้งรับและบอกตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาจะไม่เว้นว่างให้ได้เตรียมใจบ้างหรือ จะกระหน่ำซ้ำเติมกันถึงไหน
เพราะกำแพงที่หล่อนพยายามสร้างขึ้นเพื่อป้องกันความร้ายกาจไม่ได้สร้างมันให้เสร็จได้ในวันเดียว
ที่สำคัญตอนนี้ภาธรดูเหมือนไม่มีหัวใจมากขึ้นไปทุกขณะ
ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ปล่อยตัวเองให้จมกับมันเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนปาดน้ำตาที่คลอเบ้าทิ้งและสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะลุกขึ้น พลันมุ่งตรงไปยังห้องเดิมอีกครั้ง
โชคร้ายที่คลาดกับเจ้าของบริษัท เพราะชายหนุ่มมีประชุมกับผู้ถือหุ้น
ปวริศาไม่ได้ลดความตั้งใจที่จะพบเขา เจ้าหล่อนรอที่หน้าห้องทำงาน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง จนกระทั่งล่วงเลยมาสู่เวลาสิบแปดนาฬิกา ผู้ประชุมต่างทยอยกันออกมาจากห้อง โดยเจ้าของบริษัทอย่างภาธรออกมาเป็นคนสุดท้าย
“คุณธร หวานมีเรื่องอยากจะขอ”
“ว่ามา”
เขาทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้แล้วมอง พร้อมกับวางท่าอย่างสบายๆ เอาเข้าจริง หล่อนคิดว่าภาธรก็รู้ว่าเธอมาด้วยจุดประสงค์ใด
“หยุดส่งมันมาหาหวานหวานไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของคุณธรแล้ว” หญิงสาวบอกและปั้นดวงตาให้ดูนิ่งที่สุด ในเมื่อพันธะมันสิ้นสุดและใจเขาก็มีความชิงชัง มันก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของกันและกันอีก
ที่สำคัญเธอก็ไม่ได้สมัครใจจะรู้เรื่องของเขา
“ก็ฉันอยากให้เธอรู้”
ภาธรบอกพร้อมกับจับจ้องใบหน้าและดวงตาของคนที่ดูมีท่าทางแข้งกระด้างขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“อย่าแก้แค้นทำร้ายกันแบบนี้ได้ไหมคะ ในเมื่อคุณไม่เคยต้องการหวาน หวานก็จะไปให้แล้ว” ที่ผ่านมาแม้ว่าจะแต่งงานกัน หล่อนก็ไม่ได้ร้องขอให้เขารัก เพราะเจียมตัวดีว่าเขาแต่งเพราะเหตุผลใด
วิวาห์แสนขมในครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะร่างสูงขัดความต้องการของคุณย่าไม่ได้ และเมื่อท่านสิ้นบุญ เธอก็จะปลดปล่อยพันธะนี้ให้
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ความแค้นในใจจะไประบายออกที่ไหนดี” บุรุษตัวโตทำท่าทางขบคิดเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อยอึดใจต่อมาก็พูดออกมาทำให้ร่างของคู่สนทนาชาหนึบ
“หรือให้ฉันไประบายกับคุณสรวิศ ได้ข่าวว่ากลับมาแล้ว”
“คุณธรอย่าดึงคุณท่านมาเกี่ยว ต้องการให้หวานทำอะไรหวานจะชดใช้ให้” หญิงสาวส่ายหน้าฉับพลันพลางตัดพ้อ เชื่อว่าที่เขาบีบเธอด้วยวิธีนี้ เพราะรู้ดีว่าตนทั้งรักและเคารพผู้มีพระคุณคนนี้มาก
“อื้ม น่าจะสนุกดี” ชายหนุ่มแย้มยิ้มกว้าง“เป็นตัวแทนไปก่อนจะถึงวันแต่งงานของฉันละกัน”
ภายในอกระบมร้าวไปทั่ว เจตนาของเขาปวริศาทราบดีว่ามันคือการทำให้เจ็บ เพราะไม่มีใครหรอกที่จะอยากเป็นตัวแทนของใคร
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดอยากจะเป็นตัวแทนของใคร หรือพยายามจะเป็นคนสำคัญของเขาเธออยู่ในที่ที่ภาธรอยากให้อยู่มาตลอด นั่นคือ นอกหัวใจ
“ที่นี่เลยไหม ว่าที่นางบำเรอของฉัน”
ภาธรถาม ชั่วประเดี๋ยวเดียว ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นราวกับมีแผนการใหม่ มุมปากกระตุกยิ้มออกมา
“ไม่เอา เปลี่ยนที่ดีกว่า” พูดจบก็คว้าข้อมือบางแล้วดึงถลาให้เดินตาม
“จะพาหวานไปไหน” เพราะดวงตาที่เจิดจ้าของคนตรงหน้าทำให้ความกลัวมาจุกที่ใจจนแววตาไหวระริก ดูเหมือนว่าวินาทีนี้อดีตสามีพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นบทผู้ร้ายทุกขณะ
“คอนโดฯ ฉันไง”
ร่างสูงตอบเพื่อแถลงไข แต่มันเป็นราวกับประโยคสังหาร
พูดจบภาธรก็เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนตรงหน้า แล้วก็ได้เห็นว่านัยน์ตาดำขลับของปวริศาเปลี่ยนไป มันส่อถึงความกลัว
“ไม่กล้าไปหรือ”
ปวริศาหลุบตาต่ำ แม้อยากจะให้เขาหยุดในสิ่งที่คิด ทว่าคงไม่มีทาง
“งั้นฉันก็คงต้องกลับไปคิดใหม่เรื่องคุณสรวิศ…”
เธอรู้ว่ากำลังถูกบีบให้จนมุม แม้ว่าจะเจ็บประหนึ่งโดนมีดกรีดลงกลางใจ หญิงสาวก็ต้องซ่อนหยาดน้ำตา“หวานจะไป แต่คุณธรจะไม่ได้เห็นน้ำตาของหวานสักหยด” ปวริศาทำใจเข้มแข็งแต่ปากก็ไม่เลิกสั่น
“งั้นดีลฉันจะเตรียมตัวรอดูมันเลยละหวาน”
ชายหนุ่มระบายยิ้มอย่างมีชัยเพราะกำลังบรรลุเป้าหมายก่อนจะดึงข้อมือบางอีกครั้ง ปวริศาจำต้องสืบเท้าตาม
ตลอดทางปวริศานิ่งเงียบและพยายามเก็บความรู้สึกสองเท้าที่ถูกบังคับให้เดินเริ่มช้าลงยามใกล้ห้องหมายเลข 1304 ห้องที่ภาธรไม่เคยให้หล่อนได้เหยียบเข้ามา เพราะมันมีของสำคัญของชายหนุ่มอยู่
วงหน้าเศร้าเจือนลงไปทุกขณะ
เขาไม่รอช้าให้เธอได้ทันเสียใจ เพียงเข้าห้องมาเขาก็บีบคางมนให้เชิดขึ้นแล้วบดริมฝีปากร้อนลงมา โดยไม่สนใจจะเปิดสวิตช์ให้ไฟสว่างขึ้น ภาธรดันร่างบางให้ชิดกำแพง สองมือก็รวบข้อมือบางขึ้นติดกำแพงกักขังอิสรภาพ
จากนั้นจึงเริ่มไล่ลงมาที่คอขบเม้มและฝากรอยไปทั่ว ปวริศาพยายามเก็บเสียง คนมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็รู้ดีว่าสมควรจะทำอย่างไรให้ได้รับชัยชนะ และให้คนที่พ่ายแพ้เป็นปวริศา
กลิ่นหอมจากเนื้อกายที่ไม่ได้มีอะไรปรุงแต่ง บางครั้งมันก็ทำให้ภาธรหลุดจากอารมณ์กรุ่นๆ มานุ่มนวลได้
อื้ม...
เสียงที่หลุดออกมาจากริมปากหยักได้รูป ทำให้ภาธรกระตุกยิ้มอย่างได้ใจไม่นานอาภรณ์ที่อยู่บนตัวของปวริศาก็ค่อยๆหลุดออกมาจากตัวทีละชิ้น แม้จะต่อต้าน ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอดันไหล่กว้างให้ออกห่าง กลับถูกแนบชิดมากกว่าเก่าเสียงจากริมฝีปากเล็กถูกปล่อยออกมาไม่หยุด ไม่ต่างจากภาธรที่หลุดคำรามออกมาเสียงต่ำเมื่อได้เข้าชิดจนเป็นหนึ่งการแสดงออกของเขามันเร่าร้อนราวกับต้องการเผาร่างเล็กให้ไหม้เป็นจุณ สะโพกยังขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอด มันร้ายยิ่งกว่าพายุทอร์นาโด หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของคนทั้งคู่ถึงมันจะอบอวลด้วยความหอมหวานในบางขณะ แต่บางครั้งก็อยากจะร้องไห้ เนื่องจากบทรักของเขามันร้าย ที่สำคัญมันดึงศักดิ์ศรีของหล่อนให้พังพินาศลงไปหมดในวินาทีนี้ความเสียใจจึงคืบคลานเข้าหาและปวริศาไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะจบลงอย่างไรกว่าเปลือกตาบางจะกะพริบถี่และเปิดขึ้นก็เป็นช่วงสายของเช้าวันใหม่ ในห้องนี้เหลือไว้แต่ความมืดเพราะม่านสีทึบยังถูกปิดและทิ้งกลิ่นจางๆของควันบุหรี่ ซึ่งคงมาจากเขา“ฮึก…”ปวริศาริมฝีปากสั่นระริกอย่างคนพ่ายแพ้ น้ำตาที่เหือดแห้งไปมันกลับมาอีกหน ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะในครั้
ดวงตาของปวริศาฉายแววตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะมันคงไม่สามารถแทงทะลุทะลวงเข้าไปข้างในใจของภาธรได้ ปวริศาเลือกที่จะเดินต่อไปแถมยังก้าวเร็วๆภาธรกดยิ้มร้ายก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังนอกหน้าต่างอีกหน พร้อมความเครียดที่ผ่านเข้ามาในหัวให้ต้องคิดทบทวนอีกรอบถึงแม้ภาธรจะยอมรับข้อตกลงแล้ว ปวริศาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าเขาจะไม่มา หญิงสาวมาชะเง้อคอยที่หน้าบ้าน ในตอนนี้อาหารทุกอย่างได้ปรุงเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้วรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นเมื่อเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยอมรับว่าโล่งใจเป็นที่สุด แต่มันก็เป็นแค่เปลาะแรกเท่านั้น“ทำไมวันนี้ไม่รับโทรศัพท์พ่อเลยเจ้าธร”ใบหน้าของสรวิศมีรอยยิ้มขณะเข้าไปทักทายลูกชาย แม้ประโยคที่ถามจะน้อยใจ มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ จากความสัมพันธ์พ่อและลูกที่ไม่ได้คืบหน้าภาธรไม่ตอบได้แต่วางสีหน้าเรียบเฉยด้วยไม่อยากให้สถานการณ์ตึงเครียด ผู้เป็นพ่อจึงหยุดการซักถาม “ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้หนูหวานทำของโปรดของแกไว้ให้”บทสนทนาบนโต๊ะอาหารมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสรวิศที่พูดอยู่คนเดียว มีภาธรขานรับในบางคำถามเท่านั้นส่วนปวริศาก็ภาวนา
“มีอะไรมาแลกเปลี่ยนล่ะ หัวใจเธอไม่เอาแล้วนะ มันไม่มีราคา” ถ้อยคำนี้ยิ่งกว่ามีคนเอาค้อนมาทุบศีรษะเสียอีก เขากำลังเปรียบว่าหัวใจเธอไร้ค่าสินะ“อยากได้อะไร หวานให้หมด”ภาธรนึกขันยิ่งนัก การยื้อเวลามันเปล่าประโยชน์ บุรุษตัวโตถอยห่างโดยไม่ได้ตอบอะไร พร้อมนึกสนุกกับสิ่งที่ร่างบางคิดจะทำเมื่อถึงเวลากลับ สรวิศก็เดินมาส่งลูกชายถึงหน้าบ้าน“ถ้าเป็นเยอะไปหาหมอนะเจ้าธร อย่าปล่อยไว้” ถึงจะวางสีหน้าเรียบ ครั้งนี้ภาธรขานรับ“ครับ”แล้วคนสูงอายุที่สุดก็หันไปหาลูกสะใภ้“หนูหวานจะอยู่ค้างที่นี่หรือ” เพราะแทนที่จะไปยืนข้างลูกชาย เจ้าหล่อนกลับมายืนข้างๆเขาแทนเหมือนมายืนส่ง“ค่ะ”“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนลุงหรอก กลับไปดูแลเจ้าธรที่บ้านเถอะ”ถึงอยากจะแย้ง ทว่าดูจากสถานการณ์แล้วทำตามคงดีที่สุด เพื่อไม่ให้ท่านสงสัยได้ หญิงสาวเดินตามภาธรมาขึ้นรถและนั่งเงียบจนใกล้จะถึงที่หล่อนต้องการลง“หวานจะขอลงตรงปากซอย” เพราะตอนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว ที่สำคัญมันก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทนนั่งอึดอัดไปตลอดทาง และเธอก็ไม่อยากให้เขารู้ที่อยู่ปัจจุบันด้วย“ไม่อยากจะกลับบ้านฉันแล้วหรือ…ไปทำหน้าที่ที่พ่อฉันอยากให้ทำ”“
“เสร็จแล้วก็กลับไป”แทนที่ได้รับเอกสารนั้นคืนแล้วจะกลับ ปวริศากลับยังไม่ยอมขยับเท้า ตอนนี้เขาต้องการจะล้มตัวลงนอนเป็นที่สุด เพราะใกล้จะพยุงตัวเองไม่ได้แล้วที่ปวริศายังไม่ไป เพราะใจเจ้ากรรมดันอยากจะถามถึงอาการเขาเสียงนั้นก็ต้องกลืนหายไปในลำคอเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาใจเซล้ม“ใครมาหรือคะธร”“พนักงานเอาเอกสารมาให้เซ็นครับ” ถึงภาธรจะไม่เอ่ยชื่อ เสียงที่หวานปานระฆังแก้วแบบนี้หล่อนจำได้แม่นว่าคือ มาติกา…อดีตคนที่เขารักและคงยังรักจนถึงปัจจุบันเนื้อตัวและหัวใจของหญิงสาวชาไปทั่ว พร้อมกับคำสบถที่ก่อขึ้นในใจ เธอยังเจ็บไม่จำ อยากจะไปห่วงหาเขาทั้งที่เขาไม่เคยต้องการ เธอมันโง่เองไม่ได้เจ็บแค่นั้น สถานะที่เขาให้ก็เจ็บไม่แพ้กัน พนักงานส่งเอกสารหรือ...“หรืออยากจะเข้ามา” ไม่พูดเปล่า ภาธรยังคว้าข้อมือเล็กทำท่าจะดึงให้เข้าห้อง สีหน้าแววตาของเขาดูกรุ้มกรุ่มด้วยความร้ายอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้“หวานไม่เข้า”หล่อนสะบัดมือออกแล้วรีบเดินหนี เธอก้าวไปให้ไว้ที่สุดและทันทีที่พ้นจากสายตาเขา หญิงสาวก็เกือบจะทรงตัวไม่อยู่เจ้าหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกตัวเองว่าอย่าให้เขาชนะ เพราะรู้ว่าบุรุษใจร้ายต้อง
“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”“ห่วงฉัน อยากให้ฉันหาย?” เขาถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น และคำตอบก็คือการพยักหน้าของปวริศาไม่นานนัยน์ตาดำขลับของภาธรก็วาวขึ้น ก่อนจะก้มลงไปแนบชิดใบหน้าหวานละมุนแต่ติดเศร้าพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของเจ้าหล่อน“งั้นช่วยเป็นป่านให้ฉันสักวันสิ”ไม่พอยังจงใจยิ้มยั่ว ซึ่งประโยคนี้มีพลังทำลายล้างได้เป็นอย่างดี“จะทำลายหัวใจของหวานไปถึงไหน” แทบน้ำตาไหล ดีที่ห้ามมันอยู่“จนกว่าจะมอดไหม้” ภาธรสวนกลับอย่างไม่ไยดียิ่งเงยหน้าสบตาปวริศาก็ยิ่งเจ็บลึก บางทีก็นึกอยากจะเอามีดมากรีดแหวกหัวใจภาธรดูว่ายังเต้นหรือไม่ ทำไมถึงใจร้ายเยี่ยงนี้“เลือกมา ไม่งั้นก็กลับไป”“ถ้านี่คือการชดใช้ คืนนี้หวานจะเป็นคุณป่านให้คุณ”“ตกลง”เพียงจบคำ
“หวานขอโทษที่ยังอยู่ให้เห็นค่ะ”ตะกอนอารมณ์นั้นคงเป็นเพราะเธอ พร้อมกับเร่งชักเท้าเดินตรงไปที่ประตู ภาธรกลับมาขวาง แถมพอขยับหนีก็ถูกเขารวบตัวไว้“จะทำอะไรหวานคะ ปล่อยหวานนะ หวานไม่เป็นคุณป่านให้คุณแล้ว” ปวริศาต่อต้านและทำสุดความสามารถที่จะหลุดจากอ้อมกอดที่มีแต่ทำให้เจ็บ“แสลงใจ?” เสียงเข้มร้องถาม สีหน้าวาววับไปด้วยเล่ห์กล แต่ก็มีความเยาะหยันออกมาให้เห็น“ค่ะ”เธอไม่คิดจะปฏิเสธในเมื่อมันคือความจริง ใครบ้างหากเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะไม่แสลงใจ “ถ้าพอใจคำตอบแล้วปล่อยหวานด้วยค่ะ การเป็นตัวแทนของหวานมันจบลงแล้ว”“ฮือ จบหรือ ไม่จบหรอก…ถ้าฉันยังไม่ยอม”“แต่หวานไม่เล่นด้วยแล้ว ปล่อยหวานค่ะ หวานจะกลับ” คราวนี้หล่อนเสียงแข็ง เพราะรู้แล้วว่าใช้ไม้อ่อนหรือน้ำเสียงวอนขอยังไง คนอย่างภาธรก็ไม่มีทางเห็นใจ“ก่อนกลับ ฟังอีกข่าวก่อนนะ งานแต่งกำลังถูกเลื่อนขึ้นให้เร็วกว่าเดิม” ถ้อยคำยืดยาวนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กหยุดกึกไม่ต่างจากสวิตช์ไฟที่ถูกปิด
“ดีแล้ว งั้นลุงไม่กวน”พอปวริศากดวางสาย ภาธรก็โพล่งออกมา “ทำไมไม่บอกพ่อฉันไปล่ะ ว่าเธอมาเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวต่างหาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินมันทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าคิดถูกปวริศาเลือกไม่ตอบใดๆและกำลังจะเบี่ยงตัวหนีเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดเดิมเพราะตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการเธอทำให้แล้ว เขาได้สมใจกับการที่อยากเห็นเธออยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว โดยตลอดเวลาที่ลองชุด เขาเอาแต่ทำร้ายจิตใจกันคนที่กำลังเดินหนีกลับต้องหยุดแล้วหันไปมองเขาอย่างฉับไวจากคำพูดหนึ่งของภาธร“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าเตรียมไว้สักชุด”“จะให้หวานไปไหน”“ปางไม้สิวาลัย”คนฟังใจร่วงหล่นไปที่พื้น เพราะนั่นคือที่อยู่ของมาติกา นี่ผู้ชายตรงหน้าคิดจะทำอะไรอีก จะพาไปที่นั่นทำไม หรือว่าต้องการจะทำอะไรเพื่อให้เธอเจ็บอีก“จะพาหวานไปที่นั่นทำไมคะ” เธอระงับอาการสั่นและถามสวน
“ธร…”ส่วนมาติการ้องค้านเสียงสั่น พร้อมส่ายศีรษะเพื่อหยุดยั้งความคิดของภาธร เพราะรู้ว่าภาธรถ้าจะดีก็ดีหมดใจ ถ้าร้ายก็ร้ายจนน่าเข็ดขยาด“กังวลแต่เรื่องของตัวเองพอครับ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น” เพราะรู้ว่ามาติกากำลังร้องห้ามสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำ และเน้นคำว่าคนอื่นเสียงดังมาติกายังยืนนิ่งและส่ายหน้าเช่นเดิม ให้กังวลแต่เรื่องของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อกำลังจะบีบหัวใจผู้หญิงอีกคนให้แหลก หากยังเมินเฉยต่อคงไม่ต่างจากคนเลว ซึ่งเธอไม่อยากเป็น“ขึ้นไปรอผมข้างบนครับ เราตกลงกันแล้ว” ดวงตาของชายหนุ่มขรึมขึ้นและทำให้มาติกาไม่กล้าปฏิเสธ เพราะข้อตกลงบางอย่างได้ถูกกำหนดแล้ว“ต้องเอาคืนหวานถึงขนาดนี้เลยหรือคะคุณธร หวานไม่อยากขึ้นไป” เธอคิดว่าเจ้าสาวของเขาคือคนของภคนันท์เสียอีก“ได้สิ แต่เธอต้องโทร.ไปบอกความจริงพ่อฉันตอนนี้”เมื่อเขาขู่ด้วยวิธีนี้ หล่อนก็หมดหนทางที่จะต่อต้าน แต่เชื่อเถอะว่าเธอจะไม่ให้เขาใช้มันตลอด หล่อนขอแค่ผู้มีพระคุณอาการดีขึ้นกว่านี้แล้วการเป็นลูกเบี้ยของเขามัน
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่
บทที่ 13พิสูจน์ใจ“สอนฉันทำอาหารบ้างสิ ฉันอยากทำให้พ่อทาน” ภาธรตามปวริศาเข้ามาในครัวและลองขอ ตอนนี้ทุกอย่างที่จะทำให้บิดาได้ เขาทำหมด แม้ไม่ได้ถนัดการทำครัวมากนัก อย่างมากก็มีไข่ทอดและผัดกะเพราหมูเท่านั้นที่ทำได้“ค่ะ” ปวริศาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะรู้เช่นกันว่านี่คงจะทำให้สรวิศยิ้มได้ “งั้นเริ่มจากไปล้างผักและหั่นผักค่ะ” โดยวันนี้เมนูที่เธอจะทำก็คือผัดผักรวมมิตรและแกงจืดหมูสับภาธรรับคำสั่ง ชายหนุ่มหยิบผักกาดขาว แคร์รอต และบรอกโคลีไปล้าง ก่อนจะหยิบเขียงพร้อมมีดออกมา ปวริศาสอนการหั่นผักแต่ละอย่างและปล่อยให้ภาธรได้ทำตอนนี้ชายหนุ่มหั่นผักกาดขาวและบรอกโคลีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังหั่นแคร์รอต ฟากหญิงสาวก็หั่นหมูและปอกเปลือกกุ้ง ไม่นานแม่ครัวที่กำลังวุ่นกับการเตรียมตั้งเตาก็หันไปมองตามเสียงร้องลั่นของภาธร“โอ๊ย” ชายหนุ่มมัวแต่เหลือบมองปวริศา เนื่องจากร่วมหลายวันแล้วกระมังที่ไม่ได้อยู่ใกล้ถึงขนาดนี้ เพราะปวริศามักจะหนีหน้า หรือไม่ก็เว้นระยะ จึงให้เอาแต่มองจนเกือบจะหั่นมือตัวเองแล้ว โชคดีที่โดนมีดบาดไม่ลึกมาก ไม่งั้นคงจะเสียนิ้วพอเห็นเลือดท
เป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้วที่ภาธรยังตามภรรยาต้อย ๆ แม้มันอาจจะไม่ได้ทุกวัน เพราะบางครั้งก็ต้องเข้าไปประชุมที่บริษัทและไปจัดการเคลียร์เอกสาร แต่ภาธรก็มักจะมากินข้าวเย็นด้วยเสมอโดยตอนนี้ปวริศามีความคิดที่จะพักเรื่องการหางานไว้ก่อน เพราะท้องเริ่มโตขึ้นทำให้เป็นเรื่องยากในการเดินทาง แถมน้อยบริษัทนักที่จะรับพนักงานในช่วงตั้งครรภ์ที่สำคัญก็คือ อยากดูแลสรวิศ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจจนร้องไห้กับเรื่องที่เพิ่งทราบว่าท่านเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตอนนี้สิ่งเดียวที่ตอบแทนได้ก็คือเธอจะดูแลท่านให้ดีที่สุด“มันควรมีชื่อฉันอยู่ตรงนั้น” ภาธรว่าขณะยืนมองปวริศากรอกข้อมูลในประวัติการฝากครรภ์ โดยมีช่องหนึ่งที่หญิงสาวเว้นไว้แล้วเลือกไปกรอกข้อมูลข้ออื่นก่อน นั่นคือช่องของชื่อบิดาของลูกในครรภ์ปวริศาเงยหน้าขึ้นมองคนพูด แต่สายตาก็ว่างเปล่าและเย็นชา แถมยังไม่ได้ทำตามคำที่ภาธรร้องขอ หล่อนเลือกที่จะเขียนลงไปว่าไม่ระบุแทน นั่นทำให้ภาธรรู้สึกหนาวเหน็บและทนดูเจ้าหล่อนกรอกต่อไปไม่ได้ เพราะรู้สึกเหมือนถูกขยี้หัวใจให้แตกละเอียดปวริศาไม่สนใจ เมื่อกรอกเสร็จก็ยื่นให้นางพยาบาลและร
บทที่ 12อยากให้รู้ว่ารัก“ไม่ต้องออกไปหางาน กลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม หรือไม่ก็เตรียมตัวเป็นแม่ก็พอ” ภาธรสั่ง เพราะได้รับรายงานจากทักษ์ดนัยว่าคนที่ให้เฝ้าดูนั้นได้ออกหางานมาแล้วหนึ่งวัน ซึ่งวันนี้ปวริศาก็กำลังจะออกไปหางานอีกเช่นกัน“หวานขอปฏิเสธ แล้วหวานก็ลาออกจากที่นั่นแล้ว”“ฉันไม่เคยเซ็นใบลาออกให้ และไม่เคยคิดจะเซ็น” เขาบอกเสียงหนักแน่น หัวใจเต้นเร็วไวขึ้นจากแรงปรารถนาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ร่วมอาทิตย์แล้วที่ปล่อยให้หญิงสาวมีอิสระและได้ผ่อนจากความเครียด โดยที่เขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย แต่ก็สั่งกำชับทักษ์ดนัยให้ดูแลปวริศาอย่างดีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขายอมหายหน้าไปคือสะสางงานที่ค้างให้เสร็จ คราวนี้จะได้เดินหน้าง้อปวริศาเต็มที่“นั่นคงเป็นเรื่องของคุณธรค่ะ ช่วยหลีกทางด้วย หวานไม่อยากให้สาย หวานมีนัดสัมภาษณ์งานแล้ว” ปวริศาปฏิเสธเสียงแข็ง และต้องสั่งเขา เพราะพอขยับเท้าไปอีกทาง เขาก็ขยับตามหญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ วันนี้เขาถึงโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งที่หายไปเป็นอาทิตย์ มาให้ใจเธอต้องป