ปุณณิศามาทำงานที่ผับได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ในแต่ละคืนเธอได้เงินพิเศษสามพันกว่าบาท บางคืนก็ได้เกือบห้าพัน ถ้าได้เงินดีแบบนี้อีกไม่นานก็คงจะมีเงินไปคืนเจ๊น้ำได้อย่างแน่นอน
“ปุณ แขกที่ชั้นวีไอพีแรกขึ้นไปน่ะ” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาตามเธอที่เพิ่งได้นั่งพักหลังจากชงเครื่องดื่มให้แขกตั้งแต่ร้านเปิดจนถึงตอนนี้ก็ตีหนึ่งกว่าเข้าไปแล้ว
“ขอบใจนะหวาน” ปุณณิศายิ้มให้เพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของผับ
หญิงสาวเดินขึ้นชั้นสองซึ่งตอนนี้เหลือแขกเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นเพื่อนของคุณเมคินเจ้าของร้าน ส่วนอีกโต๊ะเป็นชายวัยกลางร่างท้วมที่นั่งดื่มอยู่คนเดียว
“สวัสดีค่ะ” ปุณณิศายกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงข้าง
“มาทำงานใหม่เหรอ เสี่ยไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“ค่ะ หนูเพิ่งมาทำได้อาทิตย์เดียวเองค่ะ เสี่ยชอบดื่มแบบไหนคะเดี๋ยวหนูจัดการให้”
“หนูก็ลองเดาใจเสี่ยดูสิ”
“ได้ค่ะ” ปุณณิศาชงเหล้าให้แขกเข้มกว่าปกติอย่างที่ได้รับการฝึกมา
“มันเข้มไปหน่อยเหรอหนู” เสี่ยบรรจงมองแก้วเครื่องดื่มที่สีเข้มสลับกับใบหน้าหวานของคนชง
“แบบนี้ไม่เข้มไปหรอกค่ะ หนูรู้ว่าคนอย่างเสี่ยต้องชอบอะไรที่มันเข้มๆ ไม่เหมือนกับพวกวัยรุ่นอ่อนหัดที่เพิ่งจะเคยกินเหล้าเป็นครั้งแรกที่ใส่เหล้าแค่นิดไม่ต่างอะไรกับกินน้ำเปล่า”
เสียงหวานออดอ้อนอย่างประจบ ทำให้เสี่ยยิ้มแล้วรับแก้วไปดื่ม ปุณณิศาชงเหล้าให้เสี่ยบรรจงอีกไม่กี่แก้ว เสี่ยก็เริ่มจะเมาได้ที่
“เดี๋ยวร้านจะปิดแล้วหนูออกไปต่อกับเสี่ยเลยดีไหม เสี่ยคุยกับหนูแล้วชักติดใจอยากจะไปคุยกันต่อข้างนอก”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เสี่ยเมามากแล้วหนูว่าเสี่ยกลับไปพักดีกว่าไหมคะ” ปุณณิศาพยายามทำใจดีสู้เสือ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับแขกเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้
“เมาที่ไหน เสี่ยน่ะคอแข็งจะตาย” เสี่ยเมาจนแทบประคองตัวไม่อยู่แต่ก็ยังอยากจะชวนเธอออกไปข้างนอก
“แต่วันนี้หนูไม่สะดวกค่ะเสีย”
“ไม่สะดวกหรือเล่นตัวกันแน่จ้ะ อยากได้เท่าไหร่ บอกมาเลยเสี่ยจ่ายไม่อั้น” เสี่ยบรรจงมองหญิงสาวด้วยสายตาหื่นกระหาย และคิดว่าคืนนี้จะต้องพาเธอกลับไปด้วยให้ได้เพราะรูปร่างหน้าตาแบบนี้มันถูกใจเขามากกว่าทุกคนที่เคยเจอ
“เสี่ยขาหนูไม่ได้เล่นตัวนะคะ แต่หนูแค่มาชงเหล้าค่ะ ถ้าเสี่ยอยากหาคนออกไปข้างนอกด้วย ด้านล่างก็มีน้องคอยให้บริการอยู่นะคะ” ปุณณิศาปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเพราะตอนนี้มือของเสี่ยเริ่มจะอยู่ไม่นิ่ง
“จะชงเหล้าหรือจะขายตัวมันก็เหมือนก็นั่นแหละ ทำเป็นเล่นตัวไปได้” เสียบรรจงเริ่มโวยวายจนคนหันมามอง
“คนอื่นจะเป็นแบบไหนหนูไม่รู้ แต่หนูแค่มาชงเหล้าหนูไม่ได้ขาย” ปุณณิศาพูดจบก็รีบวิ่งลงไปยังชั้นล่างทันที
“ปุณทำไม่วิ่งลงมาอย่างนี้ล่ะ ทำไมไม่อยู่ดูแลแขก” เมคินเห็นเด็กสาววิ่งลงมาก็ถามอย่างสงสัยเพราะเขารู้ว่าเสี่ยบรรจงชอบเพิ่งเรียกปุณณิศาขึ้นไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“เสี่ยเขาจะชวนปุณออกไปต่อ แต่พอปุณไม่ยอมเขาก็โวยวายหาว่าหาปุณเล่นตัว ปุณบอกเขาแล้วว่าไม่ได้รับงานแบบนั้น ถ้าอยากหาคนออกไปข้างนอกด้วยก็ให้ลงมาเลือกข้างล่าง แต่เขาก็ไม่ยอม” ปุณณิศารีบบอกเจ้านาย เพราะเธอตกลงกับเขาตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานแล้วว่าจะไม่ออกไปกับแขก ถึงแม้จะรู้ว่าออกไปแบบนั้นจะได้เงินมาก็ตาม
“อือ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
“คุณเมคินจะไม่ไล่ปุณออกใช่ไหมคะ” ถ้าถูกเขาไล่ออกตอนนี้เธอคงลำบากแน่ๆ
“เห็นฉันเป็นคนใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าค่ะ ปุณก็แค่กลัว”
“ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่จะกลัวไปทำไง นี่ก็ใกล้เลิกงานแล้วเตรียมกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวเรื่องแขกฉันจัดการเอง” เมคินบอกปุณณิศา ก่อนที่ตัวเองจะขึ้นไปจัดการกับเสี่ยบรรจงซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งแรก เขาถึงไม่โกรธที่ปุณณิศาปฏิเสธแขกและวิ่งหนีลงมา
เมคินขึ้นมาชั้นสองยังไม่ทันได้คุยกับเสี่ยบรรจงเขาก็เมาจนคอพับไปแล้ว
“อ้าว หลับไปแล้ว สันติ พี่ฝากจัดการต่อหน่อยนะ คนขับรถของเสี่ยน่าจะรออยู่ข้างนอก” เขาสั่งพนักงานเสิร์ฟผู้ชายช่วยจัดการ
“ครับคุณเมคิน”
ชายหนุ่มเจ้าของผับส่ายหัวก่อนจะเดินมายังอีกมุมของชั้นสองที่ตอนนี้เพื่อนของเขานั่งดื่มอยู่สามคน
“เด็กร้านนายชงเหล้าเก่งเป็นบ้าเลยว่ะ” คนที่นั่งสังเกตอยู่นานบอกกับเจ้าของผับ
“แน่ล่ะ สิ ถ้าชงไม่เก่งจะรอดมือเสี่ยบรรจงไหมล่ะ เสี่ยนั้นเจ้าชู้จะตาย” เมคินตอบ
“เด็กใหม่เหรอ เพิ่งเคยเห็น” ชานนท์ถามเจ้าของผับ
“อือ เพิ่งมาทำงานได้อาทิตย์เดียวเอง แขกติดกันเยอะเลย น้องเขาช่างเอาใจ”
“เหรอ แต่ที่เห็นเมื่อกี้เขาวิ่งหนีลงไปนะ” ชานนท์สะดุดตาเธอตั้งแต่เดินขึ้นมาชั้นสองเขาเลยสังเกตอยู่ตลอด
“ก็เสี่ยจะพาออกไปต่อ แต่น้องมันไม่ไป”
“ทำไมท่าทางเสี่ยกระเป๋าหนักน่าดูเลย” ปกป้องถามเพราะเรื่องแบบนี้มันเกินขึ้นได้เสมอ ยิ่งกระเป๋าหนักเท่าไหร่โอกาสที่จะพาใครสักคนกลับออกไปด้วยกันหรือจะพากันขึ้นไปยังชั้นสามของผับมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
“เด็กมันขอแค่ชงเหล้ากับดูแลแขกในร้านอย่างเดียว”
“แน่เหรอ ก็เห็นหลายคนก็พูดแบบนี้นะ” ชานนท์แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เมคินบอก
“คนนี้ยังไม่เคย”
“เขาจะอัพค่าตัวหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ ทำไมถามเยอะจังวะนนท์หรือสนใจ”
“กูว่ามันสนใจแหละ นั่งมองน้องตาไม่กะพริบเลยคนอะไรทั้งขาวทั้งสวย หุ่นน่าฟัดมาก”
“มึงก็จ้องน้องเขาเหมือนกันใช่ไหมล่ะไอ้หมอก” ชานนท์ถามอย่างรู้ทันเพราะเขาเห็นว่าเพื่อนของตนจ้องอยู่เหมือนกัน
“ถ้ามึงสนใจกูจะลองถามดูนะ หล่อๆ อย่างมึงน้องอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“อย่าหาเรื่องให้กูเลย แค่เรื่องที่กูเจออยู่ตอนนี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”
“เรื่องอะไรวะกูเห็นมึงทำหน้าบอกบุญไมรับตั้งแต่เดินเข้าร้านมาละ” ปกป้องถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“เฮอ...” ชานนท์ถอนหายใจ
“สงสัยจะเรื่องใหญ่ว่ะ” นิธิกรมองหน้าเพื่อนที่วันนี้ดูจะเครียดกว่าทุกวัน
“อือ ก็ใหญ่พอตัวแหละ พวกมึงอย่ารู้เลย เดี๋ยวจะเครียดตามกูไปอีกคน”
“เล่ามาเหอะน่า พวกเรามีกันหลายคนจะได้ช่วยกันคิด” เมคินก็รู้สึกห่วงเพื่อนไม่น้อยเพราะปกติแล้วชานนท์จะดูร่าเริงกว่านี้โดยเฉพาะเวลาที่ได้ออกมาดื่มเหล้ากับเพื่อน
“เฮ้อ....” ชานนท์ถอนหายใจอีกครั้ง“ถอนหายใจยาวเชียว อย่าบอกนะว่าปู่มึงพูดเรื่องเดิมอีกแล้ว” ปกป้องรู้ดีกว่าใครเพราะปู่ของชานนท์กับครอบครัวของเขาสนิทกันและปู่มนตรีก็มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าอยากให้ชานนท์กับน้องสาวของเขาแต่งงานกัน“อือ คราวนี้ปู่กูเอาจริงว่ะ นี่ก็หาสาวให้กูใหญ่เลย แล้วกูก็ดันไปบอกเขาว่าไม่ต้องหาเพราะกูมีเมียอยู่แล้ว”“แต่กูไม่เห็นว่ามึงจะคุยกับใครจริงจังเลยนี่ไอ้นนท์แล้วมึงจะเอาเมียมาจากไหน” นิธิกรที่มักจะออกมานั่งดื่มกับเพื่อนบ่อยกว่าคนอื่นพูดขึ้น“อือ...ตอนนี้กูกำลังคิดหนัก ไม่น่าไปเผลอพูดแบบนั้นกับปู่เลยให้ตายสิ”“ถ้าไม่มีมึงก็บอกเขาไปตรงๆ สิ หรือคนที่ปู่มึงแนะนำให้ไม่สวยว่ะ”“คนที่ปู่กูชอบก็มียัยปิ่น กับหนูดี”“ยัยปิ่นน้องไอ้ป้องน่ะเหรอ ดีนะมึง รู้จักกันมานานแล้วด้วย แล้วอีกคนใครวะ”“กูกับน้องไอ้ป้องรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว แล้วกูก็เห็นปิ่นเป็นน้องสาวมาตลอด ปิ่นเองก็เห็นกูเป็นพี่ชาย เรื่องนี้กูสองคนคุยกันแล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางยอมแน่ๆ”“แล้วอีกคนใครวะ กูไม่เห็นรู้จัก”“ลูกสาวคุณเรวดีเจ้าแม่นำเข้าสินค้าแบรนด์เนมไง”“อ๋อ กูเคยเห็นเขาออกงานกับแม่บ่อยๆ” ปกป้องเคยเห็น
ปุณณิศากลับมาถึงบ้านก็เกือบจะตีสามเพราะวันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวคนเยอะกว่าปกติ หญิงสาวอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาที่มารดาตื่นมาทำขนมพอดี “ปุณ แม่ว่าหนูไปพักเถอะลูก ยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ” “ไม่เป็นไรค่ะ ปุณช่วยแม่ก่อน เดี๋ยวค่อยนอนพักทีเดียวก็ได้ค่ะ” ปุณณิศาต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่อรในเวลาสิบโมงเช้าหลังจากช่วยมารดาเตรียมของเสร็จเธอก็ได้นอนพักอย่างน้อยก็สามชั่วโมง “ไหวแน่นะลูก” “ค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ งานร้านพี่อรไม่ได้หนักหนาอะไรเลยค่ะ” “แล้วงานที่ไปทำกับกัญญาล่ะลูกเป็นยังไงบ้าง” “ก็ดีค่ะแม่ คืนหนึ่งได้เยอะเลยค่ะ อย่างเมื่อคืนปุณได้มาเกือบสี่พันเลยค่ะ นี่ยังไม่รวมเงินเดือนนะคะ” “รายได้มันดีก็จริงแต่แม่กลัวสุขภาพเราจะแย่ไปด้วย ถ้าเปิดเทอมแม่ว่าจะให้หนูหยุดทำงานกลางคืนนะลูก” “ปุณคุยกับเจ้าของร้านไว้แล้วค่ะแม่ ถ้าเปิดเทอมปุณไปแค่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ค่ะ”“แม่นึกว่าเปิดเทอมจะหยุดทำงาน”“หยุดทำไมล่ะคะแม่รายได้ดีขนาดนั้น ปุณว่าอีกไม่นานเราคงใช้หนี้เจ๊น้ำหมด ถ้ามีเงินเหลือจะได้ส่งให้ปั้นด้วย”“เอาที่ตัวเอง
หลังผ่าตัดผ่านไปหนึ่งสัปดาห์มารดาของปุณณิศาก็ฟื้น แต่หมอก็ยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลเพราะจะต้องอยู่พักฟื้นต่ออีกจนกว่าจะมั่นใจว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อน “แม่ขา ปุณดีใจมากที่แม่ตื่น” หญิงสาวจับมือมารดาแน่น เธอยิ้มทั้งน้ำตา “ปั้นก็ดีใจครับแม่ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไหมครับ ปวดหัวไหม เวียนหัวไหมครับ” “แม่ปวดหัวนิดหน่อยจ้ะ แม่นึกว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นหน้าลูกสองคนอีกแล้ว” ปนัดดาน้ำตาซึมเธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอด จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ยังมีสติได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ “แม่นอนไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เลยค่ะ” “ตายล่ะ แม่นอนไปนานขนาดนั้นแล้วค่ารักษาล่ะลูก แล้วนี่โรงพยาบาลเอกชนใช่ไหม” สีหน้าคนเจ็บซีดลงเพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินค่ารักษามาจากที่ไหน “ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ คู่กรณีเขามีประกันชั้นหนึ่ง เขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ” “จริงเหรอปุณ” “จริงสิคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลยค่ะ” “ถึงเราจะไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแต่เราก็ขาดรายได้ แล้วรถแม่ล่ะ” “ตอนนี้รถอยู่ที่อู่ซ่อมค่
ปุณณิศาเปลี่ยนมาสวมชุดเกาะอกรัดรูปสีแดงเพลิงส่งให้ร่างที่ขาวอยู่แล้วกลับขาวเด่นยิ่งขึ้น ชุดที่สวมนั้นเน้นสัดส่วนยั่วยวนจนเธอเองมองในกระจกแล้วยังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่เกินไปด้วยซ้ำ เธอนั่งให้เพื่อนร่วมงานช่วยแต่งหน้าในขณะที่สมองกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ทำอยู่ว่ามันจะคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่ต้องเสียไปเพียงเพื่อเงินห้าหมื่นบาท“ปุณ เรารู้นะว่าปุณกำลังคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องไหม แต่ปุณอย่าลืมนะว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าปุณไม่ทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้โรงพยาบาล แล้วถ้าป้าดาไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลตามกำหนดปุณก็ต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่ม”“เรากลัวแม่รู้แม่จะเสียใจ”“แล้วปุณมีทางออกอื่นไหมล่ะ”“ก็เพราะไม่มีทางออกน่ะสิ ถึงต้องทำแบบนี้ กัญญาห้ามบอกเรื่องนี้กับแม่และน้องเราเด็ดขาดนะ”“ไม่บอกหรอกน่า สัญญาเลย” กัญญาวีร์เกี่ยวก้อยสัญญากับเพื่อน เธอเองก็อยากจะช่วยเพื่อนแต่ก็หาทางออกไม่ได้เหมือนกัน ลำพังเงินของตัวเองแต่ละเดือนก็แทบจะไม่มีเหลือแล้วจะเอาเงินที่ไหนให้เพื่อนหยิบยืม“แต่เรากลัว...” ปุณณิศาพูดด้วยเสียงสั่น“เราเข้าใจปุณนะ ปุณท่องไว้นะว่าทำเพื่อแม่และน้องถ้าไม่ทำ แม่ก็จะไม่ได้ออกจากโรงพ
ชานนท์ดันให้หญิงสาวนอนลงบนเตียงแล้วเบียดร่างแข็งแรงให้เสียดสีกับร่างเย้ายวนด้านล่าง ปุณณิศาหน้าแดงระเรื่อ เนื้อตัวสั่นสะท้านกับสัมผัสที่ไม่เคยพบเจอ และเมื่อสบตากับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยไฟปรารถนาก็ทำให้เธอแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง“แสดงเก่งดีนี่”เสียงทุ้มกระซิบก่อนจะส่งปลายลิ้นเข้าไปตวัดหยอกล้อกับซอกคอและติ่งหู ขบเม้มเบาๆ ทำให้ปุณณิศาปั่นป่วนไปทั้งท้องน้อย ชายหนุ่มประกบปากจูบอีกครั้งส่งปลายลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรง ปากนุ่ม เกี่ยวพันกับเรียวลิ้นเล็กอย่างหิวกระหาย ความหวานที่ได้รับยิ่งทำให้ชานนท์รู้สึกหลงใหล ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่กระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนของเขาให้ลุกโชนได้มากเท่านี้มาก่อนเลยความรู้สึกต่อต้านในคราแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นความแปลกใหม่ปุณณิศากำลังจะหมดแรงเพราะฤทธิ์จูบจากเขา“อ่า...”ชานนท์ครางด้วยเขาพอใจกับการตอบสนองเงอะงะของ คนที่เขาคิดว่าเธอกำลังเสแสร้ง กายของเขารุ่มร้อนและจูบก็เริ่มร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าเขาจะเขายอมผละออกจากปากอวบอิ่ม ปุณณิศาก็แทบจะขาดอากาศหายใจชายหนุ่มสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่น เขาไล้ปากและจมูกลงไปยังซอกคอระหง ยอมรับเลยว่ากลิ่นกายของเธอช่างหอมและเย้ายวนอย่างที่ไม่เ
“คุณนนท์หนูไม่ไหวแล้ว” ปุณณิศาร้องขอเธอกำลังจะหมดแรงในขณะที่เขายังคงไม่ยอมหยุดพัก “อีกครั้งปุณ” ปุณณิศาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการร่วมรักครั้งแรกของเธอจะเกิดความรู้สึกมากมายได้ขนาดนี้ ทั้งสุข ทั้งเสียว ทั้งทรมาน ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อชื้นไปด้วยเหงื่อยามที่เขาอยู่ด้านบนตัวเธอแล้วก็ยิ่งทำให้อารมณ์ปรารถนาของเธอพุ่งขึ้นสูงได้อย่างง่ายดาย “แน่นมาก ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยปุณเธอทำให้ฉันแทบคลั่ง” “คุณนนท์..อื้ม..หนูจะถึงอีกแล้ว...” “พร้อมกันนะปุณ อื้อ....อ่าห์.....” เสียงแหบพร่าครางอย่างสุขสม ความรู้สึกที่ช่องทางรักโอบรัดมันทำให้เขาฉีดพ่นลาวารักออกมาอย่างมากมายไม่รู้จบ ชานนท์รีบถอดเกราะป้องกันออกจากนั้นสวมกอดเธอไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยทำแบบนี้กับคู่นอนคนไหนมาก่อน “ฉันมีความสุขมากปุณณิศา เธอก็มีความสุขเหมือนกันใช่ไหม” เขากระซิบข้างหู แต่อีกคนกลับนอนนิ่ง พอเขาก้มหน้ามองก็เห็นว่าเธอหลับไปแล้ว “ฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนี้กับใครเลยปุณณิศา”เมื่อได้ครอบครองเธอเป็นคนแรกเขาก็รู้สึกหวงแหนและยอมไม่ได้ถ้าจะให้ใครม
เมื่อคืนกัญญาวีร์แวะที่ร้านขายยาที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อซื้อยาแก้ปวดและแก้อักเสบให้ปุณณิศาทานเช้านี้หญิงสาวเลยไม่รู้สึกเจ็บมาก แต่ตามเนื้อตัวยังมีร่องรอยที่เขาทำไว้ เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกายสาวก็สั่นสะท้าน เธอยอมรับว่ามันเจ็บมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็อ่อนโยนกับเธอมากขึ้นปุณณิศาจำไม่ได้ว่าตัวเองมีความสุขกี่ครั้ง รู้แต่ไม่เคยมีความสุขแบบนั้นมาก่อน ไม่รู้ว่าเวลาที่เขาเห็นตัวเองในกระจกเขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่า เพราะเธอเองก็ทั้งข่วนทั้งหยิกและกัดไปที่บ่าของเขาไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่ตอนนั้นมันห้ามร่างกายไม่ได้เลยสักนิด ทุกอย่างมันเป็นไปตามสัญชาตญาณซึ่งเขาเป็นคนปลุกมันขึ้นมา ปุณณิศาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวนานกว่าทุกวันเพราะต้องปกปิดร่องรอยที่เขาทำไว้ให้ดีก่อนที่จะออกจากบ้าน หญิงสาวแวะที่ธนาคารจัดการขึ้นเช็คจากนั้นก็รีบตรงไปยังโรงพยาบาล “พี่ปุณมาพอดีเลย ผมขอไปเรียนก่อนนะครับแม่แล้วตอนเย็นจะมาใหม่นะครับ” “ตั้งใจเรียนนะปั้น” “ครับแม่ ผมไปก่อนนะครับแม่ พี่ปุณ” พอลูกชายออกไปแล้วสีหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อคร
ปุณณิศามาพบชานนท์ที่บริษัทในเวลาบ่ายของวันจันทร์จากนั้นเขาก็ให้ผู้ช่วยเลขาพาหญิงสาวไปซื้อชุดใหม่ ก่อนจะพาเธอกลับมานั่งรอเขาที่ห้องทำงานเพราะชายหนุ่มติดประชุมกับผู้บริหาร ชุดที่ผู้ช่วยเลขาเลือกซื้อส่วนใหญ่จะเน้นที่ชุดกระโปรงทำให้เธอกลายเป็นสาวหวานอย่างที่ชานนท์สั่งไว้ ส่วนใบหน้าและทรงผมนั้นเขาพอใจอยู่แล้วจึงไม่ต้องเปลี่ยนหรือแต่งหน้าให้ยุ่งยาก หญิงสาวมองถุงที่ใส่ชุดอีกหลายถุงที่วางอยู่ตรงพื้นแล้วก็ถอนหายใจเพราะมันดูจะมากเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ แต่พอบอกจะไม่เอาคนที่พาเธอไปก็ขอร้องเพราะถ้าอย่างนั้นเธออาจจะโดนเขาดุ ปุณณิศาก็เลยได้เสื้อผ้ามาอีกหลายชุด กว่าชานนท์จากออกจากห้องประชุมก็เกือบจะค่ำ แต่วันนี้ปุณณิศาไม่ต้องไปทำงานที่ผับแล้วจึงไม่มีธุระรีบไปไหน “เบื่อไหม” เขาถามหลังจากกลับมาจากห้องประชุมแล้วเห็นหญิงสาวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้องทำงาน ชานนท์เดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน “นิดหน่อยค่ะ” อันที่จริงเธอเบื่อมากที่ต้องมานั่งไถมือถือเล่นเพื่อรอเขาแบบนี้ แต่เพราะชานนท์เป็นนายจ้างปุณณิศาก็เลยต้องยอม “หิวหรือยังล่ะ”
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว
วันนี้ปุณณิศามีเรียนในตอนบ่ายหญิงสาวจึงตื่นนอนสายกว่าทุกวัน เธอไม่ต้องไปทานอาหารเช้ากับคุณปู่เพราะวันนี้ท่านไปทำบุญที่วัดกับลุงทศตั้งแต่เช้าเรื่องที่ชานนท์บอกว่าจะคุยด้วยก็ยังไม่ได้คุย เพราะเมื่อคืนเธอหมดแรงหลับไปก่อน พอตื่นเช้ามาเขาก็ออกไปทำงานแล้ว หญิงสาวเดินลงมาที่ห้องครัวก็มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอทานเสร็จก็เก็บล้างและคิดว่าจะออกไปมหาวิทยาลัยสักสิบเอ็ดโมงเพราะมีแผนจะไปยืมไอแพดที่มหาวิทยาลัยขณะกำลังแต่งตัวชานนท์ก็โทรมาบอกเธอรอเขาอยู่ที่บ้านเพราะชายหนุ่มจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย พอเขามาถึงเธอก็เร่งให้เขารีบไปส่งทันที“มีเรียนบ่ายโมงใช่เหรอ ทำไมดูรีบจังพี่ว่าจังพี่ว่าจะชวนหนูไปหาอะไรกินแล้วค่อยไปเรียนสักหน่อย”“หนูรีบไปยืมไอแพดค่ะ พี่นนท์ออกรถเลยค่ะ”“ยืมไอแพด ยืมใครครับ แล้วทำไมไม่ซื้อเอง”“ยืมที่คณะค่ะ เขามีให้นักศึกษายืม แต่ต้องเขียนคำร้องแล้ววันนี้ก็เปิดให้เขียนคำร้องวันแรกค่ะ หนูอยากรีบไปเขียนก่อนเข้าเรียนค่ะ”“พี่เคยบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอกจำไม่ได้เหรอ”“จำได้ค่ะ แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของหนู”ชานนท์หันมามองก่อนจะถอนหายใจอย่างแรงพลางส่ายหน้า“
ชานนท์กดริมฝีปากลงกับเนินอกอวบอิ่มหนักๆ สร้างร่องรอยตีตราจองไว้ทุกจุดที่ลากผ่า ปลายนิ้วเรียวยาวเลื่อนลงไปสัมผัสจุดอ่อนไหวเบื้องล่าง“พี่นนท์...”“เปียกอีกแล้ว”“ก็เพิ่งอาบน้ำ”“แน่ใจเหรอว่าเพราะอาบน้ำ”“พี่นนท์ขา...”หญิงสาวเสียงสั่นเลือดลมในกายพลุ่งพล่านร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงราคะที่พร้อมจะแผดเผา ลมหายใจเริ่มสะดุดเพราะนิ้วร้ายที่รุกล้ำนั้นขยับเข้าออกเร่งเร้าให้ไฟให้โหมกระหน่ำมากขึ้นทุกขณะ“เสียวมากไหนคนเก่ง”“อื้ม พี่นนท์ขาอย่าแกล้ง”“ใครจะแกล้งเมียกันล่ะ พี่ก็แค่กำลังจะส่งหนูไปสวรรค์”“อ๊า...”เสียงครวญครางของหญิงสาวที่ค่อยๆ เพิ่ม ระดับความดังมากขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งสูงจากการปรนเปรอด้วยนิ้วร้ายที่หมุนวนคว้านครูดเสียดสีจนสมองของปุณณิศามึนงงไปหมด ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงแรงบีบรัดที่ตอดถี่รัวกล้ามเนื้อภายในกลีบกุหลาบสีสวยของเธอ สองหนุ่มสาวสบตาสื่อสารกันทางความรู้สึกที่เข้าใจได้ไม่ยาก ปุณณิศาหน้าแดงซ่านร่างกายกำลังจะถึงจุดสูงสุด ชานนท์ดูดเต้างามเข้าอุ้งปาก ปลายลิ้นตวัดเลียเม็ดทับทิม ขณะส่งนิ้วรัวเร็วจนในที่สุดหญิงสาวก็ขับน้ำหวานออกมาจนชุ่มไปทั้งปลายนิ้ว เธอเกร็งกระตุกรัดนิ้วอย่างรุนแรงจนเขาต้องร
ชานนท์ขับรถตรงมาจอดที่หน้าบ้านของตัวเองเพราะอยากจะคุยกับปุณณิศาให้รู้เรื่อง แต่พอเขาจอดรถ เธอก็เปิดประตูแล้วรีบเดินไปทางบ้านของคุณปู่ เขาเลยต้องเดินตามเธอไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าตัวเองเพิ่งจะร้องไห้มาในรถแต่พอมาเจอกับคุณปู่ปุณณิศาก็ปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี เธอไม่อยากให้ท่านต้องเป็นกังวลไปด้วยที่เห็นว่าเธอกับเขาโกรธกันอยู่ “เปิดเทอมแล้วเรียนนักไหมล่ะปุณ” “ไม่ค่ะ ช่วงนี้ยังสบายๆ อยู่ค่ะ แต่เดือนหน้าก็คงจะเริ่มหนักขึ้น” “อดทนนะ อีกไม่ถึงสองปีก็จะจบแล้ว คิดไว้หรือยังว่าจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน”“หนูอยากสอนที่โรงเรียนใกล้บ้านค่ะ แต่ไม่รู้จะสอบได้ไหม เพราะโรงเรียนที่อยู่ในเมืองคนก็จะสอบกันเยอะค่ะ แต่บางทีก็คิดเหมือนกันค่ะว่าอยากจะไปสอบโรงเรียนไกลๆ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากไปกันเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ก็มีมากขึ้น”“แล้วถ้าต้องอยู่ลำบากแบบนั้นหนูจะทนได้เหรอลูก” ปู่มนตรีเป็นห่วงกลัวหลานสะใภ้จะลำบาก“ได้สิคะ”“ปู่ขออวยพรให้หนูสอบได้โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ บ้านก็แล้วกันนะลูก ปู่ไม่อยากให้ไปไกลเลย”“ขอบคุณค่ะคุณปู่”“จะไปสอบทำไมใ