“คุณนนท์หนูไม่ไหวแล้ว” ปุณณิศาร้องขอเธอกำลังจะหมดแรงในขณะที่เขายังคงไม่ยอมหยุดพัก
“อีกครั้งปุณ”
ปุณณิศาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการร่วมรักครั้งแรกของเธอจะเกิดความรู้สึกมากมายได้ขนาดนี้ ทั้งสุข ทั้งเสียว ทั้งทรมาน ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อชื้นไปด้วยเหงื่อยามที่เขาอยู่ด้านบนตัวเธอแล้วก็ยิ่งทำให้อารมณ์ปรารถนาของเธอพุ่งขึ้นสูงได้อย่างง่ายดาย
“แน่นมาก ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยปุณเธอทำให้ฉันแทบคลั่ง”
“คุณนนท์..อื้ม..หนูจะถึงอีกแล้ว...”
“พร้อมกันนะปุณ อื้อ....อ่าห์.....”
เสียงแหบพร่าครางอย่างสุขสม ความรู้สึกที่ช่องทางรักโอบรัดมันทำให้เขาฉีดพ่นลาวารักออกมาอย่างมากมายไม่รู้จบ
ชานนท์รีบถอดเกราะป้องกันออกจากนั้นสวมกอดเธอไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยทำแบบนี้กับคู่นอนคนไหนมาก่อน
“ฉันมีความสุขมากปุณณิศา เธอก็มีความสุขเหมือนกันใช่ไหม” เขากระซิบข้างหู แต่อีกคนกลับนอนนิ่ง พอเขาก้มหน้ามองก็เห็นว่าเธอหลับไปแล้ว
“ฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนี้กับใครเลยปุณณิศา”
เมื่อได้ครอบครองเธอเป็นคนแรกเขาก็รู้สึกหวงแหนและยอมไม่ได้ถ้าจะให้ใครมาทำแบบนี้กับเธอ เขาไม่เคยติดใจใครแบบนี้มาก่อนในเมื่อเธอสะอาดละไม่เคยผ่านมือชายคนไหน มันก็คุ้มค่าที่เขาจะยอมจ่ายให้เธอมากกว่าที่เธอต้องการ
ชายหนุ่มอาบน้ำล้างคาบเหงื่อไคลแล้วเดินลงไปข้างล่าง เขาอยากคุยเรื่องของเธอกับเมคิน
“หายไปนานเลยนะ แล้วเด็กฉันล่ะ”
“ยังนอนอยู่ เดี๋ยวให้เพื่อนเธอเอาชุดไปให้เธอเปลี่ยนก่อนกลับด้วยนะ”
เมคินเดินไปบอกกัญญาวีร์ให้ขึ้นไปดูเพื่อนบนห้องก่อนจะเดินกลับมาคุยกับเพื่อนอีกครั้ง
“ฉันดีใจที่นายมาวันนี้”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เธอเปลี่ยนใจไปทำงานแบบนั้นล่ะ”
“เธอจำเป็นต้องใช้เงิน”
“คนเราก็ต้องจำเป็นต้องใช้เงินกันทั้งนั้น ฉันว่าเป็นข้ออ้างเปลี่ยนงานหรือเปล่า เพราะงานนี้ได้เงินดีกว่าเชียร์แขกเยอะเลยนะ”
“แม่เธอนอนโรงพยาบาลน่ะ ต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษา ฉันให้เธอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าไปสองเดือนแล้วแต่มันก็ยังไม่พอ น้องเธอก็ต้องเตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศอีก”
เรื่องน้องชายของเธอเขาก็เคยได้ยินเธอคุยกับเพื่อนแต่เรื่องแม่ของเธอเขาเพิ่งเคยได้ยิน
“แน่ใจเหรอว่าที่เธอเล่ามาเป็นเรื่องจริง”
“อือ อาทิตย์ที่แล้วแม่เธอเข้าโรงพยาบาลเพราะรถชนเห็นว่ามีเลือดออกในสมองแต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายมันเยอะคู่กรณีก็ช่วยแต่มันก็มีส่วนต่างจากประกัน เธอก็เลยต้องรีบหาเงิน”
“หมายถึงจากนี้เธอจะเป็นเบอร์ตองของที่นี่ตลอดเหรอ” ชานนท์ไยอมไม่ได้แน่ๆ ถ้าหากเธอจะกลับเข้าไปนั่งในตู้เดิมอีก
“ไม่หรอก เธอว่าจะทำแค่ครั้งเดียว ดูมึงสนใจเธอนะ”
“มึงก็รู้ว่ากกูกำลังหาใครสักคนไปหลอกปู่ กูอยากให้เธอรับงานนี้มึงช่วยคุยให้หน่อย”
“ทำไมไม่คุยเองล่ะ”
“กูกลัวเขาไม่เชื่อ ให้มึงลองเกริ่นก่อน แล้วพรุ่งนี้กูจะมาฟังคำตอบ”
ก่อนกลับชานนท์ก็ทิ้งเช็คจำนวนหนึ่งแสนบาทให้กับปุณณิศา เมคินเห็นจำนวนเงินแล้วยิ้ม เขาพอจะเดาออกว่าเพื่อนคนนี้คงมีความสุขไม่น้อยถึงได้จ่ายให้เธอมากกว่าที่ควรจะจ่าย ถ้าปุณณิศารับขอเสนอของชานนท์ก็คงจะดีกับทั้งสองฝ่าย
“ปุณ ปุณ”
“อือ กัญญา”
“เป็นไงบ้าง เขาทำร้ายปุณหรือเปล่าเจ็บมากไหม”
“เจ็บสิ ไม่คิดมาก่อนว่าครั้งแรกมันจะเจ็บแบบนี้”
“ลุกไหวไหม”
“ไหว กัญญาไปทำงานต่อเถอะเดี๋ยวเราเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะตามลงไป”
“ไหวแน่นะปุณ”
ปุณณิศาพยักหน้า พอเพื่อนเดินออกจากห้องไปแล้วหญิงสาวก็นั่งร้องไห้
“แม่ขา ปุณขอโทษนะคะที่ทำแบบนี้ แต่ปุณไม่มีทางออกแล้วจริงๆ” ใช่ว่าเธอไม่หาทางออกอื่น แต่ก่อนหน้านั้นเธอกับมารดาก็ไปหยิบยืมจากคนในตลาดมาบ้างแล้ว ถ้าไปยืมอีกก็คงไม่มีใครยอมให้
กว่าปุณณิศาจะจะลงมาจากชั้นสามก็เกือบจะถึงเวลาปิดร้าน เธอทั้งเหนื่อยและเจ็บ การก้าวขาแต่ละครั้งนั้นช่างยากลำบากแต่ก็พยายามเดินลงมาจากชั้นสาม
“ปุณ นี่เช็คแขกฝากให้” เมคินส่งเช็คเงินสดให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” ปุณณิศายกมือไว้ก่อนแล้วถามต่อขึ้นหลังจากเห็นตัวเลขที่อยู่บนในเช็ค
“หมดนี่เลยเหรอคะ”
“อือ หมดนั่นแหละ” ปกติแล้วจะต้องหักค่าตัวของเด็กที่ร้าน แต่สำหรับปุณณิศาแล้วเขาอยากจะช่วยเธอจึงไม่คิดจะหักแม้แต่บาทเดียว
“แต่ปุณว่ามันเยอะเกินไปนะคะ”
“ไม่เยอะหรอก แค่นี้คนหน้าแข้งไอ้นนท์มันไม่ล่วงหรอก”
“รับไปเถอะปุณ เงินที่เหลือจากค่ารักษาแม่จะได้เอาไปจ่ายเจ๊น้ำ ขานั้นดอกเบี้ยโหดมาก”กัญญาวีร์ก็เคยไปกู้เงินเจ๊น้ำเลยพอจะรู้ว่าดอกเบี้ยนั้นมันโหดมากแค่ไหน
“ขอบคุณค่ะคุณเมคิน” หญิงสาวยกมือไหว้อีกครั้ง
“จะขอบคุณฉันทำไม คนที่ต้องขอบคุณก็คือไอ้นนท์นะ”
“ปุณฝากขอบคุณเขาด้วยนะคะ”
“ปุณ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย ไม่รีบกลับใช่ไหม”
“งั้นเราไปรอที่รถนะปุณ”
“ไม่ต้องไปหรอกกัญญา ฟังด้วยกันก็ได้ จะได้ช่วยตัดสินใจกับเพื่อนไง” เมคินรู้ว่ากัญญาวีร์มีทักษะการพูดที่ดีและจะโน้มน้าวให้ปุณณิศาให้รับงานได้อย่างแน่นอน
แล้วเมคินก็เล่าเรื่องที่ชานนท์จะจ้างให้เธอเป็นภรรยาหลอกๆ และพาเข้าไปอยู่ที่บ้าน เพื่อให้คุณปู่เลิกจับคู่เขากับผู้หญิงอื่น
“แค่แกล้งเป็นภรรยาใช่ไหมคะคุณเมคิน” คนที่ถามคือกัญญาวีร์
“ก็ประมาณนั้น” เขาไม่รู้ว่าเพื่อนจะจ้างแค่เป็นภรรยาหลอกหรือจ้างไปนอนด้วยเพราะเท่าที่สังเกตดูชานนท์จะติดใจปุณณิศามากกว่าทุกคนที่เขาเคยเห็น
“เขาจะจ้างเท่าไหร่คะ แล้วปุณจะยังมาทำงานที่นี่ได้ไหม”
“เรื่องค่าจ้างฉันก็ไม่แน่ใจ ปุณต้องไปคุยกับมันเอง ส่วนเรื่องมาทำงานที่นี่คงยากหน่อย เพราะถ้าปู่เขารู้คงไม่ดีแน่”
“งั้นปุณไม่รับค่ะ ถ้าไม่ได้มาทำงานที่นี่ปุณก็ต้องขาดรายได้ อีกอย่างปุณก็รับเงินเดือนมาแล้วสองเดือนนะคะ”
“ไม่ยากนี่ ปุณก็ให้เขาจ่ายเงินเดือนคืนให้คุณเมคิน ส่วนค่าจ้างเขาก็ต้องให้มากว่าทำงานที่นี่ รายได้เฉลี่ยเดือนหนึ่งก็ประมาณสี่หมื่น ถ้าเพื่อนคุณเมคินตกลงให้มากกว่านี้มันก็คุ้มนะ ไม่ต้องนอนดึกด้วย”
“มันจะมากเกินไปไหมคะคุณเมคิน”
“เรื่องค่าจ้าง เดี๋ยวฉันจะคุยให้อีกทีนะ ถ้าได้ตามนี้ปุณตกลงไหม”
“ก็น่าสนใจนะคะ แต่ปุณยังต้องแบ่งเวลาไปดูแลแม่ ปุณคงไปอยู่กับเขาไม่ได้ตลอดหรอกค่ะ” แม้งานที่เมคินเสนอจะฟังดูสบายแต่ถ้าไม่ได้ดูแลมารดาเธอก็ไม่อยากรับ
“เอางี้นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะนัดเขามาเจอที่นี่ ส่วนเรื่องค่าจ้างและรายละเอียดค่อยคุยกันอีกทีได้ไหม” เมคินตัดสินใจแทนเพื่อนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินแต่เป็นเรื่องที่เธอยังไม่พร้อมจะไปอยู่กับชานนท์ตลอดเวลาเพราะต้องดูแลมารดา เขาไม่รู้ว่าเพื่อนจะของตนเองจะโอเคกับเรื่องนี้หรือเปล่า
เมื่อคืนกัญญาวีร์แวะที่ร้านขายยาที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อซื้อยาแก้ปวดและแก้อักเสบให้ปุณณิศาทานเช้านี้หญิงสาวเลยไม่รู้สึกเจ็บมาก แต่ตามเนื้อตัวยังมีร่องรอยที่เขาทำไว้ เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกายสาวก็สั่นสะท้าน เธอยอมรับว่ามันเจ็บมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็อ่อนโยนกับเธอมากขึ้นปุณณิศาจำไม่ได้ว่าตัวเองมีความสุขกี่ครั้ง รู้แต่ไม่เคยมีความสุขแบบนั้นมาก่อน ไม่รู้ว่าเวลาที่เขาเห็นตัวเองในกระจกเขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่า เพราะเธอเองก็ทั้งข่วนทั้งหยิกและกัดไปที่บ่าของเขาไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่ตอนนั้นมันห้ามร่างกายไม่ได้เลยสักนิด ทุกอย่างมันเป็นไปตามสัญชาตญาณซึ่งเขาเป็นคนปลุกมันขึ้นมา ปุณณิศาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวนานกว่าทุกวันเพราะต้องปกปิดร่องรอยที่เขาทำไว้ให้ดีก่อนที่จะออกจากบ้าน หญิงสาวแวะที่ธนาคารจัดการขึ้นเช็คจากนั้นก็รีบตรงไปยังโรงพยาบาล “พี่ปุณมาพอดีเลย ผมขอไปเรียนก่อนนะครับแม่แล้วตอนเย็นจะมาใหม่นะครับ” “ตั้งใจเรียนนะปั้น” “ครับแม่ ผมไปก่อนนะครับแม่ พี่ปุณ” พอลูกชายออกไปแล้วสีหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อคร
ปุณณิศามาพบชานนท์ที่บริษัทในเวลาบ่ายของวันจันทร์จากนั้นเขาก็ให้ผู้ช่วยเลขาพาหญิงสาวไปซื้อชุดใหม่ ก่อนจะพาเธอกลับมานั่งรอเขาที่ห้องทำงานเพราะชายหนุ่มติดประชุมกับผู้บริหาร ชุดที่ผู้ช่วยเลขาเลือกซื้อส่วนใหญ่จะเน้นที่ชุดกระโปรงทำให้เธอกลายเป็นสาวหวานอย่างที่ชานนท์สั่งไว้ ส่วนใบหน้าและทรงผมนั้นเขาพอใจอยู่แล้วจึงไม่ต้องเปลี่ยนหรือแต่งหน้าให้ยุ่งยาก หญิงสาวมองถุงที่ใส่ชุดอีกหลายถุงที่วางอยู่ตรงพื้นแล้วก็ถอนหายใจเพราะมันดูจะมากเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ แต่พอบอกจะไม่เอาคนที่พาเธอไปก็ขอร้องเพราะถ้าอย่างนั้นเธออาจจะโดนเขาดุ ปุณณิศาก็เลยได้เสื้อผ้ามาอีกหลายชุด กว่าชานนท์จากออกจากห้องประชุมก็เกือบจะค่ำ แต่วันนี้ปุณณิศาไม่ต้องไปทำงานที่ผับแล้วจึงไม่มีธุระรีบไปไหน “เบื่อไหม” เขาถามหลังจากกลับมาจากห้องประชุมแล้วเห็นหญิงสาวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้องทำงาน ชานนท์เดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน “นิดหน่อยค่ะ” อันที่จริงเธอเบื่อมากที่ต้องมานั่งไถมือถือเล่นเพื่อรอเขาแบบนี้ แต่เพราะชานนท์เป็นนายจ้างปุณณิศาก็เลยต้องยอม “หิวหรือยังล่ะ”
ชานนท์พาปุณณิศามายังบ้านของตนเอง ซึ่งเพิ่งจะสร้างขึ้นได้ไม่นานเพราะก่อนหน้านั้นเขาอยู่กับบิดามารดาซึ่งบ้านของท่านอยู่ถัดจากบ้านหลังนี้ไปอีกซอย แต่พอบิดามารดาย้ายไปเชียงใหม่ เขาก็มาสร้างบ้านอีกหลังใกล้กับบ้านของคุณปู่ “พี่นนท์อยู่คนเดียวเหรอคะ” “อือ ถามทำไม คิดว่าเหรอจะอยู่กับใครเหรอ” “เปล่าค่ะ หนูก็แค่แปลกใจ คุณปู่ก็อยู่คนเดียวพี่นนท์ก็อยู่คนเดียว แต่ทำไมไม่อยู่บ้านเดียวกันล่ะคะ” “คนเราก็ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างสิ” “อ้อ วิถีคนรวยสินะคะ” ปุณณิศานึกถึงบ้านของตนเองที่อยู่กันตั้งสามคนแต่ขนาดของบ้านไม่ได้ครึ่งหนึ่งของบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ “หรือเธออยากจะให้ฉันย้ายไปอยู่กับคุณปู่ล่ะ” “ไม่ดีกว่าค่ะ อยู่ห่างแบบนี้ก็ดีเหมือนกันหนูจะได้ไม่เกร็งมาก” “ยังจะต้องเกร็งอะไร ฉันเห็นเธอคุยกับปู่ของฉันสนิทสนมเชียว” “ก็หนูอยากทำงานให้คุ้มค่าจ้างนี่ค่ะ” “แน่นะว่าอยากทำงานให้คุ้มค่าจ้าง” จู่ๆ คนที่เดินนำหน้าก็หยุดแล้วหันกลับมาทำให้คนที่เดินตามหลังไม่ทันระวังใบหน้าสวยจึงชนกับแผงอกเขาอย่างจัง หญิงสาวเก
ชานนท์มาพาปุณณิศามาพบกับหมอที่เป็นเพื่อนของเขาเพื่อขอคำแนะนำการคุมกำเนิด เมื่อคุณหมออธิบายถึงข้อดีข้อเสียของการคุมกำเนิดแต่ละวิธีแล้วก็ให้หญิงสาวเป็นคนตัดสินใจเอง “หมอคะถ้าหนูเลือกฝังเข็มได้ไหมคะ” ปุณณิศาตัดสินใจเลือกวิธีนี้เพราะหนึ่งในข้อดีของยาชนิดนี้คือเธอจะปวดประจำเดือนน้อยลง เนื่องจากที่ผ่านมาในแต่ละเดือนนั้นเธอปวดท้องมากจนบางครั้งลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว “ได้ครับ แต่คนไข้จะเจ็บ 2 ครั้งคือครั้งที่ฝังกับครั้งที่เอาออกแต่เรื่องความปลอดภัยก็ค่อนข้างสูงกว่าวิธีอื่น” “มันเจ็บไม่มากใช่ไหมคะ” “ไม่ครับคนไข้จะเจ็บก็ตอนที่ฉีดยาชาเท่านั้นแล้วแผลก็เล็กมากระยะเวลาคุมกำเนิดก็มี 3-5 ปี แต่ถ้าอยากจะเอาออกก่อนครบกำหนดก็สามารถเอาออกได้ทันทีครับ” คุณหมออธิบายอีกครั้งเพื่อประกอบการตัดสินใจเนื่องจากวิธีอื่นเธอจะไม่เจ็บตัว “ปุณ แน่ใจนะว่าจะเลือกวิธีนี้” ชานนท์นึกว่าเธอจะเลือกวิธีทานยาคุมกำเนิดเหมือนที่เธอเคยบอกกับเขา “ค่ะ หนูกลัวพลาด แล้วหนูก็ขี้ลืมด้วยค่ะ วิธีนี้เหมาะกับหนูที่สุดแล้ว” “แล้วไม่กลัวเข็มเหรอ”
แผลจากการฝังยาคุมกำเนิดของปุณณิศาหายดีหลังจากผ่านไปสี่วันตอนนี้เธอกลับมาสวมเสื้อแขนสั้นและไปทานอาหารที่บ้านของคุณปู่มนตรีได้อย่างไม่ต้องระแวงว่าท่านจะถามถึงที่มาของแผลที่ต้นแขน“เย็นนี้พี่นนท์ไปทานข้าวกับลูกค้า เราทานข้าวกันสองคนนะคะคุณปู่” ปุณณิศาพูดพลางตักอาหารใส่จานให้ปู่มนตรี เธอชอบที่จะทานกับคุณปู่แค่สองคนมากกว่าเพราะถ้าชานนท์อยู่ด้วยเธอจะค่อนข้างเกร็ง“ปู่ชินแล้วล่ะ ตานนท์ก็บ้างานแบบนี้ตลอด จะห่วงก็แต่หนูนั่นแหละ ย้ายมาอยู่กับพี่เขาก็เกือบอาทิตย์แล้ว เป็นยังไงบ้างล่ะ”“ก็ดีค่ะ”“ถ้าพี่เขาทำอะไรให้ลำบากใจก็บอกปู่นะ หลานปู่นะ มันค่อนข้างจริงจังกับงานบางครั้งก็อาจจะกลับดึกบ้าง หนูอยู่คนเดียวได้ไหมล่ะ จะให้ชมพู่ไปอยู่เป็นเพื่อนไหม”“ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยู่คนเดียวได้”หลังอาหารค่ำปุณณิศาก็นั่งคุยเป็นเพื่อนคุณปู่จนกระทั่งถึงเวลาที่ท่านต้องเข้านอน หญิงสาวจึงเดินกลับมายังบ้านของชานนท์ซึ่งตอนนี้เจ้าของบ้านยังไม่กลับมาจากทานอาหารเย็นกับลูกค้าหญิงสาวอาบน้ำแล้วลงมานั่งรอเข้าที่ห้องรับแขกอย่างที่เคยรอเป็นประจำ ปุณณิศาไม่รู้ว่าคืนนี้จะกลับมาตอนไหน เธอนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขกจนกระทั่งเผลอหลับ
“ปู่ครับ ผมว่าแม่ต้องมีแผนอะไรแน่ๆ เลยจู่ๆ ก็ขึ้นมากรุงเทพ” ชานนท์ได้รับสายจากมารดาว่าเย็นนี้ให้เขาไปทานอาหารที่บ้านซึ่งพอเขาโทรกลับไปถามบิดาว่าอยากให้เขาเอาเครื่องดื่มอะไรไปให้ไหม บิดาของเขากลับบอกว่ามารดาลงมากรุงเทพกับเพื่อนซึ่งมันดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เพราะปกติแล้วท่านจะไม่ค่อยไปไหนหากบิดาไม่ไปด้วย “ปู่ก็ไม่รู้เหมือน แล้วยังไงล่ะ เราไปทานอาหารเย็นกับแม่เขาไหม” “ก็คงต้องไปแหละ ผมอยากชวนปูไปด้วย” ชานนท์รับมือกับมารดาได้ไม่ดีเท่าไหร่เขาจึงอยากชวนคุณปู่ไปด้วย เพราะท่านกับมารดามักจะมีความคิดเห็นไม่ค่อยตรงกัน “แล้วหนูปุณล่ะ” “กำลังเตรียมตัวครับ ปู่ครับ ผมกลัวว่าแม่จะไปยอมรับปุณ” “หนูปุณน่ารักออกอย่างนั้นจะไม่ยอมรับได้ยังไง ปู่ว่าแกกังวลเกินไปหรือเปล่า” “ไม่รู้สิครับ ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆ” “ไม่มีอะไรหรอก ปู่ไปด้วยทั้งคน” ชานนท์ขับรถมายังบ้านของบิดามารดาซึ่งเขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าท่านทั้งสองจะไปทำที่ไร่ส้มที่เชียงใหม่แล้วแต่ที่บ้านก็ยังมีคนสวนและแม่บ้านที่คอยดูแลอยู่เสมอ “มาแล้วเหรอตา
ชานนท์มาจอดที่หน้าบ้านเรือนไทย เขาและปุณณิศาลงไปส่งคุณปู่ที่ห้องรับแขก พอนายทศเห็นก็รีบเอาน้ำเย็นๆ มาต้อนรับ “เป็นยังไงบ้างล่ะหนูปุณ เจอฤทธิ์แม่ตานนท์เข้าไป คงไม่คิดจะถอยหรอกนะ” “ไม่หรอกค่ะคุณปู่” “ปู่ดีใจที่เห็นหนูสองคนหนักแน่นนะ ถ้าไม่ติดว่ายังต้องเรียนหนังสือปู่จะให้รีบแต่งงานกันก่อนเลย” “คุณท่านครับ เรียนก็แต่งได้ คุณท่านจำหลานคุณสุพจน์ได้ไหมครับ เขาเพิ่งแต่งงานจดทะเบียนไปเอง” “อ้อ จริงสิ” มนตรีนึกออกเพราะเขาก็ไปร่วมงานแต่งงานซึ่งจัดเป็นงานเล็กๆ ภายในครอบครัวเท่านั้น “ปู่ครับ ผมว่าเรื่องแต่งงานเอาไว้ก่อนดีไหม ผมอยากให้ปุณเรียนให้จบจะได้ไม่มีใครว่าเอาได้ แล้วถ้าต้องแต่งเหมือนหลานคุณสุพจน์ปู่จะยอมเหรอครับ” “ไม่มีทาง แต่งแบบนั้นรู้กันไม่กี่คน หลานชายปู่แต่งงานทั้งทีต้องจัดให้ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นหนูปุณอดทนหน่อยนะลูก แม่ตานนท์เขามาแค่แป๊บเดียวไม่กี่วันก็คงกลับเชียงใหม่” “ค่ะคุณปู่” ปุณณิศารับคำ เพราะถ้าให้เธอต้องแต่งงานตอนนี้คงไม่ดีแน่ ทั้งสองคนคุยกับปู่อีกไม่นานก็ขอตัวกลับบ้าน ระหว่างทางชา
“กรี๊ด!!!!” แม้ว่าแพรไพลินจะกรี๊ดลงกับหมอนแต่เสียงก็ยังเล็ดลอดออกมาจนมารดาต้องรีบเดินเข้ามาห้าม “เบาๆ หน่อยสิลูก เดี๋ยวป้านุชก็มาได้ยินหรอกค่ะ” “แม่ขา แพรว่าเราคงหมดหวังแล้วล่ะค่ะ พี่นนท์ทั้งรักทั้งหลงมันขนาดนั้นไหนจะคุณปู่ที่เห็นดีเห็นงามไปอีกคนเราจะเสียเวลาเปล่านะคะแม่” “ไม่หรอกลูก หนูอย่าลืมสิว่าเรามีป้านุชที่อยู่ข้างเรานะ คนเป็นแม่ย่อมมีสิทธิ์มากกว่าใครอื่น” “แต่เท่าที่เห็นพี่นนท์ไม่ฟังแม่เขาเลยนะคะ” “มันเพิ่งเริ่มต้น แม่ว่าเดี๋ยวป้านุชก็จัดการเด็กคนนั้นได้ ถ้าแยกเขาสองคนออกจากกันได้ หนูก็เข้าไปแทรกตรงกลางแค่นั้นเอง” “แล้วถ้าป้านุชทำไม่ได้ เราจะไม่เสียเวลาเปล่าเหรอค่ะ” แพรไพลินมองไม่เห็นทางออกเลยว่าจะแยกชานนท์กับภรรยาออกจากกันยังไง “เราต้องทนลูก แม่ไม่อยากให้หนูไปเป็นเมียพ่อเลี้ยงแก่ๆ พวกนั้น ถ้าหนูได้แต่งงานกับคุณชานนท์หนูจะได้สบายไปทั้งชาติเท่าที่แม่รู้มาบริษัทของเขาทำรายได้ปีหนึ่งเป็นพันล้าน” “แม่คะ ถ้าเขามีเงินเยอะมากขนาดนั้นจริงๆ ทำไมป้านุชกับลุงธาตรีถึงไปทำไร่ที่เชียงใหม่ล่ะคะ ถ้าหนูมีเ
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว
วันนี้ปุณณิศามีเรียนในตอนบ่ายหญิงสาวจึงตื่นนอนสายกว่าทุกวัน เธอไม่ต้องไปทานอาหารเช้ากับคุณปู่เพราะวันนี้ท่านไปทำบุญที่วัดกับลุงทศตั้งแต่เช้าเรื่องที่ชานนท์บอกว่าจะคุยด้วยก็ยังไม่ได้คุย เพราะเมื่อคืนเธอหมดแรงหลับไปก่อน พอตื่นเช้ามาเขาก็ออกไปทำงานแล้ว หญิงสาวเดินลงมาที่ห้องครัวก็มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอทานเสร็จก็เก็บล้างและคิดว่าจะออกไปมหาวิทยาลัยสักสิบเอ็ดโมงเพราะมีแผนจะไปยืมไอแพดที่มหาวิทยาลัยขณะกำลังแต่งตัวชานนท์ก็โทรมาบอกเธอรอเขาอยู่ที่บ้านเพราะชายหนุ่มจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย พอเขามาถึงเธอก็เร่งให้เขารีบไปส่งทันที“มีเรียนบ่ายโมงใช่เหรอ ทำไมดูรีบจังพี่ว่าจังพี่ว่าจะชวนหนูไปหาอะไรกินแล้วค่อยไปเรียนสักหน่อย”“หนูรีบไปยืมไอแพดค่ะ พี่นนท์ออกรถเลยค่ะ”“ยืมไอแพด ยืมใครครับ แล้วทำไมไม่ซื้อเอง”“ยืมที่คณะค่ะ เขามีให้นักศึกษายืม แต่ต้องเขียนคำร้องแล้ววันนี้ก็เปิดให้เขียนคำร้องวันแรกค่ะ หนูอยากรีบไปเขียนก่อนเข้าเรียนค่ะ”“พี่เคยบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอกจำไม่ได้เหรอ”“จำได้ค่ะ แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของหนู”ชานนท์หันมามองก่อนจะถอนหายใจอย่างแรงพลางส่ายหน้า“
ชานนท์กดริมฝีปากลงกับเนินอกอวบอิ่มหนักๆ สร้างร่องรอยตีตราจองไว้ทุกจุดที่ลากผ่า ปลายนิ้วเรียวยาวเลื่อนลงไปสัมผัสจุดอ่อนไหวเบื้องล่าง“พี่นนท์...”“เปียกอีกแล้ว”“ก็เพิ่งอาบน้ำ”“แน่ใจเหรอว่าเพราะอาบน้ำ”“พี่นนท์ขา...”หญิงสาวเสียงสั่นเลือดลมในกายพลุ่งพล่านร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงราคะที่พร้อมจะแผดเผา ลมหายใจเริ่มสะดุดเพราะนิ้วร้ายที่รุกล้ำนั้นขยับเข้าออกเร่งเร้าให้ไฟให้โหมกระหน่ำมากขึ้นทุกขณะ“เสียวมากไหนคนเก่ง”“อื้ม พี่นนท์ขาอย่าแกล้ง”“ใครจะแกล้งเมียกันล่ะ พี่ก็แค่กำลังจะส่งหนูไปสวรรค์”“อ๊า...”เสียงครวญครางของหญิงสาวที่ค่อยๆ เพิ่ม ระดับความดังมากขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งสูงจากการปรนเปรอด้วยนิ้วร้ายที่หมุนวนคว้านครูดเสียดสีจนสมองของปุณณิศามึนงงไปหมด ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงแรงบีบรัดที่ตอดถี่รัวกล้ามเนื้อภายในกลีบกุหลาบสีสวยของเธอ สองหนุ่มสาวสบตาสื่อสารกันทางความรู้สึกที่เข้าใจได้ไม่ยาก ปุณณิศาหน้าแดงซ่านร่างกายกำลังจะถึงจุดสูงสุด ชานนท์ดูดเต้างามเข้าอุ้งปาก ปลายลิ้นตวัดเลียเม็ดทับทิม ขณะส่งนิ้วรัวเร็วจนในที่สุดหญิงสาวก็ขับน้ำหวานออกมาจนชุ่มไปทั้งปลายนิ้ว เธอเกร็งกระตุกรัดนิ้วอย่างรุนแรงจนเขาต้องร
ชานนท์ขับรถตรงมาจอดที่หน้าบ้านของตัวเองเพราะอยากจะคุยกับปุณณิศาให้รู้เรื่อง แต่พอเขาจอดรถ เธอก็เปิดประตูแล้วรีบเดินไปทางบ้านของคุณปู่ เขาเลยต้องเดินตามเธอไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าตัวเองเพิ่งจะร้องไห้มาในรถแต่พอมาเจอกับคุณปู่ปุณณิศาก็ปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี เธอไม่อยากให้ท่านต้องเป็นกังวลไปด้วยที่เห็นว่าเธอกับเขาโกรธกันอยู่ “เปิดเทอมแล้วเรียนนักไหมล่ะปุณ” “ไม่ค่ะ ช่วงนี้ยังสบายๆ อยู่ค่ะ แต่เดือนหน้าก็คงจะเริ่มหนักขึ้น” “อดทนนะ อีกไม่ถึงสองปีก็จะจบแล้ว คิดไว้หรือยังว่าจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน”“หนูอยากสอนที่โรงเรียนใกล้บ้านค่ะ แต่ไม่รู้จะสอบได้ไหม เพราะโรงเรียนที่อยู่ในเมืองคนก็จะสอบกันเยอะค่ะ แต่บางทีก็คิดเหมือนกันค่ะว่าอยากจะไปสอบโรงเรียนไกลๆ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากไปกันเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ก็มีมากขึ้น”“แล้วถ้าต้องอยู่ลำบากแบบนั้นหนูจะทนได้เหรอลูก” ปู่มนตรีเป็นห่วงกลัวหลานสะใภ้จะลำบาก“ได้สิคะ”“ปู่ขออวยพรให้หนูสอบได้โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ บ้านก็แล้วกันนะลูก ปู่ไม่อยากให้ไปไกลเลย”“ขอบคุณค่ะคุณปู่”“จะไปสอบทำไมใ