ชายสูงวัยลงจากรถตู้คันหรูก่อนจะเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นบ้านทรงยุโรปสีขาวขนาดไม่ถึงครึ่งหนึ่งของบ้านหลังแรก บ้านทั้งสองหลังตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบสองไร่ อาณาบริเวณของบ้านมีต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งไม้ประดับและไม้ดอก กลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ด้านหลังบ้านมีแม่น้ำไหลผ่านส่งผลให้บรรยากาศของตัว บ้านดูร่มรื่นน่าอยู่อาศัย ยังไม่ทันเดินถึงตัวบ้านเรือนไทยที่อยู่ตรงกลาง ชายรูปร่างสันทัดอีกคนก็รีบวิ่งมาต้อนรับพร้อมทั้งช่วยถือกระเป๋าที่เหน็บไว้ตรงชายโครงไปถือไว้อย่างรวดเร็ว “คนเยอะไหมครับคุณท่าน” “เยอะสิ ฉันบอกแล้วให้ไปด้วยกันก็ไม่ไป” “เอาไว้ครั้งหน้านะครับ ผมไม่พลาดแน่” “ไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะนายทศ” “อ้าวทำไมละครับ ก็ไหนว่าอีกนานเลยกว่าศาลาจะสร้างเสร็จ” “ก็ฉันไม่อยากไปเจอคนบางคนน่ะสิ” ชายสูงวัยนั่งลงบนชุดรับแขกหรูที่ดูไม่เข้ากับตัวบ้าน แต่เพราะลองไปนั่งที่บ้านหลานชายแล้วรู้สึกสบายก็เลยให้หลานชายสั่งมาให้ที่บ้านของตนเองด้วย “ใครเหรอครับคุณท่าน” “ก็ตามิ่งน่ะสิ”
หมอเกรียงไกรกลับไปแล้วชานนท์ก็เปิดประตูห้องทำงานเข้าไปหาผู้เป็นปู่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาสำหรับอ่านหนังสือริมหน้าต่าง สายตาของท่านเหม่อมองไปยังด้านนอกซึ่งเป็นลำคลองขนาดใหญ่ดูท่าทางแล้วคงกำลังเป็นกังวลอะไรบางอย่าง “ปู่ครับ” “อ้าว ตานนท์ วันนี้กลับบ้านเร็วนี่” “ก็ปู่ให้ลุงทศโทรไปตามผมกลับมาไม่ใช่เหรอครับ” “ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนายทศเนี่ย เลยทำให้หลานต้องเสียเวลาแทนที่จะได้ทำงานทำการ” มนตรีทำเป็นบ่นแต่เขาเองนั่นแหละที่บอกนายทศให้โทรไปตาม “เมื่อกี้ผมเจออาหมอเกรียงไกรแล้วครับ” “แล้วหมอเขาว่าไงบ้างล่ะ” “อาหมอบอกว่าปู่เป็นโรคหัวใจอะไรสักอย่างนี่แหละครับ ผมฟังไม่ถนัด แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมพาปู่ไปรักษาที่อเมริกาเองรอให้ฝั่งนู้นเช้าก่อนผมว่าจะให้ยัยดาติดต่อหมอเก่งๆ ให้ ส่วนเรื่องวีซ่าผมจะให้เลขารีบจัดการให้ครับไม่เกินสามวันครับ” “ใครบอกว่าปู่จะไปรักษาที่นั่น” “ปู่ครับ ผมรักปู่มาก ผมก็อยากให้ปู่ไปรักษากับหมอเก่งๆ นะครับ หายแล้วเราก็เที่ยวกันต่อ เดี๋ยวผมจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จดีไหมครับ”
“เก่งมากเลยน้องชายพี่ แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว” ปุณณิศามองผลการสอบคัดเลือกเขาเรียนของน้องชายแล้วกล่าวชมด้วยความดีใจ “แม่ก็ดีใจด้วยนะปั้น ลูกแม่เก่งมากๆ เลย” “แต่ผมต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นนะครับแม่” ปุณณพัฒน์รีบบอกพี่สาวกับมารดา “จริงเหรอลูก แบบนี้แม่ก็คุยโม้ได้ทั้งตลาดแล้วสิว่าลูกชายของแม่จะได้ไปเรียนเมืองนอก” ปนัดดายิ้มด้วยปลาบปลื้มแม้เธอจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แทบไม่มีเวลาดูแลลูกเลย แต่ลูกทั้งสองคนก็ไม่เคยทำให้ต้องเสียใจเลยสักครั้ง ปุณณิศาลูกสาวคนโตเรียนครุศาสตร์เพราะเธออยากจะเป็นครู ส่วนลูกชายคนเล็กก็เพิ่งสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ “ผมคิดว่าจะสละสิทธิ์ครับแม่” “อะไรนะปั้น” ปนัดดาตกใจ “ผมจะสละสิทธิ์ครับแม่” ปุณณพัฒน์ย้ำอีกครั้ง “ทำไม่ละปั้น พี่เห็นเราอ่านหนังสือเตรียมสอบตั้งนานนะ นั่นความฝันของเราเลยนะ มีอะไรหรือเปล่าบอกพี่กับแม่มานะ” ปุณณิศามองหน้าน้องชายอย่างสงสัย “ผมได้ทุนไปเรียนก็จริงครับ แต่ก่อนไปผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงนั้นฟังดูไม่สดใสสมกับคนที่เพิ่งสอบชิงทุนได้เลยส
ปุณณิศาขอเบิกเงินจากเจ้าของร้านกาแฟและเจ้าของร้านหมูกระทะมาให้น้องชายแล้ว ตอนนี้ปุณณพัฒน์ก็เริ่มไปเรียนภาษาซึ่งดูเหมือนเจะมีความสุขมากที่กำลังวิ่งตามฝันของตัวเอง “แม่คะ วันนี้ปุณเจอเจ๊น้ำ” วันนี้เธอบังเอิญเจอเจ๊เจ้าของตลาดที่มาซื้อกาแฟที่ร้าน ปุณณิศาเลยได้รู้ว่ามารดาของตนเองเป็นหนี้เจ๊น้ำอยู่เกือบห้าหมื่นบาท และทุกวันที่ขายของได้มาก็จะต้องเอาไปจ่ายดอกเบี้ยส่วนเงินต้นนั้นแทบไม่มีจ่าย เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรเพราะอะไรมารดาถึงได้เป็นหนี้มากมายขนาดนั้น ทั้งที่เธอก็เห็นว่าท่านขยันทำงานแทบไม่มีวันหยุดพัก “เหรอจ๊ะ” “แม่คะ ปุณว่าเราต้องคุยกันนะคะ” “คุยอะไรล่ะปุณ แม่ว่าเรารีบแพ็กขนมใส่ถุงดีกว่าไหม เดี๋ยวจะได้ไปส่งร้านกาแฟ” “แม่จะปิดปุณถึงเมื่อไหร่คะ” “หนูพูดเรื่องอะไรลูก” “แม่ขา ปุณเป็นลูกแม่นะคะ” ปุณณิศาร้องไห้เพราะมองไม่ออกเลยว่าจะหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาใช้หนี้เจ๊น้ำได้ยังไง เพราะตอนนี้ทั้งเงินเก็บและเงินจากงานพิเศษก็ให้น้องชายไปหมดแล้ว “ปุณอย่าร้องลูก” คนปลอบก็เสียงสั่นเครือ “
ปุณณิศามาทำงานที่ผับได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ในแต่ละคืนเธอได้เงินพิเศษสามพันกว่าบาท บางคืนก็ได้เกือบห้าพัน ถ้าได้เงินดีแบบนี้อีกไม่นานก็คงจะมีเงินไปคืนเจ๊น้ำได้อย่างแน่นอน “ปุณ แขกที่ชั้นวีไอพีแรกขึ้นไปน่ะ” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาตามเธอที่เพิ่งได้นั่งพักหลังจากชงเครื่องดื่มให้แขกตั้งแต่ร้านเปิดจนถึงตอนนี้ก็ตีหนึ่งกว่าเข้าไปแล้ว “ขอบใจนะหวาน” ปุณณิศายิ้มให้เพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของผับ หญิงสาวเดินขึ้นชั้นสองซึ่งตอนนี้เหลือแขกเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นเพื่อนของคุณเมคินเจ้าของร้าน ส่วนอีกโต๊ะเป็นชายวัยกลางร่างท้วมที่นั่งดื่มอยู่คนเดียว “สวัสดีค่ะ” ปุณณิศายกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงข้าง “มาทำงานใหม่เหรอ เสี่ยไม่เคยเห็นหน้าเลย” “ค่ะ หนูเพิ่งมาทำได้อาทิตย์เดียวเองค่ะ เสี่ยชอบดื่มแบบไหนคะเดี๋ยวหนูจัดการให้” “หนูก็ลองเดาใจเสี่ยดูสิ” “ได้ค่ะ” ปุณณิศาชงเหล้าให้แขกเข้มกว่าปกติอย่างที่ได้รับการฝึกมา “มันเข้มไปหน่อยเหรอหนู” เสี่ยบรรจงมองแก้วเครื่องดื่มที่สีเข้มสลับกับ
“เฮ้อ....” ชานนท์ถอนหายใจอีกครั้ง“ถอนหายใจยาวเชียว อย่าบอกนะว่าปู่มึงพูดเรื่องเดิมอีกแล้ว” ปกป้องรู้ดีกว่าใครเพราะปู่ของชานนท์กับครอบครัวของเขาสนิทกันและปู่มนตรีก็มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าอยากให้ชานนท์กับน้องสาวของเขาแต่งงานกัน“อือ คราวนี้ปู่กูเอาจริงว่ะ นี่ก็หาสาวให้กูใหญ่เลย แล้วกูก็ดันไปบอกเขาว่าไม่ต้องหาเพราะกูมีเมียอยู่แล้ว”“แต่กูไม่เห็นว่ามึงจะคุยกับใครจริงจังเลยนี่ไอ้นนท์แล้วมึงจะเอาเมียมาจากไหน” นิธิกรที่มักจะออกมานั่งดื่มกับเพื่อนบ่อยกว่าคนอื่นพูดขึ้น“อือ...ตอนนี้กูกำลังคิดหนัก ไม่น่าไปเผลอพูดแบบนั้นกับปู่เลยให้ตายสิ”“ถ้าไม่มีมึงก็บอกเขาไปตรงๆ สิ หรือคนที่ปู่มึงแนะนำให้ไม่สวยว่ะ”“คนที่ปู่กูชอบก็มียัยปิ่น กับหนูดี”“ยัยปิ่นน้องไอ้ป้องน่ะเหรอ ดีนะมึง รู้จักกันมานานแล้วด้วย แล้วอีกคนใครวะ”“กูกับน้องไอ้ป้องรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว แล้วกูก็เห็นปิ่นเป็นน้องสาวมาตลอด ปิ่นเองก็เห็นกูเป็นพี่ชาย เรื่องนี้กูสองคนคุยกันแล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางยอมแน่ๆ”“แล้วอีกคนใครวะ กูไม่เห็นรู้จัก”“ลูกสาวคุณเรวดีเจ้าแม่นำเข้าสินค้าแบรนด์เนมไง”“อ๋อ กูเคยเห็นเขาออกงานกับแม่บ่อยๆ” ปกป้องเคยเห็น
ปุณณิศากลับมาถึงบ้านก็เกือบจะตีสามเพราะวันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวคนเยอะกว่าปกติ หญิงสาวอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาที่มารดาตื่นมาทำขนมพอดี “ปุณ แม่ว่าหนูไปพักเถอะลูก ยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ” “ไม่เป็นไรค่ะ ปุณช่วยแม่ก่อน เดี๋ยวค่อยนอนพักทีเดียวก็ได้ค่ะ” ปุณณิศาต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่อรในเวลาสิบโมงเช้าหลังจากช่วยมารดาเตรียมของเสร็จเธอก็ได้นอนพักอย่างน้อยก็สามชั่วโมง “ไหวแน่นะลูก” “ค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ งานร้านพี่อรไม่ได้หนักหนาอะไรเลยค่ะ” “แล้วงานที่ไปทำกับกัญญาล่ะลูกเป็นยังไงบ้าง” “ก็ดีค่ะแม่ คืนหนึ่งได้เยอะเลยค่ะ อย่างเมื่อคืนปุณได้มาเกือบสี่พันเลยค่ะ นี่ยังไม่รวมเงินเดือนนะคะ” “รายได้มันดีก็จริงแต่แม่กลัวสุขภาพเราจะแย่ไปด้วย ถ้าเปิดเทอมแม่ว่าจะให้หนูหยุดทำงานกลางคืนนะลูก” “ปุณคุยกับเจ้าของร้านไว้แล้วค่ะแม่ ถ้าเปิดเทอมปุณไปแค่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ค่ะ”“แม่นึกว่าเปิดเทอมจะหยุดทำงาน”“หยุดทำไมล่ะคะแม่รายได้ดีขนาดนั้น ปุณว่าอีกไม่นานเราคงใช้หนี้เจ๊น้ำหมด ถ้ามีเงินเหลือจะได้ส่งให้ปั้นด้วย”“เอาที่ตัวเอง
หลังผ่าตัดผ่านไปหนึ่งสัปดาห์มารดาของปุณณิศาก็ฟื้น แต่หมอก็ยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลเพราะจะต้องอยู่พักฟื้นต่ออีกจนกว่าจะมั่นใจว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อน “แม่ขา ปุณดีใจมากที่แม่ตื่น” หญิงสาวจับมือมารดาแน่น เธอยิ้มทั้งน้ำตา “ปั้นก็ดีใจครับแม่ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไหมครับ ปวดหัวไหม เวียนหัวไหมครับ” “แม่ปวดหัวนิดหน่อยจ้ะ แม่นึกว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นหน้าลูกสองคนอีกแล้ว” ปนัดดาน้ำตาซึมเธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอด จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ยังมีสติได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ “แม่นอนไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เลยค่ะ” “ตายล่ะ แม่นอนไปนานขนาดนั้นแล้วค่ารักษาล่ะลูก แล้วนี่โรงพยาบาลเอกชนใช่ไหม” สีหน้าคนเจ็บซีดลงเพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินค่ารักษามาจากที่ไหน “ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ คู่กรณีเขามีประกันชั้นหนึ่ง เขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ” “จริงเหรอปุณ” “จริงสิคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลยค่ะ” “ถึงเราจะไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแต่เราก็ขาดรายได้ แล้วรถแม่ล่ะ” “ตอนนี้รถอยู่ที่อู่ซ่อมค่
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว
วันนี้ปุณณิศามีเรียนในตอนบ่ายหญิงสาวจึงตื่นนอนสายกว่าทุกวัน เธอไม่ต้องไปทานอาหารเช้ากับคุณปู่เพราะวันนี้ท่านไปทำบุญที่วัดกับลุงทศตั้งแต่เช้าเรื่องที่ชานนท์บอกว่าจะคุยด้วยก็ยังไม่ได้คุย เพราะเมื่อคืนเธอหมดแรงหลับไปก่อน พอตื่นเช้ามาเขาก็ออกไปทำงานแล้ว หญิงสาวเดินลงมาที่ห้องครัวก็มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอทานเสร็จก็เก็บล้างและคิดว่าจะออกไปมหาวิทยาลัยสักสิบเอ็ดโมงเพราะมีแผนจะไปยืมไอแพดที่มหาวิทยาลัยขณะกำลังแต่งตัวชานนท์ก็โทรมาบอกเธอรอเขาอยู่ที่บ้านเพราะชายหนุ่มจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย พอเขามาถึงเธอก็เร่งให้เขารีบไปส่งทันที“มีเรียนบ่ายโมงใช่เหรอ ทำไมดูรีบจังพี่ว่าจังพี่ว่าจะชวนหนูไปหาอะไรกินแล้วค่อยไปเรียนสักหน่อย”“หนูรีบไปยืมไอแพดค่ะ พี่นนท์ออกรถเลยค่ะ”“ยืมไอแพด ยืมใครครับ แล้วทำไมไม่ซื้อเอง”“ยืมที่คณะค่ะ เขามีให้นักศึกษายืม แต่ต้องเขียนคำร้องแล้ววันนี้ก็เปิดให้เขียนคำร้องวันแรกค่ะ หนูอยากรีบไปเขียนก่อนเข้าเรียนค่ะ”“พี่เคยบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอกจำไม่ได้เหรอ”“จำได้ค่ะ แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของหนู”ชานนท์หันมามองก่อนจะถอนหายใจอย่างแรงพลางส่ายหน้า“
ชานนท์กดริมฝีปากลงกับเนินอกอวบอิ่มหนักๆ สร้างร่องรอยตีตราจองไว้ทุกจุดที่ลากผ่า ปลายนิ้วเรียวยาวเลื่อนลงไปสัมผัสจุดอ่อนไหวเบื้องล่าง“พี่นนท์...”“เปียกอีกแล้ว”“ก็เพิ่งอาบน้ำ”“แน่ใจเหรอว่าเพราะอาบน้ำ”“พี่นนท์ขา...”หญิงสาวเสียงสั่นเลือดลมในกายพลุ่งพล่านร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงราคะที่พร้อมจะแผดเผา ลมหายใจเริ่มสะดุดเพราะนิ้วร้ายที่รุกล้ำนั้นขยับเข้าออกเร่งเร้าให้ไฟให้โหมกระหน่ำมากขึ้นทุกขณะ“เสียวมากไหนคนเก่ง”“อื้ม พี่นนท์ขาอย่าแกล้ง”“ใครจะแกล้งเมียกันล่ะ พี่ก็แค่กำลังจะส่งหนูไปสวรรค์”“อ๊า...”เสียงครวญครางของหญิงสาวที่ค่อยๆ เพิ่ม ระดับความดังมากขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งสูงจากการปรนเปรอด้วยนิ้วร้ายที่หมุนวนคว้านครูดเสียดสีจนสมองของปุณณิศามึนงงไปหมด ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงแรงบีบรัดที่ตอดถี่รัวกล้ามเนื้อภายในกลีบกุหลาบสีสวยของเธอ สองหนุ่มสาวสบตาสื่อสารกันทางความรู้สึกที่เข้าใจได้ไม่ยาก ปุณณิศาหน้าแดงซ่านร่างกายกำลังจะถึงจุดสูงสุด ชานนท์ดูดเต้างามเข้าอุ้งปาก ปลายลิ้นตวัดเลียเม็ดทับทิม ขณะส่งนิ้วรัวเร็วจนในที่สุดหญิงสาวก็ขับน้ำหวานออกมาจนชุ่มไปทั้งปลายนิ้ว เธอเกร็งกระตุกรัดนิ้วอย่างรุนแรงจนเขาต้องร
ชานนท์ขับรถตรงมาจอดที่หน้าบ้านของตัวเองเพราะอยากจะคุยกับปุณณิศาให้รู้เรื่อง แต่พอเขาจอดรถ เธอก็เปิดประตูแล้วรีบเดินไปทางบ้านของคุณปู่ เขาเลยต้องเดินตามเธอไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าตัวเองเพิ่งจะร้องไห้มาในรถแต่พอมาเจอกับคุณปู่ปุณณิศาก็ปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี เธอไม่อยากให้ท่านต้องเป็นกังวลไปด้วยที่เห็นว่าเธอกับเขาโกรธกันอยู่ “เปิดเทอมแล้วเรียนนักไหมล่ะปุณ” “ไม่ค่ะ ช่วงนี้ยังสบายๆ อยู่ค่ะ แต่เดือนหน้าก็คงจะเริ่มหนักขึ้น” “อดทนนะ อีกไม่ถึงสองปีก็จะจบแล้ว คิดไว้หรือยังว่าจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน”“หนูอยากสอนที่โรงเรียนใกล้บ้านค่ะ แต่ไม่รู้จะสอบได้ไหม เพราะโรงเรียนที่อยู่ในเมืองคนก็จะสอบกันเยอะค่ะ แต่บางทีก็คิดเหมือนกันค่ะว่าอยากจะไปสอบโรงเรียนไกลๆ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากไปกันเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ก็มีมากขึ้น”“แล้วถ้าต้องอยู่ลำบากแบบนั้นหนูจะทนได้เหรอลูก” ปู่มนตรีเป็นห่วงกลัวหลานสะใภ้จะลำบาก“ได้สิคะ”“ปู่ขออวยพรให้หนูสอบได้โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ บ้านก็แล้วกันนะลูก ปู่ไม่อยากให้ไปไกลเลย”“ขอบคุณค่ะคุณปู่”“จะไปสอบทำไมใ