ชายสูงวัยลงจากรถตู้คันหรูก่อนจะเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นบ้านทรงยุโรปสีขาวขนาดไม่ถึงครึ่งหนึ่งของบ้านหลังแรก บ้านทั้งสองหลังตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบสองไร่ อาณาบริเวณของบ้านมีต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งไม้ประดับและไม้ดอก กลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ด้านหลังบ้านมีแม่น้ำไหลผ่านส่งผลให้บรรยากาศของตัว บ้านดูร่มรื่นน่าอยู่อาศัย
ยังไม่ทันเดินถึงตัวบ้านเรือนไทยที่อยู่ตรงกลาง ชายรูปร่างสันทัดอีกคนก็รีบวิ่งมาต้อนรับพร้อมทั้งช่วยถือกระเป๋าที่เหน็บไว้ตรงชายโครงไปถือไว้อย่างรวดเร็ว
“คนเยอะไหมครับคุณท่าน”
“เยอะสิ ฉันบอกแล้วให้ไปด้วยกันก็ไม่ไป”
“เอาไว้ครั้งหน้านะครับ ผมไม่พลาดแน่”
“ไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะนายทศ”
“อ้าวทำไมละครับ ก็ไหนว่าอีกนานเลยกว่าศาลาจะสร้างเสร็จ”
“ก็ฉันไม่อยากไปเจอคนบางคนน่ะสิ” ชายสูงวัยนั่งลงบนชุดรับแขกหรูที่ดูไม่เข้ากับตัวบ้าน แต่เพราะลองไปนั่งที่บ้านหลานชายแล้วรู้สึกสบายก็เลยให้หลานชายสั่งมาให้ที่บ้านของตนเองด้วย“ใครเหรอครับคุณท่าน”
“ก็ตามิ่งน่ะสิ”
“อ้าว ปกติผมก็เห็นคุณท่านสนิทกันดีกับตามิ่งนี่ครับ”
“ก็สนิทอยู่หรอก แต่วันนี้ตามิ่งพูดไม่เข้าหูฉันเลย”
“เขาว่าอะไรคุณท่านของผมครับ ถ้าเจอครั้งหน้าผมจะได้จัดการให้”
“ไม่ต้องไปยุ่งกับหรอก คนพรรคนั้นฉันไม่อยากไปเสวนาด้วย”
“ยิ่งคุณท่านพูดผมก็ยิ่งอยากรู้นะครับ เขาว่าอะไรคุณท่านเหรอครับ”
“เขาไม่ได้ว่าฉัน แต่เขาบอกว่าตระกูลของฉันจะไร้คนสืบสกุลถ้าหากว่าหลานชายฉันไม่แต่งงานภายในหกเดือนนี้”
“คุณท่าน อย่าไปเชื่อเลยครับหมอดูก็คู่กับหมอเดา”
“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อแต่ฉันก็กลัวเพราะฉันมีลูกชายคนเดียว แถมยังมีหลานชายคนเดียว แล้วหลานสาวเขาก็แต่งงานใช้นามสกุลคนอื่นไปแล้ว ทีนี้ใครจะมาสืบสกุลฉันล่ะนอกจากตานนท์ แล้วแกคิดดูนะทศ ฉันมีลูกตั้งแต่อายุ 15 ส่วนลูกชายฉันก็มีลูกตั้งแต่อายุ 20 แต่หลานชายฉัน ปีนี้ก็ 29 จะ 30 แล้ว ยังไม่มีแฟนสักคน แกคิดว่าคำทำนายมันจะเป็นจริงไหมล่ะ” พูดจบชายวัย 65 ปีถอนหายใจ
“หกเดือนเหรอครับ คุณนนท์จะแต่งงานได้ยังครับ เท่าที่ผมรู้คุณนนท์เขาก็เอาแต่ทำงาน ไม่เห็นจะมีแฟน”
“ฉันก็ปวดหัวเหมือนกัน หรือที่ไม่มีแฟนเพราะเอาแต่ทำงานเลยไม่มีเวลา สงสัยว่าปู่อย่างฉันจะต้องทำอะไรสักอย่าง”
“คุณนนท์จะยอมเหรอครับ”
“ไม่ยอมก็ต้องยอม ฉันมีวิธีของฉัน” ชายสูงวัยยิ้มเมื่อนึกออกว่าจะบังคับหลานชายยังไง
คุณมนตรีมีลูกชายคนเดียวคือคุณธาตรี ซึ่งตอนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้ไปทำสวนส้มอยู่ที่เชียงใหม่ เพื่อจะได้อยู่ใกล้กับชนิตาหลานสาวคนเล็ก ส่วนหลานสาวคนกลางก็แต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีที่อเมริกา
ตอนนี้คุณมนตรีอยู่ที่กรุงเทพกับหลานชายคนโตซึ่งปลูกบ้านอยู่ในรั้วเดียวกัน
“นายทศ โทรตามหมอไกรมาพบฉันที่ห้องทำงานด้วย”
“คุณท่านไม่สบายเหรอครับ ให้ผมขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลไหม ถ้ารอหมอมาผมว่าจะแย่เอานะครับ”
“แกเห็นเหรอว่าฉันไม่สบาย ฉันก็แค่อยากจะปรึกษาอะไรหมอสักหน่อยแค่นั้นเอง”
“เฮ้อ โล่งไปใจทีครับผมนึกว่าคุณท่านป่วย”
“ตอนนี้ยังไม่ป่วย แต่คุยกับหมอไกรเสร็จฉันอาจจะป่วยก็ได้นะ” พูดจบชายสูงวัยก็เดินเข้าไปยังห้องทำงานของตนเอง
หมอเกรียงไกรมาถึงบ้านหลังใหญ่หลังจากที่นายทศคนสนิทของคุณมนตรีโทรศัพท์ไปตามเพียงครึ่งชั่วโมง พอมาถึงก็รีบตรงไปยังห้องทำงานซึ่งเป็นอันรู้กันว่าห้องนั้นห้ามใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด
“คุณท่าน ผมไม่อยากทำแบบนั้นเลยมันผิดจรรยาบรรณนะครับ” หมอเกรียงไกรมีสีหน้าลำบากใจเมื่อฟังคำขอร้องของคนไข้ที่ดูแลกันมามากกว่ายี่สิบปี
“มันจะผิดแค่ไหนกันเชียว คนแก่ที่ไหนเขาก็เป็นโรคหัวใจกันทั้งนั้น”
“แต่ท่านเพิ่ง 65 นะครับยังไม่แก่เลยนะครับ”
“ฉันบอกว่าแก่ก็แก่สิหมอ”
“ถ้าไม่ผมช่วยท่านล่ะครับ”
“ฉันก็ไปจ้างหมอคนอื่นน่ะสิ แล้วก็จะบอกทุกคนว่าหมอเกรียงไกรเลือกปฏิบัติกับคนไข้”
“คุณท่าน”
“ตกลงยังไงจะช่วยไหมล่ะ”
หมอเกรียงไกรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เพราะคุณมนตรีขอร้องให้เขาบอกกับหลานชายว่าตนเองเป็นโรคหัวใจ
“หมอทำตัวเป็นปกติหน่อยสิครับ เดี๋ยวก็ถูกจับได้กันพอดี หลานชายผมยิ่งฉลาดเป็นกรดอยู่ด้วย”
“ก็เพราะผมรู้ไงครับว่าคุณชานนท์ฉลาดมาก ผมก็เลยกลัวว่าเธอจะจับโกหกผมได้”
“เอาน่า หมอแค่บอกอาการ พอบอกจบก็รีบขอตัวไปดูคนไข้แค่นั้นเอง ผมจะนั่งรอในห้องนี้นะ”
“คุณท่านแน่ใจนะครับว่าจะได้ผล”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว”
หมอเกรียงไกรนั่งรอในห้องทำงาน จนกระทั่งได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านก็รีบออกมานั่งรอชายหนุ่มที่ห้องรับแขก เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งก่อนที่จะเผชิญหน้ากับหลานชายคนเดียวของคุณมนตรี
“สวัสดีครับอาหมอ คุณปู่เป็นอะไรครับถึงได้เรียกอาหมอมาตรวจถึงที่บ้าน”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ ก็แค่โรคคนแก่ทั่วไป”
“แต่ปู่ผมยังไม่แก่เลยครับ ท่านยังแข็งแรงดีด้วยซ้ำ ผมเห็นท่านออกกำลังกายตอนเช้าทุกวัน”
“นั่นมันเป็นสุขภาพภายนอกที่เราเห็นกันครับ แต่บางอย่างเราก็มองไม่เห็น”
“หมอหมายความว่ายังไงครับ” ชานนท์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางห้องรับแขกอย่างอ่อนแรง เมื่อคิดว่าคุณปู่ของตนเองกำลังไม่สบายอย่างหนัก
“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอกครับคุณนนท์”
“ไม่ร้ายแรงแต่ทำไมอาหมอสีหน้าไม่ดีเลยล่ะครับ”
“คือตอนนี้ท่านมีอาการเริ่มแรกของโรคหัวใจเท่านั้นเอง”
“อะไรนะครับอาหมอ” ชานนท์ถามด้วยความตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินเพราะดูยังไงคุณปู่ของเขาก็ไม่มีทางป่วยอย่างแน่นอน
“ท่านมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดครับ ช่วงนี้คุณนนท์อย่าขัดใจท่านนะครับ ท่านให้ทำอะไรก็ทำตามไปก่อน ผมกลัวว่าอาการของท่านจะกำเริบครับ”
“อาหมอล้อผมเล่นแน่ๆ เลยใช่ไหมครับ”
“เรื่องแบบนี้ผมไม่ล้อเล่นหรอกครับคุณนนท์” ยิ่งโดนจ้องคุณหมอก็ยิ่งมีพิรุธจนชานนท์มองออก
“เอาละครับ ผมว่าอาหมอไม่ต้องพูดต่อแล้วครับ ผมรู้จักนิสัยของปู่ผมดี ถ้าท่านป่วย ท่านไม่มีทางบอกใครอย่างเด็ดเพราะท่านกลัวว่าคนอื่นจะเป็นกังวล ผมว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่ๆ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ท่านไม่สบายจริงๆ”
“อาหมอครับ ผมนับถืออาหมอนะครับ อย่าทำลายความนับถือที่ผมมีเลยนะครับ”
“ผมไม่พูดแล้ว ที่เหลือคุณนนท์จัดการเองแล้วกันครับ”
“ขอบคุณนะครับอาหมอและก็ขอโทษด้วยครับที่ทำให้เสียเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมได้มาตรวจสุขภาพของคุณท่านไปด้วย ผมขอตัวก่อนนะครับ”
หมอเกรียงไกรกลับไปแล้วชานนท์ก็เปิดประตูห้องทำงานเข้าไปหาผู้เป็นปู่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาสำหรับอ่านหนังสือริมหน้าต่าง สายตาของท่านเหม่อมองไปยังด้านนอกซึ่งเป็นลำคลองขนาดใหญ่ดูท่าทางแล้วคงกำลังเป็นกังวลอะไรบางอย่าง “ปู่ครับ” “อ้าว ตานนท์ วันนี้กลับบ้านเร็วนี่” “ก็ปู่ให้ลุงทศโทรไปตามผมกลับมาไม่ใช่เหรอครับ” “ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนายทศเนี่ย เลยทำให้หลานต้องเสียเวลาแทนที่จะได้ทำงานทำการ” มนตรีทำเป็นบ่นแต่เขาเองนั่นแหละที่บอกนายทศให้โทรไปตาม “เมื่อกี้ผมเจออาหมอเกรียงไกรแล้วครับ” “แล้วหมอเขาว่าไงบ้างล่ะ” “อาหมอบอกว่าปู่เป็นโรคหัวใจอะไรสักอย่างนี่แหละครับ ผมฟังไม่ถนัด แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมพาปู่ไปรักษาที่อเมริกาเองรอให้ฝั่งนู้นเช้าก่อนผมว่าจะให้ยัยดาติดต่อหมอเก่งๆ ให้ ส่วนเรื่องวีซ่าผมจะให้เลขารีบจัดการให้ครับไม่เกินสามวันครับ” “ใครบอกว่าปู่จะไปรักษาที่นั่น” “ปู่ครับ ผมรักปู่มาก ผมก็อยากให้ปู่ไปรักษากับหมอเก่งๆ นะครับ หายแล้วเราก็เที่ยวกันต่อ เดี๋ยวผมจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จดีไหมครับ”
“เก่งมากเลยน้องชายพี่ แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว” ปุณณิศามองผลการสอบคัดเลือกเขาเรียนของน้องชายแล้วกล่าวชมด้วยความดีใจ “แม่ก็ดีใจด้วยนะปั้น ลูกแม่เก่งมากๆ เลย” “แต่ผมต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นนะครับแม่” ปุณณพัฒน์รีบบอกพี่สาวกับมารดา “จริงเหรอลูก แบบนี้แม่ก็คุยโม้ได้ทั้งตลาดแล้วสิว่าลูกชายของแม่จะได้ไปเรียนเมืองนอก” ปนัดดายิ้มด้วยปลาบปลื้มแม้เธอจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แทบไม่มีเวลาดูแลลูกเลย แต่ลูกทั้งสองคนก็ไม่เคยทำให้ต้องเสียใจเลยสักครั้ง ปุณณิศาลูกสาวคนโตเรียนครุศาสตร์เพราะเธออยากจะเป็นครู ส่วนลูกชายคนเล็กก็เพิ่งสอบชิงทุนเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ “ผมคิดว่าจะสละสิทธิ์ครับแม่” “อะไรนะปั้น” ปนัดดาตกใจ “ผมจะสละสิทธิ์ครับแม่” ปุณณพัฒน์ย้ำอีกครั้ง “ทำไม่ละปั้น พี่เห็นเราอ่านหนังสือเตรียมสอบตั้งนานนะ นั่นความฝันของเราเลยนะ มีอะไรหรือเปล่าบอกพี่กับแม่มานะ” ปุณณิศามองหน้าน้องชายอย่างสงสัย “ผมได้ทุนไปเรียนก็จริงครับ แต่ก่อนไปผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงนั้นฟังดูไม่สดใสสมกับคนที่เพิ่งสอบชิงทุนได้เลยส
ปุณณิศาขอเบิกเงินจากเจ้าของร้านกาแฟและเจ้าของร้านหมูกระทะมาให้น้องชายแล้ว ตอนนี้ปุณณพัฒน์ก็เริ่มไปเรียนภาษาซึ่งดูเหมือนเจะมีความสุขมากที่กำลังวิ่งตามฝันของตัวเอง “แม่คะ วันนี้ปุณเจอเจ๊น้ำ” วันนี้เธอบังเอิญเจอเจ๊เจ้าของตลาดที่มาซื้อกาแฟที่ร้าน ปุณณิศาเลยได้รู้ว่ามารดาของตนเองเป็นหนี้เจ๊น้ำอยู่เกือบห้าหมื่นบาท และทุกวันที่ขายของได้มาก็จะต้องเอาไปจ่ายดอกเบี้ยส่วนเงินต้นนั้นแทบไม่มีจ่าย เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรเพราะอะไรมารดาถึงได้เป็นหนี้มากมายขนาดนั้น ทั้งที่เธอก็เห็นว่าท่านขยันทำงานแทบไม่มีวันหยุดพัก “เหรอจ๊ะ” “แม่คะ ปุณว่าเราต้องคุยกันนะคะ” “คุยอะไรล่ะปุณ แม่ว่าเรารีบแพ็กขนมใส่ถุงดีกว่าไหม เดี๋ยวจะได้ไปส่งร้านกาแฟ” “แม่จะปิดปุณถึงเมื่อไหร่คะ” “หนูพูดเรื่องอะไรลูก” “แม่ขา ปุณเป็นลูกแม่นะคะ” ปุณณิศาร้องไห้เพราะมองไม่ออกเลยว่าจะหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาใช้หนี้เจ๊น้ำได้ยังไง เพราะตอนนี้ทั้งเงินเก็บและเงินจากงานพิเศษก็ให้น้องชายไปหมดแล้ว “ปุณอย่าร้องลูก” คนปลอบก็เสียงสั่นเครือ “
ปุณณิศามาทำงานที่ผับได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ในแต่ละคืนเธอได้เงินพิเศษสามพันกว่าบาท บางคืนก็ได้เกือบห้าพัน ถ้าได้เงินดีแบบนี้อีกไม่นานก็คงจะมีเงินไปคืนเจ๊น้ำได้อย่างแน่นอน “ปุณ แขกที่ชั้นวีไอพีแรกขึ้นไปน่ะ” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาตามเธอที่เพิ่งได้นั่งพักหลังจากชงเครื่องดื่มให้แขกตั้งแต่ร้านเปิดจนถึงตอนนี้ก็ตีหนึ่งกว่าเข้าไปแล้ว “ขอบใจนะหวาน” ปุณณิศายิ้มให้เพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของผับ หญิงสาวเดินขึ้นชั้นสองซึ่งตอนนี้เหลือแขกเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นเพื่อนของคุณเมคินเจ้าของร้าน ส่วนอีกโต๊ะเป็นชายวัยกลางร่างท้วมที่นั่งดื่มอยู่คนเดียว “สวัสดีค่ะ” ปุณณิศายกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงข้าง “มาทำงานใหม่เหรอ เสี่ยไม่เคยเห็นหน้าเลย” “ค่ะ หนูเพิ่งมาทำได้อาทิตย์เดียวเองค่ะ เสี่ยชอบดื่มแบบไหนคะเดี๋ยวหนูจัดการให้” “หนูก็ลองเดาใจเสี่ยดูสิ” “ได้ค่ะ” ปุณณิศาชงเหล้าให้แขกเข้มกว่าปกติอย่างที่ได้รับการฝึกมา “มันเข้มไปหน่อยเหรอหนู” เสี่ยบรรจงมองแก้วเครื่องดื่มที่สีเข้มสลับกับ
“เฮ้อ....” ชานนท์ถอนหายใจอีกครั้ง“ถอนหายใจยาวเชียว อย่าบอกนะว่าปู่มึงพูดเรื่องเดิมอีกแล้ว” ปกป้องรู้ดีกว่าใครเพราะปู่ของชานนท์กับครอบครัวของเขาสนิทกันและปู่มนตรีก็มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าอยากให้ชานนท์กับน้องสาวของเขาแต่งงานกัน“อือ คราวนี้ปู่กูเอาจริงว่ะ นี่ก็หาสาวให้กูใหญ่เลย แล้วกูก็ดันไปบอกเขาว่าไม่ต้องหาเพราะกูมีเมียอยู่แล้ว”“แต่กูไม่เห็นว่ามึงจะคุยกับใครจริงจังเลยนี่ไอ้นนท์แล้วมึงจะเอาเมียมาจากไหน” นิธิกรที่มักจะออกมานั่งดื่มกับเพื่อนบ่อยกว่าคนอื่นพูดขึ้น“อือ...ตอนนี้กูกำลังคิดหนัก ไม่น่าไปเผลอพูดแบบนั้นกับปู่เลยให้ตายสิ”“ถ้าไม่มีมึงก็บอกเขาไปตรงๆ สิ หรือคนที่ปู่มึงแนะนำให้ไม่สวยว่ะ”“คนที่ปู่กูชอบก็มียัยปิ่น กับหนูดี”“ยัยปิ่นน้องไอ้ป้องน่ะเหรอ ดีนะมึง รู้จักกันมานานแล้วด้วย แล้วอีกคนใครวะ”“กูกับน้องไอ้ป้องรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว แล้วกูก็เห็นปิ่นเป็นน้องสาวมาตลอด ปิ่นเองก็เห็นกูเป็นพี่ชาย เรื่องนี้กูสองคนคุยกันแล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางยอมแน่ๆ”“แล้วอีกคนใครวะ กูไม่เห็นรู้จัก”“ลูกสาวคุณเรวดีเจ้าแม่นำเข้าสินค้าแบรนด์เนมไง”“อ๋อ กูเคยเห็นเขาออกงานกับแม่บ่อยๆ” ปกป้องเคยเห็น
ปุณณิศากลับมาถึงบ้านก็เกือบจะตีสามเพราะวันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวคนเยอะกว่าปกติ หญิงสาวอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาที่มารดาตื่นมาทำขนมพอดี “ปุณ แม่ว่าหนูไปพักเถอะลูก ยังไม่ได้นอนเลยไม่ใช่เหรอ” “ไม่เป็นไรค่ะ ปุณช่วยแม่ก่อน เดี๋ยวค่อยนอนพักทีเดียวก็ได้ค่ะ” ปุณณิศาต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่อรในเวลาสิบโมงเช้าหลังจากช่วยมารดาเตรียมของเสร็จเธอก็ได้นอนพักอย่างน้อยก็สามชั่วโมง “ไหวแน่นะลูก” “ค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ งานร้านพี่อรไม่ได้หนักหนาอะไรเลยค่ะ” “แล้วงานที่ไปทำกับกัญญาล่ะลูกเป็นยังไงบ้าง” “ก็ดีค่ะแม่ คืนหนึ่งได้เยอะเลยค่ะ อย่างเมื่อคืนปุณได้มาเกือบสี่พันเลยค่ะ นี่ยังไม่รวมเงินเดือนนะคะ” “รายได้มันดีก็จริงแต่แม่กลัวสุขภาพเราจะแย่ไปด้วย ถ้าเปิดเทอมแม่ว่าจะให้หนูหยุดทำงานกลางคืนนะลูก” “ปุณคุยกับเจ้าของร้านไว้แล้วค่ะแม่ ถ้าเปิดเทอมปุณไปแค่คืนวันศุกร์กับวันเสาร์ค่ะ”“แม่นึกว่าเปิดเทอมจะหยุดทำงาน”“หยุดทำไมล่ะคะแม่รายได้ดีขนาดนั้น ปุณว่าอีกไม่นานเราคงใช้หนี้เจ๊น้ำหมด ถ้ามีเงินเหลือจะได้ส่งให้ปั้นด้วย”“เอาที่ตัวเอง
หลังผ่าตัดผ่านไปหนึ่งสัปดาห์มารดาของปุณณิศาก็ฟื้น แต่หมอก็ยังไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลเพราะจะต้องอยู่พักฟื้นต่ออีกจนกว่าจะมั่นใจว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อน “แม่ขา ปุณดีใจมากที่แม่ตื่น” หญิงสาวจับมือมารดาแน่น เธอยิ้มทั้งน้ำตา “ปั้นก็ดีใจครับแม่ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไหมครับ ปวดหัวไหม เวียนหัวไหมครับ” “แม่ปวดหัวนิดหน่อยจ้ะ แม่นึกว่าตัวเองจะไม่ได้เห็นหน้าลูกสองคนอีกแล้ว” ปนัดดาน้ำตาซึมเธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอด จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ยังมีสติได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ “แม่นอนไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เลยค่ะ” “ตายล่ะ แม่นอนไปนานขนาดนั้นแล้วค่ารักษาล่ะลูก แล้วนี่โรงพยาบาลเอกชนใช่ไหม” สีหน้าคนเจ็บซีดลงเพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินค่ารักษามาจากที่ไหน “ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ คู่กรณีเขามีประกันชั้นหนึ่ง เขารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ” “จริงเหรอปุณ” “จริงสิคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้เลยค่ะ” “ถึงเราจะไม่ต้องจ่ายค่ารักษาแต่เราก็ขาดรายได้ แล้วรถแม่ล่ะ” “ตอนนี้รถอยู่ที่อู่ซ่อมค่
ปุณณิศาเปลี่ยนมาสวมชุดเกาะอกรัดรูปสีแดงเพลิงส่งให้ร่างที่ขาวอยู่แล้วกลับขาวเด่นยิ่งขึ้น ชุดที่สวมนั้นเน้นสัดส่วนยั่วยวนจนเธอเองมองในกระจกแล้วยังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่เกินไปด้วยซ้ำ เธอนั่งให้เพื่อนร่วมงานช่วยแต่งหน้าในขณะที่สมองกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ทำอยู่ว่ามันจะคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่ต้องเสียไปเพียงเพื่อเงินห้าหมื่นบาท“ปุณ เรารู้นะว่าปุณกำลังคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องไหม แต่ปุณอย่าลืมนะว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าปุณไม่ทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้โรงพยาบาล แล้วถ้าป้าดาไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลตามกำหนดปุณก็ต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่ม”“เรากลัวแม่รู้แม่จะเสียใจ”“แล้วปุณมีทางออกอื่นไหมล่ะ”“ก็เพราะไม่มีทางออกน่ะสิ ถึงต้องทำแบบนี้ กัญญาห้ามบอกเรื่องนี้กับแม่และน้องเราเด็ดขาดนะ”“ไม่บอกหรอกน่า สัญญาเลย” กัญญาวีร์เกี่ยวก้อยสัญญากับเพื่อน เธอเองก็อยากจะช่วยเพื่อนแต่ก็หาทางออกไม่ได้เหมือนกัน ลำพังเงินของตัวเองแต่ละเดือนก็แทบจะไม่มีเหลือแล้วจะเอาเงินที่ไหนให้เพื่อนหยิบยืม“แต่เรากลัว...” ปุณณิศาพูดด้วยเสียงสั่น“เราเข้าใจปุณนะ ปุณท่องไว้นะว่าทำเพื่อแม่และน้องถ้าไม่ทำ แม่ก็จะไม่ได้ออกจากโรงพ
หลังจากไปทานอาหารค่ำ ชานนท์ก็ไปส่งปนัดดาและกัญญาวีร์ที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า “หนูคิดอะไรอยู่” ชานนท์ถามคนที่นั่งพิงหัวไหล่ของตนอยู่บนโซฟาตัวโตในห้องนอนหลังจากที่หญิงสาวอาบน้ำเสร็จ “กำลังคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อนะคะว่าหนูจะรอดจากแผนการของคุณพลอยกมลมาได้” “นั่นสิ พี่ไม่คิดเลยว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น ถ้าพี่ยอมแต่งงานกับเขาตามที่แม่บอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตพี่จะมีความสุขแบบนี้ไหม ขอบคุณนะปุณ ขอบคุณที่หนูเข้ามาในชีวิตพี่” “หนูต้องขอบคุณพี่นนท์ คุณปู่และก็ครอบครัวของพี่มากกว่าที่ไม่รังเกียจหนู” “หนูเป็นเด็กกตัญญูที่หนูทำก็เพื่อครอบครัว ใครจะรังเกียจหนูล่ะ พี่ยิ่งรักหนูมากขึ้นด้วยซ้ำ” “พี่บอกรักหนูอีกแล้ว” ปุณณิศาแหงนหน้ามองแล้วยิ้ม “หนูชอบไหมล่ะ พี่อยากบอกรับหนูทุกวันวันละหลายรอบเลยดีไหม” “ดีคะ หนูก็จะบอกรักพี่วันละหลายๆ รอบ หนูมีความสุขมากเลยค่ะ” “แต่หน้าหนูยังดูเป็นกังวลอยู่เลยนะ” “ก็เรื่องแม่ของพี่” “แม่เลิกจับคู่แล้วล
“ปุณ ไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่มีงานแต่งงานใหญ่โต” ชานนท์ถามหญิงสาวที่อยู่ในเดรสสีขาวซึ่งดูไม่เหมือนชุดแต่งงานเท่าไหร่ ส่วนเขาก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสบายๆ เพราะวันนี้เป็นแค่การจดทะเบียนสมรสและการทานอาหารร่วมกันของครอบครัวเท่านั้น” “ไม่ค่ะ หนูว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะไม่ต้องจัดงานให้วุ่นวาย” “พี่กลัวหนูเสียใจ” “ไม่เลยค่ะ แค่พี่นนท์อยู่ข้างๆ หนูแค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” “ก็หนูน่ารักแบบนี้พี่ถึงรักหนูหมดใจ” “อะไรนะคะ” “พี่บอกว่ารักหนูหมดใจ” “พี่นนท์” หญิงสาวกอดเขาแน่น “หนูเป็นอะไร ไหนว่าไม่น้อยใจแล้วร้องไห้ทำไม” “ก็เมื่อกี้พี่บอกรักหนู หนูดีใจ” “พี่ขอโทษที่พูดช้าไป แต่พี่รักหนูมานานแล้ว รักมาก” “หนูก็รักพี่ค่ะ แล้วก็ดูออกว่าพี่รักหนู รักของพี่ไม่ต้องพูดหนูก็รู้” “ต่อไปพี่จะพูดบ่อยดีไหม” “แล้วแต่พี่เลย หนูไม่บังคับหรอกค่ะ” “หนูทำไมน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ” ชานนท์กอดเธอแล้วจุมพิตไปบนไรผมอย่างรักใครก่อนที่จะพากันไปยังบ้านของคุณปู่ ในห้องรับแขกตอนนี้มี
สัญชัยโทรหาพลอยกมลเพื่อแจ้งว่าเขาจัดการงานที่สั่งเรียบร้อยแล้ว เลยอยากได้เงินส่วนที่เหลือเพิ่ม พลอยกมลนัดให้เขาไปที่ตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมือง “ทำไมต้องออกไปไกลขนาดนั้นด้วยล่ะ” “ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่านายอยู่กับฉัน ถ้าได้เงินแล้วก็เก็บตัวสักพักนะ” “แน่นอนผมว่าจะข้ามฝั่งแก้มมือแถวปอยเปตสักหน่อย เงินที่พี่ให้มารับรองได้เลยว่าผมจะใช้ให้คุ้ม” เขานัดแนะกับตำรวจอีกครั้งว่าให้พูดยังไงบ้างเพื่อให้ผู้ว่าจ้างยอมสารภาพ จากนั้นก็ให้ถอยออกมาแล้วตำรวจจะเข้าไปจัดการต่อ ขณะที่ขับรถไปตามเส้นทางที่พลอยกมลบอก สองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีบ้านคนและรถยนต์สัญจรผ่านไปมาเลยแม้แต่คันเดียวเพราะเป็นถนนเลี่ยงเมืองแต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันขับมาจนเกือบจะชิดกับรถที่เขาขับอยู่ จากนั้นชะลอให้ความเร็วเท่ากัน คนซ้อนท้ายเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น พอเขาลดกระจกลงมันก็รีบบิดหนีไป สัญชัยรู้สึกหงุดหงิดเขาอยากจะขับตามไปเอาเรื่องแต่ติดที่ว่าตัวเองกำลังทำตามแผนอยู่จึงได้แต่ปล่อยผ่าน แต่พอขับมาถึงบริเวณทางโค
สัญชัยเลือกโรงแรมม่านรูดที่ใกล้ที่สุดเพื่อจัดการกับเหยื่อแสนโอชะ จากแผนเดิมเขาจะจัดการเธอในรถ แต่เพราะอยากหาความสุขจากเรือนร่างที่หอมกรุ่นให้สมกับความเหนื่อยที่ต้องตามเธอมาถึงกรุงเทพ เตียงนอนกว้างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา เขานั่งมองเธออย่างใจเย็น รอเวลาให้เธอรู้สึกตัวเพราะอยากสนุกกับเธอตอนที่มีสติมากกว่า มือหยาบกร้านเลื่อนตามเรียวขาที่โผล่พ้นกระโปรงสีสวย ไต่ขึ้นสูงทีละนิด มือหนึ่งดึงบรรจงจับเส้นผมสวยมาดมอย่างเสน่หา กลิ่นกายสาวหอมเย้ายวนกว่าผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าเธอมีสามีแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะโชกโชนเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เพราะเสียงฮึมฮัมในลำคอบวกกับมือที่ไต่ไปตามแขนและขาทำให้ปุณณิศาค่อยๆ รู้สึกตัวทีละนิด เธอได้กลิ่นเหงื่อไคลลอยมาปะทะจมูกแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านั้นตนเองถูกใครบางคนพาออกมาจากสวนสาธารณะ พอเธอลืมตาขึ้นมาก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้ใบหน้าของมันอยู่ห่างเธอเพียงคืบ “กรี๊ดดดดด ปล่อยฉันนะ นายจับฉันมาทำไม ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ”ปุณณิศาตะโกนสุดเสียงพร้อมกับขยับตัวหนีจนหลังชนกับหัวเตีย
ปุณณิศาไม่ขัดข้องที่งานแต่งงานของตนเองจะถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ที่คุณปู่หาให้ แต่มารดาของหญิงสาวดูจะตกใจที่ความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ที่ทั้งสองมีในตอนแรกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่พอเธอได้คุยกับคุณปู่ของชายหนุ่มก็สบายใจขึ้น ปนัดดาไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขอแค่ชานนท์จะไม่ทิ้งลูกสาวเธอแค่นั้นก็พอแล้ว แต่ปู่มนตรีไม่ยอมและบอกว่าเรื่องสินสอดทองหมั้นจะจัดให้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพียงการแต่งแบบเงียบๆ เชิญแค่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมาเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหญิงสาวเรียนจบแล้วก็จะมีการจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งถึงตอนนั้นก็คงจะจัดอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งชานนท์และปุณณิศาก็เห็นดีด้วย “แม่เราว่ายังไงบ้างล่ะตานนท์จะมาร่วมงานไหม” “ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมบอกแค่พ่อกับยัยตา ส่วนคุณแม่ผมยกหน้าที่ให้คุณพ่อเป็นคนบอกครับ” “กลัวไหมว่าแม่เขาจะไม่มา” “ถึงเขาไม่มาเราก็แต่งกันได้นี่ครับปู่” ชานนท์ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะมาร่วมงานหรือเปล่า คนที่เขาแคร์มากที่สุดเป็นคุณปู่กับปุณณิศามากกว่า “หลานปู่คนนี้มันแน่จริงๆ ไม่
หลังจากที่ตกลงคบกันอย่างจริงจังแล้ว ปุณณิศาก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสัญญาที่กำลังจะหมดลง แต่ทุกครั้งที่เธอมาทานอาหารหรือมานั่งคุยกับคุณปู่มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด “ปู่คะ แค่นี้พอหรือยังคะ” ปุณณิศาถามคุณปู่มนตรีพร้อมกับชูดอกกล้วยในมือให้ท่านดู วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งตามปกติแล้วปุณณิศาจะกลับไปช่วยมารดาทำขนมที่บ้าน แต่วันนี้เธอเห็นว่าลุงทศไม่ค่อยสบายก็เลยอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ ท่านจึงชวนเธอมาที่เรือนกล้วยไม้เพื่อตัดกล้วยไม้บางส่วนไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ “พอแล้วล่ะ ขอบใจหนูมากที่มาช่วยปู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปวัดกับปู่ไหมล่ะ” “ค่ะ หนูว่าจะทำกล้วยบวชชีไปถวายพระด้วยดีไหมคะ กล้วยที่คุณปู่ปลุกไว้กำลังสุกได้ที่เลยค่ะ” “ได้สิ หนูทำเป็นเหรอ” “ค่ะ หนูเคยช่วยแม่อยู่บ่อยๆ” “จริงสิ ปู่จำได้หนูเคยบอกว่าแม่ทำขนมไทยขายด้วย” “ค่ะคุณปู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำไปขายแล้วค่ะ แม่ทำขนมส่งร้านกาแฟค่ะ แต่บางครั้งก็จะมีลูกค้าขาประจำมาสั่งเป็นหม้อใหญ่ เอาไปเลี้ยงแขกบ้างไปถวายพระบ้าง” “แล้ว
วันนี้ปุณณิศามีเรียนในตอนบ่ายหญิงสาวจึงตื่นนอนสายกว่าทุกวัน เธอไม่ต้องไปทานอาหารเช้ากับคุณปู่เพราะวันนี้ท่านไปทำบุญที่วัดกับลุงทศตั้งแต่เช้าเรื่องที่ชานนท์บอกว่าจะคุยด้วยก็ยังไม่ได้คุย เพราะเมื่อคืนเธอหมดแรงหลับไปก่อน พอตื่นเช้ามาเขาก็ออกไปทำงานแล้ว หญิงสาวเดินลงมาที่ห้องครัวก็มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอทานเสร็จก็เก็บล้างและคิดว่าจะออกไปมหาวิทยาลัยสักสิบเอ็ดโมงเพราะมีแผนจะไปยืมไอแพดที่มหาวิทยาลัยขณะกำลังแต่งตัวชานนท์ก็โทรมาบอกเธอรอเขาอยู่ที่บ้านเพราะชายหนุ่มจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย พอเขามาถึงเธอก็เร่งให้เขารีบไปส่งทันที“มีเรียนบ่ายโมงใช่เหรอ ทำไมดูรีบจังพี่ว่าจังพี่ว่าจะชวนหนูไปหาอะไรกินแล้วค่อยไปเรียนสักหน่อย”“หนูรีบไปยืมไอแพดค่ะ พี่นนท์ออกรถเลยค่ะ”“ยืมไอแพด ยืมใครครับ แล้วทำไมไม่ซื้อเอง”“ยืมที่คณะค่ะ เขามีให้นักศึกษายืม แต่ต้องเขียนคำร้องแล้ววันนี้ก็เปิดให้เขียนคำร้องวันแรกค่ะ หนูอยากรีบไปเขียนก่อนเข้าเรียนค่ะ”“พี่เคยบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอกจำไม่ได้เหรอ”“จำได้ค่ะ แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของหนู”ชานนท์หันมามองก่อนจะถอนหายใจอย่างแรงพลางส่ายหน้า“
ชานนท์กดริมฝีปากลงกับเนินอกอวบอิ่มหนักๆ สร้างร่องรอยตีตราจองไว้ทุกจุดที่ลากผ่า ปลายนิ้วเรียวยาวเลื่อนลงไปสัมผัสจุดอ่อนไหวเบื้องล่าง“พี่นนท์...”“เปียกอีกแล้ว”“ก็เพิ่งอาบน้ำ”“แน่ใจเหรอว่าเพราะอาบน้ำ”“พี่นนท์ขา...”หญิงสาวเสียงสั่นเลือดลมในกายพลุ่งพล่านร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงราคะที่พร้อมจะแผดเผา ลมหายใจเริ่มสะดุดเพราะนิ้วร้ายที่รุกล้ำนั้นขยับเข้าออกเร่งเร้าให้ไฟให้โหมกระหน่ำมากขึ้นทุกขณะ“เสียวมากไหนคนเก่ง”“อื้ม พี่นนท์ขาอย่าแกล้ง”“ใครจะแกล้งเมียกันล่ะ พี่ก็แค่กำลังจะส่งหนูไปสวรรค์”“อ๊า...”เสียงครวญครางของหญิงสาวที่ค่อยๆ เพิ่ม ระดับความดังมากขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งสูงจากการปรนเปรอด้วยนิ้วร้ายที่หมุนวนคว้านครูดเสียดสีจนสมองของปุณณิศามึนงงไปหมด ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงแรงบีบรัดที่ตอดถี่รัวกล้ามเนื้อภายในกลีบกุหลาบสีสวยของเธอ สองหนุ่มสาวสบตาสื่อสารกันทางความรู้สึกที่เข้าใจได้ไม่ยาก ปุณณิศาหน้าแดงซ่านร่างกายกำลังจะถึงจุดสูงสุด ชานนท์ดูดเต้างามเข้าอุ้งปาก ปลายลิ้นตวัดเลียเม็ดทับทิม ขณะส่งนิ้วรัวเร็วจนในที่สุดหญิงสาวก็ขับน้ำหวานออกมาจนชุ่มไปทั้งปลายนิ้ว เธอเกร็งกระตุกรัดนิ้วอย่างรุนแรงจนเขาต้องร
ชานนท์ขับรถตรงมาจอดที่หน้าบ้านของตัวเองเพราะอยากจะคุยกับปุณณิศาให้รู้เรื่อง แต่พอเขาจอดรถ เธอก็เปิดประตูแล้วรีบเดินไปทางบ้านของคุณปู่ เขาเลยต้องเดินตามเธอไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าตัวเองเพิ่งจะร้องไห้มาในรถแต่พอมาเจอกับคุณปู่ปุณณิศาก็ปรับอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี เธอไม่อยากให้ท่านต้องเป็นกังวลไปด้วยที่เห็นว่าเธอกับเขาโกรธกันอยู่ “เปิดเทอมแล้วเรียนนักไหมล่ะปุณ” “ไม่ค่ะ ช่วงนี้ยังสบายๆ อยู่ค่ะ แต่เดือนหน้าก็คงจะเริ่มหนักขึ้น” “อดทนนะ อีกไม่ถึงสองปีก็จะจบแล้ว คิดไว้หรือยังว่าจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน”“หนูอยากสอนที่โรงเรียนใกล้บ้านค่ะ แต่ไม่รู้จะสอบได้ไหม เพราะโรงเรียนที่อยู่ในเมืองคนก็จะสอบกันเยอะค่ะ แต่บางทีก็คิดเหมือนกันค่ะว่าอยากจะไปสอบโรงเรียนไกลๆ เพราะไม่ค่อยมีใครอยากไปกันเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้ก็มีมากขึ้น”“แล้วถ้าต้องอยู่ลำบากแบบนั้นหนูจะทนได้เหรอลูก” ปู่มนตรีเป็นห่วงกลัวหลานสะใภ้จะลำบาก“ได้สิคะ”“ปู่ขออวยพรให้หนูสอบได้โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ บ้านก็แล้วกันนะลูก ปู่ไม่อยากให้ไปไกลเลย”“ขอบคุณค่ะคุณปู่”“จะไปสอบทำไมใ