๒
เธอคือใคร
ที่บ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้หลังไม่ใหญ่มากนัก บริเวณบ้านรายรอบไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ และผลไม้หลากหลายชนิด ด้านหน้าเป็นลานกว้าง ปูด้วยหญ้าญี่ปุ่นเขียวขจี มองเข้าไปในบ้านชั้นล่าง ด้านหน้าบ้านเทพื้นปูนออกมากว้างขวาง ปูกระเบื้องสีน้ำตาลและต่อหลังคายื่นออกมาเป็นพื้นที่นั่งเล่นและมีชุดโต๊ะไม้สีน้ำตาลขัดเงาตั้งอยู่หนึ่งชุดสำหรับนั่งเล่น และใช้สำหรับนั่งรับประทานอาหารได้ด้วย
ชายชรานั่งอยู่บนรถเข็นหน้าบ้าน มองออกไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่สีดำที่ขับเข้ามาจอด ร่างเพรียวบางในชุดกางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อยืดแขนยาวสีครีมลงมาจากรถ ในมือถือถุงพะรุงพะรังเข้ามาหา ผมยาวสลวยของเธอพริ้วไหวไปตามแรงลม
“อ้าว พ่อทำไมมานั่งคนเดียวตรงนี้ล่ะคะ แล้วพี่นิสาไปไหน” หญิงสาวถามพลางกวาดตามองไปยังที่จอดรถประจำของพี่สาว ซึ่งก่อนออกไปซื้อของข้างนอกเธอยังเห็นรถสปอร์ตสีแดงจอดอยู่
“พี่เขามีธุระน่ะ ออกไปสักพักได้แล้วละ เห็นบอกว่าไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ” นายอรุณผู้เป็นบิดาตอบ
“แล้วทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียวเนี่ยนะคะ ทั้ง ๆ ที่นิภาก็บอกไว้แล้วว่าให้อยู่เป็นเพื่อนพ่อก่อน” อรุณนิภาเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย เพราะของในตู้เย็นหมด เธอจึงต้องออกไปซื้อและฝากพี่สาวให้ช่วยดูแลบิดาที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ซึ่งร่างกายของท่านก็ยังไม่แข็งแรงนัก แต่พี่สาวกลับทิ้งให้บิดาอยู่คนเดียว
“พ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย นั่งเล่น ๆ อยู่ตรงนี้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวเขาก็กลับ” ผู้เป็นบิดาพยายามไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต แม้จะรู้ว่าบุตรสาวคนโตมักจะทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจใครสักเท่าไร แม้แต่ตัวท่านเองที่เป็นบิดาก็ไม่ค่อยเอาใจใส่นัก มาช่วยดูแลบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ไม่ถนัดจะมาดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด อย่างมากก็ให้คอยเฝ้าแล้วคอยหยิบนั่นนิดนี่หน่อย
“แต่พ่อยังเดินไม่คล่อง จะให้อยู่คนเดียวได้ยังไง เกิดอยากเข้าห้องน้ำ จะให้ใครพยุงไปล่ะ เดินไปเองเดี๋ยวก็หกล้มไปอีก แถมตอนนี้พ่อเป็นทั้งเบาหวาน ความดัน ต้องดูแลใกล้ชิด แล้วพี่นิสาให้พ่อกินข้าวหรือยังคะ”
“เขาไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงน่ะ ตอนนั้นพ่อยังไม่หิว” นายอรุณแก้ตัวแทนลูกสาวคนโต แม้จะรู้ว่าโดนปล่อยปละละเลยแต่ก็ไม่อยากให้พี่น้องต้องมาทะเลาะกัน
“เฮ้อ มาค่ะ มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวนิภาจะไปทำกับข้าวมาให้กิน”
อรุณนิภาเข็นรถเข็นมานั่งที่โต๊ะนั่งเล่น จัดที่นั่งให้เหมาะสมสำหรับนั่งรับประทานอาหาร ก่อนจะหิ้วของเข้าไปในบ้าน ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับข้าวหนึ่งจาน แกงเลียงและปลานึ่ง
“ช่วงนี้พ่อต้องกินข้าวน้อยหน่อยนะคะ หมอบอกให้ลดข้าวกับของหวาน นิภาเลยตักข้าวมาน้อย พ่อกินปลาให้หมดตัวเลยนะคะจะได้อิ่ม อ้อ เดี๋ยวนิภาไปเอาผักลวกกับน้ำพริกมาก่อน”
อรุณนิภาบอกบิดาก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว เพราะหลังจากที่ท่านหกล้มก็ไปตรวจร่างกายพบว่านอกจากโรคความดันโลหิตสูงแล้ว ยังได้โรคเบาหวานแถมมาด้วยอีกหนึ่งโรค วันนี้เธอจึงออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหารที่เหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวาน มาทำให้บิดารับประทาน
เธอนำอาหารที่ทำไว้มาตั้งโต๊ะให้บิดา ก่อนจะตักข้าวสำหรับตัวเองมารับประทานพร้อมกับท่านและพูดคุยกันไปด้วย
“นิภาว่าจะปลูกผักสักหน่อยค่ะพ่อ ผักที่ตลาดสารเคมีทั้งนั้น วันนี้เดินหาผักที่ชาวบ้านปลูกเองแทบไม่เจอเลย ในสวนเราก็มีแต่ผลไม้ทั้งนั้น เมื่อกี้แวะซื้อเมล็ดผักที่ร้านเกษตรมา เลยมาถึงช้า”
“ก็ดีเหมือนกัน ไปปลูกที่ท้ายสวนก็ได้ น้ำท่าสะดวกดี เพิ่งตัดหญ้าไปน่าจะปลูกได้อยู่ ไม่ต้องใช้น้ำประปาให้เปลืองเงินไปอีก” นายอรุณแนะนำ
“ค่ะ งั้นเดี๋ยวถ้าพี่นิสากลับมา นิภาว่าจะออกไปดูท้ายสวนสักหน่อย ว่ารกมากไหม ตรงนั้นก็ดีเหมือนกันค่ะ ตอนเด็ก ๆ นิภาชอบไปนั่งเล่นที่นั่น วิวสวยดี มีลำธารไหลผ่าน ตักน้ำมารดง่ายดี” หญิงสาวว่าดวงตาเป็นประกายสดใสขึ้น เมื่อได้พูดถึงเรื่องที่วางแผนไว้ แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ รถสปอร์ตสีแดงก็ขับมาจอดที่หน้าบ้าน
“อายุยืนจริง ๆ” อรุณนิภาพึมพำเบา ๆ พลางแบะปาก เธอยังนึกฉุนพี่สาวไม่หาย ที่ทิ้งบิดาซึ่งยังไม่แข็งแรงดีไว้ตามลำพัง โชคดีที่ท่านยังไม่เป็นอันตราย ไม่อย่างนั้นเธอจะโกรธตัดพี่ตัดน้องกันไปเลย
“อ้าว กินข้าวกันอยู่เหรอ” นิสากรลงจากรถก็เดินตรงเข้ามาหา
“ค่ะ กินข้าวอยู่ พี่นิสาจะกินด้วยไหมคะ”
“ไม่ล่ะจ้ะ พี่กินกับเพื่อนที่ร้านคาเฟ่มาเมื่อกี้นี้”
“พี่นิสาทิ้งพ่อเพื่อไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านคาเฟ่เนี่ยนะคะ” อรุณนิภาขึ้นเสียงสูง ผู้เป็นพี่สาวหันมาทำตาวาวราวกับแม่เสือ
“ฉันก็มีธุระจะคุยเรื่องงานเรื่องการกับเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง ก็หล่อนไปช้า ฉันรอจนจะเที่ยงอยู่แล้ว ถึงต้องไปก่อน ไม่งั้นเขาก็รอแย่”
“ค่ะ” อรุณนิภาตอบสั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่มีอีกเป็นแสนล้านคำที่อยากจะเอ่ยออกมา แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้รุนแรงไปมากกว่านี้ต่อหน้าบิดา เพราะเธอก็ไม่ใช่คนใจเย็นนัก แม้ภายนอกจะดูเป็นคนเรียบร้อยก็ตาม แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรเธอก็พร้อมจะปรอทแตกใส่ได้เหมือนกัน
“ถ้างั้น เดี๋ยวพี่นิสาอยู่เป็นเพื่อนพ่อด้วยนะคะ นิภาจะไปปลูกผักที่ท้ายสวน” หญิงสาวว่า
“ทำไมต้องปลูกด้วย ซื้อเอาก็ได้ เธอนี่ก็นะ ชอบทำอะไรให้ยุ่งยาก”
“พ่ออายุมากแล้ว กินผักตลาดแบบนั้นไม่เหมาะหรอกค่ะ มีแต่สารเคมีทั้งนั้น อันตรายจะตาย ตอนนี้พ่อเป็นเบาหวาน ต้องลดแป้ง ลดน้ำตาล ต้องให้พ่อกินผักและเนื้อสัตว์เสริม ไม่งั้นก็ไม่อิ่มเพราะหมอเน้นว่าให้ลดข้าว พ่อเคยชินกับกินข้าวเยอะ ๆ พอให้ลดข้าวก็จะหิวง่ายอีก” เธออธิบายให้พี่สาวฟัง
“ก็ตามใจ จะไปปลูกผักหรืออะไรก็ตามใจเธอเถอะ กินข้าวเสร็จก็พาพ่อเข้าไปในบ้านก็แล้วกัน ฉันจะไปนั่งดูทีวีรอ” นิสากรว่าพลางเดินเข้าไปในบ้าน อรุณนิภาได้แต่ถอนใจ แล้วก้มหน้ารับประทานอาหารต่อ
หลังจากรับประทานอาหารเธอก็เข็นรถพาบิดาเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเก็บจานชามไปล้าง แล้วหยิบซุปไก่สกัดกับรังนกที่ซื้อจากมินิมาร์ทในตลาดมาเปิดให้บิดารับประทาน
“พ่อจะดูทีวีกับพี่นิสา หรือว่าจะเข้าไปนอนพักคะ”
“พ่อนั่งดูทีวีสักพักก็แล้วกัน เดี๋ยวถ้าจะนอน พ่อค่อยให้พี่เขาพาไป หนูอยากไปปลูกผักก็ไปเถอะ” ท่านตอบเสียงเรียบ ๆ
“ค่ะพ่อ”
อรุณนิภากวาดตามองไปทั่วบริเวณท้ายสวน ซึ่งเป็นเวิ้งกว้างก่อนถึงลำธาร เธอเพิ่งจ้างคนงานมาตัดหญ้าทำให้ดูโปร่งสบายตา ก่อนหน้านี้มีหญ้ารกท่วมทีเดียว ด้วยบิดาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก เพราะตั้งแต่มารดาของเธอจากไปเมื่อห้าปีก่อน ท่านก็อยู่ลำพังมาตลอด มีเพียงน้าชายสวนใกล้กันที่คอยมาอยู่เป็นเพื่อน ในช่วงที่เธอกับพี่สาวไปอยู่ที่กรุงเทพฯช่วงสองสามปีมานี้ท่านมีปัญหาปวดเข่า จึงไม่ค่อยได้เข้ามาท้ายสวนบ่อยนัก ได้แต่ปล่อยที่ดินทิ้งร้างไว้ คนงานประจำก็ไม่มี ได้แต่จ้างทำเป็นรายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกผลไม้ ยางพารา สวนมะพร้าว ซึ่งพอให้ท่านมีรายได้ทุกวันไว้ใช้จ่ายในยามแก่ แต่พอป่วยก็รู้สึกว่าพื้นที่มีมากเกินกว่าตัวเองจะทำไหว หากขายที่ดินได้เงินก้อนใหญ่มาแบ่งให้กับลูก ๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงไม่ถนัดทำสวนทำไร่ ก็น่าจะดีกว่า ท่านเก็บไว้เพียงสวนยางพาราที่พอมีรายได้เลี้ยงชีพก็น่าจะเพียงพอ จึงได้มาบอกเธอว่าจะขายที่ดิน แต่เพราะเธอยับยั้งเอาไว้ไม่ยอมให้ขาย ท่านจึงต้องยกเลิกความคิดนี้ไปหญิงสาวมองข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นเนินสูงขึ้นไป ใกล้ลำธารมีกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นกระท่อมคนงานของสวนชลธร ซึ่งเป็
หญิงสาวรับผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมเช็ดหน้า ส่วนเขาเดินเข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมายื่นให้ เพราะเห็นเธอตัวสั่นราวกับลูกนก เนื่องจากบริเวณนี้อากาศค่อนข้างเย็น อีกทั้งเพิ่งจะจมน้ำมาอีก กลัวว่าจะเจ็บป่วยขึ้นมา“คุณไปเปลี่ยนเสื้อก่อนก็แล้วกัน อากาศหนาวแบบนี้ไม่ควรอยู่ตัวเปียก ๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัด วันหลังค่อยเอามาคืนผมก็ได้ ห้องน้ำอยู่ด้านใน แต่เดินระวังหน่อยนะ ลูกชายผมหลับอยู่” เขาว่าหญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องน้ำอย่างว่าง่าย คงเป็นเพราะกำลังหนาวจัดจริง ๆ เพราะตอนนี้ใกล้สี่โมงเย็นแล้ว แถมยังอยู่ในหุบเขา อากาศเย็นทั้งวันและจะเย็นมากขึ้นเมื่อใกล้ค่ำชลธรกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง เขาหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแล้วเดินออกมาข้างนอก พร้อมกับธนบัตรใบละห้าร้อยบาทที่เก็บไว้ในลิ้นชัก เห็นหญิงสาวนั่งมองชลธีอยู่ข้างเบาะ เขาผุดยิ้มขึ้นมาบาง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วก็ยื่นธนบัตรใบละห้าร้อยบาทให้กับเธอ หญิงสาวทำหน้างุนงง“ให้ฉันทำไมคะ เธอเงยหน้ามาถาม”“เงินที่คุณให้มา ผมไม่พอซื้อเสื้อตัวใหม่ ก็เลยเอามาคืน คุณชดใช้ผมโดยการซักเสื้อที่คุณใส่อยู่มาคืนผมก็แล้วกัน วันนั้นในงานแต่งงานคุณทำไวน์แดงหกร
๑ความหลังชายหนุ่มผิวสองสีดวงหน้าคมเข้มในชุดเสื้อโปโลสีขาว สวมกางเกงยีนส์สีซีดเดินอย่างกระฉับกระเฉงไปยังรถ SUV สีขาว ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถของบ้านหลังใหญ่สไตล์โรมัน ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเนินสูง รายล้อมด้วยสวนทุเรียนกว้างใหญ่สุดหูสุดตา ก่อนจะเปิดประตูรถเขาได้ยินเสียงตะโกนถามไล่หลังมาจากหญิงวัยกลางคนร่างท้วม“ตาชล จะไปไหนหรือลูก” ชลธรหันกลับไปหามารดาแล้วยิ้มด้วยสีหน้าสดใสก่อนจะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ไปรับตาหนูครับแม่ ไม่ได้เจอหน้าลูกหลายวันแล้วคิดถึง”“ก็เพิ่งไปส่งเมื่อสองวันก่อนนี้เองไม่ใช่เหรอ” สายชลผู้เป็นมารดาว่า“ก็นั่นแหละครับ คิดถึงแล้ว เดี๋ยวผมมานะครับแม่”“จ้ะ งั้นก็ไปเถอะ แม่ก็คิดถึงตาธีแล้วเหมือนกัน”“ครับแม่ เดี๋ยวผมซื้อขนมมาฝากนะครับ” ว่าแล้วก็ก้าวเท้าขึ้นรถขับไปตามถนนที่ลาดด้วยซีเมนต์ ซึ่งเป็นถนนในสวนที่มีความกว้างขนาดรถสวนกันได้สองคันระยะทางราวห้าร้อยเมตร มุ่งตรงออกจากสวนทุเรียนไปยังถนนใหญ่ก่อนจะแวะซื้อของกินเล็กน้อยที่ร้านอาหารจีนเจ้าประจำเพื่อไปฝากน้องสาวและน้องชายที่ไร่คีริน ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทและรีสอร์ตของน้องชายไม่นานชลธรก็มาถึงไร่คีรินที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง เข
เมื่อชลธรรับเจ้าตัวน้อยมาได้สมใจที่คิดถึงแล้ว จึงรีบพาไปแวะที่ร้านมินิมาร์ทในตัวอำเภอเพื่อซื้อของเล่นให้อย่างเคย“ธีเอาอันไหนดีครับลูก อันนี้มั้ย เป็ดน้อย มีเสียงปี๊บ ๆ ด้วย” ชลธรบีบตุ๊กตาเป็ดน้อยสีเหลืองให้หนูน้อยในอ้อมแขนดู ชลธีหัวเราะถูกใจพยายามเอื้อมมือไปคว้า ชลธรยิ้มด้วยท่าทางมีความสุข“จะถือเองหรือครับลูก โอเค ป๊าให้ถือเองนะครับ ไปจ่ายเงินที่พี่คนสวยกันเนอะ” ว่าแล้วก็หันไปยังพนักงานร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์“น้องคะ เอารังนกให้พี่แพ็คนึงค่ะ แล้วก็ซุปไก่อีกแพ็คนึงด้วยค่ะ” เสียงหญิงสาวที่เดินไปถึงเคาน์เตอร์ก่อนหน้าเขาดังขึ้น พลางชี้ไปด้านหลังพนักงานที่มีเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพหลากหลายชนิดวางอยู่ชลธรหันมองแล้วอึ้งไปอึดใจหนึ่ง เมื่อเห็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวสลวยรูปร่างบอบบาง ดวงหน้าเรียวหวานสะดุดตา ซึ่งเขาจำได้ชัดเจนว่าหญิงสาวคนนี้เคยวิ่งมาชนเขาที่งานแต่งงานของนภาธร เธอยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นแรง เธอจ่ายเงินเสร็จก็รับของ แล้วหมุนตัวจะเดินออก ก่อนจะชะงักนิ่งเมื่อเห็นเขายืนอยู่ ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะทักทายอย่างไร“พี่คะ ถึงคิวแล้วค่ะ” เสียงพนักงานสาวเอ่ยเรียก ชลธรละสายต
ภาพที่หญิงสาวคนนั้นยัดเงินห้าร้อยบาทใส่มือของเขา ตอนที่วิ่งมาชนจนไวน์แดงหกรดเสื้อเชิ้ตในงานแต่งงานของนภาธร แล้วเธอก็วิ่งหายลับไปอย่างรวดเร็ว ผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง เขามั่นใจว่าผู้หญิงที่เห็นวันนี้คือคนเดียวกับที่วิ่งชนเขาวันนั้นอย่างแน่นอน เพราะเขาอยู่ที่นี่มานานยังไม่เคยเห็นใครที่มีใบหน้าหวาน ผิวพรรณขาวใสสะดุดตาเช่นนี้มาก่อน“จะได้เจอกันอีกไหมนี่ จะได้เอาเงินไปคืนให้” เขาพึมพำก่อนจะเก็บเงินไว้ในลิ้นชักอย่างเดิมแล้วหยิบโน้ตบุ๊กออกมานั่งอยู่ริมระเบียง ทอดสายตามองไปยังลำธารด้านล่าง วันนี้น้ำขึ้นสูงและไหลเชี่ยวกว่าปกติเพราะฝนตกในช่วงกลางคืนมาหลายวันแล้วก่อนจะก้มมองจอคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านข่าวและดูราคาหุ้นที่ตนเองซื้อเก็บไว้เก็งกำไร ไหนยังจะกองทุนต่าง ๆ ที่ซื้อเก็บไว้เพื่อรับเงินปันผล ซึ่งเขามักจะเข้าไปตรวจเช็คอยู่บ่อย ๆหลังจากนั้นจึงเข้าไปดูข้อมูลด้านการเกษตรอื่น ๆ ที่จะต้องอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพราะมีเรื่องโรคและแมลงต่าง ๆ ที่อาจจะมาลงในแปลงสวนทุเรียนของเขาได้ จะได้ระมัดระวังไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆตอนนี้เขาเรียนจบปริญญาเอกแล้ว จึงไม่ได้มีงานให้ทำมากเหมือนเมื่อก่อน ได้แต่ใช้เวลาส่วน