หญิงสาวรับผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมเช็ดหน้า ส่วนเขาเดินเข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมายื่นให้ เพราะเห็นเธอตัวสั่นราวกับลูกนก เนื่องจากบริเวณนี้อากาศค่อนข้างเย็น อีกทั้งเพิ่งจะจมน้ำมาอีก กลัวว่าจะเจ็บป่วยขึ้นมา
“คุณไปเปลี่ยนเสื้อก่อนก็แล้วกัน อากาศหนาวแบบนี้ไม่ควรอยู่ตัวเปียก ๆ เดี๋ยวจะเป็นหวัด วันหลังค่อยเอามาคืนผมก็ได้ ห้องน้ำอยู่ด้านใน แต่เดินระวังหน่อยนะ ลูกชายผมหลับอยู่” เขาว่า
หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องน้ำอย่างว่าง่าย คงเป็นเพราะกำลังหนาวจัดจริง ๆ เพราะตอนนี้ใกล้สี่โมงเย็นแล้ว แถมยังอยู่ในหุบเขา อากาศเย็นทั้งวันและจะเย็นมากขึ้นเมื่อใกล้ค่ำ
ชลธรกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง เขาหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแล้วเดินออกมาข้างนอก พร้อมกับธนบัตรใบละห้าร้อยบาทที่เก็บไว้ในลิ้นชัก เห็นหญิงสาวนั่งมองชลธีอยู่ข้างเบาะ เขาผุดยิ้มขึ้นมาบาง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วก็ยื่นธนบัตรใบละห้าร้อยบาทให้กับเธอ หญิงสาวทำหน้างุนงง
“ให้ฉันทำไมคะ เธอเงยหน้ามาถาม”
“เงินที่คุณให้มา ผมไม่พอซื้อเสื้อตัวใหม่ ก็เลยเอามาคืน คุณชดใช้ผมโดยการซักเสื้อที่คุณใส่อยู่มาคืนผมก็แล้วกัน วันนั้นในงานแต่งงานคุณทำไวน์แดงหกรดเสื้อผม แล้วผมก็ซักไม่ออก” หญิงสาวอ้าปากค้างก้มมองเสื้อที่ใส่อยู่ ซึ่งมีคราบสีแดงจาง ๆ
“เป็นคุณเองหรือคะ มิน่าละ ฉันถึงคุ้นหน้าคุณมาก แล้วคุณทำงานที่สวนชลธรเหรอคะ” หญิงสาวถาม
“ครับ ผมทำงานที่นี่” เขาตอบแล้วยิ้มบาง ๆ
“เฮ้อ คุณคงเป็นหัวหน้าคนงานที่นี่สินะคะ กระท่อมคุณดูน่าอยู่ดี ว่าแต่นายหัวชลธรเขาดูแลคุณดีไหม” หญิงสาวถาม เธอรู้มาจากบิดาว่านายหัวชลธรยังไม่มีครอบครัวแล้วก็อยู่บ้านหลังใหญ่สีขาวนั่น แต่เขาคนนี้มีลูกชายแล้วยังจะอยู่กระท่อมหลังเล็ก ๆ ก็น่าจะเป็นคนงานของเขา
“เอ่อ ก็...ดีตามสมควรครับ”
“แล้วนี่ลูกชายคุณเหรอ”
“ครับ น่ารักไหม” ตอบแล้วถามกลับดวงตาเป็นประกายเมื่อได้พูดถึงลูกชายที่นอนอยู่
“น่ารัก น่ารักมากเลยแหละ ขนาดยังหลับอยู่นะเนี่ย แก้มยุ้ยเชียว”
หญิงสาวยิ้มให้เขา ก่อนจะก้มมองหนูน้อยด้วยความเอ็นดูแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามเขาอีกครั้ง
“แล้วแม่เขาไปไหนล่ะคะ ถ้าเขากลับมาเห็นฉันในสภาพนี้จะไม่เข้าใจคุณผิดเอาเหรอ” ถามแล้วหันมองไปรอบ ๆ ท่าทางมีกังวล
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ คุณไม่ต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น ผมไม่มีใครมาหึงมาหวงแน่นอน รับรองได้ว่าคุณจะปลอดภัย”
“คุณเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวเหรอ” เธอถามอย่างสนใจ
“จะว่างั้นก็ได้” เขาตอบยิ้ม ๆ ขณะเดียวกับที่เจ้าตัวน้อยที่นอนอยู่ขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น
“โอ๋ ๆ ธีตื่นแล้วหรือลูก ไม่ร้องนะ ป๊าอยู่นี่” หนูน้อยปรือตาแล้วหันมองหน้าทั้งสองสลับกันด้วยท่าทางงง ๆ เขาช้อนร่างหนูน้อยขึ้นมาไว้บนตัก
“ลูกชายคุณชื่อธีหรือคะ” เธอถาม
“ครับ แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ ผมจะได้แนะนำให้ลูกชายผมรู้จัก”
“อรุณนิภา เรียกว่านิภาเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร”
“เอ่อ ผม ชลครับ” เขาบอกชื่อเล่นออกไป
“ชล งั้นฉันเรียกนายชลแล้วกันจ๊ะ ชื่อนายชลคล้ายนายหัวชลธรเลยนะ เฮ้อ แต่นิสัยคงไม่เหมือนกันเนอะ”
“ทำไมหรือครับ นายหัวชลธรนิสัยเป็นยังไง” เขาถามด้วยความอยากรู้ว่าในความคิดของเธอแล้วนายหัวชลธรเป็นคนแบบไหน
“นายชลก็อย่าหาว่าฉันนินทานายหัวของนายชลก็แล้วกัน แต่ฉันน่ะ ไม่ชอบเขาเลย คนอะไรรวยจะตายอยู่แล้ว ยังโลภมาก ไปทู่ซี้ซื้อที่ดินจากพ่อฉันอยู่ได้ ไม่คิดจะให้คนอื่นเขามีที่ทำกินบ้างหรือไง คุณดูสิที่ดินเขาตั้งกี่ร้อยไร่ ที่ฉันมีอยู่แค่เจ็ดสิบไร่ยังจะมาขอซื้อไปตั้งห้าสิบไร่ แล้วพ่อฉันก็บ้าจี้เสียด้วย จะขายให้เขาเฉยเลย ไม่รู้เขาไปกล่อมยังไง พวกนายทุนก็งี้ หน้าเลือด คิดแต่จะเอาเงินฟาดหัวอย่างเดียว ฉันนี่สาปส่งเลยจริง ๆ กับนายคนนี้ ถ้าฉันไม่ขู่ว่าจะตัดพ่อตัดลูกไม่กลับมาดูดำดูดี พ่อฉันคงจะขายที่ดินตรงนั้นให้เขาไปแล้ว” เธอชี้ไปยังที่ดินฝั่งตรงข้ามลำธาร
ชลธรได้แต่นั่งหน้าเหวอ เพราะโดนนินทาซึ่ง ๆ หน้า แถมยังยังโดนด่าเสียหูชา เขาเพิ่งรู้ว่าตอนนี้เขากลายเป็นนายทุนหน้าเลือดไปแล้ว มันก็จริงอย่างที่เธอว่า ที่เขาไปขอซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามนั้นมาหลายครั้งแล้ว ตอนแรกก็ขอซื้อทั้งแปลง แต่ท่านไม่ขาย
ต่อมาเขาไปเยี่ยมอีกเพราะรู้ว่าท่านป่วยก็พูดคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง เขาขอซื้อห้าสิบไร่ ท่านจะได้เหลือไว้เป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินเลี้ยงชีพสักเล็กน้อยท่านทำท่าลังเล แต่อีกสองสามวันต่อมาก็โทร. ไปบอกว่าจะขายให้ แต่เขาติดธุระอยู่ที่กรุงเทพฯ พอเสร็จธุระก็รีบกลับมาว่าจะเข้าไปเจรจาเรื่องซื้อขาย ท่านก็โทร. มาบอกว่าลูกสาวไม่ให้ขาย ลูกสาวที่ท่านว่าก็คือคนนี้นี่เอง ตอนแรกเขาก็นึกว่านิสากรไม่ยอมขายให้เขาเสียอีก
ล่าสุดเขาไปขอซื้อยี่สิบไร่ ด้วยอยากเอามาเป็นของขวัญให้กับชลธีแต่ท่านก็ไม่ยอมขายอีกบอกว่าลูกสาวไม่ยอมให้ขาย จนตอนนี้เขาทำได้แค่นั่งมองแล้วภาวนาว่าให้ท่านเปลี่ยนใจขายให้สักที
“ฉันขออุ้มลูกนายชลหน่อยได้ไหมจ๊ะ” เธอถาม
“ได้สิ ธีครับ นี่คุณน้านิภานะครับ ธีให้คุณน้าอุ้มหน่อยนะครับ” เขาบอกแล้วก็ยื่นเจ้าตัวเล็กให้ หนูน้อยก็ให้อุ้มอย่างง่ายดาย ไม่มีทีท่าจะร้องไห้หรือตกใจกลัวแต่อย่างใดแถมยังเอามือจับเส้นผมยาวสลวยที่ยังเปียกชื้นดึงแรง ๆ แล้วหัวเราะชอบใจ
“โอ๊ะ ธีไม่ดึงผมคุณน้านะครับ” เขารีบเอามือแกะออกให้ เพราะกลัวว่าเจ้าลูกชายจะดึงผมเธอแรงจนเจ็บ เขาดูเธอเล่นกับชลธีด้วยท่าทางมีความสุข เธอมีความเป็นธรรมชาติ และดูเหมือนชลธีจะชอบเล่นกับเธอเสียด้วย เมื่อเธอหยอกล้อก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ซึ่งเขาก็นั่งมองจนลืมเวลาไปแล้วเช่นกัน
“อุ๊ย สี่โมงเย็นแล้ว ฉันต้องรีบกลับไปทำกับข้าวให้พ่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนบ่ายสามฉันจะเอาเสื้อมาคืนให้นะ มารดน้ำผักแล้วก็จะมาเล่นกับธีด้วย”
“ครับ งั้นเอาตาหนูมานี่ครับ เดี๋ยวผมอุ้มไปส่ง อ้อ เสื้อผ้าคุณที่เปียกเอาใส่ถุงนี้ไปก็แล้วกันครับ เขาเดินไปหยิบถุงพลาสติกมาให้ เพราะตอนนี้เธอสวมกางเกงสกินนี่สีดำที่ยังเปียกแต่สวมเสื้อสีขาวของเขาซึ่งตัวใหญ่โคร่งทับไว้อีกที ส่วนรองเท้านั้นน่าจะลอยน้ำหายไปแล้ว
“แล้วก็นี่ครับ รองเท้าแตะใส่ของผมไปก่อนก็ได้ ใหญ่หน่อยแต่ก็ดีกว่าเดินเท้าเปล่ากลับบ้าน” หยิบรองเท้าให้ แล้วเดินไปส่งหญิงสาวที่ริมตลิ่ง
อรุณนิภามองสะพานไม้ที่เป็นเพียงท่อนไม้กลมสองอันพาดไว้แล้วใจสั่นหวิว แต่เธอก็จำใจเดินกลับไปอย่างระมัดระวัง
“เดินดี ๆ นะ ไว้วันหลังผมจะทำสะพานใหม่ให้ จะได้ข้ามมาง่าย ๆ หน่อย” เขาตะโกนบอก เธอหันมายิ้มให้เมื่อเดินข้ามไปถึงฝั่ง เขาโบกมือให้ เธอก็โบกมือให้เขาเช่นกัน
“ธีครับ พรุ่งนี้น้ามาหานะครับ บ้ายบาย” ว่าแล้วก็โบกมือให้หนูน้อย
ชลธรจับมือลูกน้อยโบกให้เช่นกัน ชายหนุ่มยิ้มกว้างอย่างมีความสุข หัวใจอิ่มฟูขึ้นอย่างประหลาด เขาไม่รู้ตัวเลยว่ายืนยิ้มมองคนที่เดินจากไปจนกระทั่งเธอเดินหายลับไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิม กระทั่งเสียงขุนพลเอ่ยเรียก
“นายหัว ๆ นายแม่ให้มาตาม เห็นว่านายหัวคีรินโทร. มาถามว่าจะเอาคุณธีไปส่งกี่โมง ถ้านายหัวยุ่งอยู่เขาจะมารับเอง” ขุนพลตะโกนมาขณะที่นั่งอยู่บนรถเอทีวีสีแดงซึ่งขับมาส่งเขาก่อนหน้านี้
“เออ ๆ จะพาไปส่งอยู่ตอนนี้แหละ แค่นี้ก็ต้องมาทวง ไหนบอกว่ายกให้ เอามาแค่แป๊บเดียวก็มาทวงแล้ว” ตอบพลางทำเสียงหงุดหงิด เดินเข้าไปหารถแล้วขึ้นไปนั่ง
“แต่นายหัวเอามาเกือบทุกวันเลยนะครับ แล้วได้ข่าวว่าวันนี้นายหัวไปรับมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงไม่ใช่หรือครับนี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ไม่แป๊บแล้วนะครับ ลูกเขาเหมือนกันนะครับ เขาก็ต้องอยากอยู่กับลูกบ้าง” ขุนพลว่า คนเป็นนายหัวทำหน้ายุ่งหันไปทำตาขวาง
“มึงขับรถไปเลยไปไอ้ขุนพล แหม รู้ไปหมดทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องกูเนี่ย ไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม” ตอบพลางก้าวเท้าขึ้นไปนั่งบนรถ
“แหม จะว่าผมเสือกเรื่องนายหัวก็ว่าเถอะครับ ผมทำด้วยความห่วงใย” ขุนพลว่าพลางถอยรถแล้วขับเคลื่อนผ่านหน้ากระท่อมออกไป ขณะที่คนเป็นนายหัวหันไปค้อนให้ราวกับผู้หญิงเมื่อได้ยินคำว่าห่วงใยของมัน
“รีบขับไปเถอะ เอาไปส่งก่อน พรุ่งนี้เที่ยง ๆ ค่อยไปรับมาใหม่ก็ได้”
“หือ นายหัวยังจะไปรับมาอีกเหรอครับ”
“ใช่น่ะสิ ก็ลูกฉันนี่” ตอบไปอย่างนั้น แต่ในใจกลัวว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ไปรับมา จะบอกคนที่จะเอาเสื้อมาคืนได้อย่างไรว่าลูกไปไหน
๑ความหลังชายหนุ่มผิวสองสีดวงหน้าคมเข้มในชุดเสื้อโปโลสีขาว สวมกางเกงยีนส์สีซีดเดินอย่างกระฉับกระเฉงไปยังรถ SUV สีขาว ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถของบ้านหลังใหญ่สไตล์โรมัน ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเนินสูง รายล้อมด้วยสวนทุเรียนกว้างใหญ่สุดหูสุดตา ก่อนจะเปิดประตูรถเขาได้ยินเสียงตะโกนถามไล่หลังมาจากหญิงวัยกลางคนร่างท้วม“ตาชล จะไปไหนหรือลูก” ชลธรหันกลับไปหามารดาแล้วยิ้มด้วยสีหน้าสดใสก่อนจะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ไปรับตาหนูครับแม่ ไม่ได้เจอหน้าลูกหลายวันแล้วคิดถึง”“ก็เพิ่งไปส่งเมื่อสองวันก่อนนี้เองไม่ใช่เหรอ” สายชลผู้เป็นมารดาว่า“ก็นั่นแหละครับ คิดถึงแล้ว เดี๋ยวผมมานะครับแม่”“จ้ะ งั้นก็ไปเถอะ แม่ก็คิดถึงตาธีแล้วเหมือนกัน”“ครับแม่ เดี๋ยวผมซื้อขนมมาฝากนะครับ” ว่าแล้วก็ก้าวเท้าขึ้นรถขับไปตามถนนที่ลาดด้วยซีเมนต์ ซึ่งเป็นถนนในสวนที่มีความกว้างขนาดรถสวนกันได้สองคันระยะทางราวห้าร้อยเมตร มุ่งตรงออกจากสวนทุเรียนไปยังถนนใหญ่ก่อนจะแวะซื้อของกินเล็กน้อยที่ร้านอาหารจีนเจ้าประจำเพื่อไปฝากน้องสาวและน้องชายที่ไร่คีริน ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทและรีสอร์ตของน้องชายไม่นานชลธรก็มาถึงไร่คีรินที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง เข
เมื่อชลธรรับเจ้าตัวน้อยมาได้สมใจที่คิดถึงแล้ว จึงรีบพาไปแวะที่ร้านมินิมาร์ทในตัวอำเภอเพื่อซื้อของเล่นให้อย่างเคย“ธีเอาอันไหนดีครับลูก อันนี้มั้ย เป็ดน้อย มีเสียงปี๊บ ๆ ด้วย” ชลธรบีบตุ๊กตาเป็ดน้อยสีเหลืองให้หนูน้อยในอ้อมแขนดู ชลธีหัวเราะถูกใจพยายามเอื้อมมือไปคว้า ชลธรยิ้มด้วยท่าทางมีความสุข“จะถือเองหรือครับลูก โอเค ป๊าให้ถือเองนะครับ ไปจ่ายเงินที่พี่คนสวยกันเนอะ” ว่าแล้วก็หันไปยังพนักงานร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์“น้องคะ เอารังนกให้พี่แพ็คนึงค่ะ แล้วก็ซุปไก่อีกแพ็คนึงด้วยค่ะ” เสียงหญิงสาวที่เดินไปถึงเคาน์เตอร์ก่อนหน้าเขาดังขึ้น พลางชี้ไปด้านหลังพนักงานที่มีเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพหลากหลายชนิดวางอยู่ชลธรหันมองแล้วอึ้งไปอึดใจหนึ่ง เมื่อเห็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวสลวยรูปร่างบอบบาง ดวงหน้าเรียวหวานสะดุดตา ซึ่งเขาจำได้ชัดเจนว่าหญิงสาวคนนี้เคยวิ่งมาชนเขาที่งานแต่งงานของนภาธร เธอยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาเต้นแรง เธอจ่ายเงินเสร็จก็รับของ แล้วหมุนตัวจะเดินออก ก่อนจะชะงักนิ่งเมื่อเห็นเขายืนอยู่ ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้ง นึกไม่ออกว่าจะทักทายอย่างไร“พี่คะ ถึงคิวแล้วค่ะ” เสียงพนักงานสาวเอ่ยเรียก ชลธรละสายต
ภาพที่หญิงสาวคนนั้นยัดเงินห้าร้อยบาทใส่มือของเขา ตอนที่วิ่งมาชนจนไวน์แดงหกรดเสื้อเชิ้ตในงานแต่งงานของนภาธร แล้วเธอก็วิ่งหายลับไปอย่างรวดเร็ว ผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง เขามั่นใจว่าผู้หญิงที่เห็นวันนี้คือคนเดียวกับที่วิ่งชนเขาวันนั้นอย่างแน่นอน เพราะเขาอยู่ที่นี่มานานยังไม่เคยเห็นใครที่มีใบหน้าหวาน ผิวพรรณขาวใสสะดุดตาเช่นนี้มาก่อน“จะได้เจอกันอีกไหมนี่ จะได้เอาเงินไปคืนให้” เขาพึมพำก่อนจะเก็บเงินไว้ในลิ้นชักอย่างเดิมแล้วหยิบโน้ตบุ๊กออกมานั่งอยู่ริมระเบียง ทอดสายตามองไปยังลำธารด้านล่าง วันนี้น้ำขึ้นสูงและไหลเชี่ยวกว่าปกติเพราะฝนตกในช่วงกลางคืนมาหลายวันแล้วก่อนจะก้มมองจอคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านข่าวและดูราคาหุ้นที่ตนเองซื้อเก็บไว้เก็งกำไร ไหนยังจะกองทุนต่าง ๆ ที่ซื้อเก็บไว้เพื่อรับเงินปันผล ซึ่งเขามักจะเข้าไปตรวจเช็คอยู่บ่อย ๆหลังจากนั้นจึงเข้าไปดูข้อมูลด้านการเกษตรอื่น ๆ ที่จะต้องอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพราะมีเรื่องโรคและแมลงต่าง ๆ ที่อาจจะมาลงในแปลงสวนทุเรียนของเขาได้ จะได้ระมัดระวังไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆตอนนี้เขาเรียนจบปริญญาเอกแล้ว จึงไม่ได้มีงานให้ทำมากเหมือนเมื่อก่อน ได้แต่ใช้เวลาส่วน
๒เธอคือใครที่บ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้หลังไม่ใหญ่มากนัก บริเวณบ้านรายรอบไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ และผลไม้หลากหลายชนิด ด้านหน้าเป็นลานกว้าง ปูด้วยหญ้าญี่ปุ่นเขียวขจี มองเข้าไปในบ้านชั้นล่าง ด้านหน้าบ้านเทพื้นปูนออกมากว้างขวาง ปูกระเบื้องสีน้ำตาลและต่อหลังคายื่นออกมาเป็นพื้นที่นั่งเล่นและมีชุดโต๊ะไม้สีน้ำตาลขัดเงาตั้งอยู่หนึ่งชุดสำหรับนั่งเล่น และใช้สำหรับนั่งรับประทานอาหารได้ด้วย ชายชรานั่งอยู่บนรถเข็นหน้าบ้าน มองออกไปยังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่สีดำที่ขับเข้ามาจอด ร่างเพรียวบางในชุดกางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อยืดแขนยาวสีครีมลงมาจากรถ ในมือถือถุงพะรุงพะรังเข้ามาหา ผมยาวสลวยของเธอพริ้วไหวไปตามแรงลม “อ้าว พ่อทำไมมานั่งคนเดียวตรงนี้ล่ะคะ แล้วพี่นิสาไปไหน” หญิงสาวถามพลางกวาดตามองไปยังที่จอดรถประจำของพี่สาว ซึ่งก่อนออกไปซื้อของข้างนอกเธอยังเห็นรถสปอร์ตสีแดงจอดอยู่ “พี่เขามีธุระน่ะ ออกไปสักพักได้แล้วละ เห็นบอกว่าไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ” นายอรุณผู้เป็นบิดาตอบ “แล้วทิ้งพ่อให้อยู่คนเดียวเนี่ยนะคะ ทั้ง ๆ ที่นิภาก็บอกไว้แล้วว่าให้อยู่เป็นเพื่อนพ่อก่อน” อรุณนิภาเอ่ย
อรุณนิภากวาดตามองไปทั่วบริเวณท้ายสวน ซึ่งเป็นเวิ้งกว้างก่อนถึงลำธาร เธอเพิ่งจ้างคนงานมาตัดหญ้าทำให้ดูโปร่งสบายตา ก่อนหน้านี้มีหญ้ารกท่วมทีเดียว ด้วยบิดาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก เพราะตั้งแต่มารดาของเธอจากไปเมื่อห้าปีก่อน ท่านก็อยู่ลำพังมาตลอด มีเพียงน้าชายสวนใกล้กันที่คอยมาอยู่เป็นเพื่อน ในช่วงที่เธอกับพี่สาวไปอยู่ที่กรุงเทพฯช่วงสองสามปีมานี้ท่านมีปัญหาปวดเข่า จึงไม่ค่อยได้เข้ามาท้ายสวนบ่อยนัก ได้แต่ปล่อยที่ดินทิ้งร้างไว้ คนงานประจำก็ไม่มี ได้แต่จ้างทำเป็นรายครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกผลไม้ ยางพารา สวนมะพร้าว ซึ่งพอให้ท่านมีรายได้ทุกวันไว้ใช้จ่ายในยามแก่ แต่พอป่วยก็รู้สึกว่าพื้นที่มีมากเกินกว่าตัวเองจะทำไหว หากขายที่ดินได้เงินก้อนใหญ่มาแบ่งให้กับลูก ๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงไม่ถนัดทำสวนทำไร่ ก็น่าจะดีกว่า ท่านเก็บไว้เพียงสวนยางพาราที่พอมีรายได้เลี้ยงชีพก็น่าจะเพียงพอ จึงได้มาบอกเธอว่าจะขายที่ดิน แต่เพราะเธอยับยั้งเอาไว้ไม่ยอมให้ขาย ท่านจึงต้องยกเลิกความคิดนี้ไปหญิงสาวมองข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นเนินสูงขึ้นไป ใกล้ลำธารมีกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นกระท่อมคนงานของสวนชลธร ซึ่งเป็