จนกระทั่งเช้าตรู่ที่ ฉู่เฉินรู้สึกถึงเจตนาฆ่าจางๆ ตอนนี้การรับรู้ของฉู่เฉินสามารถบอกได้ว่ายังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ตราบใดที่ระยะทางไม่ไกลนัก ยังสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่มุ่งเป้าไปที่ตัวเขาเองได้“ท่านตัดสินใจแล้วใช่ไหม?” ฉู่เฉินถามออกไปด้านนอกของโรงแรมโดยไม่ได้เปิดประตูด้วยซ้ำไม่มีการตอบสนองจากอีกฝ่าย แต่เจตนาฆ่าอันแผ่วเบาดูเหมือนจะลดน้อยลงไปอีก“จริงๆ แล้วเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็ไม่ควรถูกอิทธิพลหรือปัจจัยภายนอกมาทำให้เขวใช่ไหม?” ฉู่เฉินยังคงพูดต่อไปยังไม่มีการตอบสนอง เพียงครึ่งนาทีต่อมา เจตนาฆ่าก็กลับมารุนแรงขึ้นฉู่เฉินไม่พูดอะไรอีกต่อไป เพียงเดินจากเตียงไปที่ประตูอย่างไม่ได้ป้องกันตัวแน่นอนว่า รู้อยู่แล้วว่าคนที่อยู่นอกประตูคือโจวหงและเลือกช่วงเวลาโจมตีได้ดี วันนี้เป็นคืนเดือนดับและมีลมแรง เหมาะสำหรับการฆ่า แต่ในความเป็นจริง ช่วงเช้าตรู่คือเวลาที่ผู้คนตื่นตัวน้อยที่สุดและอ่อนแอที่สุด“ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้? เจ้ายอมจำนนต่อชะตากรรมของตัวเองแล้วหรือ?”สำหรับโจวหง ดูเหมือนว่าฉู่เฉินจะยอมแพ้และพร้อมที่จะปล่อยให้โจวหงพรากชีวิตตัวเองไปที่จริงแล้วโจวหงคิดผิด ฉู่เฉินเองก็ไม่ได้
“กลับไปที่สำนักงานใหญ่กับข้าเดี๋ยวนี้!” หวู่หยิงสั่งการทันที“สำนักงานใหญ่?” ฉู่เฉินถามด้วยความงุนงง"ใช่แล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมา ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากโลกของพวกเรา และพวกเขากำลังโจมตีสำนักงานใหญ่อยู่ เมื่อสักครู่นี้ สำนักงานใหญ่ได้ส่งคำสั่งลับมา สมาชิกของหอคอยเงาทมิฬทุกคนจะต้องหยุดภารกิจปัจจุบันและกลับมาไปที่สำนักงานใหญ่ เพื่อปกป้องสำนักงานใหญ่!”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เฉินก็มีลางสังหรณ์ คนเหล่านี้คงเป็นคนที่เข้ามาในโลกนี้ด้วยกันจากเมืองหลวงเป็นไปได้ไหมว่าสำนักงานใหญ่ของหอคอยทมิฬตั้งอยู่เหนือค่ายกลของโลกนี้?“ท่านหวู่หยิงรออะไรอยู่? รีบไปลุยกันเถอะ!” ฉู่เฉินตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุทิศตนให้กับหอคอยเงาทมิฬจนกว่าเขาจะตายสิ่งนี้ขจัดความลังเลใจครั้งสุดท้ายของหวู่หยิงจนหมดเมื่อรอบตัวไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่สังเกตเห็นได้แล้ว หวู่หยิงจึงพาฉู่เฉินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า บินอย่างรวดเร็วไปในทิศทางหนึ่งฉู่เฉินประหลาดใจกับความเร็วไม่นานนัก ไกลออกไป ก็มีเกาะลอยฟ้าปรากฏขึ้นมา"นี่คือสำนักงานใหญ่ของหอคอยเงาทมิฬ!" หวู่หยิงพูดย่างภาคภูมิใจ และสังเกตเห็นความประหลาดใจของฉู่
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหลง ฉู่เฉินก็เข้าใจทันทีว่าทำไมชิงหลงจึงอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่ยอมที่ จะเอาป้ายไม้ที่เคยมอบให้ไปก่อนหน้านี้ออกมาทำลายอย่างไรก็ตาม ฉู่เฉินไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น เพียงแค่สงสัยว่าทำไมกลุ่มอิสระก่อนหน้านี้จึงมารวมตัวกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉู่เฉินก็ถามออกมาอย่างตรงๆ “ทำไมถึงมารวมตัวกันล่ะ?”“เพราะว่ามีคนก้าวผ่านจิตไปสู่ระดับจอมยุทธก่อนหน้าฉัน! ให้ตายเถอะ ถ้าฉันได้รับโอสถทิพย์ในวันนั้น ฉันก็คงก้าวผ่านจิตได้สำเร็จเช่นกัน!” ชิงหลงกัดฟัน ยังคงรู้สึกเสียใจที่สูญเสียโอสถทิพย์ไปในการประมูล"เขาเป็นใคร?"“เป็นฝั่งนิกาย มีปรจารย์ระดับจอมยุทธสามคน ตระกูลใหญ่แปดตระกูลในเมืองหลวงถูกกดดันให้รวมตัวกัน และฉันได้ยินมาว่าพวกเขายังมีปรจารย์ระดับจอมยุทธอีกสองคนด้วย หนึ่งในนั้นคือฉินหยวนไถและอีกคน ยังคงเป็นปริศนา"ฉินหยวนไถก็ก้าวผ่านจิตไปแล้ว?ฉู่เฉินได้ยินข่าวนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจหลังจากเข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เขาเคยพบกับฉินหยวนไถครั้งหนึ่ง และบุคคลนี้แสดงท่าทีเกลียดชังต่อเขาอย่างมากฉู่เฉินแอบจับตาดูและถามอีกครั้ง“พวกเขาอยู่ที่ไหน?”“พวกเ
ทั้งสามคนนี้ พร้อมด้วยกลุ่มสมาชิกของนิกาย เฝ้าดูโดยไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับว่าพวกเขากำลังรอดูเรื่องตื่นเต้นในหมู่พวกเขามีใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน เช่นโปเปียว เฉินเหนิงลัวและโจวเล่ยแน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของต้าเซี่ยหรือตระกูลใหญ่จากเมืองหลวง ผู้คนจากนิกายหลักๆ ทั้งหมดไม่สนใจและไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้“ฉัน ชิงหลง เอาชื่อเป็นประกัน เขาเป็นพลเมืองของต้าเซี่ย!”แม้จะมีแรงกดดันจากฉินหยวนไถแต่ชิงหลงก็ยังคงพูดต่อไป“ฮึ่ม! คนขี้ขลาดที่ซ่อนตัวตนของเขา ชิงหลง ฉันแนะนำให้นายบอกความจริงว่าเขาเป็นใคร” ฉินหยวนไถยังคงกดดันต่อไป“ฉินหยวนไถ ฉันรับรองสถานะไปแล้ว นายยังต้องการอะไรอีก?”ชิงหลงรู้สึกรำคาญ เพราะในต้าเซี่ยสถานะของเขาจะไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม แต่ที่นี่ในดินแดนเร้นลับ ดูเหมือนว่ามันจะมีน้ำหนักน้อยลง“ชิงหลง พวกเราเห็นแก่หน้านายมากแล้วนะ หรือนายอยากจะโยนมันทิ้งไป? นายก็ควรรู้ว่าในดินแดนเร้นลับนี้ แม้ว่าฉันจะลงฆ่านายตอนนี้เลย พวกต้าเซี่ยจะไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน และแม้ว่าพวกเขาจะรู้ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่าคิดว่าฉันไม่กล้า!”ฉินหยวนไถไม่หยุดยั้ง มุ่งมั่นที่จะเปิดเผยตัวตนของผู้ม
ฉินหยวนไถมีสีหน้าหยิ่งผยอง และตอนนี้เขาเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งในระดับจอมยุทธแล้ว เขาจะไม่ปล่อยฉู่เฉินที่อยู่ในระดับมหากาฬให้รอดไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้ การฆ่าฉู่เฉินต่อหน้าทุกคนเพื่อล้างความอัปยศอดสูของตัวเอง จะเป็นทางที่ดีที่สุด!บางทีคำพูดของเหยียนอู๋ซวงอาจได้ผลแม้ว่าฉินหยวนไถจะเดินผ่านเหยียนอู๋ซวงไปแล้วก็ตามแต่เขากลับถูกขัดขวางโดยคนอื่น“ฉินหยวนไถ นายล้ำเส้นเกินไปแล้ว!”เสียงที่เย็นชาทำให้ฉินหยวนไถหยุดเท้าลงทันทีเมื่อมองไปที่ร่างตรงหน้า ฉินหยวนไถดูไม่เต็มใจ แต่ก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้และพูดอีกครั้ง“หานซิน นายก็พยายามหยุดฉันเหมือนกันเหรอ? นายเองก็ไม่มีความแค้นกับเขาหรือไง? ฉันช่วยนายฆ่าเขา นายน่าจะยินดีที่เห็นฉากนั้น ทำไมถึงมาหยุดฉันด้วย?” “นั่นหานซิน!”“หานซินคือใคร?”“เขาเป็นอัจฉริยะของตระกูลหานในเมืองหลวง ว่ากันว่าเขาได้รับการฝึกฝนในดินแดนลับของตระกูลหาน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นจอมยุทธที่ซ่อนตัวอีกคนหนึ่งจากแปดตระกูลหลักในเมืองหลวง”คนที่สามารถทําให้ฉินหยวนไถ จอมยุทธที่แข็งแกร่งกลัวได้ขนาดนี้ มีเพียงจอมยุทธที่แข็งแกร่งเท่านั้น“ใช่ ฉันอยากจะฆ่าเขา แต่เหยียนอู๋ซวงพูดถูก ตอ
“ฉันคิดแผนการแบบนี้ไว้ ให้พวกคุณจัดการกับจอมยุทธสองคน ในขณะที่พวกเราสามคนจะรั้งผู้นำของหอคอยเงาทมิฬเอาไว้ ในขณะที่คนอื่นๆ จะไปยึดค่าย” เจิ้งหยางซื่อพูดถึงแผนการของเขาทั้งกลุ่มก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“นั่นไม่ถูกต้อง หากพวกเราจอมยุทธทั้งห้าถูกตรึงเอาไว้ที่นั้น และค่ายกลของดินแดนเร้นลับก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา นี่จะไม่ใช่การโยนอ้อยเข้าปากช้างหรอกเหรอ?” ฉินหยวนไถเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามตระกูลฉินเตรียมพร้อมอย่างมากที่สำหรับการเดินทางสู่ดินแดนเร้นลับนี้ และจะต้องครอบครองดินแดนเร้นลับนี้ พวกเขาจะมอบดินแดนเร้นลับให้กับผู้อื่นได้อย่างไรด้วยการคัดค้านของฉินหยวนไถ คนทั้งห้าก็เงียบลงอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีการสนทนาลับผ่านการส่งสัญญาณโทรจิตฉู่เฉินนั่งเอียงๆ รู้สึกหมดหนทางเมื่อเห็นเช่นนี้“ผู้อาวุโส คุณได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดไหม?”ฉู่เฉินถามเหยาหลิงเฉิน“มันจะไปยากอะไร! “เหยาหลิงเฉินตอบเสียงสนทนาทางโทรจิตก็ดังขึ้นในหัวของฉู่เฉิน“วางใจได้เลย ค่ายกลนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของปรมาจารย์ระดับมหากาฬ สิ่งที่เพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาใช้ความพยายามอย่างดีที่ส
ณ เมืองหลวง ภายในคฤหาสน์หนาน สองสาวงามกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบต่างๆไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉินปิงเยว่และหนิงชิงเสว่นั้นเอง เพราะตั้งแต่ฉู่เฉินได้เข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าสิบวันโดยไม่มีข่าวคราว ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนก็ไม่ได้กังวลเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่เข้าไปในดินแดนเร้นลับพร้อมกับฉู่เฉินกลับมาเลย ได้ยินว่าการเข้าสู่ดินแดนเร้นลับจะใช้เวลาทั้งหมดสิบห้าวันและพรุ่งนี้คงเป็นวันสุดท้าย ในขณะที่รออย่างเงียบ ๆ ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอย่างปกติในบ้านที่ฉู่เฉินซื้อไว้ก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนเร้นลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งสองคนอยู่บ้าน แม้แต่ชื่อของคฤหาสน์แห่งนี้ก็ยังถูกตั้งโดยพนักงานขายอย่าง จางซิน ซึ่ง หนิงชิงเสว่ก็เลือกชื่อของเมืองหนานเจียงมาด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจตั้งชื่อว่าคฤหาสน์หนานหวังในที่สุดขณะที่ตัวอักษรขนาดใหญ่ของคำว่า คฤหาสน์หนานหวังถูกพ่นด้วยทองคำและวางลงบนแผ่นโลหะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ทางเข้า ในช่วงหลายวันมานี้อย่างอธิบายไม่ถูกหนิงชิงเสว่สังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้ความสนใจมากนัก เธอและฉินปิงเยว่ยังคงเพลิดเพลินและเล่นสนุกกันอยู่ใน
“ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่ตอนนี้ หากพวกคุณมีปัญหาใด ๆ ก็รอเขากลับมาก่อนแล้วกัน” ฉินปิงเยว่พูดตัดบท โดยที่ไม่ต้องการที่จะพัวพันกับหลิวพั้งอีกต่อไป และหันไปปิดประตูคฤหาสน์แต่หลิวพั้งส่งสายตา ทันใดนั้นบอดี้การ์ดหลายคนก็พุ่งไปเปิดประตูคฤหาสน์คนข้างนอกทั้งหมดก็ได้เข้าไปในคฤหาสน์“คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไรกันอยู่? บุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่น ค่อยดูนะ เดี๋ยวฉันจะแจ้งตำรวจจับพวกคุณ! “ฉินปิงเยว่มองตาขวาง ในขณะนี้ แม้แต่ฉินปิงเยว่ก็รู้สึกโกรธควันออกหู“แจ้งตำรวจเหรอ? เธอจะต้องมีโอกาสที่จะทำแบบนั้นเสียก่อน”เมื่อหลิวพั้งได้ยินว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ที่นี้ ก็เลยยิ่งเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจมากขึ้นทันที“แม้ว่าตระกูลหลิวของฉันจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไรในเมืองหลวง แต่ก็จัดว่าเป็นเศรษฐี ชื่อฉินปิงเยว่ใช่ไหม? ฉันแนะนำให้เธอยอมจำนนต่อฉันซะ แล้วเธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา”“ไสหัวไป!” ฉินปิงเยว่มีแค่คำนี้ที่ตอบกลับหลิวพั้ง“ฮึ่ม เธอกำลังบังคับให้ฉันทำแบบนี้เองนะ จับเธอเอาไว้ แล้วเอาตัวเธอออกไป” หลิวพั้งสั่งออกมา บอดี้การ์ดก็ก้าวเท้าและเดินไปทางฉินปิงเยว่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวพั้งทำ