“กลับไปที่สำนักงานใหญ่กับข้าเดี๋ยวนี้!” หวู่หยิงสั่งการทันที“สำนักงานใหญ่?” ฉู่เฉินถามด้วยความงุนงง"ใช่แล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมา ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากโลกของพวกเรา และพวกเขากำลังโจมตีสำนักงานใหญ่อยู่ เมื่อสักครู่นี้ สำนักงานใหญ่ได้ส่งคำสั่งลับมา สมาชิกของหอคอยเงาทมิฬทุกคนจะต้องหยุดภารกิจปัจจุบันและกลับมาไปที่สำนักงานใหญ่ เพื่อปกป้องสำนักงานใหญ่!”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เฉินก็มีลางสังหรณ์ คนเหล่านี้คงเป็นคนที่เข้ามาในโลกนี้ด้วยกันจากเมืองหลวงเป็นไปได้ไหมว่าสำนักงานใหญ่ของหอคอยทมิฬตั้งอยู่เหนือค่ายกลของโลกนี้?“ท่านหวู่หยิงรออะไรอยู่? รีบไปลุยกันเถอะ!” ฉู่เฉินตั้งใจแน่วแน่ที่จะอุทิศตนให้กับหอคอยเงาทมิฬจนกว่าเขาจะตายสิ่งนี้ขจัดความลังเลใจครั้งสุดท้ายของหวู่หยิงจนหมดเมื่อรอบตัวไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่สังเกตเห็นได้แล้ว หวู่หยิงจึงพาฉู่เฉินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า บินอย่างรวดเร็วไปในทิศทางหนึ่งฉู่เฉินประหลาดใจกับความเร็วไม่นานนัก ไกลออกไป ก็มีเกาะลอยฟ้าปรากฏขึ้นมา"นี่คือสำนักงานใหญ่ของหอคอยเงาทมิฬ!" หวู่หยิงพูดย่างภาคภูมิใจ และสังเกตเห็นความประหลาดใจของฉู่
เมื่อได้ยินคำพูดของชิงหลง ฉู่เฉินก็เข้าใจทันทีว่าทำไมชิงหลงจึงอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่ยอมที่ จะเอาป้ายไม้ที่เคยมอบให้ไปก่อนหน้านี้ออกมาทำลายอย่างไรก็ตาม ฉู่เฉินไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น เพียงแค่สงสัยว่าทำไมกลุ่มอิสระก่อนหน้านี้จึงมารวมตัวกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉู่เฉินก็ถามออกมาอย่างตรงๆ “ทำไมถึงมารวมตัวกันล่ะ?”“เพราะว่ามีคนก้าวผ่านจิตไปสู่ระดับจอมยุทธก่อนหน้าฉัน! ให้ตายเถอะ ถ้าฉันได้รับโอสถทิพย์ในวันนั้น ฉันก็คงก้าวผ่านจิตได้สำเร็จเช่นกัน!” ชิงหลงกัดฟัน ยังคงรู้สึกเสียใจที่สูญเสียโอสถทิพย์ไปในการประมูล"เขาเป็นใคร?"“เป็นฝั่งนิกาย มีปรจารย์ระดับจอมยุทธสามคน ตระกูลใหญ่แปดตระกูลในเมืองหลวงถูกกดดันให้รวมตัวกัน และฉันได้ยินมาว่าพวกเขายังมีปรจารย์ระดับจอมยุทธอีกสองคนด้วย หนึ่งในนั้นคือฉินหยวนไถและอีกคน ยังคงเป็นปริศนา"ฉินหยวนไถก็ก้าวผ่านจิตไปแล้ว?ฉู่เฉินได้ยินข่าวนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจหลังจากเข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เขาเคยพบกับฉินหยวนไถครั้งหนึ่ง และบุคคลนี้แสดงท่าทีเกลียดชังต่อเขาอย่างมากฉู่เฉินแอบจับตาดูและถามอีกครั้ง“พวกเขาอยู่ที่ไหน?”“พวกเ
ทั้งสามคนนี้ พร้อมด้วยกลุ่มสมาชิกของนิกาย เฝ้าดูโดยไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับว่าพวกเขากำลังรอดูเรื่องตื่นเต้นในหมู่พวกเขามีใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน เช่นโปเปียว เฉินเหนิงลัวและโจวเล่ยแน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของต้าเซี่ยหรือตระกูลใหญ่จากเมืองหลวง ผู้คนจากนิกายหลักๆ ทั้งหมดไม่สนใจและไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้“ฉัน ชิงหลง เอาชื่อเป็นประกัน เขาเป็นพลเมืองของต้าเซี่ย!”แม้จะมีแรงกดดันจากฉินหยวนไถแต่ชิงหลงก็ยังคงพูดต่อไป“ฮึ่ม! คนขี้ขลาดที่ซ่อนตัวตนของเขา ชิงหลง ฉันแนะนำให้นายบอกความจริงว่าเขาเป็นใคร” ฉินหยวนไถยังคงกดดันต่อไป“ฉินหยวนไถ ฉันรับรองสถานะไปแล้ว นายยังต้องการอะไรอีก?”ชิงหลงรู้สึกรำคาญ เพราะในต้าเซี่ยสถานะของเขาจะไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม แต่ที่นี่ในดินแดนเร้นลับ ดูเหมือนว่ามันจะมีน้ำหนักน้อยลง“ชิงหลง พวกเราเห็นแก่หน้านายมากแล้วนะ หรือนายอยากจะโยนมันทิ้งไป? นายก็ควรรู้ว่าในดินแดนเร้นลับนี้ แม้ว่าฉันจะลงฆ่านายตอนนี้เลย พวกต้าเซี่ยจะไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน และแม้ว่าพวกเขาจะรู้ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่าคิดว่าฉันไม่กล้า!”ฉินหยวนไถไม่หยุดยั้ง มุ่งมั่นที่จะเปิดเผยตัวตนของผู้ม
ฉินหยวนไถมีสีหน้าหยิ่งผยอง และตอนนี้เขาเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งในระดับจอมยุทธแล้ว เขาจะไม่ปล่อยฉู่เฉินที่อยู่ในระดับมหากาฬให้รอดไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้ การฆ่าฉู่เฉินต่อหน้าทุกคนเพื่อล้างความอัปยศอดสูของตัวเอง จะเป็นทางที่ดีที่สุด!บางทีคำพูดของเหยียนอู๋ซวงอาจได้ผลแม้ว่าฉินหยวนไถจะเดินผ่านเหยียนอู๋ซวงไปแล้วก็ตามแต่เขากลับถูกขัดขวางโดยคนอื่น“ฉินหยวนไถ นายล้ำเส้นเกินไปแล้ว!”เสียงที่เย็นชาทำให้ฉินหยวนไถหยุดเท้าลงทันทีเมื่อมองไปที่ร่างตรงหน้า ฉินหยวนไถดูไม่เต็มใจ แต่ก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้และพูดอีกครั้ง“หานซิน นายก็พยายามหยุดฉันเหมือนกันเหรอ? นายเองก็ไม่มีความแค้นกับเขาหรือไง? ฉันช่วยนายฆ่าเขา นายน่าจะยินดีที่เห็นฉากนั้น ทำไมถึงมาหยุดฉันด้วย?” “นั่นหานซิน!”“หานซินคือใคร?”“เขาเป็นอัจฉริยะของตระกูลหานในเมืองหลวง ว่ากันว่าเขาได้รับการฝึกฝนในดินแดนลับของตระกูลหาน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นจอมยุทธที่ซ่อนตัวอีกคนหนึ่งจากแปดตระกูลหลักในเมืองหลวง”คนที่สามารถทําให้ฉินหยวนไถ จอมยุทธที่แข็งแกร่งกลัวได้ขนาดนี้ มีเพียงจอมยุทธที่แข็งแกร่งเท่านั้น“ใช่ ฉันอยากจะฆ่าเขา แต่เหยียนอู๋ซวงพูดถูก ตอ
“ฉันคิดแผนการแบบนี้ไว้ ให้พวกคุณจัดการกับจอมยุทธสองคน ในขณะที่พวกเราสามคนจะรั้งผู้นำของหอคอยเงาทมิฬเอาไว้ ในขณะที่คนอื่นๆ จะไปยึดค่าย” เจิ้งหยางซื่อพูดถึงแผนการของเขาทั้งกลุ่มก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“นั่นไม่ถูกต้อง หากพวกเราจอมยุทธทั้งห้าถูกตรึงเอาไว้ที่นั้น และค่ายกลของดินแดนเร้นลับก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา นี่จะไม่ใช่การโยนอ้อยเข้าปากช้างหรอกเหรอ?” ฉินหยวนไถเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามตระกูลฉินเตรียมพร้อมอย่างมากที่สำหรับการเดินทางสู่ดินแดนเร้นลับนี้ และจะต้องครอบครองดินแดนเร้นลับนี้ พวกเขาจะมอบดินแดนเร้นลับให้กับผู้อื่นได้อย่างไรด้วยการคัดค้านของฉินหยวนไถ คนทั้งห้าก็เงียบลงอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีการสนทนาลับผ่านการส่งสัญญาณโทรจิตฉู่เฉินนั่งเอียงๆ รู้สึกหมดหนทางเมื่อเห็นเช่นนี้“ผู้อาวุโส คุณได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดไหม?”ฉู่เฉินถามเหยาหลิงเฉิน“มันจะไปยากอะไร! “เหยาหลิงเฉินตอบเสียงสนทนาทางโทรจิตก็ดังขึ้นในหัวของฉู่เฉิน“วางใจได้เลย ค่ายกลนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของปรมาจารย์ระดับมหากาฬ สิ่งที่เพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาใช้ความพยายามอย่างดีที่ส
ณ เมืองหลวง ภายในคฤหาสน์หนาน สองสาวงามกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบต่างๆไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉินปิงเยว่และหนิงชิงเสว่นั้นเอง เพราะตั้งแต่ฉู่เฉินได้เข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าสิบวันโดยไม่มีข่าวคราว ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนก็ไม่ได้กังวลเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่เข้าไปในดินแดนเร้นลับพร้อมกับฉู่เฉินกลับมาเลย ได้ยินว่าการเข้าสู่ดินแดนเร้นลับจะใช้เวลาทั้งหมดสิบห้าวันและพรุ่งนี้คงเป็นวันสุดท้าย ในขณะที่รออย่างเงียบ ๆ ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอย่างปกติในบ้านที่ฉู่เฉินซื้อไว้ก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนเร้นลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งสองคนอยู่บ้าน แม้แต่ชื่อของคฤหาสน์แห่งนี้ก็ยังถูกตั้งโดยพนักงานขายอย่าง จางซิน ซึ่ง หนิงชิงเสว่ก็เลือกชื่อของเมืองหนานเจียงมาด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจตั้งชื่อว่าคฤหาสน์หนานหวังในที่สุดขณะที่ตัวอักษรขนาดใหญ่ของคำว่า คฤหาสน์หนานหวังถูกพ่นด้วยทองคำและวางลงบนแผ่นโลหะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ทางเข้า ในช่วงหลายวันมานี้อย่างอธิบายไม่ถูกหนิงชิงเสว่สังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้ความสนใจมากนัก เธอและฉินปิงเยว่ยังคงเพลิดเพลินและเล่นสนุกกันอยู่ใน
“ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่ตอนนี้ หากพวกคุณมีปัญหาใด ๆ ก็รอเขากลับมาก่อนแล้วกัน” ฉินปิงเยว่พูดตัดบท โดยที่ไม่ต้องการที่จะพัวพันกับหลิวพั้งอีกต่อไป และหันไปปิดประตูคฤหาสน์แต่หลิวพั้งส่งสายตา ทันใดนั้นบอดี้การ์ดหลายคนก็พุ่งไปเปิดประตูคฤหาสน์คนข้างนอกทั้งหมดก็ได้เข้าไปในคฤหาสน์“คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไรกันอยู่? บุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่น ค่อยดูนะ เดี๋ยวฉันจะแจ้งตำรวจจับพวกคุณ! “ฉินปิงเยว่มองตาขวาง ในขณะนี้ แม้แต่ฉินปิงเยว่ก็รู้สึกโกรธควันออกหู“แจ้งตำรวจเหรอ? เธอจะต้องมีโอกาสที่จะทำแบบนั้นเสียก่อน”เมื่อหลิวพั้งได้ยินว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ที่นี้ ก็เลยยิ่งเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจมากขึ้นทันที“แม้ว่าตระกูลหลิวของฉันจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไรในเมืองหลวง แต่ก็จัดว่าเป็นเศรษฐี ชื่อฉินปิงเยว่ใช่ไหม? ฉันแนะนำให้เธอยอมจำนนต่อฉันซะ แล้วเธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา”“ไสหัวไป!” ฉินปิงเยว่มีแค่คำนี้ที่ตอบกลับหลิวพั้ง“ฮึ่ม เธอกำลังบังคับให้ฉันทำแบบนี้เองนะ จับเธอเอาไว้ แล้วเอาตัวเธอออกไป” หลิวพั้งสั่งออกมา บอดี้การ์ดก็ก้าวเท้าและเดินไปทางฉินปิงเยว่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวพั้งทำ
“พูดมา ใครเป็นคนส่งนายมา?”หนิงชิงเสว่รู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่พวกปลายแถว และต้องมีคนอื่นอยู่ข้างอย่างแน่นอน จึงถามออกมาอย่างตรงๆ“กลัวแล้ว ฉันจะบอก ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน เป็นตระกูลหานที่ส่งฉันมา”หลิวพั้งกลัวมาก จึงชี้ตัวคนบงการอย่างรวดเร็ว“ตระกูลหานไหน?” หนิงชิงเสว่ยังคงถามต่อ“ตระกูลหานหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ฉันเป็นแค่สุนัขรับใช้ตระกูลหานได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย” หลิวพั้งรีบร้องขอความเมตตา"ไปให้พ้น แล้วคาบข่าวไปบอกตระกูลหานด้วยว่า คฤหาสน์นี้ซื้อไปแล้ว หากพวกเขาส่งคนมารังควานฉันอีก ก็อย่าตำหนิฉันที่หยาบคาบ!" หนิงชิงเสว่พูดพร้อมกับโบกมือ แล้วโยนหลิงปังกับบอดี้การ์ดที่พิการออกไปที่ประตูตระกูลหานหลิวพั้งคุกเข่าลงบนพื้น และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอพูดจริงๆเหรอว่า เธอจะไม่ไว้หน้าตระกูลหาน? “หานฉวนซิงนั่งอยู่หัวโต๊ะ มีท่าทางไม่พอใจ “นายท่าน มันเป็นความจริงอย่างแน่นอน” หลิวพั้งรีบก้มศีรษะและตอบด้วยความเคารพ“โอหัง! ในเมืองหลวงไม่มีใครกล้าพูดกับตระกูลหานแบบนั้น! แกรู้ไหมว่าพวกมันเป็นใคร?” หานฉวนซิงตบโต๊ะจนสลายกลายเป็นฝุ่น“หนึ่งในนั้นช
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่