ที่ทางเข้าคฤหาสน์หนานหวังคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นำโดยฉินหยวนฮวา“พวกแกคอยจับตามดู ระวังทุกทางออกเอาไว้ ห้ามไม่ให้แม้แต่แมลงวันเข้าหรือออก!” ฉินหยวนฮวาสั่งก่อนจะพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ท้ายที่สุดแล้วเป็นเรื่องภายในครอบครัวของตระกูลฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนนินทา ฉินหยวนฮวาไม่ได้นํามาแม้แต่ผู้ติดตามของเขาเข้าไปเขาบุกเข้าไปในคฤหาสน์หนานหวังเพียงลำพังช่างเป็นคฤหาสน์ที่ดีจริงๆฉินหยวนฮวายังคงประหลาดใจกับมันร่างในชุดขาวปรากฏต่อหน้าและเป็นหนิงชิงเสว่นั่นเองสัมผัสได้ถึงตัวตนของฉินหยวนฮวามาตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นหนิงชิงเสว่จึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง“นายเป็นใคร แล้วทำไมถึงบุกเข้าไปในคฤหาสน์ของคนอื่น?” หนิงชิงเสว่ขวางหน้าฉินหยวนฮวาและพูดอย่างเย็นชาเมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหญิงสาวที่งดงาม ฉินหยวนฮวาก็เหม่อลอยไปในทันที และทันทีที่ได้ยินคำพูดเท่านั้น เขาก็ฟื้นคืนสติกลับขึ้นมา“แล้วเธอเป็นใคร ฉินปิงเยว่อยู่ที่ไหน?” แม้จะประทับใจกับความงามของหนิงชิงเสว่แต่ฉินหยวนฮวาก็ไม่ลืมภารกิจ จึงถามกลับ“ตัวก่อกวนอีกคนเหรอ? พวกนายทุกคนต้องถูกฆ่าก่อนสินะ ถึงคิดจะหยุดได้จ
เมื่อเผชิญกับคำถามของหนิงชิงเสว่ ฉินลี่ซิงก็เปลี่ยนความคิดไปอย่างรวดเร็วหญิงสาวคนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธที่แน่นอนของเธอได้ อย่างน้อย เธอก็อาจจะแข็งแกร่งเท่ากับตัวเขาส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถรับรู้กลิ่นอายของเธอได้นั้น เธอต้องมีเครื่องรางบางอย่างที่ซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ใช่ มันต้องเป็นเช่นนี้ในบรรดาคนรุ่นใหม่ ผู้ที่สามารถก้าวผ่านจิตจากระดับมหากาฬไปสู่ระดับจอมยุทธได้นั้นหายากมาก และผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาดูมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เป็นไปได้ไหมที่เธอเป็นระดับจอมยุทธขั้นสาม?ตัวตนเช่นนี้อาจจะมาจากสองนิกาย สามสำนัก เก้าทัพของสี่เมืองใหญ่ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉินลี่ซิงก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อย“เธอเป็นใครกันแน่? เธอกล้าดียังไงที่จะฆ่านายน้อยสองของตระกูลฉินต่อหน้าต่อตาฉัน เธอรู้ไหมว่าการยั่วยุตระกูลฉิน จะทำให้เธอไม่มีที่ซุกหัวนอนในต้าเซี่ย”หนิงชิงเสว่จึงตอบคำถามของฉินลี่ซิงอย่างใจเย็น: "ไม่สำคัญว่าฉันจะเป็นใคร สิ่งสำคัญคือไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมารังแกเพื่อนของฉันได้!"เนื่องจากเขาเป็นคนของตระกูลฉิน เขาจึงสมควรตาย และก็ได้ฆ่าไ
หนิงชิงเสว่ยืนสงบต่อหน้าศพของฉินลี่ซิงอย่างเย็นชาและทิ้งคำพูดสุดท้ายจากนั้นก็ปล่อยหนอนไหมทองคำกู่หนอนไหมทองคำกู่บินไปที่ศพทั้งสอง และใช้เวลาไม่นานก็กลืนกินศพจนหมดลง“ชิงเสว่ พวกคนที่อยู่หน้าประตูล่ะ?” ฉินปิงเยว่เดินเข้าไปถาม“ไม่ต้องสนใจหรอก พรุ่งนี้เป็นก็ครบสิบห้าวันแล้ว และเสี่ยวเฉินจะกลับมา เรื่องพวกนี้รอเขากลับมาแล้วค่อยจัดการ!” หนิงชิงเสว่มองขึ้นไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาภายในดินแดนเร้นลับการต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือดในขณะนี้ บนท้องฟ้ามีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดคนกำลังเข้าร่วมการต่อสู้ที่วุ่นวายผู้นำหอคอยเงาทมิฬสังเกตเห็นสถานการณ์จากทางภาคพื้นมานานแล้ว และได้พยายามช่วยเหลือหลายครั้งแต่กลับถูกขัดขวางโดยเจิ้งหยางจื่อและสหายทั้งสองคนและอีกด้านหนึ่ง จอมยุทธอีกสองคนที่อยู่รอบตัว ก็ถูกคนอื่นรั้งไว้เช่นกันจู่ๆ ร่างของผู้นำหอคอยเงาทมิฬก็เป็นประกายและสลับเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตัวเอง“หวู่หยิง ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ แล้วจะลงมือเมื่อไหร่!”ผู้นำหอคอยเงาทมิฬตะโกนออกมาเจิ้งหยางจื่อสาปแช่งในช่วงเวลาต่อมา เห็นกลุ่มคนมากกว่ายี่สิบคนจากต้า
คำพูดของผู้นำหอคอยเงาทมิฬ ได้ทำลายขวัญกำลังใจของกลุ่มคนที่ถูกสังหารโดยหวู่หยิงทันที พวกเขากลายเป็นเงาและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เพราะต้องการที่จะหนีออกไปจากที่นี่หลายคนขณะหลบหนี ก็ไม่ลืมที่จะสาปแช่งเจิ้งหยางจื่อ“ฮึ่ม! ก็ในเมื่อพวกแกต้องการแข่งขันกัน เพื่อควบคุมค่ายกลเอง พวกแกก็ควรจะเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความตาย นอกจากนี้ นี่ก็ยังไม่ใช่การตัดสินใจของฉันเพียงแค่คนเดียว แต่เป็นการตัดสินใจร่วมกัน โดยพวกเราห้าคนผ่านการพูดคุย ทำไมพวกแกทุกคนถึงตำหนิฉัน!”เจิ้งหยางจื่อพูดด้วยความโกรธและแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเมื่อเห็นว่าคำพูดของตัวเขา ทำให้ผู้บุกรุกกระเจิดกระเจิงได้ง่ายเพียงใด ผู้นำหอคอยเงาทมิฬก็ยิ้มกว้างยิ่งขึ้น“รอหวู่หยิงจัดการกับมดเหล่านี้ก่อน แล้วมาดูกันว่า พวกแกห้าคนจะรอดไปได้กี่คน!”เจิ้งหยางจื่อมองดูจอมยุทธที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ที่ได้สังหารปรมาจารย์ระดับมหากาฬทีละคน และเข้าใจว่า หากหวู่หยิงเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย พวกเขาทั้งห้าคนก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ยากจะรับมือได้ทันใดนั้น ก็ได้มองไปรอบๆ และพยายามค้นหาเส้นทางหลบหนี“อาจจะหนีตอนนี้เหรอ? สายไปแล้ว!” ผู้นำหอคอยเงาทมิฬต
“ถ้าลูกแก้วนี้ระเบิดออก แกเองก็จะไม่รอดเช่นกัน แกกล้าที่จะจุดฉนวนมันเรอะ?”ผู้นำหอคอยเงาทมิฬยังคงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้เช่นนี้"แกอยากลองไหมล่ะ?"เจิ้งหยางจื่อไม่ยอมถอย และมองไปผู้นำหอคอยเงาทมิฬด้วยสายตาเย็นชาในขณะนี้ ท้องฟ้าปิดตาย และบนพื้นดิน หวู่หยิงยังคงสังหารคนจากต้าเซี่ยต่อไป……ลึกลงไปใต้ดินในหอคอยเงาทมิฬในที่สุดกลุ่มหกคนก็มาถึงปลายทางค่ายกล และโดยมีม่านแสงกั้นไว้หลังม่านแสงมีค่ายกลยันต์แปดทิศหมุนวนอย่างช้าๆ“นี่คือศูนย์กลางของค่ายกลควบคุมของดินแดนเล้นลับนี้ใช่ไหม?”ชิงหลงเห็นภาพนี้จึงพูดขึ้น“น่าจะเป็นแบบนั้น" เหยียนอู๋ซวงตอบกลับหลังจากพูดจบ ก็ยกมือขึ้นและฟาดลงไปที่ม่านแสง ม่านแสงสั่นเพียงไม่กี่ครั้งเหมือนกระแสน้ำก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม“ม่านแสงนี้แข็งแกร่งมาก พวกเรามาลองด้วยกันเถอะ!”ทั้งหกคนเป็นปรมาจารย์ระดับมหากาฬขั้นเก้าชิงหลงยืนอยู่กับฉู่เฉิน เหยียนอู๋ซวงกับจ้าวหมิงเจี๋ยจากตระกูลจ้าว และอีกสองคนที่เหลือคือเฉินเหนิงลัวและลูกศิษย์จากคฤหาสน์เจิ้งหยางโดยไม่คาดคิด เดิมทีคฤหาสน์เจิ้งหยางมีคนมากที่สุด แต่ตอนนี้กลับน้อยที่สุดคาดไม่ถึงว่
หลังจากนั้นไม่นาน ธงสลายคาถาค่ายกลก็แหวกทะลุม่านแสง ตามที่ได้บรรยายคุณสมบัติไว้ในการประมูลขณะที่ม่านแสงถูกสลายหายไป ทั้งสี่คนก็รีบวิ่งออกไปและมุ่งตรงไปที่จุดศูนย์กลางของค่ายกลมีเพียงฉู่เฉินและชิงหลงเท่านั้นที่ไม่รีบร้อน ฉู่เฉินรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะครอบครองค่ายกลนี้ไว้เพียงลำพัง ในขณะที่ชิงหลงได้รับคำเตือนจากฉู่เฉิน จึงไม่ได้ลงมือใดๆ ด้วยความไว้ใจในตัวเขาเฉินเหนิงลัว เป็นคนแรกที่มาถึง แต่เขาคือคนที่ทำลายม่านแสง เมื่อเข้าไปได้ เขาก็เป็นคนแรกที่รู้ และยังนำหน้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้นขณะที่ยื่นมือออกไป พลังอันทรงพลังก็พุ่งเข้ามาโจมตีจากด้านหลังร่างของเฉินเหนิงลัวถูกซัดปลิวไปและคนที่ลงมือคือ ลูกศิษย์จากคฤหาสน์เจิ้งหยาง เฉินเหนิงลัวได้ค่อยระวังตัวจากเหยียนอู๋ซวงกับจ้าวหมิงเจี๋ย แต่ไม่ได้ระวังลูกศิษย์ของคฤหาสน์เจิ้งหยางคนนี้ในใจของเฉินเหนิงลัว คิดว่าตัวเองก็อยู่ฝ่ายเดียวกับคฤหาสน์เจิ้งหยางไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนจากฝั่งเดียวกันที่หันมาโจมตีตัวเขาเอง“รนหาที่ตาย!” แม้ว่าเฉินเหนิงลัวจะถูกกระแทกปลิวกระเด็นออกไป แต่อาการบาดเจ็บก็ไม่ได้รุนแรงเฉินเหนิงลัวบังคับหยุดร่างที่กระเด
ด้วยเชื่อที่ว่า ตัวเองอาจเป็นผู้ที่ถูกเลือก ชายทั้งสองจึงเดินไปข้างหน้าและยื่นมือออกไปหลังจากทดสอบไปได้สักพัก ก็ต้องทำใจยอมแพ้แต่ฉู่เฉินกลับไม่มีความตั้งใจที่จะทดสอบขณะที่ฉู่เฉินกำลังจะหันหลังกลับและจากไปเสียงของเหยาหลิงเฉินดังก้องอยู่ในใจ“เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่ไม่สามารถสัมผัสมันได้ เพราะจนกว่าจะไปถึงระดับจอมยุทธ แต่นายควรจะทำได้”"ทำไม?"“เพราะนายในจุดสูงสุดของระดับมหากาฬแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ก้าวที่จะบรรลุและเข้าสู่ระดับจอมยุทธแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นายยังเป็นเจ้าเหนือหัวของเมืองลับแลมังกรอีกด้วย นายอาจไม่สังเกตเห็นสิน่ะว่า ตั้งแต่นายเข้ามา ดินแดนเร้นลับแห่งนี้ เมืองลับแลมังกรก็ได้ดูดซับพลังจิตวิญญาณของโลกนี้อย่างต่อเนื่อง?”เมื่อสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฉู่เฉินก็พบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงและก็รู้ว่าเหยาหลิงเฉินไม่ได้โกหกเมื่อรู้ว่าเหยาหลิงเฉินไม่ได้โกหก ฉู่เฉินจึงเชื่อว่า ตัวเขาก็มีโอกาส จึงเดินไปที่ค่ายกลยันต์แปดทิศ“นายอยากลองด้วยเหรอ?” ชิงหลงถามอย่างไม่แยแสในขณะนี้ ชิงหลงและสหายของเขาพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว การอยู่ในส่วนลึกของหอคอยเงาทมิฬนานเกินไปนั้น ไม
ข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง หากควบคุมค่ายกลได้นั้น ก็หมายถึงสามารถควบคุมดินแดนเร้นลับได้ทั้งหมดเมื่อดินแดนเร้นลับอยู่ตกภายใต้การควบคุมของตัวเอง ฉู่เฉินก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่มีอำนาจทุกอย่างอยู่ภายในนั้นและความรู้สึกนี้คล้ายกับประสบการณ์ของเขาในเมืองลับแลมังกรอย่างน่าขนลุกยิ่งฉู่เฉินคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งดูไม่น่าเชื่อมากขึ้นเท่านั้นด้วยความคิด ฉู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองลับแลมังกรแน่ล่ะ!ในสถานที่ที่เขาสามารถมองเห็นได้เพียงสองมิติเท่านั้น ขณะนี้มิติที่สามปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นดินแดนเร้นลับแห่งนี้เดี๋ยวนะ!หากดินแดนเร้นลับที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง มาปรากฏขึ้นในเมืองลับแลมังกรแล้วอาณาเขตเป็นพิเศษของระดับจอมยุทธล่ะ?ฉู่เฉินรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของเขานั้น ก้าวกระโดดอย่างมากแต่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับอาณาเขตเลยจากนั้นฉู่เฉินปรากฏตัวข้างๆ เหยาหลิงเฉิน“ผู้อาวุโส คุณรู้สึกเหมือนว่าผมได้ก้าวผ่านจิตไปแล้วหรือยัง?”ฉู่เฉินถามอย่างไม่แน่ใจ“ถ้าจะตัดสินโดยรัศมีของนาย นายได้มาถึงระดับจอมยุทธแล้ว และดูเหมือนว่า นี่ก็ไม่ใช่รัศมีของคนที่เพิ่งก้าว
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่