“ฉันคิดแผนการแบบนี้ไว้ ให้พวกคุณจัดการกับจอมยุทธสองคน ในขณะที่พวกเราสามคนจะรั้งผู้นำของหอคอยเงาทมิฬเอาไว้ ในขณะที่คนอื่นๆ จะไปยึดค่าย” เจิ้งหยางซื่อพูดถึงแผนการของเขาทั้งกลุ่มก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“นั่นไม่ถูกต้อง หากพวกเราจอมยุทธทั้งห้าถูกตรึงเอาไว้ที่นั้น และค่ายกลของดินแดนเร้นลับก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา นี่จะไม่ใช่การโยนอ้อยเข้าปากช้างหรอกเหรอ?” ฉินหยวนไถเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามตระกูลฉินเตรียมพร้อมอย่างมากที่สำหรับการเดินทางสู่ดินแดนเร้นลับนี้ และจะต้องครอบครองดินแดนเร้นลับนี้ พวกเขาจะมอบดินแดนเร้นลับให้กับผู้อื่นได้อย่างไรด้วยการคัดค้านของฉินหยวนไถ คนทั้งห้าก็เงียบลงอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีการสนทนาลับผ่านการส่งสัญญาณโทรจิตฉู่เฉินนั่งเอียงๆ รู้สึกหมดหนทางเมื่อเห็นเช่นนี้“ผู้อาวุโส คุณได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดไหม?”ฉู่เฉินถามเหยาหลิงเฉิน“มันจะไปยากอะไร! “เหยาหลิงเฉินตอบเสียงสนทนาทางโทรจิตก็ดังขึ้นในหัวของฉู่เฉิน“วางใจได้เลย ค่ายกลนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของปรมาจารย์ระดับมหากาฬ สิ่งที่เพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาใช้ความพยายามอย่างดีที่ส
ณ เมืองหลวง ภายในคฤหาสน์หนาน สองสาวงามกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบต่างๆไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉินปิงเยว่และหนิงชิงเสว่นั้นเอง เพราะตั้งแต่ฉู่เฉินได้เข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าสิบวันโดยไม่มีข่าวคราว ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนก็ไม่ได้กังวลเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่เข้าไปในดินแดนเร้นลับพร้อมกับฉู่เฉินกลับมาเลย ได้ยินว่าการเข้าสู่ดินแดนเร้นลับจะใช้เวลาทั้งหมดสิบห้าวันและพรุ่งนี้คงเป็นวันสุดท้าย ในขณะที่รออย่างเงียบ ๆ ทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอย่างปกติในบ้านที่ฉู่เฉินซื้อไว้ก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนเร้นลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งสองคนอยู่บ้าน แม้แต่ชื่อของคฤหาสน์แห่งนี้ก็ยังถูกตั้งโดยพนักงานขายอย่าง จางซิน ซึ่ง หนิงชิงเสว่ก็เลือกชื่อของเมืองหนานเจียงมาด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจตั้งชื่อว่าคฤหาสน์หนานหวังในที่สุดขณะที่ตัวอักษรขนาดใหญ่ของคำว่า คฤหาสน์หนานหวังถูกพ่นด้วยทองคำและวางลงบนแผ่นโลหะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ทางเข้า ในช่วงหลายวันมานี้อย่างอธิบายไม่ถูกหนิงชิงเสว่สังเกตเห็น แต่ก็ไม่ได้ความสนใจมากนัก เธอและฉินปิงเยว่ยังคงเพลิดเพลินและเล่นสนุกกันอยู่ใน
“ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่อยู่ตอนนี้ หากพวกคุณมีปัญหาใด ๆ ก็รอเขากลับมาก่อนแล้วกัน” ฉินปิงเยว่พูดตัดบท โดยที่ไม่ต้องการที่จะพัวพันกับหลิวพั้งอีกต่อไป และหันไปปิดประตูคฤหาสน์แต่หลิวพั้งส่งสายตา ทันใดนั้นบอดี้การ์ดหลายคนก็พุ่งไปเปิดประตูคฤหาสน์คนข้างนอกทั้งหมดก็ได้เข้าไปในคฤหาสน์“คุณคิดว่าคุณกำลังทำอะไรกันอยู่? บุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่น ค่อยดูนะ เดี๋ยวฉันจะแจ้งตำรวจจับพวกคุณ! “ฉินปิงเยว่มองตาขวาง ในขณะนี้ แม้แต่ฉินปิงเยว่ก็รู้สึกโกรธควันออกหู“แจ้งตำรวจเหรอ? เธอจะต้องมีโอกาสที่จะทำแบบนั้นเสียก่อน”เมื่อหลิวพั้งได้ยินว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ที่นี้ ก็เลยยิ่งเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจมากขึ้นทันที“แม้ว่าตระกูลหลิวของฉันจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่อะไรในเมืองหลวง แต่ก็จัดว่าเป็นเศรษฐี ชื่อฉินปิงเยว่ใช่ไหม? ฉันแนะนำให้เธอยอมจำนนต่อฉันซะ แล้วเธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา”“ไสหัวไป!” ฉินปิงเยว่มีแค่คำนี้ที่ตอบกลับหลิวพั้ง“ฮึ่ม เธอกำลังบังคับให้ฉันทำแบบนี้เองนะ จับเธอเอาไว้ แล้วเอาตัวเธอออกไป” หลิวพั้งสั่งออกมา บอดี้การ์ดก็ก้าวเท้าและเดินไปทางฉินปิงเยว่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวพั้งทำ
“พูดมา ใครเป็นคนส่งนายมา?”หนิงชิงเสว่รู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่พวกปลายแถว และต้องมีคนอื่นอยู่ข้างอย่างแน่นอน จึงถามออกมาอย่างตรงๆ“กลัวแล้ว ฉันจะบอก ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน เป็นตระกูลหานที่ส่งฉันมา”หลิวพั้งกลัวมาก จึงชี้ตัวคนบงการอย่างรวดเร็ว“ตระกูลหานไหน?” หนิงชิงเสว่ยังคงถามต่อ“ตระกูลหานหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ฉันเป็นแค่สุนัขรับใช้ตระกูลหานได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย” หลิวพั้งรีบร้องขอความเมตตา"ไปให้พ้น แล้วคาบข่าวไปบอกตระกูลหานด้วยว่า คฤหาสน์นี้ซื้อไปแล้ว หากพวกเขาส่งคนมารังควานฉันอีก ก็อย่าตำหนิฉันที่หยาบคาบ!" หนิงชิงเสว่พูดพร้อมกับโบกมือ แล้วโยนหลิงปังกับบอดี้การ์ดที่พิการออกไปที่ประตูตระกูลหานหลิวพั้งคุกเข่าลงบนพื้น และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอพูดจริงๆเหรอว่า เธอจะไม่ไว้หน้าตระกูลหาน? “หานฉวนซิงนั่งอยู่หัวโต๊ะ มีท่าทางไม่พอใจ “นายท่าน มันเป็นความจริงอย่างแน่นอน” หลิวพั้งรีบก้มศีรษะและตอบด้วยความเคารพ“โอหัง! ในเมืองหลวงไม่มีใครกล้าพูดกับตระกูลหานแบบนั้น! แกรู้ไหมว่าพวกมันเป็นใคร?” หานฉวนซิงตบโต๊ะจนสลายกลายเป็นฝุ่น“หนึ่งในนั้นช
ที่ทางเข้าคฤหาสน์หนานหวังคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นำโดยฉินหยวนฮวา“พวกแกคอยจับตามดู ระวังทุกทางออกเอาไว้ ห้ามไม่ให้แม้แต่แมลงวันเข้าหรือออก!” ฉินหยวนฮวาสั่งก่อนจะพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ท้ายที่สุดแล้วเป็นเรื่องภายในครอบครัวของตระกูลฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนนินทา ฉินหยวนฮวาไม่ได้นํามาแม้แต่ผู้ติดตามของเขาเข้าไปเขาบุกเข้าไปในคฤหาสน์หนานหวังเพียงลำพังช่างเป็นคฤหาสน์ที่ดีจริงๆฉินหยวนฮวายังคงประหลาดใจกับมันร่างในชุดขาวปรากฏต่อหน้าและเป็นหนิงชิงเสว่นั่นเองสัมผัสได้ถึงตัวตนของฉินหยวนฮวามาตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นหนิงชิงเสว่จึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง“นายเป็นใคร แล้วทำไมถึงบุกเข้าไปในคฤหาสน์ของคนอื่น?” หนิงชิงเสว่ขวางหน้าฉินหยวนฮวาและพูดอย่างเย็นชาเมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหญิงสาวที่งดงาม ฉินหยวนฮวาก็เหม่อลอยไปในทันที และทันทีที่ได้ยินคำพูดเท่านั้น เขาก็ฟื้นคืนสติกลับขึ้นมา“แล้วเธอเป็นใคร ฉินปิงเยว่อยู่ที่ไหน?” แม้จะประทับใจกับความงามของหนิงชิงเสว่แต่ฉินหยวนฮวาก็ไม่ลืมภารกิจ จึงถามกลับ“ตัวก่อกวนอีกคนเหรอ? พวกนายทุกคนต้องถูกฆ่าก่อนสินะ ถึงคิดจะหยุดได้จ
เมื่อเผชิญกับคำถามของหนิงชิงเสว่ ฉินลี่ซิงก็เปลี่ยนความคิดไปอย่างรวดเร็วหญิงสาวคนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธที่แน่นอนของเธอได้ อย่างน้อย เธอก็อาจจะแข็งแกร่งเท่ากับตัวเขาส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถรับรู้กลิ่นอายของเธอได้นั้น เธอต้องมีเครื่องรางบางอย่างที่ซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงเอาไว้ใช่ มันต้องเป็นเช่นนี้ในบรรดาคนรุ่นใหม่ ผู้ที่สามารถก้าวผ่านจิตจากระดับมหากาฬไปสู่ระดับจอมยุทธได้นั้นหายากมาก และผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาดูมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เป็นไปได้ไหมที่เธอเป็นระดับจอมยุทธขั้นสาม?ตัวตนเช่นนี้อาจจะมาจากสองนิกาย สามสำนัก เก้าทัพของสี่เมืองใหญ่ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉินลี่ซิงก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อย“เธอเป็นใครกันแน่? เธอกล้าดียังไงที่จะฆ่านายน้อยสองของตระกูลฉินต่อหน้าต่อตาฉัน เธอรู้ไหมว่าการยั่วยุตระกูลฉิน จะทำให้เธอไม่มีที่ซุกหัวนอนในต้าเซี่ย”หนิงชิงเสว่จึงตอบคำถามของฉินลี่ซิงอย่างใจเย็น: "ไม่สำคัญว่าฉันจะเป็นใคร สิ่งสำคัญคือไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมารังแกเพื่อนของฉันได้!"เนื่องจากเขาเป็นคนของตระกูลฉิน เขาจึงสมควรตาย และก็ได้ฆ่าไ
หนิงชิงเสว่ยืนสงบต่อหน้าศพของฉินลี่ซิงอย่างเย็นชาและทิ้งคำพูดสุดท้ายจากนั้นก็ปล่อยหนอนไหมทองคำกู่หนอนไหมทองคำกู่บินไปที่ศพทั้งสอง และใช้เวลาไม่นานก็กลืนกินศพจนหมดลง“ชิงเสว่ พวกคนที่อยู่หน้าประตูล่ะ?” ฉินปิงเยว่เดินเข้าไปถาม“ไม่ต้องสนใจหรอก พรุ่งนี้เป็นก็ครบสิบห้าวันแล้ว และเสี่ยวเฉินจะกลับมา เรื่องพวกนี้รอเขากลับมาแล้วค่อยจัดการ!” หนิงชิงเสว่มองขึ้นไปในท้องฟ้ายามรัตติกาล ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาภายในดินแดนเร้นลับการต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือดในขณะนี้ บนท้องฟ้ามีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดคนกำลังเข้าร่วมการต่อสู้ที่วุ่นวายผู้นำหอคอยเงาทมิฬสังเกตเห็นสถานการณ์จากทางภาคพื้นมานานแล้ว และได้พยายามช่วยเหลือหลายครั้งแต่กลับถูกขัดขวางโดยเจิ้งหยางจื่อและสหายทั้งสองคนและอีกด้านหนึ่ง จอมยุทธอีกสองคนที่อยู่รอบตัว ก็ถูกคนอื่นรั้งไว้เช่นกันจู่ๆ ร่างของผู้นำหอคอยเงาทมิฬก็เป็นประกายและสลับเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตัวเอง“หวู่หยิง ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ แล้วจะลงมือเมื่อไหร่!”ผู้นำหอคอยเงาทมิฬตะโกนออกมาเจิ้งหยางจื่อสาปแช่งในช่วงเวลาต่อมา เห็นกลุ่มคนมากกว่ายี่สิบคนจากต้า
คำพูดของผู้นำหอคอยเงาทมิฬ ได้ทำลายขวัญกำลังใจของกลุ่มคนที่ถูกสังหารโดยหวู่หยิงทันที พวกเขากลายเป็นเงาและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เพราะต้องการที่จะหนีออกไปจากที่นี่หลายคนขณะหลบหนี ก็ไม่ลืมที่จะสาปแช่งเจิ้งหยางจื่อ“ฮึ่ม! ก็ในเมื่อพวกแกต้องการแข่งขันกัน เพื่อควบคุมค่ายกลเอง พวกแกก็ควรจะเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับความตาย นอกจากนี้ นี่ก็ยังไม่ใช่การตัดสินใจของฉันเพียงแค่คนเดียว แต่เป็นการตัดสินใจร่วมกัน โดยพวกเราห้าคนผ่านการพูดคุย ทำไมพวกแกทุกคนถึงตำหนิฉัน!”เจิ้งหยางจื่อพูดด้วยความโกรธและแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเมื่อเห็นว่าคำพูดของตัวเขา ทำให้ผู้บุกรุกกระเจิดกระเจิงได้ง่ายเพียงใด ผู้นำหอคอยเงาทมิฬก็ยิ้มกว้างยิ่งขึ้น“รอหวู่หยิงจัดการกับมดเหล่านี้ก่อน แล้วมาดูกันว่า พวกแกห้าคนจะรอดไปได้กี่คน!”เจิ้งหยางจื่อมองดูจอมยุทธที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ที่ได้สังหารปรมาจารย์ระดับมหากาฬทีละคน และเข้าใจว่า หากหวู่หยิงเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย พวกเขาทั้งห้าคนก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ไม่ยากจะรับมือได้ทันใดนั้น ก็ได้มองไปรอบๆ และพยายามค้นหาเส้นทางหลบหนี“อาจจะหนีตอนนี้เหรอ? สายไปแล้ว!” ผู้นำหอคอยเงาทมิฬต