ปรมาจารย์หม่าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พูดเบา ๆ ว่า "ท่านผู้นำตระกูลจ้าวมั่นใจได้ ถ้าหม่าลงมือ ไม่มีอุบัติเหตุ""งั้นก็ได้ เชิญเถอะ" จ้าวเหยียนหยุดความตื่นเต้นไม่ได้เมื่อทุกคนคิดว่าปรมาจารย์หม่าจะขึ้นเวทีด้วยทักษะที่น่าเหลือเชื่อพวกเขาเห็นเขาเดินขึ้นไปบนเวทีทีละก้าวโดยเอามือข้างหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง โดยปราศจากทักษะเทคนิคใดๆ เลยผู้ชมอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผิดหวัง แม้แต่หวังซวี่กับพวกก็ไม่มีข้อยกเว้นโหวเหลยมองเห็นสถานการณ์นี้ จึงแกตัวด้วยความเขินอาย “แค่กๆ อาจารย์ของข้าเป็นคนค่อนข้างเรียบง่าย”"เข้าใจแล้ว ปรมาจารย์หม่าก็เป็นบุคคลระดับสูง บุคคลระดับสูงมักจะเรียบง่ายและไม่โอ้อวด” หวังซวี่รับพยักหน้าอย่างรวดเร็ว"ไม่เลว ยิ่งเป็นแบบนี้ พวกเรายิ่งรู้สึกว่าปรมาจารย์หม่านั้นคาดเดาไม่ได้ ห่างไกลจากสิ่งที่นักพรตเต๋าบนเวทีจะเปรียบเทียบได้"กัวรุ่ยและเฉินย่าก็เห็นด้วยในใจโหวเหลยรู้สึกดีขึ้นไม่น้อยเขาอดไม่ได้ที่จะมองฉู่เฉินอย่างเย็นชา เขาพูดว่า "ไอ้หนู อีกเดี๋ยวแกเบิกตาของแกให้กว้างและมองให้ดี ๆ ดูว่าอาจารย์ของฉันมีพลังมากแค่ไหน""ฉันกำลังดูอยู่" ฉู่เฉินแสดงสีหน้าตลกขบขันโหวเหลยหัวเราะ
หมัดนี้ ตรงเข้าที่ฟันหน้าของปรมาจารย์หม่าหัก จนอาเจียนออกมาพร้อมด้วยเลือดกับฟันเป็นจังหวะเดียวกับที่อู่ฉางชุนง้างหมัดที่สามของเขานั้นปรมาจารย์หม่ากระโดดลงมากราบกับพื้นทันทีว่า ”โอ้ย อย่าตีเลย อย่าตีเลย ผมยอมแพ้แล้วในทันที สถานการณ์ที่มีเสียงโหวกเหวกแต่เดิมก็เงียบกริบลงไปทุกคนมองภาพนั้นบนสังเวียนด้วยสีหน้าว่างเปล่าโหวเหลยและหวังซวี่กับพวกยิ่งเหมือนกลายเป็นหินนี่ยังเป็นปรมาจารย์หม่าที่มีชื่อเสียงอยู่เหรอ? ทําไมเขาถึงได้อ่อนแอแบบนี้?อู่ฉางชุนเอื้อมมือไปจับข้อมือเขา แล้วตะโกนว่า "แกจะไม่เป็นกังฟูเลยสักนิด เสียดายจริงๆที่ก่อนหน้านี้สนใจคนอย่างแก""ใช่ ฉันไม่รู้กังฟูเลยจริง ๆ" ปรมาจารย์หม่าเสแสร้งต่อไปไม่ได้แล้ว พูดตามความจริง "ฉัน... เหตุผลที่ฉันมีชื่อเสียงในตอนนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะฉันหาคนมาสมรู้ร่วมคิดและแสดงละคร..."เมื่อสิ้นเสียงของเขา ด้านล่างเวทีก็กลายเป็นโกลาหล ทุกคนคิดว่าพวกเขาหูฝาดไปแล้วปรากฎว่าปรมาจารย์ที่พวกเขาเฝ้าดูเป็นเพียงนักแสดงจอมปลอมใช่ไหม?ในขณะนั้น หวังซวี่ก็อ้าปากกว้าง กัวรุ่ยก็อ้าปากกว้าง เฉินย่าก็อ้าปากกว้างนี่คือปรมาจารย์หม่าที่โหวเหลยยกย่องช
อาจารย์อาวุสโสเฟิง?เมื่อเห็นการพฤติกรรมของสมาชิกทุกคนในตระกูลจ้าวแล้ว ณะนั้น ทุกคนก็หันกลับมาและมองไปยังทางเข้าโรงยิมไม่รู้ว่าตอนไหน ที่ชายวัยกลางคนสวมชุดสีดําและเท้าเหยียบส้นรองเท้าผ้าก็ปรากฏตัวขึ้นชายคนนั้นดูเหมือนต้นไม้โบราณอายุพันปี ทั้งร่างไม่มีร่องรอยการรั่วไหลของพลังชีวิต และเขาก็ดูเป็นแค่คนธรรมดาแต่ ปรมาจารย์วรยุทธหลายคนในตอนนี้ต่างก็มองหน้ากัน ส่วนลูกศิษย์ของพวกเขาหดตัวเล็กลงเพราะแม้แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนนั้น มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใดต้องรู้ว่าในฐานะนักสู้ พวกเขามีความไวต่อพลังชีอย่างมาก และแม้แต่ต้นไม้ก็ไม่สามารถซ่อนพลังชีได้เหมือนว่าชายวัยกลางคนจะโผล่ออกมาจากอากาศ ซึ่งทำให้พวกเขานั้นตกใจแข็งแกร่ง!คนๆ นี้จะต้องเป็นปรมาจารย์แน่!"ห้ะ?"แม้แต่สายตาของฉู่เฉินก็จับจ้องหยุดอยู่ที่ชายวัยกลางคน ดวงตาระยิบระยับด้วยความประหลาดใจนับตั้งแต่ที่เขาลงมาจากภูเขาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ได้พบกับปรมาจารย์สักทีในสายตาของทุกคนนั้น เห็นชายวัยกลางคนแบกมือข้างเดียว เพียงนึ่งก้าวก็ขยับไปข้างหน้าทันทีห้าเมตรเมื่อปลายเท้าของเขาสัมผัสพื้น ก็เกิดระเบิดขึ้นที่พื้น และเกิด
บรรพบุรุษของตระกูลจ้าว?ท่าทางของฉินเหวินเทียนเปลี่ยนไปอย่างมากเขาคับคล้ายคับคาว่าตระกูลจ้าวมีบรรพบุรุษ แต่จากไปเพื่อฝึกฝนวิชาเมื่อหลายปีก่อน และมีข่าวลือน้อยมากผู้คนต่างคิดว่าอีกฝ่ายบวชเป็นพระไปแล้วคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะฝึกสอนลูกศิษย์ที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้!ดวงตาของเฟิงซิ่วเหมือนกับสายฟ้า และออร่าเบียดทับฉินเหวินเทียน: "ได้ยินมาว่าตระกูลฉินของแกมีปรมาจารย์ฉู่คนหนึ่ง ด้วยแรงสนับสนุนของเขา ทำให้พวกแกกดขี่ครอบครัวจ้าวและยังฆ่าศิษย์น้องลู่ของฉันด้วยซ้ำ""ท่านครับ ตระกูลฉินของผมไม่เคยคิดจะข่มเหงตระกูลจ้าวเลย ส่วนเรื่องที่ทำให้ศิษย์น้องตาย..." หางตาของฉินเหวินเทียนกระตุกอย่างแรง เมื่อต้องอธิบาย“เหอะๆ”เฟิงซิ่วหัวเราะออกมา และขัดจังหวะเขา: "ฉันไม่สนใจสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างพวกแก ฉันจะให้โอกาสตระกูลฉิน ตราบใดที่แกส่งตัวปรมาจารย์ฉู่มา และประกาศยอมแพ้ต่อตระกูลจ้าวนับแต่วันนี้ ฉันจะไว้ชีวิตพวกแกเอง!”"ไม่อย่างงั้น ฉันจะทำให้ตระกูลฉินของแกตายอย่างศพไม่สวย!"เมื่อพูดถึงประโยคนี้ เขาก็กําหมัดไว้แน่น ทำให้หน้าจอโฆษณา LED ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเขาระเบิด และชิ้นส่วนนับไม่ถ้
เมื่อเห็นการกระทําของฉู่เฉิน โหวเหลยตกใจและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ไอ้หนุ่ม แกทำอะไรน่ะ? เขาเรียกหาปรมาจารย์ฉู่ของตระกูลฉิน ไม่ใช่แก!""ฉันคือปรมาจารย์ฉู่" ฉู่เฉินยิ้มบางๆ ก่อนก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที"นายน้อยหวัง ไอ้หนุ่มคนนี้เป็นบ้าใช่ไหม ถึงได้คิดว่าตัวเองก็คือปรมาจารย์ฉู่?" เฉินย่าและกัวรุ่ยเบิกตากว้างแล้วพูดหวังซวี่ก็ตกใจเหมือนกัน จากนั้นก็ยิ้มเย็นชาไอ้หนุ่มคนนี้โดนตบจนสมองกลับเหรอ? กล้าดียังไงมาแกล้งเป็นปรมาจารย์ฉู่!ปรมาจารย์ฉู่เป็นใครกัน ถึงสามารถทำให้ตระกูลฉินยอมก้มหัว และทำให้ตระกูลจ้าวหวาดกลัวมีข่าวลือว่าเขาไม่เพียงแต่มีทักษะการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมสายฟ้าได้ด้วย ซึ่งทำให้ไม่ต่างจากเทพเจ้าสำหรับเจ้าเด็กหนุ่ม ฉู่เฉิน แม้ว่าจะเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่ ก็ยังห่างไกลจากขั้นนี้มากเสี่ยวเสว่คว้ามุมเสื้อผ้าของฉู่เฉิน แล้วพูดด้วยหน้าซีดเซียว: "คุณฉู่ อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่นค่ะ"เธอคิดว่าฉู่เฉินเป็นคนดี ดังนั้นจึงไม่อยากเห็นอะไรเกิดขึ้นกับเขา“ฉันไม่ได้หุนหันพลันแล่น อย่ากังวลไปเลย”ฉู่เฉินยิ้มและลูบหัวของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนมุ่งหน้าไปตามทางเดินตรงกลาง
"ส่วนคุณตาแกฝึกหนักมาทั้งชีวิต ถึงแค่ระดับชกทั้งตัวเท่านั้น แล้วจะช่วยเขาได้อย่างไร?"เหลียงหยวนเหวยถอนหายใจออมาเบา ๆซวี่อันนาอดไม่ได้ที่จะดูหมดหวังหากฉู่เฉินเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด ไม่เพียงแต่เธอจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้หนิงชิงเสว่ได้แล้ว เธอยังจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตอีกด้วยในที่นั่งแถวหนึ่งไม่ไกลจากสังเวียน ชายวัยกลางคนในชุดสูทชี้ไปยังฉู่เฉิน และอุทานว่า:“พี่ใหญ่ ดูคนนั้นสิ เขาคือฉู่เฉินไม่ใช่เหรอ?”คนสองคนที่อยู่ข้างๆเขา ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าไม่เชื่อ“เป็นไอ้คนนั้นจริงๆ เขาบ้าเหรอ?”“ฉันได้ยินมาว่า ช่วงนี้ชิงเสว่มีความขัดแย้งกับไอ้หนุ่มคนนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่คิดหาทางออกเรื่องนี้ไม่ได้ จึงอยากจะตาย?”ทั้งสามคนเป็นลุงคนโตของหนิงชิงเสว่ หนิงเหรินชงและสมาชิกอาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลหนิงสมาชิกตระกูลจ้าว จ้าวเหยียนก็จ้องมองฉู่เฉินด้วยความอาฆาตแค้นหรือว่าไอ้เด็กนี่คือปรมาจารย์ฉู่?คนของตระกูลจ้าวที่เคยเห็นฉู่เฉินมาก่อนเตือนว่า "ท่านผู้นำ เด็กคนนั้นเคยมีความขัดแย้งกับปรมาจารย์หมิงฮุยมาก่อนไม่ใช่หรือ?""คุณแน่ใจเหรอ?" จ้าวเหยียนหน้าบึ้ง“ใช่ เป็นเขาแน่นอน”"ง
“ไอ้เด็กคนนั้นคือปรมาจารย์ฉู่ มันจะเป็นไปได้ยังไง?”ด้านคนในตระกูลจ้าน ทันใดนั้นจ้าวเหยียนก็ลุกขึ้นและจ้องไปที่เฉินข้างหลังเขา สมาชิกตระกูลจ้าวที่บางคนเคยพบกับฉู่เฉินมาก่อนก็ตกตะลึงเช่นกันฉู่เฉินและจ้าวหมิงฮุยเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน พวกเขาจึงตรวจสอบฉู่เฉิน และได้พบว่าเขาเป็นคนบ้านนอกที่เพิ่งมาถึงหนานเจียงดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยใส่ใจกับฉู่เฉิน แม้ว่าจ้าวหมิงฮุยจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่เคยสงสัยอะไรฉู่เฉินเลยแต่ความจริงในตอนนี้ได้บอกพวกเขาว่า คนบ้านนอกที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้น ที่พวกเขาไม่เคยสนใจมาก่อน แท้จริงแล้วคือปรมาจารย์ฉู่จะให้พวกเขาจะยอมรับได้อย่างไร“ฉู่เฉิน ปรมาจารย์ฉู่!!!”ดวงตาของจ้าวเหยีนนเป็นสีแดงเข้ม และคำรามด้วยเสียงทุ่มต่ำ และแสดงท่าทางที่ดุร้าย: "ทั้งสองคนนั้นแซ่ฉู่เหมือนกันและทั้งคู่ก็สนิทกับตระกูลฉินมาก ฉันควรจะคิดเรื่องนี้มาก่อน ฉันควรจะคิดเรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ !"“ไอ้คนแช่ฉู่ แกไม่ควรลุกขึ้นยืน”“คราวนี้ ฉันไม่สนใจว่าแกจะะเป็นปรมาจารย์ฉู่หรือเศษซากของสถานรับเลี้ยงเด็กชิงซาน แกจะต้องตายเท่านั้น!”“ ฉันจะเอาหัวแกไปเซ่นหมิงฮุ่ยและวิญญาณของศิษย์
“พลั๊ก……”รอจนควันกระจายตัวไป ทุกคนก็เห็นว่าร่างของเฟิงซิ่วลอยไปข้างหลังมากกว่าสิบก้าวเมื่อมองย้อนกลับไปที่ฉู่เฉิน ก็พบว่าเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยมือข้างหนึ่งไพล่หลัง ร่างของเขาไม่ขยับเขยือน“เฟิงซิ่วเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้วเหรอ?”“มันจะเป็นไปได้อย่างไร……”ในขณะนี้ นักสู้ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ และมีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาต้องรู้ว่าเฟิงซิ่วเป็นระดับชกจิตวิญญาณ ฉู่เฉินไม่เพียงแต่สามารถต่อสู้กับเขาได้เท่านั้น แต่ยังได้เปรียบอีกด้วย นี่ไม่ใช่การพิสูจน์แล้วหรือว่าความสามารถของฉู่เฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าเฟิงซิ่ว?หลังจากเฟิงซิ่วลุกกลับมายืนอย่างมั่นคงแล้ว ใบหน้าก็มีน่าเกลียดมาก "มีแค่พลังเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่กล้าอาละวาดขนาดนี้"ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มอวดฟัน: "ตอนนี้ ฉันขอประกาศว่าการแข่งขันรอบอุ่นเครื่องนั้นสิ้นสุดลง และโชคดีคุ้มกระบาลแกไว้ก็สิ้นสุดลงแล้ว!""ช่วงต่อไป ฉันจะให้แกได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์วรยุทธเอง!"เขาคำรามอย่างรุนแรง และเมื่อพลังงานรอบตัวของเขาพุ่งสูงขึ้น ทันใดนั้นร่างกายก็ลอยขึ้นมาจากอากาศห้าฟุต และเสื้อผ้าก็ขาดว
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่