“พลั๊ก……”รอจนควันกระจายตัวไป ทุกคนก็เห็นว่าร่างของเฟิงซิ่วลอยไปข้างหลังมากกว่าสิบก้าวเมื่อมองย้อนกลับไปที่ฉู่เฉิน ก็พบว่าเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยมือข้างหนึ่งไพล่หลัง ร่างของเขาไม่ขยับเขยือน“เฟิงซิ่วเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้วเหรอ?”“มันจะเป็นไปได้อย่างไร……”ในขณะนี้ นักสู้ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ และมีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาต้องรู้ว่าเฟิงซิ่วเป็นระดับชกจิตวิญญาณ ฉู่เฉินไม่เพียงแต่สามารถต่อสู้กับเขาได้เท่านั้น แต่ยังได้เปรียบอีกด้วย นี่ไม่ใช่การพิสูจน์แล้วหรือว่าความสามารถของฉู่เฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าเฟิงซิ่ว?หลังจากเฟิงซิ่วลุกกลับมายืนอย่างมั่นคงแล้ว ใบหน้าก็มีน่าเกลียดมาก "มีแค่พลังเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่กล้าอาละวาดขนาดนี้"ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มอวดฟัน: "ตอนนี้ ฉันขอประกาศว่าการแข่งขันรอบอุ่นเครื่องนั้นสิ้นสุดลง และโชคดีคุ้มกระบาลแกไว้ก็สิ้นสุดลงแล้ว!""ช่วงต่อไป ฉันจะให้แกได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์วรยุทธเอง!"เขาคำรามอย่างรุนแรง และเมื่อพลังงานรอบตัวของเขาพุ่งสูงขึ้น ทันใดนั้นร่างกายก็ลอยขึ้นมาจากอากาศห้าฟุต และเสื้อผ้าก็ขาดว
“ต่อจากนั้น ก็ลองรับการโจมตีของผมหน่อยยังไงล่ะ!”ทันทีที่สิ้นเสียงของฉู่เฉิน ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปในพริบตาตัวเขาในตอนนี้ ดูไม่เหมือนชายหนุ่มผู้เก็บงำตัวตนคนนั้นอีกต่อไป แต่ราวกับเป็นกษัตริย์ผู้ถือครองความเป็นความตายก็มิปราณสรรพสิ่งดูเล็กจ้อยเมื่ออยู่ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ของเขา ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาราตัวเขาโดดเด่นไร้ที่เปรียบราวกับว่า เขาต่างหากที่เป็นชายคนแรกผู้หันหลังให้แก่เหล่าดวงดาราคนนั้น!แม้แต่เฟิงซิวก็ยังถูกพลังของฉู่เฉินทำเอาตะลึงงันอยู่กับที่จนอยากจะก้มหัวคุกเข่าคารวะเขาเสียตอนนี้ฉู่เฉินก้าวออกไปหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ยเสียงพูด “ประสงค์ข้าดั่งดาบตัดเวหา!”พริบตาต่อมาก็เห็นเขาใช้นิ้วชี้เป็นดาบและฟันไปกลางอากาศ“ครืดดด …”ทันใดนั้น พลังดาบอันน่าสะพรึงก็ปะทุออกมาจากปลายนิ้วของเขา ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเฟิงซิวด้วยความเร็วอันเหนือคาดพลังดาบยาวเพียงหนึ่งฟุตกลับผ่าแยกผืนดินออกเป็นสองฝั่ง รอยตัดเรียบเนียนไร้ที่ติราวกับมีดที่ตัดลงบนเต้าหู้“ให้ตายสิ นั่นมันอะไรกัน?”“คลื่นกระแทกเหรอ?”“……”ทุกคนในกลุ่มผู้ชมต่างนิ่งงันให้กับฉากที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ในตาของพวกเ
ในขณะนั้น โลกทั้งใบก็เงียบลงราวกับเข็มตกลงพื้นเพียงเข็มเดียวก็สามารถได้ยินในขณะนั้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังเงาร่างที่กำลังทำท่าทางภาคภูมิใจบนเวทีร่างนั้นเปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้ครองโลก เพียงแค่ด้านหลังของเขาก็ยังทำให้ทุกชีวิตเงยต้องเงยหน้าขึ้นทอดสายตาความรู้สึกของทุกคนผันผวนอย่างไม่อาจหยุดยั้งก่อนหน้านี้ หลายคนรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิงซิวเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงยังไงอีกฝ่ายก็ยังเด็กเกินไปแต่ตอนนี้เฟิงซิวผู้หยิ่งผยองมอดดับไปแล้วด้วยน้ำมือของเขา แถมก่อนตายเขาก็ยังเอาแต่ร้องขอชีวิตสิ่งใดกันที่เรียกว่าแข็งแกร่ง?นี่ต่างหากที่เรียกว่าแข็งแกร่ง!ฉินปิงเยว่จ้องมองร่างนั้นด้วยความรู้สึกอันว่างเปล่า ก่อนที่ดวงตาคู่งามของเธอพร่ามัว ผู้ชายคนนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!ในไม่ช้าความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงอุทาน: “ว้าว คิดไม่ถึงว่าคุณชายฉู่จะมีพลังมากขนาดนี้”เสี่ยวเสวี่ยที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมตบมือเบา ๆ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธออัดอั้นเสียจนแดงก่ำ และเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นแต่โหวเหลยกับหวังซวี่และคนอื่นที่อยู่ข้างเธอกลับนิ่งเงียบหลายคน
ฉู่เฉินยืนอยู่คนเดียวบนเวที สีหน้าของเขายังคงไร้แววทุกข์สุขก่อนจะพูดว่า: “คุณฉิน เคลียร์สถานที่”“ได้ครับคุณชายฉู่!”หลังจากที่ฉินเหวินเทียนรับปาก เขาก็หันกลับมาและมองดูกลุ่มผู้ชม: “นอกจากห้าตระกูลเศรษฐีเมืองหนานเจียงแล้ว ทุกคนออกไปให้หมด”ในไม่ช้า ทุกคนก็ออกไปจนหมด รวมทั้งโหวเหลย หวังซวี่และคนอื่น ๆ ก็ออกไปด้วยมีเพียงฉู่เฉินและสมาชิกห้าตระกูลเศรษฐีเมืองหนานเจียงเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโรงยิมจ้าวเหยียนดูเหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็พ่นเลือดออกมาจากปาก“ตระกูลจ้าว…”ฉู่เฉินเดินลงจากเวทีและเดินไปหาทุกคนในตระกูลจ้าวทีละก้าว: “ต่อให้กำลังฝันพวกคุณก็คงไม่คิดว่าจะมีจุดจบเหมือนอย่างวันนี้สินะ”นอกจากจ้าวเหยียนแล้ว ตระกูลจ้าวที่เหลือต่างหวาดกลัวมากจนคุกเข่าลงบนพื้นและสวดภาวนากันไม่หยุดจ้าวเหยียนรู้ว่าสถานการณ์จบลงแล้ว เขาจึงพูดออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์: “แกไอ้สัตว์ร้าย สิ่งที่ข้าเสียใจที่สุดคือตอนนั้นข้าไม่ได้จัดการเจ้าให้เรียบร้อย ไม่ได้เผาเจ้าจนตาย จนเจ้าจนำหายนะมาสู่ตระกูลจ้าวของเราวันนี้”“งั้นเหรอครับ?”ดวงตาของฉู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็น
แต่ตอนนี้ทั้งสามคนพยักหน้าและโค้งคำนับต่อหน้าฉู่เฉินเพื่อแสดงความเคารพฉู่เฉินตรงประเด็นและพูดว่า: “ผมมีคำขอเดียวเท่านั้นสำหรับตระกูลหนิงของคุณ และนั่นก็คือให้หนิง ชิงเสวี่ยเป็นหัวหน้าตระกูล และพวกคุณจะช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ พวกคุณมีอะไรจะคัดค้านไหมครับ?”“ไม่คัดค้านครับ ไม่คัดค้าน” พวกเขาทั้งสามส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เกรงว่าฉู่เฉินจะเข้าใจผิดหนิงเหรินฮ่าว พูดอย่างสั่นเทายิ่งกว่านั้น: “คุณชายฉู่ ไม่ต้องกังวล เมื่อเรากลับมา เราจะจัดการประชุมตระกูลทันทีและเลือกชิงเสว่เป็นหัวหน้าตระกูลหนิง”“ดีมาก ในอนาคตจะไม่มีใครในหนานเจียงจะกล้าแตะต้องตระกูลหนิงของคุณ” ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย และเพียงประโยคเดียวก็ทำเอาหนิงเหรินสงและคนอื่น ๆ ตื่นเต้นในเวลานี้ สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉินที่มีหน้าที่เฝ้าหน้าประตูก็เข้ามาและพูดด้วยความเคารพ: “คุณชายฉู่ มีคนสี่คนที่ต้องการพบคุณอยู่ข้างนอก ดูเหมือนว่าผู้นำจะมีชื่อว่าหวังซวี่ครับ”“พวกเขาเหรอ?” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดทันที “ให้พวกเขาเข้ามา”ในไม่ช้า หวังซวี่ โหวเหลย กัวรุ่ยและเฉินย่าก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางกระดากอายฉู่เฉินนั่งบนเก้าอี้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งและ
“ประธานของเรานามว่าฉู่เฉินค่ะ ตัวฉู่จากคำว่าก๊กฉู่ และตัวเฉินจากคำว่าฝุ่นละออง”หลินซวงหวู่ตกตะลึงและมองดูเธอด้วยความประหลาดใจ: “คุณอาศัยอยู่กับผู้อำนวยการฉู่ของเรามานานแล้ว เขาไม่ได้บอกคุณเหรอว่าแจฟฟรีย์กรุ๊ปมาจากบริษัทของเขา”เมื่อคำพูดของเธอสิ้นสุดลงหนิงชิงเสว่รู้สึกปวดหัวหนักมากราวกับว่าเธอโง่ และเธอยังคงพูดไม่ออกหลังจากทะเลาะกันมานานขนาดนี้ ที่แท้ฉู่เฉินก็คือผู้อำนวยการฉู่แห่งแจฟฟรีย์กรุ๊ป เสียทีที่เมื่อก่อนเธอพยายามทุกวิถีทางเพื่อพบกับผู้อำนวยการฉู่คนนั้นคนที่อนุมัติเงินทุนหนึ่งหมื่นล้านเพื่อช่วยเธอ ก็คือชายหนุ่มคนที่เธอดูถูกมานับครั้งไม่ถ้วยคนนี้ในตอนนี้เอง หนิงชิงเสว่คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วสีหน้าของเธอก็ซีดลงเพราะดูเหมือนว่าฉู่เฉินจะเคยบอกเธอมาก่อนว่าเขาเป็นประธานของแจฟฟรีย์กรุ๊ปแต่ในตอนนั้นทั้งเธอและพานอวิ๋นไม่เชื่อ พวกเธอคิดว่าเขาคุยโม้ แถมพวกเธอยังเยาะเย้ยเขาด้วยครู่หนึ่งหนิงชิงเสว่รู้สึกละอายใจมากจนเธอหวังว่าเธอจะพบรอยแตกบนพื้นและคลานเข้าไปในนั้นเมื่อหลินซวงหวู่เห็นว่าเธอกำลังเหม่อลอยก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ประธานหนิง ตอนนี้เราลงนามในข้อตกลงได้แล้วใช่
หลังจากกลับมา ตระกูลจ้าวก็ระดมคนทั้งหมดและปกป้องตระกูลจ้าวทันที เพราะกลัวว่าฉู่เฉินจะกลับมาอีกครั้งในห้องประชุมตระกูลจ้าว ผู้นำอาวุโสของตระกูลจ้าวทุกคนต่างก็มารวมตัวกันหญิงตระกูลจ้าวคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ คุณชายฉู่ขอให้เราไปที่สุสานเจียงจวินซานภายในสามวันเพื่อกราบไหว้ผู้ที่เสียชีวิตและกลับใจ ตอนนี้ฉัน...เราควรทำยังไงดี?”เธอเป็นลูกสาวคนโตคนที่ห้าของตระกูลจ้าวและเป็นน้องสาวคนที่ห้าของจ้าวเหยียนนามว่า จ้าวเหวินฮุ่ยสมาชิกในตระกูลจ้าวทุกคนมองจ้าวเหยียนด้วยสีหน้าหวาดกลัวจ้าวเหยียนถูกมองคาดคั้น เขาจึงพูดกับสุนัขรับใช้คนหนึ่งของเขาว่า: “ติดต่อผู้อาวุโสทันที ขอให้เขากลับประเทศด้วยตนเองเพื่อช่วยตระกูลจ้าวของเรา”“ขอแค่ผู้อาวุโสกลับมา ไอ้เจ้าเด็กร้ายนั่นจะต้องตายแน่ เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนในตระกูลฉินก็จะตายด้วย!”เมื่อเขาพูดจบ ใบหน้าของจ้าวเหยียนก็เพิ่มความดุร้าย เขากำลังบ้าคลั่งสุดขีดเสียงอันสั่นเทาของคนคนหนึ่งดังขึ้น: “ผู้นำตระกูล จะเป็นยังไงถ้าผู้อาวุโสของเราไม่มาถึงภายในสามวัน...เราควรทำยังไงดี?”ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นก็ใช่น่ะสิ!คุณชายฉู่ให้เวลาพวกเขาเพีย
“คุณหนูของคุณคือใคร?” ฉู่เฉินขมวดคิ้ว“ถึงตอนนั้นท่านจะรู้เองค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบคำถามฉู่เฉินมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นชา: “ถ้าผมไม่ไปล่ะ?”“พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...”จู่ ๆ เงาร่างหลายสิบร่างก็ปรากฏตัวขึ่นรอบด้าน ทุกคนสวมหน้ากาก และปืนสีดำของพวกเขาก็ชี้เข้าใส่ฉู่เฉิน“อะไรกัน นี่คุณคิดจะลักพาตัวผมด้วยเหรอ?” ฉู่เฉินพูดอย่างไม่สะทกสะท้านและเอามือไพล่หลังผู้หญิงคนนั้นเลิกคิ้วและตะโกนเสียงดัง: “กล้าดียังไงมาสร้างความวุ่ยวายต่อหน้าคุณชายฉู่ ไอ้พวกสารเลว!”“ยังไม่รีบถอยไปอีก!”ทันใดนั้น ปากของเธอก็มีพลังลมปราณออกมา ทำเอาคนเหล่านั้นกระเด็นออกไปไหลมหายุทธ์ลมปราณ!ฉู่เฉินมองดูเธอด้วยสายตาลึกล้ำดูจากอายุของเธอ เธอน่าจะอายุราวสี่สิบกว่า อีกทั้งตัวเธอที่เป็นผู้หญิงแต่กลับเป็นถึงมหายุทธ์ลมปราณชั่วครู่หนึ่ง ฉู่เฉินเริ่มสนใจคุณหนูที่เธอพูดถึง: “นำทางไปสิ”ไม่นานนัก เธอก็พาฉู่เฉินไปที่คฤหาสน์ส่วนตัวทันทีที่ฉู่เฉินก้าวเข้ามา ปืนไรเฟิลซุ่มยิงหลายกระบอกก็มุ่งเป้าไปที่เขาจากจุดที่มองไม่เห็น“มีปืนบาร์เร็ตต์อยู่จริงสินะ…” ฉู่เฉินเหลือบมองด้วยท่าทางสบาย ๆ และมุมปากของเขาก็โค้งเล็กน้อ
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่