“เงื่อนไขอะไรกัน? ท่านจงรีบกล่าวมา ฝ่าบาทย่อมทรงตัดสินพระทัยได้” เสิ่นหมิงหยวนกล่าว“ทูตจากแคว้นจ้าวกล่าวว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเมืองเฟิ่งหวงตกอยู่ในความวุ่นวาย โจรผู้ร้ายชุกชุม ประชาชนอยู่กันอย่างทุกข์ยากลำบาก มีชาวเมืองเฟิ่งหวงไปขอร้องฮ่องเต้จ้าวที่แคว้นจ้าว ฮ่องเต้จ้าวทรงมีเมตตา เมื่อเห็นว่าต้าชิ่งกับแคว้นหลู่กำลังทำสงครามกัน ไม่มีเวลาว่างมาดูแล จึงดูแลแทนให้ชั่วคราว”“หลังจากแคว้นจ้าวเข้ามาดูแลเมืองเฟิ่งหวงก็ได้ทุ่มกำลังทหารและทรัพย์สิน แก้ไขสถานการณ์ความวุ่นวายและความเป็นอยู่ที่ยากลำเค็ญของประชาชนเมืองเฟิ่งหวง”“ตอนนี้ขอเพียงต้าชิ่งของเรายินดีมอบเงินสิบล้านตำลึงเงินให้แก่แคว้นจ้าว จ้าวป๋อก็จะคืนเมืองเฟิ่งหวงให้แก่ต้าชิ่งของเรา ทูตกล่าวว่าฮ่องเต้จ้าวทรงเน้นย้ำว่าเงินสิบล้านตำลึงนี้ มิใช่เป็นการเรียกร้องจากต้าชิ่งของเรา แต่เป็นเพียงการขอเงินคืนจากการที่แคว้นจ้าวได้ลงทุนให้กับเมืองเฟิ่งหวงในช่วงหลายเดือนมานี้”“ฮ่องเต้จ้าวยังตรัสอีกว่า ปีที่แล้วแคว้นจ้าวประสบภัยน้ำท่วม ปัจจุบันก็ยังลำบากมาก หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าใจ”หลิวเกาจัวเพิ่งจะกล่าวจบ ก็มีขุนนางพยักหน้าติดต่อกันเมืองเฟิ่งห
หลิวเกาจัวที่ระมัดระวังตัวสังเกตสีหน้าของแคว้นอื่นมานาน ชินกับโดนกดขี่โดนรังแกมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อครู่นี้แคว้นจ้าวบอกว่าจะคืนเมืองเฟิ่งหวงให้แลกกับเงินสิบล้านตำลึง หลิวเกาจัวจึงดีใจมากจริง ๆ“ใช่! ค่ายึดครองสิบล้านตำลึง ต้องไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว!” เสียงของเฉินฝานเด็ดเดี่ยวมั่นคง“ขอรับ ใต้เท้า ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”หลิวเกาจัวเดินไปที่โถงด้านข้างด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจสุดขีดเพื่อเจรจากับทูตของแคว้นจ้าวต่อ ไม่นานนัก หลิวเกาจัวกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ดูย่ำแย่มาก“ใต้เท้า ฝ่าบาท แคว้นจ้าวไม่ยอมตกลง ยืนกรานว่าจะเอาสิบล้านตำลึงให้ได้ มิเช่นนั้นทหารของแคว้นจ้าวจะไม่ยอมถอนตัว นอกจากนี้...”หลิวเกาจัวมองเฉินฝานแวบหนึ่ง “แคว้นจ้าวพูดอีกว่าเงินสิบล้านตำลึงนี้จะขาดแม้แต่แดงเดียวไม่ได้” เมื่อฟังคำพูดของหลิวเกาจัวจบ เสิ่นหมิงหยวนที่เงียบมาตลอดก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายได้ไม่กี่วัน โชคดีเอาชนะศึกกับแคว้นหลู่มาได้ก็คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เสียแล้ว“นี่แคว้นจ้าวรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ หลิวเกาจัว ท่าทีรับปากลูกเดียวของเจ้าเช่นนี้จะไปเจรจาได้อย่างไร?”เสิ่นหมิงหยวนตำ
หกล้มค่อนข้างรุนแรง มีเลือดไหลทั้งที่มือและหัวเข่า“ใต้เท้า ๆ!” คนข้างกายเสิ่นหมิงหยวนตื่นตระหนกทันที“ไม่ต้องเอะอะโวยวาย ข้าไม่เป็นไร การเจรจาต่อรองสำคัญกว่า!”เสิ่นหมิงหยวนผลักคนข้างกาย พลางฝืนลุกยืนขึ้น“ใต้เท้าเฉิน ต้องขออภัยที่ทำตัวน่าขัน ข้าแก่เกินกว่าที่จะมาเจรจาต่อรองแล้วจริงๆ แค่การเดินลงบันไดก็ยังจะสะดุดล้มอีก” เมื่อลุกขึ้นได้ เสิ่นหมิงหยวนก็กล่าวขอโทษเฉินฝานทันที“ใต้เท้าจะไม่ไปทำแผลก่อนรึ?” เฉินฝานมองดูหัวเข่าที่เลือดไหลของเสิ่นหมิงหยวนพลางกล่าวถาม“ไม่ต้องหรอก เรื่องของบ้านเมืองต้องรีบจัดการโดยด่วน!”เสิ่นหมิงหยวนกล่าวพลางเดินรุดหน้าขึ้นมา ยิ่งเขาฝืนมากเพียงใด เลือดที่ไหลอยู่ที่หัวเข่าก็มากเพียงนั้น เขาที่หกล้มจนเลือดไหล สีหน้าเริ่มซีดเซียวเฉินฝานก็ไม่ได้พูดอันใดอีกเสิ่นหมิงหยวนจงใจทำเขาทุ่มเทแรงกายแสดงมาตั้งนาน เพราะต้องการให้เฉินฝานเผชิญหน้ากับราชทูตแคว้นจ้าวโดยลำพังหากท้ายที่สุดเจรจาไม่ลงตัว ความผิดจะตกอยู่เฉินฝานเพียงผู้เดียว“ใต้เท้า!”เสียงร้อนใจดังขึ้นอีกครั้ง เสิ่นหมิงหยวนที่เจ็บปวดสุดขีดจนอิดโรยได้ลื่นล้มไปแล้ว“ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พยุงข้าขึ้น ทำ
ไหวพริบในการพูดของเจียงเฉินหยูยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆผ่านไปครู่เดียว ก็ทำให้หลิวเกาจัวเดือดดาลจนพูดไม่ออกคำพูด จังหวะ หลักเหตุผลที่เจียงเฉินหยูใช้ในตอนพูดถูกต้องแม่นยำอย่างมาก ทุกคำที่เขาพูดล้วนมีสาระหลิวเกาจัวถือว่าเป็นคนที่ไหวพริบในการพูดค่อนข้างดีในต้าชิ่ง ทว่าเมื่อมาเผชิญหน้ากับเจียงเฉินหยู ประชันฝีปากไม่ถึงสามรอบก็สู้ไม่ไหวแล้ว“สรุป โดยสรุปแล้ว พวกเจ้าแคว้นจ้าวไร้เหตุผลและทำเกินเหตุ”หลิวเกาจัวหน้าแดงก่ำ พูดพร่ำคำว่าไร้เหตุผลและทำเกินเหตุไม่หยุดหย่อนเจียงเฉินหยูสามารถพูดจาตอกหน้ากลับได้อย่างรุนแรง เขาจ้องไปที่เฉินฝานและเสิ่นหมิงหยวน สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าชิ่งของพวกเจ้า มีแค่เลขาธิการกรมพิธีการพูดได้คนเดียวงั้นรึ?”เมื่อเห็นว่าเฉินฝานและเสิ่นหมิงหยวนไม่กล่าวอันใด เจียงเฉินหยูจึงพูดจารุนแรงกว่าเดิม “ดูแล้วน่าจะมีเขาที่พูดได้คนเดียว และเขาผู้นี้ความสามารถในการพูดเหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด คนอื่นก็ล้วนเป็นใบ้กันหมด”“หากไม่เป็นเช่นนั้น ไยต้าชิ่งจะตกต่ำถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน” อัครเสนาบดีแคว้นจ้าวเซี่ยงเทียนหยินที่เงียบมาโดยตลอดและไม่ได้ทักทายเฉิ
ความขาดสติจะทำให้ลดประสิทธิภาพการคิดวิเคราะห์ของสมองคนให้แย่ลง ส่งผลให้ตัดสินใจหลายอย่างผิดพลาด“ในเมื่อเจ้าออกมาแล้วก็เริ่มเจรจากับข้าเถอะ”“เจ้าอยากเจรจาอย่างไร? จะให้ยี่สิบล้านตำลึงเงินกับพวกเราทันทีหรือจะให้เจรจาจนถึงยามค่ำคืนจำนวนเงินจะเปลี่ยนเป็นสามสิบล้านตำลึง”“เฉินฝาน ก่อนที่จะมาที่นี้ ข้าได้สืบเรื่องของเจ้ามาแล้ว!”“ความจำของเจ้าดี ได้ยินมาว่าเคยแข่งท่องจำตำรากับบัณฑิตคนหนึ่งจนทำบัณฑิตผู้นั้นกระอักเลือด”“ว่ามาสิ...” สายตาดูแคลนของเจียงเฉินหยูเด่นชัดมากขึ้น “ท่องข้อบังคับในการเจรจาต่อรองที่เจ้าจำออกมาให้ข้าทั้งหมด วรรคใดที่เจ้าจำไม่ได้ ข้าสามารถสอนเจ้าได้”“ข้าไม่ได้จำของพรรค์นั้นหรอก” เฉินฝานกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ไม่ได้ท่องจำมาก็ดีแล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ข้าดูแล้วเจ้าเป็นคนที่เข้าใจในสถานการณ์ดี สู้ส่งเงินยี่สิบล้านตำลึงมาตอนนี้เสียดีกว่า อย่ามัวชักช้าเลย”“ใช่!” เฉินฝานพยักหน้า “ชักช้าไปจริงๆ”เมื่อกล่าวจบ ก็ชักดาบปลายปืนขนาดเล็กตรงช่วงเอว ฟาดฟันไปที่เจียงเฉินหยูทันทีร่างกายของเจียงเฉินหยูราวกับถูกไฟฟ้าดูด กระตุกชักอย่างรุนแรง สิ้นล
“อ๋องตวน!” เฉินฝานอมยิ้ม “สมแล้วที่เป็นพ่อตาข้า ข้าคิดสิ่งใดท่านก็รู้ทุกอย่าง”“เสี่ยวฝาน เจ้าก็คิดจะไปตัดหัวอ๋องแคว้นจ้าวเหมือนกันสินะ ดีๆ เช่นนั้นพวกเราไปกันตอนนี้เลย!”ระหว่างที่พูด อ๋องตวนก็ลากแขนเฉินฝานไปด้านนอกทันที“ขวางพวกเขาไว้!”ฉินเย่ว์เหมยและเสิ่นหมิงหยวนพูดพรวดแทบจะพร้อมกันเสิ่นหมิงหยวนกลัวว่าอ๋องตวนจะใช้โอกาสนี้พาเฉินฝานหนีไปฉินเย่ว์เหมยกลัวว่าเฉินฝานจะไปตัดหัวอ๋องแคว้นจ้าวกับอ๋องตวนเพียงสองคนจริง ๆถึงแม้ว่าตอนนี้อ๋องแคว้นจ้าวจะอยู่ที่เมืองเฟิ่งหวง ทว่าจะต้องมีทหารที่เก่งกาจคอยอารักขาอยู่แน่นอนเขาทั้งสองคน คนหนึ่งก็ฝีมือเก่งกาจเหนือมนุษย์ อีกคนก็มีพลังเทพโดยกำเนิดทว่าอย่างไรเสียก็มีแค่สองคน จะสู้กับกองกำลังมหาศาลได้เยี่ยงไรหลังจากที่เฉินฝานและอ๋องตวนถูกขัดขวางไว้แล้ว เหอจื่อหลินก็รีบคุกเข่าทันที“ฝ่าบาท เมืองเฟิ่งหวงถือว่าเป็นเขตแดนของพวกเราต้าชิ่ง กระหม่อมยินดีที่จะนำกองกำลังลาดตระเวนไปต่อกรกำลังแคว้นจ้าวเพื่อชิงเมืองเฟิ่งหวงกลับมาให้จงได้ขอรับ”“ข้าก็จะไปด้วย!”เสียงอ่อนหวานพราวเสน่ห์ดังมาจากด้านนอกราชวังโอวหยางน่าหลันที่สวมชุดเกราะสีทองได้เดินมาถึง
“ใต้เท้าเฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ตอนนี้ท่านเป็นถึงอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายของพวกเราต้าชิ่ง หลังจากที่ท่านรับตำแหน่งมาก็ได้สร้างคุณูปการมากมายให้กับเหล่าราษฎร พวกเขารักและเชิดชูท่าน ท่านทำเช่นนี้เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป ต้าชิ่งจะสูญเสียท่านไปไม่ได้”ทุกคนล้วนคาดไม่ถึง แม้กระทั่งเฉินฝานก็ไม่คิดว่าคนที่ออกมาโต้แย้งเป็นคนแรกจะเป็นเสิ่นหมิงหยวนและสาเหตุที่โต้แย้งก็เป็นเรื่องที่กลัวว่าเฉินฝานจะตกอยู่ในอันตรายจนเสียชีวิตอีกด้วย“โอ้!” เฉินฝานส่ายหน้าถอนหายใจ “ใต้เท้าเสิ่น ท่านเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ลองมองย้อนกลับไปดูสิ จู่ ๆท่านก็แปรเปลี่ยนเป็นห่วงใยข้าเสียอย่างนั้น ข้ารู้สึกไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย”“ใต้เท้าเฉิน ระหว่างข้ากับเจ้าถึงแม้จะมีเรื่องเข้าใจผิด ทว่าพวกเราก็เป็นเสนาบดีต้าชิ่งเหมือนกัน ไฉนข้าจะไม่ห่วงใยชีวิตเจ้ากัน”ระหว่างที่เขาพูดก็ส่งสายตาไปให้หลี่ชิ่ง“ฝ่าบาท!” หลี่ชิ่งรีบคุกเข่าลงทันที “กระหม่อมยินดีที่นำทัพเหล่าสหายกองกำลังเมืองหลวงร่วมเดินทางไปเมืองเฟิ่งหวงกับใต้เท้าเฉิน เพื่อช่วงชิงเมืองเฟิ่งหวงกลับมาให้ได้ขอรับ”เหอจื่อหลินรีบร้อนคุกเข่าลงไปเช่นกัน “ฝ่าบาท กองกำลังลาด
ข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างเฉินฝานและซูซิวฉีคือ แต่ไรมาเขาไม่เคยพูดจาอ้อมค้อม ล้วนพูดทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมาวิธีที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้มักจะทำให้เสิ่นหมิงหยวนตั้งตัวรับมือไม่ทันเสมอ“ดี!” เฉินฝานเสียงดังกังวาน “หากใต้เท้าเสิ่นรับปากจะเก็บความลับ เช่นนั้นข้าและอ๋องตวนก็จะปลอดภัยแน่นอน”“ฝ่าบาท รอฟังข่าวดีจากข้าน้อยได้เลย”พูดจบ เฉินฝานก็ก้าวเท้าเดินออกไปทันทีแสงอาทิตย์สาดส่องไปที่ร่างของเฉินฝาน สะท้อนให้เห็นเงาร่างสีจาง ๆ ฉินเย่ว์เหมยตะลึงงันเฉินฝานในตอนนี้เหมือนเทพที่มาจากสรวงสวรรค์ไม่มีผิดคนที่รู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงฉินเย่ว์เหมยเท่านั้น เสนาบดีส่วนใหญ่ก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน“นี่ ลูกเขยที่แสนดี รอข้าด้วยสิ”ร่างกายใหญ่มหึมาของอ๋องตวนวิ่งโยกเยกไล่ตามเฉินฝานไปด้านนอก พลางเอะอะโวยวายด้วยความตื่นเต้น“ว้าว ภารกิจใหญ่มาอีกแล้ว ข้าชอบภารกิจใหญ่ๆเสียจริง”อ๋องตวนมีความสุข ทว่าคนส่วนใหญ่กลับอารมณ์บูดบึ้งโดยเฉพาะโอวหยางน่าหลันที่ทุ่มเทเดินทางไกลมาจากแคว้นหลู่เพื่ออยากใช้เวลาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินฝาน ปรากฏว่าเฉินฝานกลับไม่พานางไปด้วยหลังจากนี้ หากเฉินฝานกลับจาก
โอวหยางกว่างเซวียนมองโจวหยางชิง แล้วหันหน้ากลับไปมองโอวหยางน่าหลัน สีหน้าดูลำบากใจ“เซวียนเอ๋อร์ เจ้ายังลังเลอะไรอีก? สังหารขุนนางชั่วที่นำภัยมาสู่บ้านเมืองและราษฎรผู้นี้เสีย!”โอวหยางน่าหลันเร่งเร้า โจวหยางชิงก็เร่งเร้าเช่นกัน“ฝ่าบาท พระองค์รีบลงมือเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“แต่ว่า...” โอวหยางกว่างเซวียนทำหน้านิ่ว ดูลำบากใจมากยิ่งขึ้นเสด็จพ่อเคยบอกเขาว่าเขาต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่หญิงเขาเองก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านอาจารย์ด้วยแต่เพราะเหตุใดพี่หญิงถึงอยากฆ่าท่านอาจารย์ท่านอาจารย์ก็จะให้เขาฆ่าท่านอาจารย์ด้วยเขาไม่กลัวเจ็บเลยหรือไร?หลายวันมานี้ท่านอาจารย์เอาแต่พูดเรื่องความตายกับเขา ท่านอาจารย์บอกว่าตายแล้วก็จะไม่ได้พบคนผู้นั้นอีกตลอดกาลหากท่านอาจารย์ตายแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะไม่ได้พบท่านอาจารย์ตลอดไปไม่ใช่หรือ?เขาไม่อยากไม่ได้เจอท่านอาจารย์ตลอดไป“....ขะ ข้ากลัวดาบ!”ในขณะที่โอวหยางน่าหลันกับโจวหยางชิงเร่งเร้าครั้งแล้วครั้งเล่า โอวหยางกว่างเซวียนก็เค้นคำพูดนี้ออกมาด้วยความร้อนรน“เจ้าเป็นฮ่องเต้ ฆ่าคนไยต้องให้เจ้าลงมือเองด้วยเล่า หลีกังหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ก็อยู่ที่นี่ เจ้า
โอวหยางน่าหลันเข้าใจความหมายของเฉินฝานทันที“ทหาร จงลากตัวโจวหยางชิงออกไปประหารเสีย!”ทหารรักษาพระองค์ที่ได้ยินคำสั่งก็เข้ามาในท้องพระโรง แต่ยังไม่ทันได้แตะต้องโจวหยางชิง โจวหยางชิงก็ตะโกนเสียงดังลั่น“ใครกล้าแตะต้องข้า!”“ข้าเป็นมหาราชครูของฮ่องเต้ มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ประหารข้าได้!”ในกฎหมายของแคว้นหลู่มีกฎข้อนี้จริง ๆมหาราชครูส่วนใหญ่ล้วนเริ่มติดตามฮ่องเต้ตั้งแต่ตอนที่พระองค์ไม่กี่ชันษา อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานาน เป็นทั้งอาจารย์และบิดา ฮ่องเต้จึงค่อนข้างมีความผูกพันลึกซึ้งกับมหาราชครู ฮ่องเต้องค์ที่สองของแคว้นหลู่ เดิมทีพระองค์มีพรสวรรค์ในระดับทั่วไป แต่เป็นเพราะมีมหาราชครูที่โดดเด่นอยู่ข้างกาย พระองค์จึงปกครองแคว้นหลู่ได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้การช่วยเหลือของมหาราชครูผู้นั้นทางด้านการทหาร เศรษฐกิจและวัฒนธรรมล้วนเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้แคว้นหลู่ที่ยังเล็กและอ่อนแอมากในตอนนั้นมั่งคั่งแข็งแกร่งขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้องค์ที่สองของแคว้นหลู่จึงประกาศว่ามีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถตัดสินโทษตามกฎหมายกับมหาราชครูได้ เพราะว่ากฎหมายข้อนี้เอง โจวหยางชิงถึงได้กล้ายุยงเหมีย
“ตึง!”เสียงดังทุ้มมาจากในท้องพระโรง เหมียวเหลียงจื้อคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง หันหน้าไปทางเฉินฝาน“ท่านอัครเสนาบดี ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยไม่ควรหลงเชื่อคำพูดปรักปรำ!”ใบหน้าของเหมียวเหลียงจื้อเต็มไปด้วยความเสียใจ สำนึกแค้นใจตัวเองว่าเพราะเหตุใดถึงไม่เชื่อฟังคำสั่งเสียของบิดาก่อนที่เหมียวปิงจะสิ้นใจได้ดึงมือของเขาไว้แล้วกำชับเขาสองเรื่องเรื่องแรกก็คือสนับสนุนโอวหยางน่าหลัน หากโอวหยางน่าหลันต้องการแต่งงานกับเฉินฝาน ให้เขาเป็นอัครเสนาบดีของแคว้นหลู่ ห้ามคัดค้าน อีกทั้งยังต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง หากเฉินฝานยอมตกลงเป็นอัครเสนาบดีของแคว้นหลู่ นั่นคือโชคอันใหญ่หลวงของแคว้นหลู่เรื่องที่สองก็คือให้เขาอยู่ให้ห่างจากโจวหยางชิงสองเรื่องที่เหมียวปิงกำชับ เขาทำทั้งหมด เพียงแต่ว่าทำตรงกันข้ามเท่านั้นโจวหยางชิงบอกกับเขาว่าเฉินฝานเป็นคนแคว้นต้าชิ่ง ไม่มีทางทุ่มเทใจทั้งหมดให้แคว้นหลู่ เขาจะต้องคิดหาวิธีปอกลอกแคว้นหลู่เพื่อไปช่วยเหลือต้าชิ่งอย่างแน่นอนแรกเริ่ม เหมียวเหลียงจื้อไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของโจวหยางชิง บอกว่าตอนที่บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่เคยบอกว่าเฉินฝานจะไม่ทำร้าย
“องค์หญิง!”เลขาธิการกรมพิธีการเซี่ยซวินชางชูหยกสมปรารถนาขึ้นพลางเดินออกมาจากในหมู่ขุนนางที่เรียงราย ก่อนจะยืนอยู่กลางท้องพระโรง “ฎีกาของแม่ทัพอวิ๋นจะต้องเขียนเรื่องที่เอื้อประโยชน์ต่อแคว้นหลู่ของเราอย่างแน่นอน องค์หญิง โปรดทรงอ่านเสียงดังออกมาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็อยากสัมผัสความปีติยินดีนั้นด้วย!”ยามที่เซี่ยซวินชางเอ่ยคำพูดนี้ ร่างกายก็สั่นเล็กน้อย หากพิจารณาคำพูดนี้ของเขาให้ลึกลงไป มันก็คือการที่ขุนนางร้องขอให้ฮ่องเต้ทำตาม นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้หัวหลุดจากบ่าได้เลยแต่เขามีจุดอ่อนสำคัญที่ถูกโจวหยางชิงกุมไว้ในมือ ตอนที่พวกขุนนางกลับมายังท้องพระโรง โจวหยางชิงกับเมี่ยวเหลียงจื้อก็ถูกคุมตัวกลับมาที่ท้องพระโรงด้วย ขณะที่โอวหยางน่าหลันกำลังอ่านฎีกาของอวิ๋นเต๋อ โจวหยางชิงส่งสายตาเป็นนัยให้เซี่ยซวินชาง ทำให้เซี่ยซวินชางจำต้องออกมาถาม โอวหยางน่าหลันช้อนเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย สายตาเย็นชาทิ่มแทงไปบนร่างของเซี่ยซวินชางเซี่ยซวินชางตัวสั่นแรงมากขึ้น“มีอันใดต้องห้าม!” โอวหยางน่าหลันโบกมือทีหนึ่ง “อ่านออกเสียง!”หัวหน้าขันทีที่อยู่ไม่ไกลจากโอวหยางน่าหลันวิ่งเหยาะ ๆ เข้าม
เมื่อคนเหล่านั้นคุกเข่าลง พวกเขาก็คุกเข่าตามเช่นกัน พวกเขายังนึกว่าเหมียวเหลียงจื้อเปลี่ยนวิธีการแล้ว“คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่มากับพวกเจ้าหรือ?” เหมียวเหลียงจื้อกระวนกระวายใจขึ้นเรื่อย ๆ คนผู้นั้นส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ขอรับ!” เหมียวเหลียงจื้อยิ่งร้อนรน “เช่นนั้นพวกเขามาจากที่ใด?”คนผู้นั้นส่ายศีรษะอีกครั้ง“ส่ายหัว ส่ายหัว นอกจากส่ายหัวแล้ว เจ้ายังทำอะไรเป็นอีกบ้าง?”ใบหน้าของเหมียวเหลียงจื้อเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขาแทบอยากจะฉีกคนทิ้ง ทว่าตอนนี้ผู้คนจ้องมองอยู่ เขาไม่กล้าระเบิดโทสะออกมาตรง ๆ “ท่านเทพเซียน ท่านเทพเซียน!”หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม เสียงคุกเข่ากราบไหว้ขอบคุณของชาวบ้านไม่เพียงไม่ลดลง ตรงกันข้ามกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ“ไม่ใช่เทพเซียนอันใด ข้าเป็นคนธรรมดามีเลือดมีเนื้อเช่นเดียวกับพวกท่าน รีบลุกขึ้นเถิด รีบลุกขึ้นเถิด!” ขณะที่เฉินฝานเอ่ย เขายังโน้มตัวไปพวกประคองพวกชาวบ้านที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นไม่ยอมเชื่อฟังเลย พอถูกประคองให้ลุกขึ้นก็รีบคุกเข่าลงมาอีกครั้งเฉินฝานบอกว่าครรภ์ขององค์หญิงใหญ่แล้ว ร่างกายไม่สะดวก เขาต้องประคององค์หญิงกลับไปก่อน
ฝูงชนที่เนืองแน่นเบื้องหน้าเฉินฝานต่างคุกเข่าลงบนพื้นกันหมด“อวิ๋นเต๋อสั่งให้ยิงธนูแล้วหรือ?” โอวหยางน่าหลันหันหน้าไปถามนางกำนัลข้างกาย “องค์หญิง แม่ทัพอวิ๋นเต๋อไม่ได้ออกคำสั่งให้ยิงธนูเพคะ หลังจากที่คนพวกนั้นพุ่งไปหาท่านอัครเสนาบดีเมื่อครู่นี้ จู่ ๆ ก็พากันคุกเข่าลงเพคะ” นางกำนัลตอบกลับทันที“ไม่ได้ยิงธนู คนพวกนั้นก็คุกเข่าเอง?”โอวหยางน่าหลันทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อโอวหยางน่าหลันเบิกตาโต มองอยู่หลายนาทีเต็ม ๆ ถึงค่อยกล้าเชื่อคำพูดของนางกำนัลแต่นางไม่เข้าใจ คนเหล่านี้บุกประตูวังโดยไม่คำนึงว่าต้องแลกด้วยอะไร บุกเข้ามาในวังโดยที่ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากนั้นกลับไม่ได้มาหาเรื่องเฉินฝาน แต่มาคุกเข่าแทน หรือว่าคนพวกนี้จะเปลี่ยนแผนการ ไม่กล่าวประณาม แต่มาขอร้องอ้อนวอนแทน?ขอให้เฉินฟานสละตำแหน่งอัครเสนาบดีหรือ?โอวหยางน่าหลันพลันอารมณ์ดิ่งลงอย่างถึงที่สุดนางรู้จักเฉินฝานดี เฉินฝานเป็นคนใจดีมีเมตตา รักและใส่ใจชาวประชา หากผู้คนต่อต้านเขาอย่างรุนแรง เขาไม่เพียงจะไม่ยอมทำตาม แต่ยังจะจับตัวผู้บงการออกมาด้วยแต่ถ้าคุกเข่าอ้อนวอน มีความเป็นไปได้สูงว่าเฉินฝานจะใจอ่อน สละตำแห
โจวหยางชิงลอบชูนิ้วโป้งให้เหมียวเหลียงจื้อ “ใต้เท้าเหมียว ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ จัดการเรื่องนี้ได้สวยจริง ๆ”เหมียวเหลียงจื้อพยักหน้าเล็กน้อย “ขอบคุณใต้เท้าที่ชื่นชม นี่ไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เป็นความโกรธแค้นของราษฎรเท่านั้น” เหมียวเหลียงจื้อปีติยินดี ขณะเดียวกันก็รู้สึกพิศวงด้วยเนื่องจากคนของเขาบอกเขาว่า ได้จัดเตรียมประชาชนราวห้าหมื่นคนให้มาประท้วง แต่ตอนนี้ดูน่าจะมากกว่าห้าหมื่นแล้ว ฝูงชนเนื่องแน่นสุดลูกหูลูกตา อย่างน้อยก็มีสองสามแสนคน“เขานี่แหละ!” มีคนด้านนอกวังชี้มาที่เฉินฝาน“เขาก็คือเฉินฝาน”เสียงของคนผู้นั้นยังไม่ทันสิ้นสุดลง ชาวบ้านที่อัดแน่นตรงหน้าประตูพระราชวังก็พุ่งมาหาเฉินฝานราวกับน้ำทะเลที่โหมกระหน่ำ“คุ้มกันใต้เท้า คุ้มกันใต้เท้า!”อวิ๋นเต๋อที่เป็นห่วงความปลอดภัยของเฉินฝาน ตะโกนเสียงดังพลางวิ่งมาหาเฉินฝานทหารรักษาพระองค์กว่าพันนายล้อมรอบเฉินฝานไว้ คุ้มกันด้านในสามชั้น ด้านนอกสามชั้นภายนอกเป็นราษฎร ภายในเป็นทหารรักษาพระองค์ ทางเข้าพระราชวังที่เดิมทีกว้างขวางมากเปลี่ยนเป็นแออัดในพริบตา แม้ว่ามีทหารรักษาพระองค์กว่าพันนาย แต่ราษฎรด้านนอกมีมากเกินไปจริง
เมื่อเฉินฝานออกคำสั่ง เหมียวเหลียงจื้อกับโจวหยางชิงก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาพอดีเหล่าขุนนางที่ตามหลังพวกเฉินฝานต่างก้มหน้าพูดคุยแสดงความเห็นกันเบา ๆ “เปิดประตูเมืองโดยตรง เขากล้าดีอย่างไร ไม่กลัวชาวบ้านด้านนอกจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาหรือไร?”“ท่านอัครเสนาบดีมีความมั่นใจกระมัง”“มั่นใจเกินไปก็จะเป็นความทะนงตน”“ข้าเองก็คิดว่าเขาทระนงตนแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่พวกราษฎรอารมณ์อ่อนไหวถึงเพียงนั้น ขึ้นไปที่หอด้านบนประตูเมืองคงจะดีกว่า” “เอาไว้รอให้เปิดประตูแล้ว พวกเรายืนห่าง ๆ เสียหน่อยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย” “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง”เมื่อฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาขุนนางโดยรอบ นัยน์ตาโจวหยางชิงก็ฉายแววทะมึน เขาหันหน้าไปถามเหมียวเหลียงจื้อเสียงต่ำว่า “เตรียมการเสร็จหมดแล้วหรือยัง?”เหมียวเหลียงจื้อพยักหน้า “เตรียมการเสร็จหมดแล้ว ส่วนมากผู้ที่มาล้วนเป็นช่างตีเหล็กและกรรมกรป่าไม้”“อืม” โจวหยางชิงพยักหน้า สายตาของเขาทอดมองไปที่เฉินฝานอีกครั้ง แววตาดูโหดเหี้ยมชั่วร้ายเฉินฝาน เจ้าอย่าโทษที่ข้าอำมหิตเลย หากจะโทษก็ได้แต่โทษที่เจ้าละโมบมากเกินไป อภิเษกกับองค์หญิงยังไม่พ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหตุใดจึงกระวนกระวายเช่นนี้?”เมื่อเห็นคนคนนั้น อวิ๋นเต๋อรีบเดินไปถามทันที คนที่มาคือหัวหน้าทหารเวรรักษาพระองค์ในวันนี้“ผู้นำอวิ๋น จู่ๆ นอกวังหลวงก็มีชาวบ้านมากมายมา พวกเขาต้องการเข้าพบท่านอัครเสนาบดีขอรับ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น โอวหยางน่าหลันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรโมโหเล็กน้อย “เรื่องเล็กแค่นี้ กลับกระวนกระวายขั้นนี้ อวิ๋นเต๋อ เอาตัวเขาออกไป!”เมื่อครั้นโอวหยางน่าหลันเพิ่งครอบครองอำนาจ มักจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นโอวหยางน่าหลันจึงเคยชินแล้ว สำหรับนางนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ“องค์หญิง!”หัวหน้าทหารเวรคุกเข่าลง สีหน้าลำบากใจ“ครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่ากระหม่อมจะใช้วิธีการใด พวกชาวบ้านก็ไม่ยอมไป ยิ่งไล่พวกเขาก็ยิ่งบุกเข้ามา กล่าวว่าแม้พวกเขาต้องตาย พวกเขาก็ต้องขอพบท่านอัครเสนาบดีให้ได้!”โอวหยางน่าหลันโบกมือด้วยความรำคาญ “เช่นนั้นก็ไล่ด้วยวิธีที่รุนแรงขึ้นอีก หากมีคนตาย เช่นนั้นก็ส่งอาหารสำหรับสามปีไปให้ครอบครัวเขา เจ้าไปจัดการด้วยตนเอง!”นี่คือวิธีการที่โอวหยางน่าหลันใช้เป็นประจำ เมื่อก่อนให้เงิน ตอนนี้ข้าวสารล้ำค่ากว่าเงิน เช