“ท่านแม่ ท่านรอข้าที่นี่ ข้าไปหาฟืน”สีหน้าของจางเซิงเปลี่ยนจากเชื่อฟังในตอนแรก เป็นเคร่งขรึมเดิมทีนางจางยังอยากจะพูด ทว่าตกใจกับสีหน้าของลูกชาย อดีตนายท่านของนาง ยามจริงจังก็มีสีหน้าเช่นนี้“เซิงเอ๋อร์...” นางจางน้ำตาคลอ“เฮ้อ!” เซียนเจี้ยนหวงที่เงียบมาโดยตลอดพูด “ช่างเรื่องมากจริงๆ ถึงอย่างไรเพิ่มพวกเจ้าสองคนขึ้นมาก็ไม่มากเท่าใด ติดตามพวกข้าก็แล้วกัน”“เจ้าดูเขาเล่า สภาพอ่อนแอเช่นนี้ ออกไปหาฟืน ไม่รู้ว่ากลับมาได้หรือไม่ ถึงเวลาไม่อาจกลับมา ก็จะมีคนร้องไห้อีก ข้ารำคาญเวลามีคนร้องไห้ที่สุด”อาจจะเป็นเพราะกลัวเฉินฝานไม่เห็นด้วย เซียนเจี้วนหวงจึงพูดเสริมด้วยประโยคร่ายยาว“ในเมื่อเป็นข้อเสนอของเซียนเจี้ยนหวง นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี!” เฉินฝานยิ้มบางๆ แล้วพูดความเป็นจริง ตั้งแต่เขาให้ฉินเย่ว์เจียวไปหามนางจางกลับมา เฉินฝานก็มีเจตนาเช่นนี้อากาศหนาวเย็น อยู่ข้างนอกไม่มีสิ่งใดปกคลุม สองแม่ลูกคู่นี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวันขณะที่จางเซิงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น แม่นางดึงตัวเขาคุกเข่าตรงหน้าเฉินฝาน“ขอบคุณ ขอบคุณคุณชาย คุณชาย ท่านคือผู้มีพระคุณของพวกเราแม่ลูก!”ลางสังหรณ์ของสตรีบอกกับน
จางเซิงปรายตามองอาหารที่พวกเขาได้รับการแบ่งมาข้าวสาร บะหมี่ ผักกาดขาว ผักกาดดองและเนื้อ ทว่าไม่ใช่เนื้อหมู แต่เป็นเนื้อเป็ดไก่ซึ่งไม่ค่อยนิยมรับประทานอาหารเหล่านี้ ล้วนต้องปรุงสุกก่อนจึงจะกินได้แม้กระทั่งผักกาดดองก็ต้องปรุงสุกก่อน เพราะนำผักกาดดองออกมาจากห้องใต้ดินระยะหนึ่งแล้ว ผักกาดดองเกาะตัวเป็นน้ำแข็งแล้วไม่มีหม้อ มีเพียงอาหารก็ไร้ประโยชน์“ข้าก็ว่า เหตุใดวันนี้เขาจึงใจดี ถึงได้แบ่งอาหารมาให้พวกเรา แท้จริงแล้วเขาก็ยังโหดเหี้ยมเหมือนเดิม” นางจางพูดด้วยความโมโห“เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ?” ฉินเย่ว์เจียวถามเย่ว์หนูเย่ว์หนูพยักหน้า “กล่าวโดยสรุปก็คือทุกสิ่งที่นำมาทำอาหารได้ เขายึดเอาไว้หมดเจ้าค่ะ”“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” ฉินเย่ว์เจียวกัดฟันแน่น มองค้อนไปยังห้องที่เหลยหย่งอันอยู่ “ในเมื่อพวกเขาไร้คุณธรรม เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องมีจริยธรรม พวกเราไปกันเถอะ!”ฉินเย่ว์เจียวคว้าระเบิดมือ ร้องเรียกเย่ว์หนู แล้วเดินออกไป“กลับมา!”เฉินฝานที่เงียบมาโดยตลอดร้องปราม“นายท่าน พวกเขายึดหม้อและกระทะทั้งหมดเอาไว้ ข้าเพียงไปขอก็เท่านั้น” เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่ว์เจียวไม่เชื่อฟังคำพูดของเฉิ
“ข้าเดาว่าหนึ่งวัน!”“หนึ่งวัน เยอะเกินไปแล้วกระมัง ข้าว่ามากสุดก็ครึ่งวัน”“ครึ่งวันก็มากไป ข้าว่าไม่เกินสองชั่วยาม”ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูโมโหจนแทบอยากฉีกปากคนพวกนั้นเมื่อโมโห ฉินเย่ว์เจียวก็ยิ่งรู้สึกหิวเสียงท้องร้องของนางดังไปถึงหูของเฉินฝาน“นายท่าน ข้าเพียงท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ได้หิวเจ้าค่ะ!” กลัวเฉินฝานกังวล ฉินเย่ว์เจียวรีบอธิบาย“ข้าไม่ได้โง่เขลา เจ้าหิวหรือว่าท้องไส้ปั่นป่วน? ข้าแยกได้อย่างชัดเจน” เฉินฝานวางมือของตนทับมือของฉินเย่ว์เจียว “พยุงข้าลุกขึ้น!”“เจ้าค่ะ!”ฉินเย่ว์เจียวที่เพิ่งย่อตัวลง ชะงักทันที “นายท่าน พยุงท่านขึ้น ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ?”“แน่นอนว่าแก้ปัญหาเรื่องอาหารการกิน พวกเราไม่ใช่เทพเซียน หากไม่กินข้าวจะหิวตาย”“เฮ้อ! พยุงข้าลุกขึ้นสิ ทำไมนึกเสียใจทีหลังเช่นนั้นหรือ?”ยิ่งเฉินฝานพูดเช่นนี้ ฉินเย่ว์เจียวยิ่งถอยหลังไปเร็วขึ้น “นายท่าน ข้าไม่ต้องการให้ท่านไปขอร้องเหลยหย่งอันอะไรนั่น”หากเฉินฝานไปขอร้องเหลยหย่งอัน นางจึงจะมีข้าวกิน เช่นนั้นนางยอมหิวตายสามีของตาย ไม่มีทางคุกเข่าขอร้องใครพี่สาวคนโตผู้ส่งศักดิ์ของนาง เวลานี้เป็นถึงฮ่องเต้ต้าชิ่ง ย
“ภายใต้สายตามากมาย เหลยหย่งอันล้มลงเมื่อครู่เฉินฝานอยากเลื่อนเท้าหนี ดังนั้น...ปากของเหลยหย่งอัน โดนฝ่าเท้าของเฉินฝานพอดี“...”ทุกคนในเหตุการณ์เงียบไปนานกว่าสิบวินาที“คุณชาย คุณชาย!”เสียงร้องไห้โอดครวญดังขึ้น สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวายในทันที“ไสหัวไป ไสหัวไป!”เหลยหย่งอันที่อับอายและโมโห ผลักบ่าวรับใช้ ร้องตะโกนเสียงดัง “มีด มีด!”บ่าวรับใช้คนหนึ่งแทบจะกลิ้งเข้าไปในห้อง จากนั้นก็แทบจะกลิ้งออกมาตอนออกมา มือของเขามีมีดหั่นผักหนึ่งเล่มติดมาด้วยเหลยหย่งอันยิ่งมือไปคว้าไว้ในทันที“...อ๊าก!”เสียงหมูถูกเชือดดังขึ้นอีกครั้ง เหลยหย่งอันชี้เท้าข้างขวาของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวดไม่เอนไม่เอียงแม้แต่น้อย ปลายมีด ทิ่มเท้าของเหลยหย่งอันอย่างพอดิบพอดีมือขวาของเหลยหย่งอัน ตอนที่เขาคิดอยากจะล่วงเกินเมี่ยวอวี่ ถูกนักฆ่าหญิงหักเส้นเอ็นที่มือไปแล้วเขาลืมตัวไปชั่วขณะ ใช้มือขวาไปคว้ามีด สุดท้ายจึงกลายเป็นเช่นนี้“ฮ่าๆๆ บาปกรรมตามสนอง บาปกรรมตามสนองจริงๆ สัตว์เดรัจฉานเหลยหย่งอัน เจ้าเองก็มีวันนี้!” นางจางหัวเราะเสียงดังท่ามกลางผู้รอดชีวิต มีคนแอบหัวเราะเช่นเดียวกันพวกเขาหลายคนต่างเคยถู
“ดวงตากลมโตเหนือผ้าคลุมหน้า ฉายความตกตะลึง ทว่ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หลังจากขนตางอนยาวสั่นเล็กน้อย เมี่ยวอวี่พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ“ข้าเคยให้ท่าน ท่านไม่รับไว้ เช่นนั้นเราก็ไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน”พูดจบ เมี่ยวอวี่หันหลังเดินจากไป โดยไร้ซึ่งความลังเลท่ามกลางหิมะ เมี่ยวอวี่ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดง งามสะพรั่ง ช่างงดงามจริงๆเฉินฝานอดไม่ได้ที่จะอุทานความงามของเมี่ยวอวี่ เป็นความงามเอกลักษณ์มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าแม้ต้องทิ้งชีวิต ก็จะสังหารเขา เสิ่นหมิงหยวนคือคนที่อยู่เบื้องหลังนางหรือไม่หากว่า...สีหน้าของเฉินฝานหม่นหมอง ดวงตาลุ่มลึกเปี่ยมไปด้วยไอสังหารหากเสิ่นหมิงหยวนคือคนที่อยู่เบื้องหลังเมี่ยวอวี่ เช่นนั้นจี้หยกในมือเมี่ยวอวี่ เสิ่นหมิงหยวนต้องเป็นคนให้มาแน่นอนไม่ว่าจะเป็นผู้ใด จับตัวภรรยาของเขาจุดจบคือความตายเท่านั้นอีกทั้งตายไม่ครบสามสิบสองประการ“นายท่าน นายท่าน”ฉินเย่ว์เจียวร้องเรียกเฉินฝานสองครั้งติดต่อกัน กว่าเฉินฝานจะดึงสติกลับมา“นายท่าน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ?”“ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ” เฉินฝานดึงตัวฉินเย่ว์เจียว แต่กลับพบว่านางยืนนิ่ง
“นายท่าน...”ฉินเย่ว์เจียวมองเฉินฝานด้วยความปวดใจ “ข้าไปขอร้องเมี่ยวอวี่ดีกว่าเจ้าค่ะ”อาการสติฟั่นเฟือนของนายท่านคล้ายจะไม่ธรรมดา ต้องรีบกลับไป ทำอาหารให้นายท่านกิน“เย่ว์เจียว!” สีหน้าของเฉินฝานฉายความไม่สบอารมณ์ “เจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังล้อเล่นเช่นนั้นหรือ? รีบตัดหนึ่งต้นแล้วกลับไปกับข้า!”“นายท่าน ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์เจียวทำตามทันที นางยังคงไม่เชื่อว่าต้นไผ่สามารถทำเป็นกระทำได้ นางครุ่นคิดในใจ รีบพาเฉินฝานกลับไป ให้เซียนเจี้ยนหวงดูอาการเฉินฝานเพียงมองเงียบๆ ฉินเย่ว์เจียวคิดสิ่งใด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรพูดพล่ามไปก็ไร้ประโยชน์ กลับไปทำให้นางเห็น นางก็จะเข้าใจเองเวลาเพียงไม่นาน ฉินเย่ว์เจียวก็ตัดต้นไผ่เสร็จ“พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ ข้าจะทำข้าวหลามให้เจ้าค่ะ!”เพียงนึกถึงกลิ่นหอมของข้าวหลาม เฉินฝานก็รู้สึกท้องกำลังร้องจ๊อกจ๊อก เขาเดินเร็วขึ้นโดยไม่อาจควบคุมบางครั้งความโชคดีของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันระหว่างทางกลับไป เฉินฝานบังเอิญเตะโดนก้อนหินแเกรนิตขนาดใหญ่ ประมาณสามสิบเซนติเมตรและค่อนข้างบางน่าจะตกลงมาตอนภูเขาหิมะถล่ม“เฮ้อ!” เฉินฝานเก็
“ตอนนี้ใครพูดก็คือคนนั้นแหละ” เฉินฝานพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ“ช่างเถอะๆ!”สหายของสุนัขบ้าปรามเขา “เหตุใดต้องถือสาคนโง่ด้วย? พวกเราคอยดูมันขายหน้าไม่ดีหรือ?”สุนัขบ้าคนนั้นมองเซียนเจี้ยนหวงที่นั่งพักผ่อนสายตาใต้หลังคาซึ่งห่างจากพวกเขาประมาณหนึ่ง สุดท้ายไม่กล้าไปหาเรื่องเฉินฝาน“อย่าให้ข้าเจอเจ้าตามลำพัง มิเช่นนั้นข้าจะตบให้ฟันร่วงหมดปาก!”“หึ!”ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้า คนโง่ที่น่าสงสารอีกคนหนึ่งแล้วเพราะภาพลักษณ์ของเฉินฝานดูเรียบร้อย ดังนั้นเรื่องประมาณนี้ จึงไม่เคยเกิดขึ้นลอบไปหาเฉินฝานตามลำพังสุดท้ายล้วนพิการ พิการก็ไม่กล้าพูด เพราะถูกปัญญาชนอ่อนแอคนหนึ่ง ทำร้ายจนพิการ นั่นเป็นเรื่องที่ขายหน้ายิ่งนัก“ได้ ข้ารอเจ้า”ไม่ได้ขยับเขยื้อนมือและเท้ามานานแล้ว รอให้แผลที่คอหายดี ต้องขยับเขยื้อนบ้างแล้ว“ว้าว! เขาท้าทายเจ้า”สหายของสุนัขบ้าร้องตะโกน ต่างกระชุ่มกระชวยขึ้นมา“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ ถึงเวลาอย่าฉี่รดกางเกงล่ะ!” สุนัขบ้าพูดเสียงเหี้ยมเฉินฝานไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเวลานี้เย่ว์หนูเริ่มยกก้อนหินเข้ามาในกระท่อมหิมะแล้วกำลังหิว ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องมาเสียเวลากับ
“เสียงกร๊อบแกร๊บดังขึ้น น้ำมันบนหนังไก่ละลายออกมาชั่วขณะหนึ่ง กลิ่นหอมไปทั่วทั้งกระท่อมคนที่รอให้ก้อนหินแตกมาโดยตลอด สิ่งที่พวกเขาได้พบเจอกลับเป็นกลิ่นหอมของน้ำมันไก่แม้เมื่อครู่พวกเขาจะกินข้าวแล้ว ทว่าเป็นเพียงผักกอดดองต้มผสมข้าวเท่านั้น กลิ่นหอมนั้นจะเทียบกับน้ำมันไก่ได้อย่างไร“หื้ม~”หลานคนสูดจมูกอย่างไม่อาจควบคุมตน แม้กระทั่งพวกสุนัขรับใช้ที่หัวเราะเยาะเฉินฝานมาโดยตลอด ก็เงียบปากหลังจากหนังไก่มีน้ำมันละลายออกมา เฉินฝานนำเนื้อไก่ที่หั่นเป็นชิ้นบางๆ โยนลงบนหินหลังจากผัดจนเกือบสุก เฉินฝานหยิบกล่องหนึ่งออกมาภายในกล่อง มีเครื่องปรุงจำพวกเกลือ ยี่หราและงาเป็นต้นนี่คือเครื่องปรุงที่เฉินฝานใช้เป็นประจำในยุคปัจจุบันหลังออกจากกรม เฉินฝานเป็นทหารรับจ้างอยู่ระยะหนึ่งเพราะไม่คุ้นเคยกับอาหารการกิน ดังนั้นเฉินฝานจึงเคยชินที่จะพกกล่องเล็กๆ ซึ่งเก็บพวกเครื่องปรุงห้าหกอย่างติดกระเป๋าตอนโรยเครื่องปรุงลงไปบนไก่ เฉินฝานอดไม่ได้ที่จะเสียดายเสียดายที่ยุคสมัยนี้ไม่มีพริก หากโรยพริกผงลงไป รสชาติของไก่จะอร่อยมากทางด้านเฉินฝานที่กำลังเสียดายว่ารสชาติไม่กลมกล่อมพออีกด้านหนึ่ง บรรด
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ