“อันที่จริงนำข้าวแช่ในน้ำสักครึ่งชั่วยาม จากนั้นวางบนหินก็ทำให้สุกได้เช่นกัน ใส่เข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ ถ้าปิ้งจนไหม้คงเสียดายแย่”มองกระบอกไม้ไผ่ที่ไหม้เกรียม นางจางแสดงสีหน้าเสียดายอีกคนเฉินฝานไม่พูดอะไร เพียงยื่นมีดให้นางจางเล่มหนึ่ง“นายท่าน ท่านอย่าโกรธเลย ท่านแม่ข้าเพียงแค่เสียดายอาหาร” นึกว่าเฉินฝานโกรธ จางเซิงจึงรีบขยับตัวมารดาไปไว้ข้างหลัง“ข้าไม่ได้โกรธ ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามการกินทิ้งกินขว้างเป็นเรื่องน่าละอายเสมอ!” เฉินฝานขยับมีดสั้นในมือ “เอามีดให้แม่ของเจ้า ให้นางตัดกระบอกไม้ไผ่ออก แล้วจะรู้เองว่าเป็นอย่างไร”นางจางสับกระบอกไม้ไผ่ขณะที่ยังสงสัยครั้นกระบอกไม้ไผ่เปิดออก…“หอมจัง เหมือนกลิ่นหอมของข้าว”“เหมือนจริงด้วย ข้าไม่เคยสัมผัสกลิ่นหอมของข้าวเช่นนี้มาก่อน ในกลิ่นหอมกรุ่น ยังมีกลิ่นหวานสดชื่นแฝงอยู่ ใครกำลังทำอาหารหรือ? ใช่พวกแม่นางเมี่ยวอวี่หรือไม่?”“แม่นางเมี่ยวอวี่อะไรกัน กลิ่นหอมข้าวนี่ลอยมาจากฝั่งเฉินฝานต่างหาก”หลายคนเช็ดตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถึงเชื่อว่าข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ไม่เพียงแต่ไม่มีรอยไหม้เกรียม แต่ยังเป็นสีขาวเต็มเม็ดและส่งกลิ่นหอมฟุ้ง“ผีหลอกแล้ว กระ
“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ท่านเป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่กลับทำอาหารเป็นด้วย ที่สำคัญนะ…”จางเซิงเหลือบมองมารดาที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นพูดเสียงเบาและเร็วมาก “ทำอร่อยกว่าท่านแม่ของข้าอีก”“เจ้าเด็กคนนี้!” นางจางหยิกหูจางเซิงพร้อมกล่าวเสียงดุ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? วันหลังข้าไม่ทำอะไรให้เจ้ากินแล้ว!”“แม่ เจ็บ ท่านเบาหน่อยเบาหน่อย ลูกผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วขอรับ!”เฉินฝานมองดูข้าง ๆ และยิ้มแย้มในปัจจุบัน มารดาของเขาชอบหยิกหูเขาแบบนี้เช่นกันไม่มีมารดาคนใดตีลูกด้วยความตั้งใจ จางเซิงร้องเจ็บ นางจางก็ปล่อยมือทันทีครั้นเห็นเฉินฝานมองพวกเขา นางจางพลางทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “เวลากินไม่พูด เวลานอนไม่พูด ขออภัยที่ทำให้ท่านเห็นเรื่องน่าขันเช่นนี้ อาหารที่นายท่านทำอร่อยกว่าที่ข้าน้อยทำจริง ๆ ”เฉินฝานส่ายศีรษะ ยิ้มแย้มกล่าว “ท่านป้าถ่อมตัวเกินไป ข้าจะทำอร่อยกว่าที่เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”“ข้าน้อยไม่ได้ถ่อมตัว!” นางจางแสดงสีหน้าพูดตามจริง “กับข้าวที่นายท่านนั้นดีจริง วันหลังข้าน้อยสามารถมาเรียนรู้ด้วยได้หรือไม่?”“เรียนจากข้า? ได้สิ!”“ดีทีเดียว จากนี้ไปข้าจะได้กินของอร่อยที่เหมือนกับนายท่านทำแล้ว”“พูดมากอะไร
“โอ๊ย เจ็บ โอ๊ย!”หญิงสาวเจ็บจนร้องเสียงดัง ภายใต้ถูกกระชากลากถูอย่างบุ่มบ่าม บุตรสาวในอ้อมอกของนางถูกผู้ชายกลุ่มนั้นกระชากและโยนลงพื้นอีกคนเด็กเล็กคนนั้นท่าทางสองสามขวบ ยังอยู่ในวัยหัดพูด ครั้นถูกสะบัดลงถึงพื้น นางพลางร้องไห้ลั่น มือและเท้าเล็กๆ เงอะงะพยายามคลานไปหามารดา ในปากยังเปล่งเสียงอ้ำอึ้งที่ฟังไม่ชัด“แม่ แม่ แม่…”“ลูกถวน ลูกถวน!”หญิงสาวผู้ถูกกระชากผมด้วยความรุนแรง ต่อต้านสุดกำลังโดยไม่สนใจความเจ็บปวด อยากกลับไปอุ้มบุตรสาวตนเองกลับมาแต่ได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ยิ่งนางออกแรงมากเท่าไหร่ หมารับใช้ของเหลยหย่งอันพวกนั้น ก็ยิ่งกระชากผมนางแรงมากขึ้น หญิงสาวรู้สึกเจ็บและร้องอย่างทรมาน“แม่ แม่…”เด็กผู้หญิงคลานมาหาจนถึงข้างกายมารดา มือน้อย ๆ ทุบตีผู้ชายพวกนั้นอย่างสุดชีวิต“ชั่ว ชั่ว!”เมื่อเห็นว่าการตีไม่เกิดผลใด เด็กผู้หญิงจึงอ้าปากน้อย ๆ แล้วกัดผู้ชายที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุด“อ๊าก!”คนนั้นรับรู้ถึงความเจ็บจึงร้องออกมาลั่น “เด็กผีไม่รู้จักความเป็นความตาย!”ขณะที่พูด เขายกเด็กผู้หญิงขึ้นสูงและโยนออกไปข้างนอกอย่างโหดเหี้ยม“ลูกถวน!”เสียงร้องแหลมของหญิงสาวดังสนั่นกลา
เพียงชั่วขณะ นางล้มพวกเขาได้ถึงสองคนสองหมัดตามด้วยหมุนตัวเตะกลับตุบตับสองเสียง อีกสองคนตอบสนองด้วยเสียงทรมานและล้มลงไปเหลยหย่งอันมีหมารับใช้ทั้งหมดห้าคน ฉินเย่ว์เจียวใช้สองหมัดกับสองเตะ เพียงครู่เดียวจัดการแล้วถึงสี่คนบนพื้นหิมะขาว เลือดสด ฟัน สะดุดตามากเป็นพิเศษ“โอ้ย โอ้ย”หมารับใช้สี่คนที่ถูกฉินเย่ว์เจียวฟาดล้มไปกับพื้น เจ็บปวดและเกลือกกลิ้งไปมาส่วนคนที่ไม่ถูกจัดการ มองมาที่ฉินเย่ว์เจียวอย่างหวาดกลัว เขาก้าวถอยหลังไม่หยุด ในไม่ช้าเขาก็ชนเข้ากับร่างกายเจ้านายตนเองเหลยหย่งอัน“ถอยอะไรเล่า!” เหลยหย่งอันแสดงหน้าหงุดหงิด “ผู้หญิงเพียงคนเดียว เจ้าจะกลัวอะไร เมื่อครู่นี้พวกมันไม่ได้เตรียมตัวก่อน ในมือเจ้ามีมีด เข้าไปฟัน ฟันนางนั่นให้ตายซะ!”คำพูดของเหลยหย่งอัน ทำให้คนใช้ได้สติกลับคืนมาเขาเริ่มคิดในใจเช่นเดียวกันว่าเมื่อครู่นี้ไม่ทันเตรียมตัว จึงถูกฉินเย่ว์เจียวโจมตีอย่างรับมือไม่ทันผู้นั้นกำมีดในมือแน่น จากนั้นร้องลั่นมุ่งเข้าหาฉินเย่ว์เจียว “นังผู้หญิงสมควรตาย มารับความตายเสียเถิด!”วินาทีมีดฟันลงมา ร่างกายฉินเย่ว์เจียวหันด้านข้างน้อย ๆ ฝ่าเท้าก้าวนำและตีศอกคราหนึ่งผู
ทุกคนถูกทำให้ติดกับอยู่ในนี้ ไม่มีอาหารติดตัว นั่นคือภาระที่ฆ่าคนตายได้“นี่ พี่สาวท่านนี้ ถ้าพี่ปฏิเสธอีก นั่นคือพี่เรียกร้องความสนใจ ช่วยพี่แล้วไม่พาพี่กลับไป นั่นมีอะไรแตกต่างจากไม่ช่วยพี่?”ฉินเย่ว์เจียวมีนิสัยตรงไปตรงมา เวลาพูดก็พูดจาโผงผาง“ฮูหยินข้าพูดถูก!” เฉินฝานพยักหน้าเห็นด้วยนางอวิ๋นคุกเข่าอีกครั้งนางไม่รู้จะใช้คำศัพท์อะไรมาขอบคุณพวกเฉินฝานกลับเป็นบุตรสาวในอ้อมกอดที่สงบนิ่งมากกว่านางระหว่างทางกลับไปเด็กน้อยเอาแต่กางมือน้อย ๆ อ้วนท้วนคู่นั้นออกมาจะให้เฉินฝานอุ้มจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ดูออกว่าฐานะทางครอบครัวของนางอวิ๋นไม่ย่ำแย่เด็กน้อยถูกเลี้ยงจนตุ้ยนุ้ยอมชมพู ดวงตาคู่นั้นตาดำแป๋ว เมื่อมองแล้วใจแทบละลาย“อุ้ม อา อุ้มอุ้ม!”เด็กน้อยไม่ยอมแพ้ มือน้อยอ้วน ๆ ชูสูงขึ้นเรื่อย ๆ“ถวนถวน ไม่ได้!” นางอวิ๋นรีบกดมือน้อย ๆ ของบุตรสาวลงมาพร้อมกับกล่าวขอโทษเฉินฝานในเวลาเดียวกัน “นายท่าน ขออภัยด้วย เด็กไม่รู้จักกาลเทศะ”“ไม่เป็นไร!”เฉินฝานยื่นมือออกไปอุ้มเด็กน้อยมาไว้เองเด็กน้อยอ้วนท้วน ประกอบกับชื่อของนาง นับว่าคล้ายกันทีเดียวเฉินฝานถาม “นางชื่อถวนถวน?”“เจ้าค่ะ ถ
“คุณพระ นางช่างงดงามเสียจริง!”“นางจะต้องเป็นนางฟ้าเดินดินเป็นแน่!”ผู้คนตื่นตกใจในความยลโฉมของเมี่ยวอวี่“ติง!”เมี่ยวอวี่เริ่มบรรเลงพิณ“แม่นาง!”ยายจ้าวข้างกายมองไปที่มือของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลบนฝ่ามือของนางยังคงพันผ้าสีข้าวเอาไว้นางกลับเพิกเฉยกับคำพูดของยายจ้าว บรรเลงพิณต่อไปจากที่นางขมวดคิ้วเล็กน้อย สามารถเห็นได้ว่านางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากนางดันทุรังบรรเลงต่อผลที่ตามมาจากการฝืนบรรเลง...มือของเมี่ยวอวี่ที่บรรเลงพิณเพิ่มความเร็วมากขึ้นมือจะพิการก็มิเป็นไร ทว่าการที่มิได้บรรเลงพิณ นางคงจะรู้สึกโศกเศร้ายิ่งกว่าพิณเป็นชีวิตจิตใจของนางในฉากสุดท้ายของชีวิต หากนางมิได้บรรเลงพิณ เช่นนั้นนางคงจะตายตามิหลับสายตาของเมี่ยวอวี่เหลือบมองเฉินฝานเล็กน้อย จากนั้นจะหันกลับไปทันทีใช่แล้วนี่เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของนางเพราะ...หากมิสามารถออกจากที่นี่ได้ นางก็จะอดตายอยู่กระท่อมหิมะแห่งนี้ที่นางใช้ชีวิตมานานหลายปีหากสามารถออกไปได้ สังหารเฉินฝานมิสำเร็จ นางก็เหลือเพียงความตายสถานเดียวเช่นกัน“ติง~”เมี่ยวอวี่บรรเลงพิณได้อย่างไพเราะราวกับอยู่ในห้วงฝัน ผู้คนฟังแล้วหลง
เป็นอย่างที่ฉินเย่ว์เจียวกล่าวดังคาด วันแรกมีสิบกว่าคนที่มิได้กลับมาตอนที่พวกเขาขุดทางออก ซากปรักหักพังถล่มลงมาทับร่างทันทีเหลยหย่งอันมิได้มีความคิดที่จะช่วยเหลือแม้แต่น้อย หลังจากที่เศษซากถล่มลงมาแล้ว ก็สั่งให้คนกลับมาทันทีวันถัดไปก็ให้คนเหล่านั้นไปขุดอีกมีคนมิอยากไป เขาก็จะมิให้อาหาร ผู้คนจึงต้องยอมจำนนผลลัพธ์มิต้องคิดก็ทราบได้ว่ามีอีกสิบคนก็มิได้กลับมาเช่นกันวันที่สาม วันที่สี่...ต่อเนื่องกันห้าวันล้วนเป็นเช่นนี้ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเหลยหย่งอันจงใจทำเช่นนี้เหลยหย่งอันฉวยโอกาสนี้สังหารพวกเขาไปทีละคนสามารถประหยัดเสบียงอาหารและยังสามารถขุดทางออกได้อีกด้วยในวันที่หก ผู้เหลือรอดเหล่านั้นมิยอมถูกส่งไปตายอีกแล้ว ไปดักรออยู่หน้าประตูของเหลยหย่งอันกล่าวถามเจตนาของเขาเหลยหย่งอันเกิดในตระกูลพ่อค้า ได้เห็นวิธีการโกหกหลอกลวงมาตั้งแต่เล็กจนชินตาเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของฝูงชนผู้เหลือรอด เหลยหย่งอันมิชักสีหน้า มิระเบิดอารมณ์“ทุกท่าน...” เขาผายมือสองข้างออกทันที ทำท่าทางฮึกเหิมเช่นนั้นอีกครั้ง“กะต๊าก ๆ ๆ ๆ!”“ก้าบ ๆ ๆ ๆ!”ไก่และเป็ดที่เดิมอยู่เรือนด้านหลังกระท่อมหิมะ ว
แผ่นดินไหวทำให้หิมะถล่มลงมาอีกครั้ง ทางซากปรักหักพังนั้น สละชีพคนจำนวนมากกว่าจะสามารถขุดไปได้ครึ่งทาง ตอนนี้ถูกเศษซากถล่มปิดทางลงมาอีกแล้ว“ไม่จริง!”มีคนล้มตัวลงร้องไห้ฟูมฟายกับพื้น“ซานเอ๋อร์!”“อาซิ่ว!”และมีบางคนวิ่งไปทางกระท่อมหิมะ คนจำนวนมากที่วิ่งไปทางกระท่อมหิมะเมื่อครู่ยังมิทันได้วิ่งกลับมา“กลับ...”เฉินฝานคิดที่จะห้ามปราบคนที่วิ่งเข้าไปในกระท่อมหิมะ เพราะหลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่แล้ว ปกติแล้วก็จะมีแผ่นดินไหวตามทว่าคำพูดของเขาสายเกินไปแล้ว......คลื่นพสุธาสั่นไหวภูผาสะเทือนคืบคลานมาอีกครั้งคนที่เพิ่งจะวิ่งเข้าไปที่กระท่อมหิมะเมื่อครู่ ถูกซากถล่มทับร่างทันทีเสียงกรีดร้องของมนุษย์ เสียงสัตว์ร้องด้วยความตกใจ เสียงสิ่งปลูกสร้างพังถล่มดังขึ้นอีกครั้งสรรพสิ่งโดยรอบเข้าสู่ภาวะโกลาหลอีกครั้งแม้ว่าจะอยู่ที่โล่งด้านนอก เฉินฝานก็เห็นได้ด้วยตาตนเองว่าคนจำนวนมากถูกก้อนหินและแผ่นไม้ที่ลอยกระเด็นใส่ทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งเสียชีวิตเรือนเซียนผาสุกพังทลาย หิมะถล่ม แผ่นดินไหวเหตุการณ์เกิดขึ้นติดกันอย่างต่อเนื่องเฉินฝานรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวนำความโชคร้าย
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ