เป็นอย่างที่ฉินเย่ว์เจียวกล่าวดังคาด วันแรกมีสิบกว่าคนที่มิได้กลับมาตอนที่พวกเขาขุดทางออก ซากปรักหักพังถล่มลงมาทับร่างทันทีเหลยหย่งอันมิได้มีความคิดที่จะช่วยเหลือแม้แต่น้อย หลังจากที่เศษซากถล่มลงมาแล้ว ก็สั่งให้คนกลับมาทันทีวันถัดไปก็ให้คนเหล่านั้นไปขุดอีกมีคนมิอยากไป เขาก็จะมิให้อาหาร ผู้คนจึงต้องยอมจำนนผลลัพธ์มิต้องคิดก็ทราบได้ว่ามีอีกสิบคนก็มิได้กลับมาเช่นกันวันที่สาม วันที่สี่...ต่อเนื่องกันห้าวันล้วนเป็นเช่นนี้ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเหลยหย่งอันจงใจทำเช่นนี้เหลยหย่งอันฉวยโอกาสนี้สังหารพวกเขาไปทีละคนสามารถประหยัดเสบียงอาหารและยังสามารถขุดทางออกได้อีกด้วยในวันที่หก ผู้เหลือรอดเหล่านั้นมิยอมถูกส่งไปตายอีกแล้ว ไปดักรออยู่หน้าประตูของเหลยหย่งอันกล่าวถามเจตนาของเขาเหลยหย่งอันเกิดในตระกูลพ่อค้า ได้เห็นวิธีการโกหกหลอกลวงมาตั้งแต่เล็กจนชินตาเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของฝูงชนผู้เหลือรอด เหลยหย่งอันมิชักสีหน้า มิระเบิดอารมณ์“ทุกท่าน...” เขาผายมือสองข้างออกทันที ทำท่าทางฮึกเหิมเช่นนั้นอีกครั้ง“กะต๊าก ๆ ๆ ๆ!”“ก้าบ ๆ ๆ ๆ!”ไก่และเป็ดที่เดิมอยู่เรือนด้านหลังกระท่อมหิมะ ว
แผ่นดินไหวทำให้หิมะถล่มลงมาอีกครั้ง ทางซากปรักหักพังนั้น สละชีพคนจำนวนมากกว่าจะสามารถขุดไปได้ครึ่งทาง ตอนนี้ถูกเศษซากถล่มปิดทางลงมาอีกแล้ว“ไม่จริง!”มีคนล้มตัวลงร้องไห้ฟูมฟายกับพื้น“ซานเอ๋อร์!”“อาซิ่ว!”และมีบางคนวิ่งไปทางกระท่อมหิมะ คนจำนวนมากที่วิ่งไปทางกระท่อมหิมะเมื่อครู่ยังมิทันได้วิ่งกลับมา“กลับ...”เฉินฝานคิดที่จะห้ามปราบคนที่วิ่งเข้าไปในกระท่อมหิมะ เพราะหลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่แล้ว ปกติแล้วก็จะมีแผ่นดินไหวตามทว่าคำพูดของเขาสายเกินไปแล้ว......คลื่นพสุธาสั่นไหวภูผาสะเทือนคืบคลานมาอีกครั้งคนที่เพิ่งจะวิ่งเข้าไปที่กระท่อมหิมะเมื่อครู่ ถูกซากถล่มทับร่างทันทีเสียงกรีดร้องของมนุษย์ เสียงสัตว์ร้องด้วยความตกใจ เสียงสิ่งปลูกสร้างพังถล่มดังขึ้นอีกครั้งสรรพสิ่งโดยรอบเข้าสู่ภาวะโกลาหลอีกครั้งแม้ว่าจะอยู่ที่โล่งด้านนอก เฉินฝานก็เห็นได้ด้วยตาตนเองว่าคนจำนวนมากถูกก้อนหินและแผ่นไม้ที่ลอยกระเด็นใส่ทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งเสียชีวิตเรือนเซียนผาสุกพังทลาย หิมะถล่ม แผ่นดินไหวเหตุการณ์เกิดขึ้นติดกันอย่างต่อเนื่องเฉินฝานรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวนำความโชคร้าย
“มิมีข่าวคราว ที่จริงก็ถือว่าเป็นข่าวดีเช่นกัน!”เฉินฝานลูบหลังฉินเย่ว์เจียวเบา ๆ“ติง!”ตอนที่ลูบหลังฉินเย่ว์เจียว มือของเฉินฝานสัมผัสโดนเครื่องสายผีผาเครื่องหนึ่งหล่นอยู่ข้างเฉินฝานผีผาเครื่องนี้ทำมาจากไม้จันทน์แดง เป็นผีผาที่สูงค่าที่สุดประเภทหนึ่งสายของผีผาเปล่งประกายแวววับแสดงถึงความชื่นชอบของเจ้าของที่มีต่อเครื่องดนตรีชิ้นนี้เฉินฝานหยิบผีผาไม้จันทน์เครื่องนี้ขึ้นมาใช้นิ้วดีดสายที่เปล่งประกายที่สุดของผีผาอย่างแผ่วเบาเล็กน้อย“ติง ๆ~”เสียงดนตรีช่างงดงามดังเจ้าเสียจริงเสียงพิณอ่อนช้อยไพเราะ ราวกับน้ำเสียงและหน้าตาของเมี่ยวอวี่มิมีผิดหากตัดความแค้นระหว่างพวกเขาออกไป เมี่ยวอวี่ก็เป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมที่หายากในใต้หล้านี้จริง ๆเฉินฝานปัดหิมะบนผีผาออก เขาคิดที่จะนำผีผาเครื่องนี้ออกไปด้วย หลังจากนี้เมืองเซียนตูจักต้องซ่อมแซมเรือนเซียนผาสุกขึ้นมาใหม่ เมื่อถึงตอนนั้นก็สามารถนำผีผาเครื่องนี้วางไว้ในเรือนเซียนผาสุก จัดวางให้ผู้ชมได้ดู เพื่อระลึกถึงนักบรรเลงผีผาที่ฝีมือเยี่ยมยอดท่านนี้“อ้าก!”ฉินเย่ว์เจียวที่กำลังซบอกของเฉินฝานเด้งตัวชูคอขึ้นมาทันที “นายท่าน ท่านได้ย
“......”สตรีมักจะมีกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้เสมอเฉินฝานฉีกเสื้อผ้าบนเรือนร่างส่วนหนึ่งยื่นให้เมี่ยวอวี่“เจ้าอยากให้ข้าดู ข้ามิได้อยากดูเสียหน่อย!”“เอาไปสิ เอาไปปิดหน้าปิดตาไว้”ถูกทับอยู่เศษซากเป็นเวลานาน จู่ ๆ ถูกลากออกมา หากมิปิดตาไว้ มีความเสี่ยงที่จะตาบอดได้เมี่ยวอวี่ที่ปิดหน้าปิดตาเรียบร้อยแล้ว ขบเม้มริมฝีปากที่ซีดเผือดเบา ๆ “แต่...เจ้ามิใช่สามีข้า เจ้าจะอุ้มข้ามิได้”หากเป็นในยุคปัจจุบัน เฉินฝานคงจะระเบิดอารมณ์โมโหใส่อย่างรุนแรงทว่านี้เป็นยุคโบราณที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมดั้งเดิม สตรีนางหนึ่งที่ยังมิได้ออกเรือน ถูกชายผู้หนึ่งอุ้มต่อหน้าสาธารณชน เช่นนั้นจะมิมีผู้ใดกล้ามาสู่ขอนางช่างยุ่งยากเสียจริงพื้นพสุธาเริ่มสั่นสะเทือน แผ่นดินไหวตามมาอีกแล้วเฉินฝานมิใส่ใจเรื่องหยุมหยิม โน้มตัวเข้าไปอุ้มเมี่ยวอวี่ออกมาทันที“นี่ เจ้า...”เมี่ยวอวี่ที่ตกใจจนทำตัวมิถูก ทำได้เพียง...ฝังหน้าแนบกับอ้อมอกของเฉินฝาน“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็มิออกเรือนกับเจ้าหรอก”ระหว่างทาง เมี่ยวอวี่ที่อยู่ในอ้อมอกกล่าวด้วยความมิพอใจ“...... จะออกไปได้หรือไม่ยังมิแน่เสียหน่อย เจ้าจะคิดให้มาก
“ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”เสียงเดือดดาลดังขึ้น เหลยหย่งอันลูบท้องตนเอง ออกคำสั่งกับคนด้านหน้าเขาอย่างถือดี “พวกเจ้าสองสามคน รีบเข้าไปเอาอาหารที่เรือนข้าในกระท่อมหิมะออกมา !”“......” มิมีใครขานรับคำพูดของเหลยหย่งอัน ผู้เหลือรอดทุกคนล้วนยืนนิ่งมองไปที่เขา“พวกเจ้าหูหนวกหรือกระไร?” เหลยหย่งอันใส่อารมณ์รุนแรงกว่าเดิม และยังให้ลูกน้องตนเองสองคนลงไปทุบตีคนเหล่านั้นอีก“ย้าก!”จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนลั่น คนผู้นั้นพุ่งตัวไปด้านหน้าเหลยหย่งอันต่อยเขาอย่างรุนแรงทันที“ช่างกล้ายิ่งนัก! เจ้ากล้าต่อยข้างั้นหรือ?” เหลยหย่งอันตะโกนลั่น“ข้าต่อยเจ้าแล้วเจ้าจะทำไม ทนกับเจ้ามานานแล้ว ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายให้จงได้!”คนผู้นั้นยิ่งต่อยยิ่งออกแรงมากขึ้นลูกน้องชายสองคนนั้นของเหลยหย่งอันคิดที่จะกลับมาช่วย กลับถูกคนกักตัวไว้อย่างแน่นหนา“ใช่ ๆ ต่อยเขาให้ตาย!”ผู้ที่ถูกเหลยหย่งอันรังแกมานานหลายวันเหล่านี้ กักเก็บความเดือดดาลไว้ในใจมาโดยตลอด อย่างไรเสียก็หมดความหวังที่จะมีชีวิตรอดแล้ว ไฉนต้องเชื่อฟังเหลยหย่งอัน ไยต้องเกรงกลัวเขาอีก“ข้าจะแจ้งเรื่องพวกเจ้า หลังจากออกไปได้แล้ว ข้าจะจัดการพวกเจ้าให้สาสม!”“มิต้
เขามีลูกชายตอนอายุมากแล้ว เมื่อมินานมานี้ลูกชายเพิ่งจะได้แต่งงานมีครอบครัว ในใจปรารถนาที่จะอุ้มหลานชาย หากมิมีหลานชาย ได้อุ้มหลานสาวก็ยังดีมิอยากจะตายอยู่ในหุบเขาแห่งนี้จริง ๆ“นายท่าน ขอร้องล่ะ นำทางให้พวกเรามีชีวิตรอดด้วยเถอะ!”มีคนอ้อนวอนเฉินฝานอยู่ด้านหลังชายชราอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นทีละคนๆ ท้ายที่สุดก็มาอ้อนวอนกันอย่างพร้อมเพรียงทุกคน“นี่ พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้สิ!” เฉินฝานรู้สึกปวดหัว “ข้ามิใช่เทพเซียน มิมีสิ่งใดมายืนยันว่าจะช่วยให้พวกเจ้าออกไปได้เสียหน่อย”“ท่านทำได้!”ชายชราท่านนั้นมองไปที่เฉินฝาน พลางกล่าวอย่างเชื่อมั่น“นายท่าน ท่านทำได้อย่างแน่นอน”ตั้งแต่ที่เฉินฝานใช้กระบอกไม้ไผ่ปรุงข้าวสวยให้หอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ใช้แผ่นหินผัดอาหารเลิศรสราวกับในภัตตาคาร เขาก็รู้ว่าเฉินฝานทำได้เฉินฝานมิใช่คนใจดำอำมหิตคนด้านหน้าเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสามัญชนที่จิตใจดีปล่อยให้พวกเขาต้องแข็งตายหิวตายต่อหน้าต่อตาตนเอง เฉินฝานก็ตัดใจทำมิลงเช่นกัน“ขอบคุณทุกคนที่เชื่อใจข้า ข้าจะพยายาม!”“ขอบคุณนายท่าน!”ชายชราสะกิดลูกชายและลูกสะใภ้ “พวกเจ้ายืนงงอันใดอยู่เล่า รีบก้มหัวคำนับซ
กระโจมสี่หลัง ใหญ่สามหลังเล็กหนึ่งหลัง สองหลังใหญ่ให้เหล่าชายชาตรี อีกหนึ่งหลังใหญ่ให้สตรีและเด็กเล็ก หนึ่งหลังเล็กเอาไว้ให้คนชราตอนที่เย็บม่านสร้างกระโจม นางจางแอบทำหลังกระโจมเล็กๆไว้ให้เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียว นางคิดว่าในฐานะที่เฉินฝานเป็นผู้นำ ไม่ควรจะอยู่เบียดเสียดกับคนอื่นตอนที่เหล่าหญิงสาวอยู่ในกระโจม เฉินฝานยังวาดม่านท้องนภา ม่านท้องนภาจะใช้ผ้าม่านที่ค่อนข้างบางในการทำเฉินฝานให้คนขายเนื้อผู้นั้นพาเหล่าชายหนุ่มไปหาก้อนหินที่อยู่โดยรอบมาจุดประสงค์หลักของก้อนหินคือใช้ก่อเตาไฟและทำให้กระโจมมั่นคงตอนที่เหล่าหญิงสาวทำกระโจมเหล่าชายหนุ่มก็ขนก้อนหิน ก่อเตาไฟ สร้างกระโจมทุกคนล้วนตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้น คนจำนวนมากหลงลืมไปเลยว่าตนเองกำลังประสบภัยพิบัติอยู่คนที่สามารถมาฟังบทบรรเลงที่เรือนเซียนผาสุกได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคุณชายคุณหนูที่ฐานะทางบ้านค่อนข้างดีการขนหิน ก่อเตาไฟ สร้างกระโจมสำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นสิ่งที่แปลกใหม่อย่างมากดังนั้นเมื่อทำแล้วจึงทำด้วยความสนุกสนานแม้กระทั่งเมี่ยวอวี่ที่มิเคยทำงานหนักก็ยังเข้าร่วมด้วย ทว่านางเย็บกระโจมอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ
เพื่อเป็นการประหยัดแผ่นหนัง นางจึงทำถุงนอนให้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถุงนอนหนึ่งผืน อย่างน้อยก็ซุกตัวได้เจ็ดแปดคนอย่างไรเสียอากาศก็หนาวเหน็บอยู่แล้ว เบียดเสียดอยู่ด้วยกันก็จะทำให้อุ่นขึ้นได้อีกด้วยนางจางนำปุยนุ่นในเครื่องนอนออกมาทำถุงนอนที่ยัดปุยนุ่นสองสามผืน ถุงนอนเหล่านี้เอาไว้ให้คนแก่และเด็กเล็กใช้ในตอนท้าย นางจางก็ยังเอาใจใส่ทำถุงนอนยัดนุ่นสำหรับสองคนให้เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวกระโจมสร้างเสร็จแล้ว ถุงนอนก็ทำเรียบร้อยแล้ว เตาไฟก็ก่อแล้วลำดับถัดไปก็เป็นเรื่องอาหารแล้วนี่เป็นปัญหาที่ทำให้คนกังวลใจที่สุดเดิมทีเสบียงอาหารก็เหลือเพียงกินไปได้มิกี่วันแล้ว หลังจากที่แผ่นดินไหว ก็ลดทอนลงไปอีก“คนขายเนื้อ!”เฉินฝานตะโกนลั่นทันที“นายท่าน ข้าอยู่นี้ขอรับ!”คนขายเนื้อที่ร่างกายสูงใหญ่วิ่งมาด้านหน้าเฉินฝาน“พกของมีคมทั้งหมดติดตัวมา ไปรวบรวมคนที่ร่างกายค่อนข้างกำยำ แล้วตามข้ามา”“ขอรับ!”“ทำไมล่ะ ครั้งนี้มิพาข้าไปด้วยรึ? เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากแล้วงั้นหรือ?” เซียนเจี้ยนหวงสีหน้ามิพอใจเดินโซเซไปด้านหน้าเฉินฝาน“พาไปด้วยสิ!” เฉินฝานฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่เขาจงใจมิเรียก เพราะรอให้
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ