เขามีลูกชายตอนอายุมากแล้ว เมื่อมินานมานี้ลูกชายเพิ่งจะได้แต่งงานมีครอบครัว ในใจปรารถนาที่จะอุ้มหลานชาย หากมิมีหลานชาย ได้อุ้มหลานสาวก็ยังดีมิอยากจะตายอยู่ในหุบเขาแห่งนี้จริง ๆ“นายท่าน ขอร้องล่ะ นำทางให้พวกเรามีชีวิตรอดด้วยเถอะ!”มีคนอ้อนวอนเฉินฝานอยู่ด้านหลังชายชราอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นทีละคนๆ ท้ายที่สุดก็มาอ้อนวอนกันอย่างพร้อมเพรียงทุกคน“นี่ พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้สิ!” เฉินฝานรู้สึกปวดหัว “ข้ามิใช่เทพเซียน มิมีสิ่งใดมายืนยันว่าจะช่วยให้พวกเจ้าออกไปได้เสียหน่อย”“ท่านทำได้!”ชายชราท่านนั้นมองไปที่เฉินฝาน พลางกล่าวอย่างเชื่อมั่น“นายท่าน ท่านทำได้อย่างแน่นอน”ตั้งแต่ที่เฉินฝานใช้กระบอกไม้ไผ่ปรุงข้าวสวยให้หอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ใช้แผ่นหินผัดอาหารเลิศรสราวกับในภัตตาคาร เขาก็รู้ว่าเฉินฝานทำได้เฉินฝานมิใช่คนใจดำอำมหิตคนด้านหน้าเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสามัญชนที่จิตใจดีปล่อยให้พวกเขาต้องแข็งตายหิวตายต่อหน้าต่อตาตนเอง เฉินฝานก็ตัดใจทำมิลงเช่นกัน“ขอบคุณทุกคนที่เชื่อใจข้า ข้าจะพยายาม!”“ขอบคุณนายท่าน!”ชายชราสะกิดลูกชายและลูกสะใภ้ “พวกเจ้ายืนงงอันใดอยู่เล่า รีบก้มหัวคำนับซ
กระโจมสี่หลัง ใหญ่สามหลังเล็กหนึ่งหลัง สองหลังใหญ่ให้เหล่าชายชาตรี อีกหนึ่งหลังใหญ่ให้สตรีและเด็กเล็ก หนึ่งหลังเล็กเอาไว้ให้คนชราตอนที่เย็บม่านสร้างกระโจม นางจางแอบทำหลังกระโจมเล็กๆไว้ให้เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียว นางคิดว่าในฐานะที่เฉินฝานเป็นผู้นำ ไม่ควรจะอยู่เบียดเสียดกับคนอื่นตอนที่เหล่าหญิงสาวอยู่ในกระโจม เฉินฝานยังวาดม่านท้องนภา ม่านท้องนภาจะใช้ผ้าม่านที่ค่อนข้างบางในการทำเฉินฝานให้คนขายเนื้อผู้นั้นพาเหล่าชายหนุ่มไปหาก้อนหินที่อยู่โดยรอบมาจุดประสงค์หลักของก้อนหินคือใช้ก่อเตาไฟและทำให้กระโจมมั่นคงตอนที่เหล่าหญิงสาวทำกระโจมเหล่าชายหนุ่มก็ขนก้อนหิน ก่อเตาไฟ สร้างกระโจมทุกคนล้วนตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้น คนจำนวนมากหลงลืมไปเลยว่าตนเองกำลังประสบภัยพิบัติอยู่คนที่สามารถมาฟังบทบรรเลงที่เรือนเซียนผาสุกได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคุณชายคุณหนูที่ฐานะทางบ้านค่อนข้างดีการขนหิน ก่อเตาไฟ สร้างกระโจมสำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นสิ่งที่แปลกใหม่อย่างมากดังนั้นเมื่อทำแล้วจึงทำด้วยความสนุกสนานแม้กระทั่งเมี่ยวอวี่ที่มิเคยทำงานหนักก็ยังเข้าร่วมด้วย ทว่านางเย็บกระโจมอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ
เพื่อเป็นการประหยัดแผ่นหนัง นางจึงทำถุงนอนให้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถุงนอนหนึ่งผืน อย่างน้อยก็ซุกตัวได้เจ็ดแปดคนอย่างไรเสียอากาศก็หนาวเหน็บอยู่แล้ว เบียดเสียดอยู่ด้วยกันก็จะทำให้อุ่นขึ้นได้อีกด้วยนางจางนำปุยนุ่นในเครื่องนอนออกมาทำถุงนอนที่ยัดปุยนุ่นสองสามผืน ถุงนอนเหล่านี้เอาไว้ให้คนแก่และเด็กเล็กใช้ในตอนท้าย นางจางก็ยังเอาใจใส่ทำถุงนอนยัดนุ่นสำหรับสองคนให้เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวกระโจมสร้างเสร็จแล้ว ถุงนอนก็ทำเรียบร้อยแล้ว เตาไฟก็ก่อแล้วลำดับถัดไปก็เป็นเรื่องอาหารแล้วนี่เป็นปัญหาที่ทำให้คนกังวลใจที่สุดเดิมทีเสบียงอาหารก็เหลือเพียงกินไปได้มิกี่วันแล้ว หลังจากที่แผ่นดินไหว ก็ลดทอนลงไปอีก“คนขายเนื้อ!”เฉินฝานตะโกนลั่นทันที“นายท่าน ข้าอยู่นี้ขอรับ!”คนขายเนื้อที่ร่างกายสูงใหญ่วิ่งมาด้านหน้าเฉินฝาน“พกของมีคมทั้งหมดติดตัวมา ไปรวบรวมคนที่ร่างกายค่อนข้างกำยำ แล้วตามข้ามา”“ขอรับ!”“ทำไมล่ะ ครั้งนี้มิพาข้าไปด้วยรึ? เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากแล้วงั้นหรือ?” เซียนเจี้ยนหวงสีหน้ามิพอใจเดินโซเซไปด้านหน้าเฉินฝาน“พาไปด้วยสิ!” เฉินฝานฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่เขาจงใจมิเรียก เพราะรอให้
ผ่านไปครู่เดียว เซียนเจี้ยนหวงก็สามารถเจาะรูที่กว้างประมาณห้าสิบเซนติเมตรบนพื้นน้ำแข็งได้“เจ้าหนุ่ม ใหญ่ขนาดนี้ใช้ได้หรือไม่?” เซียนเจี้ยนหวงหันหน้าไปถาม“ใช้ได้แล้ว รอให้ปลาว่ายมาแล้วกัน!”ระหว่างที่กล่าว เฉินฝานก็นั่งยองลงไปคนรอบข้างพากันชะเง้อคอดู แค่เจาะรูปลาก็จะว่ายมาเองงั้นหรือ?การจับปลาจะง่ายดายเช่นนั้นจริงหรือ?“มาแล้ว!”ตอนที่ฝูงชนกำลังสงสัย เฉินฝานก็ตะโกนลั่นทันทีเฉินฝานยื่นมือลงในน้ำ จับปลาแล้วก็โยนขึ้นไปบนฝั่งทีละตัว“แปะ!” ปลาหลีฮื้อหนักหกชั่งหนึ่งถูกโยนขึ้นมาบนพื้นน้ำแข็งเสียง “แปะ!” ดังขึ้นอีกครั้ง ปลาที่หนักห้าหกชั่งถูกเฉินฝานโยนขึ้นฝั่งอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นปลาที่ตัวใหญ่เนื้อแน่น “ว้าว!”ทุกคนล้วนตื่นตกใจ ที่แท้การจับปลาง่ายเพียงนี้เชียวหรือ?“พวกเจ้าอย่ามัวแต่ยืนงงอยู่สิ เร็ว รีบไปจับปลาสิ!”“ข้าเอง!”เซียนเจี้ยนหวงนั่งย่อตัวลงไปคนแรกผู้เฒ่าชื่นชอบในการเล่นสนุกอย่างมาก เขามิได้ใช้กำลังภายใน บรรจงใช้มือจับปลาทีละตัว ช่างสนุกยิ่งนัก“ข้าก็จับได้หนึ่งตัวแล้วเช่นกัน!” จางเซิงถือปลาหลีฮื้อด้วยมือสองข้าง ยิ้มราวกับเด็กน้อย“นี่ ๆ ข้าก็จับได้เหมือนกัน
เสียงของเซียนเจี้ยนหวง ไฉนฟังอย่างไรก็มิเหมือนที่ถูกแกงลวก เหมือน...เสียงซาบซึ้งใจที่ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสเสียมากกว่าเฉินฝานก็รู้สึกได้เช่นกัน“ผู้เฒ่า ยังมีคนอีกมากมายที่รอกินอยู่ ไฉนเจ้าซดคนเดียวมากมายเพียงนั้น?”ตอนที่เซียนเจี้ยนหวงซดน้ำแกงทัพพีที่สี่ เฉินฝานก็แย่งทัพพีไม้ไผ่จากมือเขากลับมา“นี่ ๆ ให้ข้าซดอีกทัพพีมิได้หรือ?”เซียนเจี้ยนหวงมองทัพพีไม้ไผ่ในมือเฉินฝานด้วยสายตาละห้อย“ยังจะซดอีกงั้นหรือ?” เฉินฝานจ้องเขม็งไปที่เซียนเจี้ยนหวง “ถ้าขืนซดต่อไปอีกเจ้าก็คงจะอิ่มจนท้องแตกกันพอดี!”ทัพพีไม้ไผ่นี้ ตักได้ทีละครึ่งชั่งเชียวนะ“ใส่เกลือไปเพียงเล็กน้อย เอร็ดอร่อยเพียงนั้นจริงหรือ?”เฉินฝานพูดพึมพำ“แน่นอนว่าต้องอร่อยอยู่แล้วสิ!”อาศัยช่วงที่เฉินฝานกำลังพึมพำ เซียนเจี้ยนหวงก็แย่งทัพพีไม้ไผ่ไปจากมือเฉินฝานอีกครั้ง“ผู้เฒ่า เจ้า...”ตอนที่เซียนเจี้ยนหวงกลืนแกงปลาลงท้องไปอีกหนึ่งทัพพีเรียบร้อยแล้ว ท้องก็กลมป่อง ดูแล้วอิ่มเอมใจและรู้สึกมิสบายตัวเล็กน้อยเฉินฝานส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “ดูเจ้าสิช่างตะกละเสียจริง ตอนนี้ซดจนหนำใจแล้วกระมัง”“ฮี่ๆ!” เซียนเจี้ยนหวงแยกเขี้ย
“เมื่อซดแกงปลาเรียบร้อยแล้ว ปลาย่างก็จวนจะได้ที่พอดีถึงแม้เครื่องเทศจะมิเยอะ ทว่าเฉินฝานก็โรยบนปลาทุกตัวอย่างละเล็กละน้อยเมื่อเครื่องเทศถูกโปรยลงไป กลิ่นหอมก็กระจายฟุ้งทั่วทุกสารทิศทันทีทุกคนล้วนทำจมูกฟุดฟิดสูดลมหายใจเข้าอย่างต่อเนื่องเพื่อจะดูดซับกลิ่นหอมเข้าไปให้ได้มากที่สุด“ข้าขอเอาไปก่อนแล้วกัน พวกเจ้าก็ค่อยๆแบ่งกันเองนะ!”เป็นเซียนเจี้ยนหวงอีกแล้ว เขาแบกปลาหลีฮื้อที่ตัวที่สุดออกไปทันทีเฉินฝานมอบหน้าที่ในการแบ่งปลาให้ฉินเย่ว์เจียว“มิต้องรีบ ได้ทุกคน”ฉินเย่ว์เจียวชำนาญในการกินปลาอยู่ก่อนแล้วนางมิได้นำท้องปลาที่มีก้างเยอะแบ่งให้เด็กเล็กและคนแก่ตอนที่กินปลายังเน้นย้ำให้ระวังก้างปลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าฉินเย่ว์เจียวที่มิแยแสต่อสิ่งใดกลับละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านซานเหอก้างปลาเคยติดคอของนางจึงทำให้หวาดกลัวหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็ล้วนอิ่มจนท้องป่อง สีหน้าอิ่มอกอิ่มใจพูดคุยสัพเพเหระในกระโจมอย่างสนุกสนานหากมิใช่ว่าด้านหลังมีกระท่อมหิมะและเรือนเซียนผาสุกที่ถล่มลงมา ยังคิดว่าคนเหล่านี้มาเที่ยวพักผ่อนเสียอีกเฉินฝานที่กินอิ่
“เจ้า...โอ๊ย ข้าโมโหจวนจะบ้าแล้ว!”ฉินเย่ว์เจียวค่อยๆลุกขึ้นยืน คิดที่โยนเมียวอวี่ออกไป ปรากฏว่าเมี่ยวอวี่ก็ค่อยๆลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้น...“......”เฉินฝานมองไปที่เมี่ยวอวี่ที่ติดหนึบเรือนร่างเขาราวกับปลาหมึกตัวหนึ่งด้วยความมึนงง“แม่นางเมี่ยวอวี่ รบกวนชีวิตสามีภรรยา เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างมาก”เฉินฝานอุ้มเมี่ยวอวี่ออกไปด้านนอก“อย่าเอาข้าออกไป”แขนของเมี่ยวอวี่โอบรัดคอของเฉินฝานไว้แน่น นำศีรษะฝังแนบกับไหล่เขา กล่าวเสียงแผ่วเบารีบร้อน“ขอร้องล่ะ!”“ได้สิ” เฉินฝานเริ่มคิดเล่นสนุก “ให้เจ้าอยู่ก็ได้ ทว่าเจ้าต้องเปลื้องผ้าให้หมดและคลานเข้าไปในถุงนอนของข้า”ใบหูที่ขาวผ่องของเมี่ยวอวี่ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด“มิมีทาง น้ำเสียงของเมี่ยวอวี่นุ่มนวล ทว่าสามารถฟังออกได้ว่ากัดฟันพูด“เหอะ!” เฉินฝานหัวเราะเยาะออกมาทันที “มิมีผลประโยชน์ให้ข้าแม้แต่น้อย ไฉนข้าต้องยอมให้เจ้าอยู่ที่นี้?”“สิ่งนี้!”เมี่ยวอวี่เปิดเสื้อตนเองออกทัศนียภาพที่งดงามพลันปรากฏต่อหน้าเฉินฝานเมี่ยวอวี่ที่ภายนอกที่ดูสูงสง่าราวเทพธิดา ภายในกลับ...“ต้องกล่าวว่าอาหารของกระท่อมหิมะนี้คุณภาพค่อนข้า
ทางด้านหน้า มีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวมากมาย“มีคนทำพิธีกรรมอันใดงั้นรึ?”“ดูเหมือนว่าจะใช่”นับตั้งแต่ทางเข้าหุบเขามาจนถึงประตูทิศตะวันออกของเมืองเซียนตู ตลอดเส้นทางนี้ล้วนมีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวตอนที่ฝูงชนเดินมาถึงประตูเมือง ก็พบว่าหอประตูเมืองถูกประดับไปด้วยผ้าสีขาวจำนวนมากหอประตูเมืองที่เดิมทีประดับด้วยโคมไฟสีแดงเป็นทิวแถว ตอนนี้โคมไฟเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารรักษาก็ยังแขวนผ้าสีขาว“นี่เป็นพิธีศพ และยังยิ่งใหญ่อีกด้วย แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารยังแขวนผ้าสีขาวอีกด้วย คงจะมีคนใหญ่คนโตของเมืองเซียนตูเสียชีวิตกระมัง จึงทำให้ทั้งเมืองร่วมไว้อาลัยได้เช่นนี้”ฝูงชนพากันถกเถียงอภิปราย“หรือว่าจะเป็นเจ้าเมืองซื่อต้าเผิง?” ฉินเย่ว์เจียวก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน“สาวน้อย คำพูดนี้มิสามารถพูดมั่วซั่วได้ ท่านเจ้าเมืองยังอยู่ดี เจ้าสาปแช่งใต้เท้าเช่นนี้ ระวังใต้เท้าจับเจ้าเข้าคุก”มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากในเมืองมากล่าวเตือนฉินเย่ว์เจียว “ อีกอย่าง เจ้าเมืองจะมีงานใหญ่โตเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”“โอ้?” เฉินฝานรุดหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ทำมือเคารพให้หญิงชรา “เช่นนั
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ