“ข้าขอโทษด้วย”“ข้าขอโทษด้วย”“เจ้า...” เฉินฝานรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย ขณะผู้คนเข้ามาขอโทษตัวเองทีละคนหากปฏิเสธ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน เกรงว่าจะกล่าวไม่ได้“หากพวกเจ้าทุกคนมาช่วยข้าจับปลา คิดว่าวันเดียวข้าจะขายได้เยอะขนาดนั้นเชียวหรือ! ลองคิดดูว่าจะมีวิธีขายปลาเพิ่มได้หรือไม่ ข้าถึงจ้างพวกเจ้าทั้งหมดได้”“เฉินฝาน โปรดช่วยข้าด้วย ข้าต้องการแค่สามเหวินต่อวัน” ผู้กล่าวคือผู้ชายที่เพิ่งเป็นพ่อคนเฉินฝานรีบกล่าว “เจ้าอย่าทำเช่นนี้!” หากยังแข่งขันกันเองต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าคนเหล่านี้คงต่อสู้/ทะเลาะกันขึ้นมาว่าแล้ว ทันทีที่เขากล่าวจบ บางคนบอกว่าพวกเขาสามารถจับปลาให้เฉินฝานได้ในราคาสามเหวินต่อวัน บางคนถึงกับบอกว่า เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?ชาวบ้านเริ่มทะเลาะกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดง เฉินฝานยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ“เอาล่ะ หยุดพูดกันได้แล้ว เฉินฝานมีเรื่องจะกล่าว” เฉียนหลิวผู้มีดวงตาแหลมคม ขอให้ทุกคนเงียบลงทันทีทุกคนเงียบมองมาทางเฉินฝานเฉินฝานแอบสูดหายใจ แล้วกล่าวว่า "ทุกคน ให้ข้ากลับบ้านคิดดูก่อน ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาวิธี
“ไฉนถึงต้องรอให้ลุงเจียงเข้ามาในหมู่บ้านก่อนถึงเข้าได้ ช่างน่างงงวย หรือคนแก่จะสับสน?”ฉินเย่ว์เจียวผู้มีอารมณ์ร้อนแรง พ่นคำกล่าวออกมา “ตอนชาวบ้านมารุมล้อมรอบตัวข้า ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นลุงเจียงเดินผ่านพวกเราไป” ฉินเย่ว์โหรวกล่าวเบาๆ อยู่ด้านข้าง"หืม?"ฉินเย่ว์เจียวยิ่งสับสนมากขึ้น เมื่อนางกล่าวอีกครั้ง เสียงของนางก็ก้าวร้าวมากขึ้น“เส้นทางเข้าหมู่บ้านเป็นของครอบครัวเขาหรือไง? ไฉนพวกเขาถึงต้องเข้ามาก่อน?”“ปากร้าย เจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวแบบใดกัน ถึงได้มีภรรยาหยาบคายเช่นนี้!” จากอีกด้านของกำแพง เฉินเจียงก่นด่าออกมาอย่างโกรธเคืองเพื่อไม่ให้น้อยหน้า ฉินเย่ว์เจียวสวนกลับทันที "สอบไม่ผ่านด้วยซ้ำ ทำแสร้งเป็นบัณฑิต"“ดูหมิ่นบัณฑิต ดูหมิ่นบัณฑิต ดูหมิ่นบัณฑิต!” เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียงโกรธเป็นอย่างมาก เขาบอกว่าดูหมิ่นบัณฑิตซ้ำถึงสามครั้งติดต่อกัน“เอาล่ะ!” เฉินฝานกล่าว “เย่ว์เจียว ไม่ต้องสนใจเขาหรอก“ “นายท่าน!” ฉินเย่ว์เจียวไม่เต็มใจเล็กน้อย “พวกเขาช่างประหลาดนัก ถนนเส้นนี้ไม่ใช่ของครอบครัวพวกเขาสียหน่อย” “ไปยุ่งกับพวกเขาทำไม เหมือนเจ้าโดนหมากัด แล้วจะกัดตอบหรือไร!”เฉินฝานกล่าวด
แม้ว่าเฉินเจียงที่อยู่ด้านข้างจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่เขากลับยืนวางมาดหลังตรง คงไม่ต้องบอกว่าเขาภูมิใจแค่ไหน“โอ้!” ลุงรองของจางเหลียนฮวาพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าได้ยินมาว่าคนจากหมู่บ้านซานเหอมักจะมาบ้านหลานสะใภ้เพื่อขอชามตะเกียบ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”“เฮ่อ” จางเหลียนฮวาหันกลับมาแล้วโบกมือ “จานตะเกียบที่บ้านต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง”จางเหลียนฮวาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยมีประเพณีในพื้นที่ชนบทของอำเภอผิงอัน หากมีคนในหมู่บ้านชีวิตเจริญรุ่งเรืองหรือมีบัณฑิตมากความสามารถ ชาวบ้านก็จะไปขอชามตะเกียบที่บ้านนั้นเพราะหวังว่าตนเองจะโชคดีตามไปด้วย ถ้ามีผู้ใฝ่เรียนที่บ้าน พวกเขาก็หวังว่าลูกๆ จะอ่านหนังสือจนได้ดิบได้ดีเช่นกันเฉกเช่นเดียวกับเฉินเจียง ซึ่งมีลูกชายสองคนติดต่อกัน นับเป็นบุคคลสูงศักดิ์ตามที่นักพรตเต๋าวัดซานชิงทำนายไว้ โดยปกติแล้วจะมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่บ้านเพื่อขอชามตะเกียบอย่างไม่ว่างเว้น “ในหมู่บ้านยังมีชาวบ้านอีกมากที่ไม่ได้ขอชามตะเกียบ สงสัยว่าคงรีบกันมาก”“อืม” ลุงรองเหลียนฮวาพยักหน้าพลางกล่าวกับเฉินเจียง “หลานเขย หลังจากนี้ทิ้งชามตะเกียบไว้ให้ลุงรองของเจ้าด้วย”เฉินเจียงปร
เฉินเจียงเป็นคนมีความสามารถโดดเด่น อย่างเรื่องติดหนี้หอนางโลมอี๋ชุนย่วน นางกล่าวออกไปไม่ได้เด็ดขาด ทำได้แค่รักษาหน้าตา ตอนที่นางอยู่บ้านพ่อแม่ นางกินเนื้อเยอะมากนานมากแล้วที่นางไม่ได้กินเนื้อดีๆ เช่นนี้เมื่อลุงรองได้ยิน เขาก็แสดงความชื่นชมเป็นอย่างมาก "หลานเขยของข้าเก่งจริงๆ เรียนก็ดี แถมยังได้เงินเดือนสูงอีก"ขณะกล่าว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินฝานที่พวกเขากำลังเดินเข้าไปหา“มีคนเลวเช่นนี้อยู่ที่บ้าน เขาคงมาขอเงินที่บ้านบ่อยๆ”“เป็นเรื่องปกติ!” เมื่อกล่าวถึงเฉินฝาน ใบหน้าของจางเหลียนฮวาก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่า“ครอบครัวของเราสองครอบครัวอาศัยอยู่ติดกัน เขาจะมาที่บ้านของข้าทุกๆ สองวัน เขายากจนมากจนภรรยาสองคนที่เขารับมาเมื่อปีที่แล้วแทบจะอดตาย”ทันทีที่จางเหลียนฮวากล่าวจบ กลุ่มของพวกเขาก็มาถึงด้านหลังเฉินฝาน ที่กำลังถูกชาวบ้านรุมล้อม"ทุกคน!"เฉินเจียงผสานมือโค้งคำนับให้ชาวบ้านแล้วกล่าวว่า "เจ้าสารเลวนี่ทำให้ทุกคนขุ่นเคืองอีกแล้วใช่หรือไม่ ข้าหวังว่าทุกคนจะยกโทษให้เขาอีกครั้ง เพื่อเห็นแก่น้องชายผู้นี้"หลังจากกล่าวเช่นนั้น เฉินเจียงก็ยืดร่างกายของเขาให้ตรงดูสง่างามเป
จางเหลียนเซียงไม่เห็นว่าใบหน้าของเฉินเจียงน่าเกลียดเพียงใด ขณะเขาเดินอยู่ข้างหน้าพี่สาวของนางเดิมทีจางเหลียนฮวาต้องการบอกจางเหลียนเซียงให้หยุดพูดได้แล้ว แต่ลุงรองของนางกลับกล่าวขึ้นมาอีก “น่าจะไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อวานข้าได้ยินมาว่ามีพ่อค้าปลาย่างปรากฏตัวที่ตลาดประจำอำเภอ เห็นว่าปลาย่างของเขาอร่อยมาก ผู้เฒ่าหลี่เศรษฐีในหมู่บ้านซื้อมาเมื่อวาน วันนี้ก็รีบออกไปแต่เช้าอีก”“มีคนถามว่าทำไมรีบขนาดนี้ เขาบอกถ้าไปช้ากลัวจะไม่ได้ปลาย่าง”“จริงหรือ?” จางเหลียนฮวาอ้าปากกว้าง “ผู้เฒ่าหลี่กล่าวเช่นนั้นจริงหรือ?”“จริงแท้แน่นอน ตอนนั้นข้าอยู่ที่นั่นเลยได้ยินทุกอย่างชัดเจน”“เช่นนั้นเฉินฝานก็ไม่ธรรมดา แล้วทำไมพี่สาวถึงบอกว่าเขายากจนถึงขั้นภรรยาทั้งสองของเขาแทบจะอดตายเล่า?”ยามนี้จางเหลียนฮวารู้สึกเสียใจมาก ที่ขอให้น้องสาวติดตามมาด้วยเดิมทีนางอยากจะอวดต่อหน้าน้องสาว ให้น้องสาวได้เห็นว่าบ้านเพิ่งสร้างใหม่ของนางที่ปูด้วยอิฐและกระเบื้องสีน้ำเงินนั้นงดงามหรูหราเพียงใด ผลลัพธ์คือ... “พี่สาว… วันละห้าสิบเหวิน เช่นนั้นท่านก็บอกให้พี่เขยไปขอร้องเฉินฝาน ไปขายปลาย่างด้วยคน เขาเป็นหลานชายของพี่เขยไม
"แต่..."หยวนเป่าวัยสามขวบไม่ได้คิดมาก เขาพึมพำเบาๆ “ ตอนนี้ข้าหิวแล้ว ข้าแค่อยากกินของอร่อยๆ”คืนนี้เป็นการนอนหลับที่แย่ที่สุดของเฉินเจียง ในรอบสามปีที่ผ่านมาเฉินฝานซึ่งอาศัยอยู่ข้างๆ ก็นอนไม่หลับเช่นกันคนในหมู่บ้านอยากให้เขาพาทุกคนร่ำรวยไปด้วยกันเขาก็ต้องการเช่นนั้นเพราะด้วยระดับการทำเงินในปัจจุบันของเขา ทำให้เขาไม่สามารถหาเงินมาซ่อมแซมบ้านได้ก่อนวันตังโจ่ยแต่เขาจะหาเงินมากมายในเวลาเพียงสิบวัน แถมยังต้องพาชาวบ้านร่ำรวยไปด้วยได้อย่างไรตอนนี้เป็นฤดูหนาวแล้วทุกสิ่งบนแผ่นดินล้วนขาดแคลนการล่าสัตว์ก็ไม่ใช่ทางเลือกเช่นกัน เพราะเขาไม่สามารถพาชาวบ้านขึ้นภูเขาหัวเสือเพื่อล่าเสือได้แม้ว่าเขาจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา แต่ชาวบ้านก็อาจจะไม่ไปกับเขาเขาทำงานด้านการผลิต แต่เพิ่งจะเดินทางข้ามกาลเวลามาไม่ถึงหนึ่งเดือน จึงไม่มีเวลาทำความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ใดสามารถผลิตในยุคนี้ได้บ้างเขาพลิกตัวไปมา ครุ่นคิดหาวิธีแก้ปัญหาทั้งคืนเริ่มจากปลาก่อนแล้วกัน เขาต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถจ้างคนเพิ่มได้แต่ด้วยวิธีนี้เขาไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือไม่…วันต่อมา ท้องฟ้ายังมืดสลัว เฉินฝานออกเดินท
“มิใช่หรือ? ปลาย่างของพวกเขา เทียบกับของเจ้าได้ที่ไหนน้องเสี่ยวฝาน?”หลี่ซื่อที่ขายขนมอบกับลุงขายขนมเปี๊ยะไม่เพียงต่อสู้เพื่อเฉินฝานเท่านั้น แต่ยังเพื่อตัวของพวกเขาเองด้วยหากการค้าของเฉินฝานซบเซา การค้าของพวกเขาก็จะซบเซาลงเช่นกัน“ขอบคุณพี่ซื่อกับท่านลุงที่พยายามต่อสู้ต่อกับความไม่ถูกต้องเพื่อข้า พอดีวันนี้ข้ามีบางอย่างต้องทำ จึงต้องเก็บร้านก่อน” เฉินฝานรีบขอบคุณพวกเขา เพราะเขาต้องการจากไปแล้ว …ขณะที่เฉินฝานเดินทางไปตลาด หมู่บ้านซานเหอก็ค่อนข้างวุ่นวาย“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไป เจ้าจะเชื่อคนอย่างเฉินฝานได้อย่างไรกัน”“เมื่อวานพวกเจ้าแต่ละคนไปขอร้องเขา ช่างน่าขบขันยิ่งนัก เห็นอยู่ว่าเขาวิ่งหนีไปแล้ว โง่หรือไงกัน”จูต้าอันกับชาวบ้านที่ไม่ได้ไปขอร้องเฉินฝานเมื่อวานนี้ ต่างหัวเราะเยาะชาวบ้านที่ไปห้อมล้อมเฉินฝานเมื่อวาน“จูต้าอันเจ้าไม่ใช่หรือที่เพิ่งวิ่งหนีหางจุกตูด?” เฉียนลิ่วตอบโต้จูต้าอัน “เมื่อวานซืนใช่หรือไม่? เจ้าถูกเฉินฝานทุบตีจนมีสภาพเหมือนคางคกยืนไม่ได้” เมื่อวันก่อน เขาถูกเฉินฝานทุบตีต่อหน้าผู้คนมากมายนับเป็นช่วงเวลาน่าอับอายที่สุดของจูต้าอัน ที่เคยพบ
“เฉินฝาน? ข้าไม่เห็นเขาในตลาด!”หัวหน้าหมู่บ้านก็ได้ยินเรื่องเฉินฝานขายปลาย่างเช่นกัน หลังจากเก็บเงิน เขาก็ตั้งใจไปเดินเล่นที่ตลาดโดยเฉพาะ เขาแค่อยากจะดูว่าเฉินฝานขายปลาอย่างไร แต่เขาไม่เห็นเฉินฝาน“ข้าพูดไม่ผิด บอกแล้วว่าเฉินฝานต้องวิ่งหนี”เดิมทีจูต้าอันที่เตรียมจะเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง แสดงท่าทางตื่นเต้นอีกครั้งทันที เมื่อได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเขาไม่เห็นเฉินฝาน“ฮ่าฮ่า เฉินฝานยังไงก็คือเฉินฝานอยู่วันยังค่ำ แม้แต่เงินของลุงเจียงเขายังใช้มีดบีบบังคับเอามาได้ เจ้าเชื่อคนแบบนี้งั้นหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้เจ้าคงโดนเขาหลอกเข้าแล้วล่ะ”“ท่านลุง หรือว่าเฉินฝานจะไปขายที่อื่น?”เฉียนลิ่วยังไม่อยากจะเชื่อ เรื่องหน้าตาเป็นแค่เรื่องเล็ก แต่เงินซื้อยาให้แม่สำคัญกว่าเมื่อวาน เขาคิดว่าต้องขอบคุณเฉินฝานที่ทำให้เขามีเงินจ่ายค่ายาของแม่ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น “ไม่!” หัวหน้าหมู่บ้านส่ายศีรษะซ้ำๆ “วันนี้ป้าของเจ้ามีของให้ซื้อมากมาย เราเดินทางไปทั่วทุกสารทิศแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเฉินฝานเลย”“เจ้ามันก็แค่คนโง่เขลา เชื่อคนอื่นไม่ดีกว่าหรอ ไปเชื่อเฉินฝานจริงแถมยังอ้อนวอนขอร้องเขา
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ