เสิ่นหมิงหยวนขยับมุมปากแฝงยิ้ม “ท่านอ๋อง ข้าวกินมั่วได้ คำพูดพูดมั่วไม่ได้ รัชทายาทหรงชอบดื่มเหล้า ในเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้าง?”“ฮึ่ม!” ตวนชินอ๋องคำรามไม่พอใจ “รัชทายาทหรงชอบดื่มเหล้าไม่ผิด แต่เขาไม่เคยเข้ามาพระราชวัง ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนนำทาง เขาจะหาห้องเครื่องเจอในเวลาสั้นเท่านี้ได้รึ?”“เฮ้อ ตวนชินอ๋อง ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก” รอยยิ้มมุมปากของเสิ่นหมิงหยวนชัดขึ้นกว่าเดิม “ข้าน้อยได้ยินว่าคนชอบดื่มเหล้าสามารถได้กลิ่นเหล้าแม้อยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ ทั้งยังหาตำแหน่งของเหล้าได้อย่างรวดเร็ว”คำพูดในประโยคตอนท้าย เสิ่นหมิงหยวนจ้องตวนชินอ๋องไม่ขยับไปไหนได้กลิ่นเหล้าแม้อยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ ทั้งยังหาตำแหน่งของเหล้าได้อย่างรวดเร็วไม่ใช่คำพูดที่เสิ่นหมิงหยวนคิดเอง แต่เป็นการกระทำของตวนชินอ๋องเป็นตำนานที่พลเมืองแคว้นต้าชิ่งมักพูดถึงหลังอาหารเย็นรัชทายาทหรงย่อมไม่มีความสามารถนั้น ตวนชินอ๋องพาสมาชิกราชวงศ์กลุ่มนั้นเข้ามาไม่นาน เสิ่นหมิงหยวนก็ส่งหลี่ชิ่งไปหลอกล่อรัชทายาทหรงด้วยอาหารและสุราชั้นดีนี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนหลังเสิ่นหมิงหยวนตอบตกลงตวนชินอ๋องอย่างเฉียบขาด ให้สมาชิกราชวงศ์เหล่านั้น
สายตาทุกคู่ในท้องพระโรงรวมกันที่ตัวเฉินฝาน“ความจริง ยอมแพ้ตั้งแต่แรกก็ดีเหมือนกัน!”เมื่อเห็นเฉินฝานไม่ตอบโต้ทันที เสิ่นหยวนฮวาขยายรูจมูกสูง ทำตัวอยู่เหนือกว่าและพูดจาย่ามใจ “ได้ดำรงตำแหน่งซื่อหลางกรมพระคลัง ถือว่ามีควันออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษ[footnoteRef:1] แล้ว” [1: มีควันออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษ มีที่มาจากผู้นับถือลัทธิเต๋ามีความเชื่อว่าคนตายแล้วจะกลายเป็นเซียน ร่างกายจะสลายเป็นเหมือนควันบางๆ เปรียบเปรยว่า เกิดเรื่องที่น่ายินดีมากแต่ก็สามารถนำมาใช้ในการเสียดสีหรือด่าทอได้] คำพูดนี้ เป็นคำพูดที่กระตุ้นเฉินฝาน อีกทั้งยังเป็นคำพูดที่ไม่เห็นเฉินฝานอยู่ในสายตาคนบ้านนอก ไอ้เศษสวะที่เจ้าทำสำเร็จสองสามครั้งก่อนหน้านี้ เพราะโชคขี้หมา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะโชคดีขนาดนั้นทุกครั้งกลุ่มขุนนางด้านข้างเสิ่นหยวนฮวา พากันพยักหน้าไม่มีใครเชื่อว่า เฉินฝานจะชนะเสิ่นหยวนเลี่ยงได้ครอบครัวฝ่ายหญิงของแม่ของเสิ่นหยวนเลี่ยง มีความเกี่ยวเนื่องทางการค้าที่กว้างใหญ่เกินไปฉินเย่ว์เหมยส่ายหน้าเหมือนกัน ให้สัญญาณกับเฉินฝานว่าห้ามตกลงถ้าไม่ตกลง แล้วยืนยันเลือกวิธีลงคะแนนเสียง เฉินฝานยังมีโอกาสช
“แล้วอีกอย่าง ข้าไม่ไปเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าจะไม่ถูกฮ่องเต้หลานของข้าด่าตายรึ วางใจเถอะน่า!” ตวนชินอ๋องทำทีว่าตนเก่งมาก “มีข้าอยู่ด้วย เขาไม่กล้าด่าเจ้ารุนแรงเกินไปหรอก!”“ท่านอ๋อง ท่านไม่โกรธหรือ?” เฉินฝานเอ่ยถาม“ข้าต้องโกรธเรื่องอะไร?” ตวนชินอ๋องถูกเฉินฝานถามจนสับสน“แข่งหาเงินกับเสิ่นหยวนเลี่ยงไงเล่า ท่านไม่กลัวว่าข้าจะแพ้?”“เรื่องนี้…” ตวนชินอ๋องเกาศีรษะทำท่าลำบากใจ แต่ท่าทางลำบากใจหายวับไปจากใบหน้าของเขาทันที “ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าทายตัวเลขเก่งขนาดนั้น เรื่องหาเงินก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน!”เฉินฝาน: “…”ทายตัวเลขเก่งกับหาเงิน ความยากอยู่ระดับเดียวกัน?ไม่แปลกใจเลย หลังจากฉินหย่งคังตัวจริงเสียชีวิต ฮ่องเต้องค์ก่อนถึงเรียกให้ซูซิวฉีไปหาตัวฉินเย่ว์เหมยและไม่ให้ตวนชินอ๋องขึ้นรับตำแหน่ง“เฮ้อ เสี่ยวฝาน พวกเรารีบไปเถอะ ให้หลานฮ่องเต้ด่าให้เสร็จ พวกเราจะได้รีบออกไปดื่มเหล้า ข้าจะบอกให้ วันนี้ข้าชนะเจ้าแน่นอน”ความเป็นจริงดูเหมือนไม่เป็นไปตามความคิดของตวนชินอ๋องฉินเย่ว์เหมยไม่ดุด่าเฉินฝานหลังจากการว่าราชกิจจบลงและกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ อารมณ์ของฉินเย่ว์เหมยสงบลงเรียบร้อยเหตุผลท
“ใช่เพคะ เนื้อผิวของเหนียงเหนียงขาวเป็นธรรมชาติ ราวกับหิมะใต้พื้น ถ้าผู้ชายทั่วไปมองเห็น สายตาย่อมไม่เคลื่อนไปไหนแน่นอนเพคะ”สาวใช้สองคนกล่าวเยินยอ พวกนางอยู่ข้าง ๆ ลู่ชุนเยี่ยนตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ข้ามพ้นเจ้านายกับสาวใช้แล้ว“เจ้าเด็กคนนี้ ถ้ายังพูดเรื่อยเปื่อยอีก ข้าจะจัดการพวกเจ้าซะ”สาวใช้สองคนไม่เก็บคำตำหนิของลู่ชุนเยี่ยนมาใส่ใจ ยังคงหัวเราะคิกคัก พวกนางรู้ว่าลู่ชุนเยี่ยนไม่จัดการจริง ๆ“เหนียงเหนียง!” หนึ่งในสาวใช้แสดงท่าทางบนหน้าอก “ท่านรู้หรือไม่ว่า ตรงนี้ของท่าน ทำเอาคนหลงใหลจนตายได้ ท่านเอาแต่ซ่อนมันไว้ข้างใน พวกนางอึดอัดแย่ ควรเอาออกมารับแสงบ้างเพคะ”“ใช่ ก็เหมือนกับดอกต้นชาในสวนดอกไม้ ได้รับแสงแดด ถึงจะเติบโตขึ้นอย่างสวยงาม”“พวกเจ้า…” ลู่ชุนเยี่ยนอารมณ์เสียจนต้องไล่สองสาวใช้ออกจากห้อง“เหนียงเหนียง” ตรงหน้าต่าง มีสองศีรษะโผล่ขึ้นมา “ความสุขของตนเองต้องคว้าไว้ให้ดี ต้องใจกล้าหน่อยนะเพคะ”“ปัง!”ลู่ชุนเยี่ยนดึงหน้าตาปิดลงอย่างแรงปกตินางเอ็นดูพวกนางมากเกินไป จนไม่มีความยำเกรงต่อสิ่งใดแล้วลู่ชุนเยี่ยนเดินออกมาจากหน้าต่าง มาถึงข้างหน้าราวแขวนเสื้อผ้าแล้วเลือกเสื
สัญชาตญาณของผู้ชายในร่างกายของเขากรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง บอกให้เขารีบรุกกอดสตรีที่เป็นผู้ใหญ่คนนี้ไว้ในอ้อมแขนให้แน่นและย่ำยีนางอย่างสุดชีวิตถ้าไม่ใช่เพราะเคยผ่านการฝึกอย่างเข้มงวดในยุคสมัยปัจจุบัน เฉินฝานพุ่งเข้าหาตั้งนานแล้ว“เหนียงเหนียง…”เฉินฝานถอยหลังกลับหนึ่งก้าว “กระหม่อมรับคำสั่งมาจากฝ่าบาท ให้มาส่งของขวัญแก่เหนียงเหนียง…”“ข้าไม่ต้องการของขวัญอะไรทั้งนั้น”ลู่ชุนเยี่ยนเดินเข้ามาหาเฉินฝานอีกครั้ง เฉินฝานทำได้เพียงถอยหลังต่อไปแต่กระนั้นเขาถอยหลังหนึ่งก้าว ลู่ชุนเยี่ยนก็ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวและแล้ว ร่างกายของเฉินฝานก็ชนเข้ากับแผงประตูไม่มีทางให้เขาสามารถถอยได้อีกลู่ชุนเยี่ยนยังคงเดินขึ้นหน้าเฉินฝานตกใจชะงัก เขาสัมผัสได้ถึง…สิ่งนุ่มกลมตรงหน้าลู่ชุนเยี่ยนที่ชนเข้ากับร่างกายของเขานุ่มมากอ่อนมาก!“เหนียงเหนียง ท่านทำอะไร?”“ทำอะไร?” ลู่ชุนเยี่ยนยกมือยาวขาวดุจหยกขึ้นมาถูไถบนหน้าและลำคอของเฉินฝานอย่างแผ่วเบา “ใต้เท้าไม่รู้เลยรึ?”“พวก พวกเราไม่เหมาะสมกัน”ให้ตายเถอะ!เฉินฝานอึดอัดมาก ถูกผู้หญิงคนหนึ่งบีบบังคับจนเหงื่อท่วมทั้งตัว โตมาขนาดนี้และมีชีวิตมาแล้วสองยุค
“เหนียงเหนียง ฝ่าบาทยอมให้ท่านมีอิสระ ย่อมเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่า…”เฮ้อ เพียงแต่ว่าอะไร เฉินฝานไม่สามารถหาเหตุผลได้สักพัก เตรียมวางแผนพังประตูวิ่งหนี“ใต้เท้า”เฉินฝานกำลังจะพังประตู ลู่ซื่ออี๋พลันเดินเข้ามาขวางไว้ลู่ซืออี๋ปิดประตูแล้วคุกเข่าลงไปทันที“ท่านร่วมนอนกับท่านแม่ข้าเถอะ!”ให้ตายเถอะ!เฉินฝานถึงกระทั่งมึนงง เดิมทีรู้สึกว่าลู่ชุนเยี่ยนใส่ผ้าโปร่งบางก็บุ่มบ่ามมากพอแล้ว ตอนนี้ลูกสาวยังคุกเข่าขอร้องให้เขาร่วมหลับนอนกับแม่ของนางนี่เขาต้องตั้งรับอย่างไรถึงจะดีลู่ชุนเยี่ยนคุกเข่าอีกคน “ใต้เท้า คืนนี้ค้างแรมที่นี่เถอะ อยากให้ข้ารับใช้อย่างไรก็ได้ ท่าทางแบบไหน…” ลู่ชุนเยี่ยนกัดริมฝีปากสีแดงเบา ๆ “ข้าก็ทำได้หมด”นางเสี่ยงชีวิตพูดสิ่งนี้ออกไป ไม่เพียงเพราะต้องการเป็นอิสระเท่านั้น แต่ยังพูดเพราะหลงใหลผู้ชายคนนี้อย่างลึกซึ้งด้วยทั้ง ๆ ที่เขาอายุน้อยกว่านาง แต่กลับเป็นคนจัดการงานได้เหนือกว่านางมากติดตามเขาอยู่ข้าง ๆ จะเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจและสบายใจ“ข้า ข้าก็ทำได้เหมือนกัน! ข้ายอมรับใช้ใต้เท้าพร้อมกับท่านแม่” ลู่ซืออี๋กล่าวสิ่งที่น่าตกตะลึงอีกครั้ง โดยไม่สนใจความ
“เจ้า เจ้าก็ดูดี!”หากเฉินฝานไม่พูดเช่นนี้ เด็กคนนั้นก็จะมาเกาะแกะร่างเขาแล้วแน่นอนว่าลู่ซืออี๋ก็ดูดีอย่างมากเช่นกัน“พระนาง ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้นอกจากส่งมอบรางวัลแล้ว ยังมีอีกเรื่องสำคัญที่อยากให้เจ้าช่วย”“ใต้เท้าต้องการให้หม่อมฉันทำเรื่องไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าขอความช่วยเหลือ ท่านออกคำสั่งก็ใช้ได้แล้ว”เมื่อพูดว่ามีเรื่องที่ต้องทำ ลู่ชุนเยี่ยนกลับมาอยู่ในท่าทีสวยเพียบพร้อมนิ่งสงบเหมือนที่ผ่านมาดังเดิมเฉินฝานถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุดก็สามารถคุยเรื่องธุรกิจได้แล้วเฉินฝานนำเรื่องราวในท้องพระโรงวันนี้เล่าให้ลู่ชุนเยี่ยนฟังหนึ่งรอบ“ใต้เท้า ท่านวางใจเถิด ต่อให้ต้องใช้ทรัพย์สินตระกูลลู่จนหมดสิ้น ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก หม่อมฉันก็จะช่วยใต้เท้าทำให้เสิ่นหยวนเลี่ยงพ่ายแพ้”ในแววตาลู่ชุนเยี่ยน พรวดพุ่งด้วยความแค้นอย่างท่วมท้นนางและตระกูลเสิ่นมีความแค้นอย่างมากจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้“พระนาง เจ้าพูดรุนแรงเกินไป พวกเราต้องชนะเสิ่นหยวนเลี่ยง ทว่าในขณะเดียวกันก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี ถ้าเจ้าตาย ข้า......ฝ่าบาทก็จะเจ็บปวดใจและเศร้าโศก”การเผยความในใจอย่างเผลอตัวของเฉินฝานครั้งนี้ ทำให
“ใต้เท้า ใต้เท้า!”เฉินฝานเพิ่งเดินมาทางดอกไม้ของสวนหม่อน ด้านหลังก็เสียงสดใสดังกังวานขึ้นเสียงเพิ่งจะดังขึ้น ใบหน้ารูปไข่มีชีวิตชีวาวัยแรกแย้มของลู่ซืออี๋นั้นพลันปรากฏมาอยู่ด้านหน้าเขาแสงไฟยามราตรีสลัวสาวงามปราดเปรียวลู่ซืออี๋นำทางอยู่ด้านหน้า เฉินฝานเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน“โอ้ หิมะตกแล้ว!”เสียงตื่นเต้นใสแจ๋วของลู่ซืออี๋ดังขึ้นอีกครั้งเฉินฝานเงยศีรษะขึ้นเกล็ดหิมะสีขาวค่อยๆร่วงหล่นมาจากฟากฟ้าตกกระทบลงบนดอกคาเมลเลียสีทอง ทำให้ดอกคาเมลเลียสะท้อนแสงเปล่งประกายดอกคาเมลเลียสีทองบานสะพรั่งอย่างกะทันหัน ราวกับพวกมันเข้าใจว่านี่เป็นโอกาสผลิบานครั้งสุดท้ายในชีวิตของพวกมันแล้ว หลังจากที่หิมะหยุดตกแล้ว อากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ พวกมันก็ผลิบานไม่ได้อีกต่อไปมองดอกคาเมลเลียสีทองที่กำลังเบ่งบาน ในหัวสมองของเฉินฝานพลันปรากฏใบหน้าที่สวยสดงดงามของลู่ชุนเยี่ยนนางเป็นดั่งดอกคาเมลเลียที่อยู่ด้านหน้า“เป็นหิมะแรกเลยนะ ใต้เท้า!” ลู่ซืออี๋วิ่งมาหาเฉินฝาน จูงมือของเขา “รีบอธิษฐานเร็ว อธิษฐานกับหิมะแรก ศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ”“เร็วสิ!”เมื่อเห็นว่าเฉินฝานนิ่งเฉย ลู่ซืออี๋เร่ง
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ