พลิกจากฝ่ายตั้งรับเป็นรุกบดขยี้จูบนี้ เข้าบุกโจมตีริมฝีปากสีแดงของนาง ให้นางให้รู้ซึ่งว่าสิ่งใดจึงเรียกว่าจุมพิต“อื้ม~”เด็กสาววัยแรกแย้ม จะรับมือได้อย่างไรกัน ไม่มีเวลาพักหายแม้แต่น้อย ทรุดตัวลงในอ้อมอกของเฉินฝาน ครวญครางอย่างต่อเนื่อง สื่อถึงการขอร้องเล็กน้อยเฉินฝานกลับไม่คิดที่จะปล่อยนางไปแบบนี้เป็นคนเริ่มก่อน ก็ควรที่จะสั่งสอนนางเสียหน่อยวิธีการจูบของเฉินฝานล้ำเลิศ ทำให้ลู่ซืออี๋คลั่งไคล้อยู่ในวังวน นางเหมือนกับปลาที่เกยตื้น พยายามเกาะเฉินฝานอย่างสุดชีวิตเฉินฝานในตอนนี้กลายเป็นมหาสมุทรที่นางใช้ชีวิตอยู่รสชาติของสาวน้อย แตกต่างอย่างที่คิดไว้ระหว่างที่ไม่รู้ตัว เฉินฝานก็เริ่มคลั่งไคล้อยู่ในวังวนเช่นกัน เขาโอบเอวของลู่ซืออี๋แน่นขึ้นเรื่อยๆตอนที่เฉินฝานเปิดปากจนไปชนฟันของนางร่างบอบบางของลู่ซืออี๋สั่นเทา ตอนที่ตัวโน้มลงพิงตามแรงของเฉินฝาน ร่างบางตัวแข็งทื่อทันทีนางรู้สึกได้ว่าบางที่......อธิบายไม่ถูกนางรู้สึกหวาดกลัว“ใต้เท้า อย่านะ!”มือสองข้างผลักไปช่วงอกของเฉินฝาน สีหน้าเขินอายแดงก่ำของลู่ซืออี๋โผล่ออกมาจากอ้อมอกของเฉินฝานเฉินฝานก้มหน้าลงมาเชยชมริมฝีปากส
“ใต้เท้า บ้าที่สุด!” ลู่ซืออี๋หน้าแดงทำทางฮึดฮัด “ข้ามาเตือนใต้เท้าให้รักษาคำพูด พรุ่งนี้อย่าลืมมาหา”เมื่อพูดจบ ก็หันกายวิ่งกลับที่สวนหม่อนด้วยความรวดเร็วรถม้าของเฉินฝานเพิ่งจะออกไปเงาร่างที่พราวเสน่ห์นั้นวิ่งออกมาจากด้านหลังต้นดอกคาเมลเลียสายตาของสาวน้อย ติดตามรถรถม้าที่แล่นออกไปอย่างไม่ละสายตามือของนางวางทาบอกซ้ายตึก ๆ ๆ ๆ หัวใจใต้ทรวงอกรู้สึกเหมือนจวนจะระเบิดออกมาในดวงตากลมโตดั่งดวงดารา เติมเต็มไปด้วยความรักที่มากมาย ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงแฝงไปด้วยความเขินอายนี่......คือการที่หัวใจถูกครอบครองที่แม่บอกหรือกระไรความรู้สึกเช่นนี้มันช่างงดงามเสียเหลือเกินทว่า......ใบหน้าแดงก่ำ ขมวดคิ้วทันทีเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า นางเริ่มถวิลหาใต้เท้าอย่างบ้าคลั่งแล้วถวิลหารอยจุมพิตของใต้เท้า ถวิลหา......ของใต้เท้าเฮ้ยๆ !ลู่ซืออี๋ส่ายหน้าไปมาไม่หยุด ดุด่าที่ตนเองคิดเรื่องไร้สาระนางประสานมือสองข้าง กล่าวอธิษฐานกับฟากฟ้านางอธิษฐานให้คืนวันพรุ่งนี้ให้มาถึงเร็วขึ้นบางที่นี่อาจเป็นการเชื่อมจิตของแม่ลูกก็ได้ ตอนที่ลู่ซืออี๋กำลังอธิษฐาน ลู่ชุนเยี่ยนที่อยู่ใ
“ใช่แล้ว!” หลี่ซานเกาหัวสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ “เช่นนั้นพวกเราควรจะเช่นไร จะให้นั่งรอความเฉยๆคงไม่ได้กระมัง พระนาง”หลี่ซานหันไปถามลู่ชุนเยี่ยน “เมื่อครู่ท่านกล่าวว่ามีหนึ่งวิธี”“ใช่แล้ว” เฉินฝานก็พยักหน้าเช่นกัน “พระนาง บอกวิธีของเจ้ามาเถอะ”ลู่ชุนเยี่ยนก็ไม่อ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมา “พวกเขาต้องการแข่งสงครามราคากับพวกเรา!”“หืม?” เฉินฝานเด้งตัวขึ้นมาทัน จ้องเขม็งไปที่ลู่ชุนเยี่ยน“ใต้เท้า เป็นอะไรไป?” ลู่ชุนเยี่ยนถูกเฉินฝานจับจ้องจนทำตัวไม่ถูก “หม่อมฉันพูดอันใดผิดไปหรือเพคะ?”เฉินฝานโบกมือ “ไม่มีอะไร เจ้าพูดต่อเถอะ”เมื่อครู่เขาถูกคำว่าสงครามราคาของลู่ชุนเยี่ยนทำให้ตกใจเล็กน้อยได้ยินคำว่าสงครามราคาจากปากคนยุคโบราณคนหนึ่ง ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ความสามารถทางการค้าของลู่ชุนเยี่ยน สูงกว่าที่เขาคิดไว้อย่างมากสายตาอ่อนโยนของลู่ชุนเยี่ยนเหลือบมองเฉินฝานเล็กน้อย พวกเขาลดราคา พวกเราก็สามารถลดราคาได้!”“ลู่เฟย ท่านอย่าลืมสิว่าตอนนี้พวกเราแม้กระทั่งผ้าก็ยังไม่มี จะลดราคาได้เยี่ยงไร!” หลี่ซานกล่าวเตือนลู่ชุนเยี่ยน“ผ้าพวกเราซื้อไม่ได้ในต้าชิ่ง สามารถไปซื้อที่แคว้นฉู่
วันรุ่งขึ้นหลังจากเข้าท้องพระโรงเสร็จ เสิ่นหยวนเลี่ยงกลับมาถอดชุดขุนนางเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาออกจากบ้านไปเขาต้องการไปตรวจสอบลาดเลาร้านสิ่งทอ ป้องกันไม่ให้ร้านสิ่งทอแบบขายผ้าให้เฉินฝาน“ฮ่าๆๆๆ!”เสิ่นหยวนเลี่ยงเพิ่งออกมาจากชายคา ก็พบกับเสิ่นหยวนฮวาที่หัวเราะเสียงดังมาจากด้านนอก“ท่านพี่ ไปหาสาวงามมาอีกแล้วหรือ?” ข้าว่าพี่สำรวมหน่อยดีกว่า ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูท่านพ่อ พี่ก็จะงานเข้าอีกเสิ่นหยวนเลี่ยงกล่าวเตือนเสิ่นหยวนฮวาเสิ่นหยวนฮวามักมากในกามคุณ ชอบสะสมสาวงามไว้หลายแบบ คุณชายตระกูลมหาเศรษฐีในเมืองหลวงล้วนเป็นเช่นนี้กันหมด เสิ่นหยวนฮวาเองก็ไม่ยกเว้น ทว่าวิธีการที่เขาสะสมสาวงามโหดเหี้ยมอย่างมากคนอื่นมองแล้ว ยังให้เงิน เสิ่นหยวนฮวาฉุดมาเสียอย่างนั้น ทำให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย หากเลขาธิการกรมยุติธรรมไม่ช่วยเขาอำพรางไว้ ก็คงจะวุ่นวายไปทั่วเมืองแล้วเสิ่นหยวนฮวาโบกมือ “สาวงามอะไรกัน สาวงามจะน่าขันสู้เรื่องนี้ได้อย่างไร พูดไปก็เป็นเรื่องของเจ้านั้นหละน้องรอง!”“เรื่องของข้า?” เสิ่นหยวนเลี่ยงชี้ตนเองด้วยความสงสัย เขาจะมีเรื่องอันใดที่ทำให้เสิ่นหยวนฮวาดีใจจนเป็นเช่นนี้“ใช่! น้องรอง
“ปึก!”เสิ่นหมิงหยวนยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาขว้างใส่หน้าของเสิ่นหยวนฮวาอย่างรุนแรง “ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”“ท่านพ่อ...”เสิ่นหยวนฮวาสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ ยังคิดที่จะถามเสิ่นหมิงหยวนว่าตนเองพูดอันใดผิดไป เสิ่นหมิงหยวนก็กำลังยกกาน้ำชาขึ้นมาอีกน้ำชาในการ้อนอย่างมาก เสิ่นหยวนฮวาตกใจจนหนีออกไปจากลานบ้านทันที“ท่านพ่อมีอคติ หรือว่าที่ข้าพูดไม่ถูกกันแน่?” เมื่อกลับถึงห้อง เสิ่นหยวนฮวากล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง“สามี” ภรรยาของเขากล่าวด้วยความระมัดระวัง “ในตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนท่านไม่ควรพูดมากเช่นนั้น ร้านสิ่งทอตระกูลฉิน หนึ่งเดือนทำเสื้อผ้าไม่ได้มากมายเช่นนั้นก็จริง ทว่าหากเป็นสามเดือนล่ะ?”เสิ่นหยวนฮวาตาเบิกโพลงมองไปที่นางเสิ่น “ช่างคิดอย่างตื้นเขินเสียจริง สามเดือนงั้นรึ? หนึ่งเดือนการประลองระหว่างน้องรองกับเฉินฝานก็จบลงแล้ว”“สามี เรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น ชาวบ้านที่ต่อแถวจ่ายเงิน จ่ายล่วงหน้าไปสามเดือนแล้ว หรือก็คือ ถึงแม้เสื้อผ้าพวกเขาจะขายในราคาเก้าหลี่เก้า ทว่าขายได้จำนวนมาก”“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ไม่เพียงแค่เมืองหลวงเท่านั้น ทั้งอาณาประเทศหรือแม้กระทั่
ในที่สุดเปลวไฟบนร่างของหลิวเกาจัวก็ถูกดับลง ทว่าโดนเผาอย่างสาหัส หากไม่พักสามถึงห้าเดือนก็ไม่มีทางเข้าท้องพระโรงได้“เลี่ยงเอ๋อร์ เจ้าคิดวิธีอันใดออก”เสิ่นหมิงหยวนไม่ได้ใส่ใจหลิวเกาจัวที่เผาจนบาดเจ็บแม้แต่น้อย เขากล่าวถามอย่างอดใจรอไม่ไหวเสิ่นหยวนเลี่ยงชี้ไปที่ตะเกียงไฟเสิ่นหมิงหยวนมึนงงทันที “ตะเกียงไฟ?”“โอ้!” เสิ่นหยวนฮวาวิ่งออกมาจากมุม กล่าวราวกับได้ความดีความชอบ “น้องรอง เจ้าคิดจะเผาร้านสิ่งทอตระกูลฉินให้วอดวาย เช่นนั้นเจ้าวางใจ...”เสิ่นหยวนฮวาตบหน้าอกตนเองเบาๆ กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ส่งต่อให้พี่เถอะ รับรองว่าจะเผาไม่ให้เหลือเสื้อผ้าแม้ตัวเดียว”เพื่อที่จะปล้นสาวงาม เขาทำเรื่องเช่นนี้เป็นนิจเสิ่นหยวนเลี่ยงส่ายหน้า “ท่านพี่ วิธีที่พี่พูดนี้ จะมีผลเสียต่อพวกเรา และเฉินฝานต้องใช้เหตุผลนี้ ให้ฝ่าบาทออกคำสั่งตรวจสอบก่อน จึงประลอง หากฉุกละหุกตรวจสอบอันใดเจอขึ้นมา ก็ทำให้พวกเราเจอผลเสียมากมาย”“เจ้าคนสมองกลวง ยังไม่ถอยกลับไปอีก!” เสิ่นหยวนฮวากำลังจะพูด ทว่าถูกเสิ่นหมิงหยวนใช้นำเสียงดุดันห้ามปรามไว้ไม่ได้สนใจความรู้สึกเสิ่นหยวนฮวาแม้แต่น้อย เสิ่นหมิงหยวนถามเสิ่นห
“ซื้อ และต้องการซื้อจำนวนมาก”“ใต้เท้า ซื้อไม่ได้นะเพคะ หากซื้อพวกเราก็ติดกับดักแล้ว เงินที่หามาด้วยความยากลำบาก ในท้ายที่สุดก็ตกไปอยู่กระเป๋าของพวกเขา” ลู่ชุนเยี่ยนขมวดคิ้ว หลักเหตุผลตื้นเขินเช่นนี้ เฉินฝานไม่เข้าใจงั้นหรือ“ไม่ให้เจ้าไปซื้อจากเสิ่นหยวนเลี่ยงเสียหน่อย ร้านน้ำมันในต้าชิ่งไม่กล้าขายให้พวกเรา แล้วแคว้นฉู่แคว้นเยี่ยนล่ะ ถึงแม้นำเข้าแคว้นเราต้องผ่านมือตระกูลหลี่ ทว่าขอเพียงแค่พวกเราให้ราคาสูง เหล่าพ่อค้าแคว้นฉู่แคว้นเยี่ยนนั้นต้องยอมกล้าเสี่ยงแน่นอน”พูดจบ เฉินฝานออกคำสั่งกับหลี่ซาน และส่งเหอจื่อหลินไปด้วยกัน“ใต้เท้า ท่านให้หลี่ซานไปก็ใช้ได้แล้ว ไยต้องให้ผู้บัญชาการเหอไปอีก เช่นนี้เป้าหมายเยอะเกินไปแล้ว พวกเขาทั้งสองจะต้องถูกเสิ่นหยวนฮวาทราบแน่นอน” ลู่ชุนเยี่ยนกล่าว“ก็ต้องให้เป้าหมายใหญ่ ไม่เช่นนั้นเสิ่นหยวนฮวาจะเจอพวกเราได้อย่างไร”หากไม่ใช่เพราะว่าต้องเข้าวังไปช่วยฉินเย่ว์เหมยโปรดปรานฮองเฮาทุกวัน เฉินฝานยังอยากจะไปด้วยตนเองเลยเมื่อได้ยินดังนั้นลู่ชุนเยี่ยนร้อนใจกว่าเดิม นางไม่เข้าใจจริงๆว่าเฉินฝานคิดอันใดอยู่กันแน่ “ใต้เท้า ท่าน...”“พระนาง!” เฉินฝานแตะมือลู
หลี่ซานกับอาของเสิ่นหยวนเลี่ยง สู้รบราคารับซื้อน้ำมันมาครึ่งเดือน ในท้ายที่สุดหลี่ซานก็จากลาด้วยความพ่ายแพ้ถึงแม้ว่าจะสู้รบมาครึ่งเดือนนานเพียงนั้น ทว่าหลี่ซานซื้อน้ำมันกลับมาไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าเขาเสนอราคาเท่าใด ฝ่ายตรงข้ามก็จะให้สูงกว่าเขาหนึ่งเท่าเสมอ“ไม่เลว!” เฉินฝานนับธนบัตรบนร่างหลี่ซาน พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“ดีอะไรกันเล่า!” หลี่ซานก้มหน้าสีหน้าเปี่ยมด้วยความหดหู่“จะไม่ดีได้อย่างไร พี่ดูสิ!” เฉินฝานสะบัดธนบัตรปึกใหญ่นี้ไปมา “เงินธนบัตรเยอะกว่าตอนออกไปตั้งหนึ่งหมื่นตำลึง”พ่อค้าน้ำมันแคว้นฉู่คนหนึ่งรับปากหลี่ซานว่าจะให้น้ำมันสนหมื่นเหลียงกับเขา หลังจากที่ฝั่งเสิ่นหยวนเลี่ยงขึ้นราคา พ่อค้าคนนั้นก็เอาเงินธนบัตรคืนให้เขา และคืนให้สองเท่า“น้องฝาน มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้าอย่าทำเป็นเล่น รีบคิดหาวิธีอื่นเถอะ” หลี่ซานร้อนใจจะตายแล้ว ก่อนที่จะมาพบเฉินฝาน เขาไปทำความเข้าใจกับลู่ชุนเยี่ยนมาแล้ว น้ำมันสนที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เหลือใช้เพียงแค่หนึ่งวันแล้ว“ข้าจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้มีเพียงร้านค้าตระกูลมารดาเสิ่นหยวนฮวาที่ขายให้พวกเราแล้ว” เฉินฝานนำเงินธนบัตรในมือส่งให้หลี่ซาน “พี่
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ
ผ่านไปไม่นาน ฉินฮวากับฉินเหนียนก็ถูกช่วยออกมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เฉินฝานก็ยกทัพออกศึกแล้วฉินฮวากับฉินเหนียนเห็นเฉินฝาน ความตื่นเต้นดีใจไม่ได้น้อยไปกว่าฉินเย่ว์โหรวเลยนี่ก็คือสามีของพวกนาง บุรุษที่เหมือนกับขุนเขาเขาไม่ตาย ไม่ตายช่างดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินจริง ๆ! “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีคำพูดมากมายอยากถามข้า แต่ตอนนี้พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน” “ปัง!” คำพูดของเฉินฝานยังไม่ทันสิ้นสุดลง กำแพงที่เชื่อมต่อกับลานด้านนอกพลันถล่มลงมา เปลวไฟที่ลุกโชน ราวกับมังกรเพลิงพุ่งคำรามจากด้านนอกเข้าไปในลานบ้านตัวแล้วตัวเล่าเฉินฝานขมวดคิ้วไฟไหม้นี้รุนแรงขึ้นกว่าสองเท่าจากตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเฉินฝานสูดจมูก ไม่ใช่ในไฟนี้มีกลิ่นน้ำมันสน“ซ่า!” เฉินฝานมองเห็นจากไกล ๆ ว่ามีทหารนายหนึ่งสาดน้ำถังหนึ่งมาทางลานบ้านกลิ่นน้ำมันสนแรงมากขึ้น แท้จริงแล้วในถังนั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นน้ำมันสนที่ดูใกล้เคียงกับน้ำ“ซ่า!”‘น้ำ’ อีกถังสาดเข้ามาจากด้านนอก และครั้งนี้ทหารคนนั้นวิ่งเข้าไปในลาน แล้วราดใส่ศีรษะของพวกเขาโดยตรง“หมอบลง!” เย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูได้รับการฝึกอบรมมากแล้ว เข้าใจคำสั่งนี้
บางครั้งสาวงามมักจะโง่งมเล็กน้อย “เจ้าไม่ลืมตา แล้วจะมองเห็นสามีได้อย่างไรเล่า?” เฉินฝานพูดพลางเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของฉินเย่ว์โหรวเวลานี้เอง ฉินเย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูก็เข้ามาเช่นกัน พวกนางใช้ผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของจินเหยียนไชเป่า ก่อนจะอุ้มพวกเขาไปจากอ้อมกอดของฉินเย่ว์โหรว ฉินเย่ว์โหรวที่ถูกเฉินฝานเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกยังคงไม่มีความคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าทันใดนั้นเองอ้อมกอดก็ว่างเปล่าในฐานะมารดาคนหนึ่ง จู่ ๆ บุตรถูกอุ้มไปเป็นเรื่องที่ตื่นตัวมากที่สุด นางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“...”ฉินเย่ว์โหรวมองพวกเฉินฝานด้วยสายตาตะลึงงัน ไม่มีความประหลาดใจยินดี ไม่มีการร้องตะโกน น้ำตาค่อย ๆ เอ่อคลอเต็มดวงตา สุดท้ายก็พรั่งพรูออกมา“นายท่าน พี่หญิงสาม เย่ว์หนู ขอบใจนะเจ้าคะที่ยังอดทนรอข้าอยู่บนทางสู่ปรโลก”“ปัง“เพล้ง!” คานไม้ตรงมุมห้องที่ถูกเผาจนหักหล่นลงมา ทำให้กระเบื้องหลังคาร่วงตามลงมาด้วย“ทางสู่ปรโลกอันใด...เฮ้อ เจ้านี่นะ นอกจากตอนนับเงินที่ฉลาดมากแล้ว เวลาอื่น ๆ ช่างโง่งมเสียจริง ข้าไม่พูดมากกับคนโง่งมอย่างเจ้าแล้ว”เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์โหรวขึ้นมาแล้วเดินออกไป ฉิ
ภายในคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า“แค่ก แค่ก แค่ก!”“แง้ แค่ก แง้!”เสียงไอของผู้ใหญ่และเสียงไอผสมร้องไห้ของเด็กดังสลับกันไปมา อีกทั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนมากมายปะปนอยู่ในนี้ด้วยมีคนถูกคานที่หล่นลงมาจากหลังคาและประตูหน้าต่างที่โดนถูกเผา ร่วงทับใส่ไม่หยุด “จินเหยียนไชเป่า พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่ ๆ” ฉินเย่ว์โหรวกอดบุตรชายทั้งสี่คนไว้ในอ้อมแขนแน่น ๆ เด็กน้อยที่น่าเวทนาทั้งสี่คนเพิ่งจะอายุได้หนึ่งขวบกว่า แต่ละคนหน้าแดงก่ำเพราะไฟที่เผาไหม้ ฤดูเหมันต์ ทั่วทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เหยียนเป่ากับไชเป่าร่างกายอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่ว์โหรว พวกเขาก็แทบจะไม่มีสติแล้ว“เหยียนเป่า ไชเป่า พวกเจ้าฟื้นสิ พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาสิ!” ฉินเย่ว์โหรวร้องเรียกชื่อของบุตรชายสองคนด้วยความกังวลใจแต่เหยียนเป่ากับไชเป่าไม่มีการตอบสนองเลย“ช่วยด้วย หมัวมัว หมัวมัว”“แค่ก ๆๆ” ฉินเย่ว์โหรวร้องขอความช่วยเหลือแววตาตื่นตระหนก ตะโกนหาหมัวหมัวที่ดูแลข้างกายนางมาโดยตลอด เมื่อเอ่ยปากก็มีควันเข้ามาในปาก ทำให้นางสำลักจนแทบจะทรงตัวนั่งไม่ได้ไม่มีผู้ใดตอบรับฉิน
ภายใต้เสียงร้องเรียกของคนมากมาย เสิ่นหมิงหยวนปรากฏตัวตรงหน้าฉินเย่ว์เหมย คุกเข่าบนพื้น“ฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็ฟื้นแล้ว”เสิ่นหมิงหยวนในสภาพหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน คล้ายเพิ่งหนีตายเห็นฉินเย่ว์เหมยมองเรือนที่พักของฉินเย่ว์โหรวด้วยสีหน้ากังวล เขารีบพูดขึ้นทันที “ฝ่าบาท โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ แม้กระหม่อมจะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ก็จะช่วยพวกฮูหยินตระกูลเฉินออกมาจากเพลิงไหม้”“แล้วเจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปช่วยอีก!” ฉินเย่ว์เหมยตะคอกเสียงดังกล่าวว่าทำสุดความสามารถ กล่าวว่าแม้จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่เสิ่นหมิงหยวนใช้สำหรับถ่วงเวลาก็เท่านั้นหลายวันมานี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่ได้กินข้าวและไม่ได้ดื่มน้ำ เมื่อตะคอกเสียงดัง นางรู้สึกคล้ายดาวลอยอยู่ตรงหน้า“ฝ่าบาท!”หงอิงรีบพยุงฉินเย่ว์เหมยที่กำลังจะล้มลง“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเองเสิ่นหมิงหยวนก็ลุกขึ้นยืน “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องทำตอนนี้คือพักผ่อน ที่เหลือให้กระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ ไม่สนใจว่าฉินเย่ว์เหมยเห็นด้วยหรือไม่ เขาสั่งให้หลี่ชิ่งเอาตัวฉินเย่ว์เหมยออกไปเวลานี้ทหารรักษาพระองค์ท
“สวรรค์ แคว้นต้าชิ่งของเราเพิ่งสูญเสียท่านใต้เท้าอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ตอนนี้ไฟไหม้เรือนที่พักของท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาอีก สวรรค์กำลังลงโทษหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายสิ้นใจแล้ว ภรรยาและลูกของท่านยังอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนอีก”“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวทราบดีว่าเฉินฝานฝีมือไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งเร็วเช่นนี้ นางไล่อย่างไรก็ไล่ตามไม่ทันวันนี้ลมแรงยิ่งนักเรือนเหนือและเรือนข้างเคียงภายในจวนเจ้าเมืองเซียนตู ไฟลุกโชนเปลวไฟลุกโชน ภายใต้ลมพัดกระหน่ำที่ช่วยโหมให้เปลวไฟรุนแรงมากขึ้น เสียงลมกลืนกินสรรพสิ่ง ควันโขมงปกคลุมทั่วทั้งจวน เปลวไฟที่แผดเผาทำให้คนหายใจไม่ออก เสียงเพลิงไฟ กรีดร้องและคำรามดังก้อง ราวกับเปลวไฟกำลังจะกลืนกินทุกชีวิตพื้นที่ไฟไหม้ชุลมุนวุ่นวาย ภายใต้เปลวไฟ คนมากมายกำลังร่ำไห้ กำลังวิ่ง แววตากังวลและหวาดกลัว รวมถึงเสียงร้องที่กรีดหัวใจเปลวไฟยังคงลุกโชนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายกำลังหัวเราะเยาะความพยายามอันไร้ค่าของมนุษย์ตัวเล็กๆ“เร็ว เร็วเข้า ช่วยคนเร็วเข้า!”ฉินเย่ว์เหมยที่ร่างกายอ่อนแอ กระโดดลงจากเกี้ยว ผลักขันทีและนางกำนัลข้างกาย
เฉินฝานเข้าเมืองวันที่สอง ก็คือวันที่สองในการจัด ‘พิธีไว้อาลัย’ ของเขาเช่นเดียวกันฟ้ายังไม่สว่าง เฉินฝานก็ตื่นเพราะเสียงร้องไห้ครวญครางด้านนอกเสียงร้องไห้ของชาวบ้าน ยิ่งฟังก็ยิ่งร้องไห้ด้วยความเสียใจเมื่อถาม จึงได้รู้ว่าต้องเสียใจมากๆ เท่านั้นนักการในศาลาว่าการมาตรวจตราได้ทุกเมื่อ หากร้องไห้ไม่เสียใจมากพอ ภาษีปีนี้ จะต้องจ่ายเพิ่มหนึ่งเท่าตัวหนึ่งเท่าตัวทุกคนล้วนร้องไห้ครวญครางเฉินฝานและพวกฉินเย่ว์เจียวแฝงตัวในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังร้องไห้ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดพิธีไว้อาลัย แท่นบูชาสวรรค์ของเมืองเซียนตู“ถอยไป ถอยไป!”ขณะที่พวกเขาอยู่ห่างจากแท่นบูชาหลายร้อยเมตร ทันใดนั้นเองด้านหน้าก็มีเสียงตะโกนด้วยความรีบร้อนคาดเดาจากประสบการณ์ น่าจะเป็นคนสำคัญสักคนหนึ่งออกมาจากแท่นบูชาคนแรกที่ปรากฏในสายตาของเฉินฝาน คือขุนนางหนวดเคราขาวโพลนสี่ห้าคนคนพวกนั้น เฉินฝานรู้จักพวกเขาไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นหมอหลวงในวังหลวง พวกเขาดูรีบร้อนยิ่งนัก คนสุดท้ายนั่งเกี้ยวไร้หลังคาตามไป“ได้ยินว่าฮูหยินนามเย่ว์โหรวของท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายสลบไปอีกแล้ว”ด้านข้างมีเสียงคนกระซิบกระซาบ
”ที่ว่าแย่มากนั้นแย่เพียงใด”“นับตั้งแต่ข่าวการเสียชีวิตไปถึงเมืองหลวง ฮูหยินเย่ว์โหรวก็กินไม่ได้เลยเพคะ”ฉินเย่ว์เหมยขมวดคิ้วเป็นปม “หงอิง สั่งพวกหมัวมัว ให้พวกนางอุ้มจิน เหยียน ไช เป่าไปที่ห้องของเย่ว์โหรว ให้พวกเด็กๆ ในกับเย่ว์โหรว ห้ามไปไหนแม้แต่วินาทีหนึ่ง”สตรีคนหนึ่งสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก สิ่งเดียวที่ทำให้นางมีชีวิตต่อไปได้ คือลูก...ในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องขวา เสิ่นหมิงหยวนก็พักที่จวนเจ้าเมืองเช่นเดียวกันเขาพักอยู่ในเรือนทางทิศเหนือของจวน เรือนนี้ค่อนข้างไกลจากเรือนหลักเสิ่นหมิงหยวนยังเดินไปไม่ถึงเรือนเหนือ ก็เห็นหลี่ชิ่งยืนรอเขาจากที่ไกลๆ แล้ว“ใต้เท้า!”ทันทีที่เจอเสิ่นหมิงหยวน หลี่ชิ่งรีบเดินมาหาทันทีเสิ่นหมิงหยวนยกมือขึ้นบอกหลี่ชิ่งว่ายังไม่ต้องพูด ตามเขาเข้าไปในเรือนก่อน“ใต้เท้า อาการของฝ่าบาทตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ฟื้นหรือยัง?”เสิ่นหมิงหยวนที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่นั้นชะงักเล็กน้อย แววตาของเขาฉายความไม่สบอารมณ์ “แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าเป็นห่วงมันทำไม?”“ขอรับ ใต้เท้า!” หลี่ชิ่งรีบก้มหน้าลงทันที“ยังไม่เจอตัวอีกหรือ?” เสิ่นหมิงหยวนถามหลี่ชิ
“ฉินเย่ว์เจียวตั้งใจยิงธนูไปที่น่องของหญิงวัยกลางคนทว่าหัวลูกธนูนี้ค่อนข้างทื่อ ทำให้คนล้มลง แต่ไม่ทำให้คนบาดเจ็บสาเหตุที่ฉินเย่ว์เจียวทำเช่นนี้ เพราะอยากจะทดสอบดูว่า หญิงวัยกลางคนคนนี้มีวรยุทธ์หรือไม่ยามคับขัน ระมัดระวังหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่ดีฉินเย่ว์เจียวใช้สายตาส่งสัญญาณให้เย่ว์หนู เย่ว์หนูเข้าใจทันที รีบไปพยุงหญิงวัยกลางคน พร้อมกับขอโทษนางเย่ว์หนูที่เดินกลับมาหาฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าหญิงวัยกลางคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพักเท่านั้น...ณ จวนเจ้าเมืองของซื่อต้าเผิง เมืองเซียนตูห้องนอนใหญ่กลางจวน เดิมทีห้องนี้เป็นห้องของซื่อต้าเผิงแต่ว่า ตอนนี้ซื่อต้าเผิงกำลังก้มหน้าโค้งคำนับ ยืนอยู่ข้างประตู ไม่อาจเข้าไปได้ และไม่มีสิทธิ์เข้าไปเสิ่นหมิงหยวนกลับเข้ามาด้วยความรีบร้อนเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู สีหน้าของเขาฉายความกังวลทันทีเขาเดินมาที่หน้าเตียง มองคนบนเตียงคนบนเตียง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทว่าซีดขาวคิ้วของเสิ่นหมิงหยวนขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยถามชายชราที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง “หมอหลวงสวี เมื่อไหร่ฝ่าบาทจะฟื้น?”หมอหลวงสวีส่ายหน้า