ท้องพระโรงเช้าวันนี้ หลินชางเป็นคนแรกที่พูดเขาถือหยกสมปรารถนา ยืนอยู่หน้าตำหนัก “ฝ่าบาท ตั้งแต่เฉินฝานเลื่อนขั้นเป็นซื่อหลางกรมพระคลัง ตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลังว่างเว้นมาโดยตลอด ท้องพระคลังถือเป็นรากฐานของแคว้น หวังว่าฝ่าบาทรีบเลือกคนมาทำหน้าที่นี้พ่ะย่ะค่ะ”“เสนาบดีกรมพระคลัง ต้องรีบแต่งตั้งพ่ะย่ะค่ะ”ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งพูดจบ หลิงชางหยิบรายชื่อออกมาจากแขนเสื้อในใบรายชื่อของหลินชางมีเพียงคนเดียว หลังจากเขาอ่านชื่อในใบรายชื่อ ยังตั้งใจพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค“ฝ่าบาท บุคคลที่จะถูกคัดเลือกนี้ กระหม่อมให้ท่านอัครเสนาบดีดูแล้ว ใต้เท้าเห็นว่าคนผู้นี้มีความสามารถโดดเด่น มีความสามารถที่จะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง”หลินชางอ้างชื่อเสิ่นหมิงหยวนความหมายที่ซ่อนอยู่นั้นก็คือไม่ได้ให้ฉินเย่ว์เหมยตัดสินใจ เพียงแจ้งให้ทราบเท่านั้นเสิ่นหมิงหยวนเงียบ เพียงพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าหลินชางพูดถูกมือของฉินเย่ว์เหมยที่จับบัลลังก์มังกรอยู่นั้น กุมแน่นเล็กน้อยคนผู้นั้นมีความสามารถ?ถุย!คนที่หลินชางพูดถึง คือมั่วหมิงเจอบุตรของพี่สาวหลินชางมั่วหมิงเจอคือคุณชายเที่ยวเตร่ไม่เอาการเอางานคนหนึ่
“ตึ้ง!”บุรุษที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวสะดุดล้ม เนื้อตัวของเขาสั่นจนไม่อาจควบคุมได้ ข้างกายเขาคือเสิ่นหยวนเลี่ยงพอดิบพอดีเสิ่นหยวนเลี่ยงยื่นมือไปพยุงตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกชายคนนั้นกระชากให้ล้มลง“ใต้เท้า”“ท่านไม่เป็นอะไรกระมังพวกพ้องของเสิ่นหมิงหยวนล้วนเป็นพวกประจบประแจง เมื่อเห็นเสิ่นหยวนเลี่ยงล้มลง รีบกรูกันเข้ามาขุนนางที่ยืนล้อมเสิ่นหยวนเลี่ยงไม่น้อยกว่าสิบคนชั่วขณะหนึ่ง ในตำหนักวุ่นวายเล็กน้อยท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เสิ่นหยวนเลี่ยงกระซิบบอกชายคนนั้นเสียงเบา “อยากมีชีวิตรอดหรือไม่?”บุรุษชะงักไปครู่หนึ่ง ตามด้วยพยักหน้า “อยากขอรับ”“ดีมาก ข้าขอถามเจ้า เจ้าเป็นคนแคว้นใด?”“ขอรับ?” บุรุษตกอยู่ในความฉงนสงสัยอีกครั้ง “แน่นอนว่าข้าเป็นชาวแคว้นต้าชิ่ง...”“ไม่ใช่ เจ้าคือ...”“โอ๊ยโหย” หลิวเกาจัวที่วิ่งมาคนแรกพยุงเสิ่นหยวนเลี่ยงขึ้นแล้ว หลิวเกาจัวมองนิ้วโป้งของเสิ่นหยวนเลี่ยงด้วยความปวดใจ ตอนล้มลง นิ้วโป้งของเขาบวมเป่ง“โบราณกล่าวว่า นิ้วทั้งสิบประสานกับหัวใจ ท่านใต้เท้าเสิ่นน่าจะเจ็บมากกระมังขอรับ”เสิ่นหยวนเลี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ็บบ้าเจ็บบออะไร!ประจบไม่เป็นก็อย
“ฝ่าบาท พระตำหนักจินหลวน เป็นตำหนักหารือตัดสินงานบ้านงานเมือง ปล่อยให้ขุนนางชั้นต่ำสกปรกเข้ามาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นหมิงหยวนเพิ่งพูดจบ ขุนนางมากมายด้านหลังเขาต่างเห็นด้วย โดยเฉพาะหัวหน้าเลขาฝ่ายพิธีการหลิวเกาจัว“พระตำหนักจินหลวนคือเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจมังกร เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ขุนนางที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเงิน ไม่ควรเข้ามาในนี้พ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาท โปรดรีบไล่พวกเขาออกไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท โปรดมีรับสั่ง!”“ขุนนางในตำหนักคุกเข่ากันเป็นแพคล้ายว่าหากไม่ไล่พวกพ่อค้าเหล่านี้ พวกเขาก็จะก่อกบฏอย่างไรอย่างนั้นฉินเย่ว์เหมยอดทนกับการโจมตีครั้งใหญ่นี้ นางเหยียดตัวนั่งตรง เผชิญหน้ากับสายตาบีบบังคับ“พ่อค้าพ่อสกปรกเช่นนั้นหรือ? ขุนนางที่รัก หรือว่าทุกวันนี้พวกท่านไม่ได้กินข้าวปลาอาหารที่พ่อค้าค้าขายหรือ? หรือว่าพวกท่านไม่ได้จุดตะเกียงน้ำมันที่พ่อค้าค้าขาย? หรือว่าพวกท่านไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่พวกพ่อค้าค้าขาย?”ทันทีที่ถ้อยคำนี้ออกมาจากปากของฉินเย่ว์เหมยพวกขุนนางที่ถูกรังเกียจจนไม่อาจทนได้ อยากจะเดินออกไปเองนั้น น้ำตาคลอเบ้าบัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกร และพ่อค้าวาณิชย์นับ
ตัวของเริ่นอวี่เฟยสั่นเทา “กระหม่อม กระหม่อม...”“ณ แดนเหนือ กองทัพหมาป่ากำลังต่อสู้กับชาวหูที่พยายามลุกล้ำ อากาศหนาวเย็น กองทัพหมาป่ามีความต้องการเสื้อผ้าฝ้ายและกางเกงผ้าฝ้ายโดยด่วน แต่เจ้ากลับฉวยโอกาสนี้ พาพ่อค้าชาวหูมากว้านซื้อดอกฝ้ายของแคว้นเรา”“พูดมา! เจ้าร่วมมือกับศัตรูหรือไม่?”สิ้นเสียงของฉินเย่ว์เหมย บรรดาพ่อค้ารีบพูดทันที “ฝ่าบาท เขาต้องร่วมมือกับศัตรูแน่นอนพ่ะค่ะย่ะ ตอนพ่อค้าชาวหูมากว้านซื้อ ไม่เพียงกว้านซื้อดอกฝ้ายในคลัง แม้กระทั่งดอกฝ้ายในไร่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวพวกเขาก็ซื้อ อย่าว่าแต่เมล็ดฝ้าย แม้กระทั่งเปลือกฝ้ายก็ไม่หักลบพ่ะย่ะค่ะ”“พวกกระหม่อมยังสงสัย ไม่หักลบแม้กระทั่งเมล็ดและเปลือกฝ้าย ทั้งยังซื้อในราคาแพง เขาต้องอยากให้กองทัพหมาป่าหนาวตายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เขาคือกบฏชั่วพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาท!” เหอกังเดินออกมาจากแถวของขุนนาง “กองทัพหมาป่าคือกำลังสำคัญของแคว้น ผู้บ่อนทำลาย ควรถูกลงโทษด้วยการทัณฑ์พาหนะแยกร่างพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อม กระหม่อม...”คำว่าทัณฑ์พาหนะแยกร่างทำให้เริ่นอวี่เฟยเหงื่อแตก ขยับลิ้นอยู่นานก็ไม่อาจทำให้ตรงได้เขาใช้สายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือกับหลิ
เขาเพิ่งได้รับใบสั่งซื้อของราชสำนักจากหลินชาง กำลังนั่งนับเงินในบ้านอย่างมีความสุข สตรีเกรี้ยวกราดคนหนึ่ง ยกธนูขึ้นบุกรุกเข้ามาในบ้านของเขา“ฮ่องเต้ต้าชิ่ง ท่านเป็นใบ้หรือ ฮ่าๆ !” เริ่นอวี่เฟยหยุดด่าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เขาชี้ไปทางขุนนางทั้งหลายแล้วหัวเราะเยาะ “คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ต้าชิ่งของพวกเจ้า จะเป็นใบ้”ฉินเย่ว์เหมยโมโหมากหงอิงก็หงุดหงิดมากเหตุใดนางจึงประมาทเช่นนี้ ไม่ค้นตัวเริ่นอวี่เฟยให้ละเอียด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาพกป้ายชื่อติดตัว“หลี่ชิ่ง!” เสิ่นหมิงหยวนพูดแล้ว “เอาตัวพ่อค้าชาวหูคนนี้...”“ช้าก่อน!”เฉินฝานแหวกจากวงขุนนางที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขา ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าเขาหยุดลงตรงหน้าเริ่นอวี่เฟย พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “อยากตาย?”“ใช่!” เริ่นอวี่เฟยเชิดหน้าขึ้น “อยากตาย เจ้าคือคนที่จะฆ่าข้าหรือ?”เฉินฝานพยักหน้า “แน่นอน แต่ว่า...” ตอนเฉินฝานเดินผ่านเริ่นอวี่เฟย เขาพูดเสียงแผ่วเบา “อยากมีชีวิตรอดหรือไม่?”เริ่นอวี่เฟยชะงักครู่หนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ ถ้อยคำนี้ เขาได้ยินมาสองครั้งแล้วเฉินฝานไม่รอเขาตอบ พูดเสียงเบา ‘อยากมีชีวิตรอด ก็ต้องกัดให้แน่น’พูดจบ เฉินฝานเดินผ่านเขา
“หลินชาง!”เสิ่นหมิงหยวนเดินไปทางหลินชาง“ใต้เท้า!” ราวกับคนจมน้ำ เจอขอนไม้ช่วยชีวิต หลินชางจับเสิ่นหมิงหยวน “ข้ารู้ดีว่า ท่านต้องช่วยข้า...”“ฉึบ!”เสิ่นหมิงหยวนคว้าดาบของหลี่ชิ่ง แล้วแทงลึกเข้าไปในหัวใจของหลินชาง...“แย่แล้ว!”หงอิงพุ่งตัวไป แต่ก็สายไปแล้วเสียงพู่ดังขึ้น ดาบในมือของเสิ่นหมิงหยวนแทงลึกเข้าไปในหัวใจของหลินชางแล้ว“ใต้เท้า ท่าน ท่าน เพราะเหตุใด...”หลินชางเบิกตากว้าง สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อนอกจากลูกชายของตนแล้ว คนที่เสิ่นหมิงหยวนเชื่อใจที่สุด ให้ความสำคัญที่สุดก็คือเขา เหตุใดเสิ่นหมิงหยวนจึงใจร้ายเช่นนี้“เพราะอะไร? คนชั่วที่หักหลังแคว้นร่วมมือกับศัตรู สมควรตาย!”มือที่ถือดาบของเสิ่นหมิงหยวน ออกแรงมากขึ้น“เมิ่นหมิงหยวน เจ้า...”“ตึ้ง!”หลินชางล้มลงบนพื้น กระทั่งตาย ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องเสินหมิงหยวนทุกคนล้วนดูออกหลินชางตายตาไม่รับขณะที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปยังเสิ่นหมิงหยวนและหลินชางเสิ่นหยวนฮวาก็คว้าดาบฟันไปที่เริ่นอวี่เฟยครั้งนี้หงอิงหยุดเอาไว้ได้ทัน แต่นางเพิ่งก้าวเท้าออกไปก็ถูกเฉินฝานห้ามไว้แล้วแม้เริ่นอวี่เฟยจะมีหลักฐานมา
“ส่วนเสิ่นตู้สื่อนั้น รับราชการอยู่ที่กรมคลังมาหลายปี ที่สำคัญตระกูลฝั่งแม่ของแม่ของเสิ่นตู้สื่อคือตระกูลหลี่ที่ทำค้าขายใหญ่ที่สุดของแคว้นเรา เสิ่นตู้สื่อเรียนรู้การแลกเปลี่ยนค้าขายกับน้าชายของเขาตั้งแต่เด็ก มีรากฐานที่มั่นคง ดังนั้น เสิ่นตู้สื่อเหมาะสมที่จะเป็นเลขาธิการกรมพระคลังมากกว่าเฉินซื่อหลาง”“กระหม่อมเห็นด้วย เสิ่นตู้สื่อเหมาะสมที่จะเป็นซื่อหลางกรมพระคลังมากกว่า”“กระหม่อมเห็นด้วย!”“กระหม่อมก็เห็นด้วย!”เสียงเห็นด้วย ดังขึ้น ๆ ลง ๆ ภายในท้องพระโรงเฉินฝานทอดสายตามองไป คนที่ไม่เอ่ยเสียงเห็นด้วยไม่เกินสิบคนภายใต้ความกดดันจากเหล่าขุนนาง ฉินเย่ว์เหมยไม่สามารถบังคับให้เฉินฝานรับตำแหน่งฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ของแคว้นต้าชิ่งเคยออกกฎไว้ว่า ขุนนางระดับชั้นสามขึ้นไป ต้องได้รับการเห็นชอบจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนครึ่งหนึ่งขึ้นไปเท่านั้นเป็นกฎที่ดีมาก หากตอนนี้ครอบครัวของเสิ่นหมิงหยวนไม่ใช่ครอบครัวเดียวที่มีอำนาจในราชสำนักทุกวันนี้เสิ่นหมิงหยวนหลอกใช้กฎข้อนี้ ต้องการให้ใครรับราชการตำแหน่งใด ก็ให้ผู้นั้นเข้ามารับราชการตำแหน่งนั้น“เสิ่นหมิงหยวนใช้วิธีการชั่วร้ายเช่นนี้ทุกครั
“ท่านพี่ ท่านพ่อพูดถูก ตอนนั้นลากเหอจื่อหลินจากขุนพลกุยเต๋อระดับชั้นสามลงมา แล้วเปลี่ยนเป็นพี่รับตำแหน่งแทน ฉินหย่งคังไม่ได้ใช้วิธีนี้เหมือนกันหรือ? แล้วมีประโยชน์หรือไม่? สุดท้ายพี่ก็ได้ตำแหน่งขุนพลกุยเต๋อมาเหมือนกัน”พอพูดจบ เสิ่นหยวนเลี่ยงเชิดหน้าเดินออกไปเขาเริ่มฝึกท่าทางการเดินของเลขาธิการลับ ๆเลขาธิการ ขุนนางระดับชั้นสอง ตำแหน่งรองจากอัครเสนาบดีเพียงหนึ่งระดับเท่านั้นมีความสง่าน่าเกรงขามตั้งเท่าไหร่!หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จไม่นาน หลี่เต๋อฉวนก็ส่งข่าวไปจวนเสิ่นวันนี้หลังจากว่าราชกิจเสร็จ ฉินเย่ว์เหมยเรียกเฉินฝานมาที่ตำหนักไท่เหอ จากนั้นไม่นาน ฉินเย่ว์เหมยก็ออกคำสั่งให้ปล่อยตัวตวนชินอ๋องที่เฝ้าสุสานหลวงกลับเข้ามา“ให้ตวนชินอ๋องกลับมา? คนขี้เมาหยำเปนั่น จะหน่วงเหนี่ยวน้องเลี่ยงเป็นเลขาธิการกรมพระคลังได้?”“นี่เป็นข้อเสนอของใครกัน? คงไม่ใช่เฉินฝานไอ้อ่อน/หัดนั่นหรอกกระมัง!”“ฮ่า ๆ!” เสิ่นหยวนฮวาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง“เมื่อเช้า ท่านพ่อพูดถูก หมาแมวตามซอกมุม มีความสามารถเพียงเท่านั้นแหละ เสนอให้มาอยู่ใต้ชายคาของเรา ถือว่าเป็นความผิดของลูกเองจริง ๆ”-การว่าราชกิจในเช้าวั
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ