“ใช่!” ตวนซินอ๋องยืนเซไปเซมา ชี้นิ้วก่นด่าฉินเย่ว์เหมยต่อ “ถึงแม้ว่าของข้าจะเป็นเสื้อคลุมมังกรม่วง ทว่าวัสดุที่ใช้ก็ควรจะมาจากอุทยานหม่อนหลวง!”“ถึงแม้ข้าจะเคยมีปัญหากับท่านพี่มาก่อน ทว่าตอนที่ท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยขาดส่งวัสดุดิบเสื้อคลุมม่วง แต่คนสารเลวอย่างเจ้ากลับ...”“หงอิง ฉินเย่ว์เหมยตะโกนลั่น “ตวนอ๋องบุกรุกวังหลวงในยามวิกาล ลงโทษให้เฝ้าสุสานหลวงหนึ่งปี!”“เฝ้าสุสานหลวงดีเลย ข้าจะไปที่นั่น ฟ้องเรื่อง...ของเจ้ากับท่านพี่จักรพรรดิทุกวัน ปึก!”ตวนซินอ๋องยังพูดไม่จบ ก็เมาล้มพับหมดสติไปกับพื้นทหารรักษาพระองค์สองสามคนพาตวนอ๋องไปเฝ้าสุสาน ฉินเย่ว์เหมยจึงรับสั่งทันที “หงอิง เจ้านำคำสั่งปากเปล่าของข้ากระจายออกไปนอกวัง ต้องรับคนงานหญิงหกร้อยคนเข้ามาในวังก่อนยามหวู่วันพรุ่งนี้ให้ได้”“ฝ่าบาท...”เฉินฝานกำลังจะคัดค้าน ฉินเย่ว์เหมยกล่าวขัดเขาเสียงดังลั่น “ผู้บัญชาการเฉินในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบหลัก กลับเปิดโอกาสให้คนชั่วมีโอกาสวางยาพิษ ลดตำแหน่งผู้บัญชาการของเจ้าหนึ่งขั้น เรื่องต่อจากนี้จะลงโทษในภายหลัง”เฉินฝานที่ถูกลดตำแหน่ง ยังไม่ได้ออกจากประตูวัง ก็ถูกสาวใช้เ
“ในสวนหม่อนหลวงมีลู่ผิน” ฉินเย่ว์เหมยกล่าวเสียงเบา“ลู่ผิน?” เฉินฝานตกใจอย่างมาก “นางสนมของเจ้าควรจะอยู่วังหลังมิใช่หรือ?”“ลู่ผินไม่เหมือนกับนางสนมทั่วไป นางเป็น...” ใบหน้าเรียบนิ่งของฉินเย่ว์เหมยมีความอึดอัดใจและเศร้าโศกเล็กน้อย “เสิ่นหมิงหยวนใช้นางทำให้ข้าอับอาย”“ทำให้เจ้าอับอาย? ลู่ผินผู้นั้นอัปลักษณ์มากงั้นหรือ?”“ไม่ใช่ ลู่ผินไม่ได้อัปลักษณ์ เพียงแค่นางเคยแต่งงานและมีบุตรสาวหนึ่งคน”“หญิงที่แต่งงานแล้ว? และมีลูกอีกด้วย! เฉินฝานสาปแช่งอยู่ในใจ เรื่องที่เสิ่นหมิงหยวนทำกับฉินเย่ว์เหมยหนักข้อขึ้นเรื่อยๆในระบอบประเทศที่ชายน้อยหญิงเยอะ ต่อให้เป็นชายที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านซานเหอ ก็ไม่จะแต่งงานกับหญิงที่แต่งงานแล้ว นับประสาอะไรกับผู้ที่เป็นถึงจักรพรรดิปกครองอาณาจักรกันให้ฉินเย่ว์เหมยอภิเษกสมรสกับหญิงที่แต่งงานแล้ว และยังมีเป็นหญิงแต่งงานแล้วที่มีลูกติด ระดับความน่าอับอายไม่แตกอะไรกับการที่บอกผู้ชายให้กำเนิดไม่ได้โชคดีที่ฉินเย่ว์เหมยไม่ใช่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นจะทนเรื่องเช่นนี้ไว้ได้อย่างไรกัน“ถึงแม้ข้าจะรู้สึกฝืนใจเล็กน้อย ทว่าเช่นนี้ก็สามารถรักษารากฐานตระกูลมารดาลู่ผินไว้ได้
เฉินฝานอุทานอย่างช่วยไม่ได้เสน่ห์เย้ายวนบนเรือนร่างของนาง เสิ่นไต้มั่นและเหออวี่ถงเทียบไม่ติดแม้แต่น้อยรีบรุดหน้าขึ้นมาทว่าไม่ลนลาน นางสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อน บนหน้าผากมีลูกผมบางๆสองสามเส้น ตอนที่นางรุดหน้ามา สั่นไหวไปมาเล็กน้อย ทำให้นางดูสวยและอ่อนโยนมากกว่าเดิมเสียอีกถึงแม้จะเคยคลอดลูกมาแล้ว มว่าทรวดทรงองค์เอวยังคงเรียวบางอย่างมาก ใช้เข็มขัดเมฆาผูกรัด ทำให้เห็นความเรียวบางของเอวชัดเจนขึ้นศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมหยกสีเขียวอ่อน ทำให้ใบหน้างดงามดั่งบุปผาของนางมีเสน่ห์เหลือล้นบนผิวพรรณและใบหน้าไร้การแต่งแต้มใดๆทว่าก็ยังคงขาวผ่องริมฝีปากสีชาดขบเม้มเบาๆ ขาวดั่งหิมะ แดงราวกับเปลวเพลิง งดงามเย้ายวนใจงามวิจิตร เรือนร่างที่อวบอิ่ม การเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ เสน่ห์เย้ายวนที่ยากยับยั้งชั่งใจแผ่ซ่านไปทุกที่งดงามงดงามเป็นอย่างมาก...เฉินฝานตกตะลึงหมดคำพูดไปครู่ใหญ่หาคำมาพรรณนาความงามของหญิงสาวที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆยากที่จินตนาการได้ว่าหญิงสาวคนหนึ่งที่อายุสามสิบปี กลับให้ความรู้สึกที่เห็นแล้วรู้สึกเห็นใจอย่างรุนแรงปลุกเร้าความปรารถนาที่ปกป้องและอยากพิชิตในเบื้องลึกของจิ
“พระนาง”เฉินฝานเรียกไปสามครั้ง ลู่ชุนเยี่ยนจึงได้สติกลับมา“ใต้ ใต้เท้า มีเรื่องอันใด?” ลู่ชุนเยี่ยนก้มหน้าลง แสดงความต่ำต้อยของนางจนเคยชินความระมัดระวังตัวและการด้อยค่าของลู่ชุนเยี่ยน เฉินฝานรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยแท้ที่จริงแล้วสตรีผู้นี้ผ่านความอยุติธรรมมากมายเพียงใด จึงให้นางรู้สึกต่ำต้อยเช่นนี้สตรีที่งดงามและปราดเปรื่องเช่นนี้ ไม่ควรจะเจอเคราะห์ร้ายมากมายเช่นนี้“พระนาง ตำแหน่งของท่านสู้กว่าข้า ท่านไม่จำเป็นต้องระวังตัวเช่นนี้หรอก”“ขอบคุณใต้เท้า!” ลู่ชุนเยี่ยนมึนงงไปครู่ใหญ่ จึงปริปาก น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยไม่เคยมีผู้ใดกล่าวกับนางเช่นนี้“......” เฉินฝานรู้สึกจนปัญญา ไยนางยังต้องกล่าวขอบคุณอีกเฮ้อ ช่างเถอะสตรีในยุคนี้ไม่ว่าฐานะจะสูงต่ำ ความต่ำต้อยก็ซึมลึกเข้าไปในกระดูกของพวกนางแล้วเฉินฝานชี้เครื่องจักรด้านหน้าตนเอง “พระนาง นี่ก็คือจักรเย็บผ้า”พวกเขานำรถม้ามาสองคัน คันหนึ่งบรรทุกคน อีกคันหนึ่งบรรทุกจักรเย็บผ้า“นี่เป็นเครื่องจักรผลิตเสื้อผ้าขั้นเทพที่ร่ำลือกันงั้นหรือ? ท่านสามารถใช้งานให้หม่อมฉันดูครั้งหนึ่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นจักรเย็บผ้า ลู่ชุนเยี่ยน
ใบหน้าของเด็กสาวทั้งลนลานและเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งมองยิ่งเปล่งประกายความงาม“ใต้ ใต้เท้า อี๋เอ๋อร์ไม่ทราบว่าเป็นใต้เท้า ใต้เท้าได้โปรดให้อภัย!” เด็กสาวลนลานคุกเข่าขอความเมตตา“พระนางลู่ผิน ดูเจ้าสิ ทำให้เด็กตื่นตกใจแล้ว นางเพียงไม่ทันได้ระวังเท่านั้นเอง” เฉินฝานโน้มตัวกำลังจะพยุงเด็กสาวให้ลุกขึ้นเด็กสาวกลับเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว ร่างปราดเปรียวของนาง วิ่งออกจากด้านหน้าเฉินฝานด้วยความรวดเร็ว วิ่งไปข้างกายลู่ชุนเยี่ยนด้วยความว่องไว“ท่านแม่ ดูเถอะ ท่านชอบทำให้ลูกตกใจ ใต้เท้าเฉินเป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กอย่างแน่นอน ใต้เท้า...”ระหว่างที่เด็กสาวพูดก็หันหน้าไปพูดกับเฉินฝาน “คำพูดของท่านก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เมื่อวานบ่าวเข้าสู่ช่วงวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ไม่ใช่เด็ก เป็นผู้ใหญ่แล้ว บ่าวนามว่าลู่ซืออี๋ ท่านสามารถเรียกบ่าวว่าซืออี๋ก็ได้เพคะ”“อืม!” ฉินเย่ว์เหมยที่เงียบไปนานพูดเสียงเรียบนิ่ง “ซืออี๋โตขึ้นไม่น้อยเลย ทว่าที่ข้าดู ร่างกายเจ้าสูงขึ้นแล้ว นิสัยก็ยัง...”“ฝ่า ฝ่าบาท!”ลู่ซืออี๋ที่แต่เดิมหน้าแดงก่ำน่ารักขี้เล่น เปลี่ยนไปอย่างมากทันที รีบลนลานคุกเข่ากับพื้
“ลู่ผิน!”เสียงของเสิ่นหมิงหยวน ทำให้สาวใช้ที่รินน้ำชาให้เขาตื่นตกใจ กาน้ำชาในมือของสาวยกมาอย่างโคลงเคลง น้ำชาที่ร้อนลวกหกออกมาจากกาน้ำชาตกกระทบใส่มือเสิ่นหมิงหยวนทันที“เพียะ!”เสิ่นหมิงหยวนยื่นมือไปตบหน้า “บ่าวชั่วช้า เจ้าคิดจะลวกข้าให้ตายหรือกระไร?“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต!” สาวใช้คุกเข่าด้วยสีหน้าซีดเผือด ก้มศีรษะกับพื้นไม่หยุดน่าเสียดายที่...ต่อให้นางจะก้มศีรษะจนหัวเต็มไปด้วยเลือด เสิ่นหมิงหยวนก็ไม่ปล่อยนางไปอยู่ดี เพียงแค่ประโยคเดียว ก็สามารถทำให้นางถูกเฆี่ยนตีจนตายได้“ท่านพ่อ เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรจะทำเช่นไร?”สาวใช้ผู้นั้นเพิ่งจะถูกลากตัวออกไป เสิ่นหยวนฮวาและเสิ่นหยวนเลี่ยงแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน“ทำเช่นไร ทำเช่นไร!” เสิ่นหยวนหมิงเดือดดาลนำถ้วยชาด้านขว้างใส่ร่างเสิ่นหยวนฮวา “เจ้าคนไร้ประโยชน์ นอกจากถามว่าทำเช่นไร พูดอย่างอื่นไม่ได้แล้วหรือกระไร?”“ท่านพ่อ...”เสิ่นหยวนฮวาสีหน้าตกตะลึงและมีความน้อยใจเล็กน้อยหยวนเลี่ยงก็ถามว่าทำเช่นไรมิใช่หรือ? ไยท่านพ่อจึงด่าเขาคนเดียวไม่ด่าหยวนเลี่ยง“ท่านพ่อ เช่นนั้นให้หลี่ชิ่งพากองกำลังรักษาเมืองหลวงบุกเข้าไป
“ที่เจ้าหมายถึงคือ ขั้นต่อไปเจ้าจะกำจัดหลินชาง แล้วขึ้นเป็นเลขาธิการกรมคลังงั้นหรือ?”ไม่รอให้เฉินฝานพูด ฉินเย่ว์เหมยรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ได้ เจ้าทำเช่นนี้อันตรายเกินไป อีกอย่างไม่ต้องพูดถึงจัดการหลินชางเป็นเรื่องที่ยากมาก ต่อให้เจ้ากำจัดเขาได้ เงินเป็นชีวิตของเสิ่นหมิงหยวน เขาไม่มีทางให้เจ้าเป็นเลขาธิการกรมคลังเด็ดขาด”“ไม่ลองดูจะรู้ว่าทำไม่สำเร็จได้เยี่ยงไร?” เฉินฝานกล่าวอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่“เหลวไหลสิ้นดี!” ฉินเย่ว์เหมยตวาดลั่น “เจ้าไม่รู้หรือว่าหากไม่สำเร็จจะผลเสียที่ตามคืออะไร? ชีวิตของเจ้า ชีวิตของเหล่านั้นสาว แม้กระทั่งชีวิตของข้า”เห็นฉินเย่ว์เหมยกังวลเช่นนั้น เฉินฝานพูดอย่างสบายใจ “วางใจเถอะ เจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับข้าเลย ข้าจะตายได้เยี่ยงไร และจะยอมให้เจ้าตายได้เยี่ยงไร?”“เจ้า...”ใบหน้าฉินเย่ว์เหมย แปดเปื้อนสีแดงที่ทำให้คนยากสังเกตเห็น “ผู้ชายมักมากหน้าด้าน!”นางหยิบหีบห่อพัสดุหนึ่งอันขว้างใส่ร่างเฉินฝาน “ลู่เฟยอยากได้เสื้อขนสัตว์สองตัวมาโดยตลอด นางรีบร้อนออกจากวังไป ลืมเอาไป เจ้าเอาไปส่งให้นางเถอะ”เฉินฝานรับหีบห่อพัสดุ ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา “ได้เลย”เขากำลัง
นางรีบวางทัพพีในมือลง ดึงเสื้อผ้าขึ้นด้วยความระมัดระวังและประหม่า “ใต้เท้า ท่านมาถึงแล้ว เหตุใดไม่ให้คนมารายงาน ข้าน้อยจะได้เปลี่ยนชุดเจ้าค่ะ” “ท่านแม่ ลูกว่าเสื้อผ้าที่ท่านสวมอยู่ตอนนี้ก็งดงามมากแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยน” ลู่ซืออี๋รีบกล่าว ลู่ชุนเยี่ยนถลึงตามองลู่ซืออี๋ “เจ้าจะเข้าใจอะไร?” “ข้าเห็นพ้องกับซืออี๋ ข้าเองก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าที่พระชายาลู่สวมนั้นงดงามมาก” เฉินฝานยิ้มบางๆ แล้วพูด ไม่ได้ประจบ และไม่ได้คลายความกระอักกระอ่วน เฉินฝานรู้สึกว่าลู่ชุนเยี่ยนใส่ชุดนี้สวยจริงๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้อยู่เมืองหลวงพบเจอคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราเป็นประจำ ลู่ชุนเยี่ยนแต่งกายเรียบๆ เช่นนี้ ทำให้เฉินฝานรู้สึกสบายตาอย่างมาก นางไม่มีเครื่องประทับบนผมใดๆ มีเพียงช่อดอกไม้ประดับผม ทำให้นางดูเรียบร้อยและสง่างามเป็นพิเศษ คล้ายพบเจอความสงบหลังจากผ่านธุรีแดงต่างๆ ได้รับคำชมจากเฉินฝาน ลู่ชุนเยี่ยนก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย นางย่อตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณเฉินฝาน “ขอบคุณคำชมของท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ ข้าแซ่ลู่ น้อมคารวะใต้เท้า” นี่คือความเขินอายของหญิงสาวที่เบโตแล้ว กิริยาต่างๆ ฉายเสน่ห์ที่เอ่อล้น
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ