การกระทำนี้ของเขา น้ำเสียงอ่อนโยนนี้ของเขา เปลี่ยนชีวิตของลู่ซืออี๋ทั้งชีวิตลู่ซืออี๋ในเวลานี้ หัวใจเต้นแรง พวงแก้มแดงระเรื่อจนยากจะควบคุมกลัวลู่ชุนเยี่ยนและเฉินฝานเห็นความผิดปกติ นางรีบวิ่งออกไปด้วยความกระวนกระวายลู่ชุนเยี่ยนส่ายหน้า นางคิดว่าเป็นเพียงความซุกซุนของลู่ซืออี๋เท่านั้นหลังจากลู่ซืออี๋ออกไป เฉินฝานและลู่ชุนเยี่ยนพูดคุยเรื่องตัดเย็บเสื้อผ้านอกจากทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปแล้ว เฉินฝานอยากซื้อจักรเย็บผ้า“ใต้เท้า ท่านคิดถูก พวกเราจะซื้อจักรเย็บ ใต้เท้า ท่านว่า...”ลู่ชุนเยี่ยนหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมา คิดคำคำนวณพร้อมกับพูด “เสื้อหนึ่งตัว ตั้งราคาขายได้สูงสุดสิบตำลึง แต่ว่าจักรเย็บผ้า พวกเราสามารถขายได้เครื่องละห้าร้อยตำลึง ข้าสังเกตดูแล้ว อะไหล่หลายอย่างของจักรเย็บผ้า เมื่อใช้เป็นเวลานานต้องเปลี่ยน”“เมื่อลูกค้าต้องการเปลี่ยนอะไหล่ พวกเขาต้องซื้อกับเรา ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ถามข้า ใต้เท้าคิดค้นจักรเย็บผ้าขึ้นมา จะสร้างรายได้ให้ท้องพระคลังมากเท่าใด ข้าน้อยตอบไปว่าหนึ่งร้อยล้านตำลึง”“ตอนนี้คิดคำนวณดูแล้ว ข้าน้อยคิดค่อนข้างรอบคอบ ต้องไม่ใช่แค่หนึ่งร้อยล้านตำลึงแน่นอน อย่างน้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่ชุนเยี่ยนจับไก่กลับมาหนึ่งตัว เดิมทีเฉินฝานตั้งใจจะช่วยลู่ชุนเยี่ยนจัดการไก่ แต่ลู่ชุนเยี่ยนไม่ยอมไม่อาจเอาชนะนางได้ เฉินฝานได้แต่ทำเพียงงานง่ายๆ เช่นก่อไฟเป็นต้นลู่ซืออี๋ยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว มองเฉินฝานและลู่ชุนเยี่ยนง่วนอยู่ในครัว กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พวงแก้มทั้งสองข้างเผยให้เห็นลักยิ้มแสนน่ารักตอนที่ทั้งสามคนนั่งกินข้าวด้วยกัน จู่ๆ ลู่ซืออี๋ก็คีบน่องไก่ให้เฉินฝานเฉินฝานเพิ่งกล่าวขอบคุณ ลู่ซืออี๋ก็พูดสิ่งที่น่าตกใจ “ท่านแม่ ซืออี๋ยกน่องไก่ให้ท่านใต้เท้า ใต้เท้าเป็นพ่อของข้าดีไหมเจ้าคะ?”“พู่!”เฉินฝานข้าวพุ่งทันทีข้าวในปากของเฉินฝานพุ่งออกมาทันทีลู่ชุนเยียนรีบปิดปากลู่ซืออี๋เอาไว้“อี๋เอ๋อร์ ห้ามพูดจาเหลวไหล!”“อื้อๆๆ...”แม้ลู่ซืออี๋จะพูดไม่รู้เรื่อง แต่เฉินฝนและลู่ชุนเยี่ยนต่างได้ยินอย่างชัดเจนนางบอกว่า “ท่านแม่ หรือว่าท่านไม่ชอบใต้เท้าหรือเจ้าคะ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าสง่างามของลู่ชุนเยี่ยน แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเด็กน้อยคนนี้คิดจะเอาชีวิตนางจริงๆนางร้องเรียกพร่ำเพรื่อเช่นนี้ ทำให้ตนหัวใจเต้นแรงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขว
หญิงสาวอุ้มเขาขึ้นกระโดด เพียงครู่หนึ่งเขาก็ถูกพาตัวขึ้นบนรถม้าอีกคัน“ท่านใต้เท้า รีบปกป้องใต้เท้าเร็วเข้า!”องครักษ์ทั้งสามกระโดดลงมา ล้อมรถม้าคันนั้นองครักษ์เหล่านี้คือองครักษ์ลับของฉินเย่ว์เหมย แม้ก่อนหน้านี้เฉินฝานจะปฏิเสธ แต่ฉินเย่ว์เหมยยังคงไม่วางใจ แอบให้หงอิงส่งองครักษ์มาดูแลองครักษ์ทั้งสามติดตามข้างกายเขามาโดยตลอด เฉินฝานทราบเรื่องนี้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของฉินเย่ว์เหมย จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้มือข้างหนึ่งยื่นออกไปนอกรถม้า โบกมือให้องครักษ์ทั้งสามคน“พวกเจ้าถอยออกไป ข้างไม่เป็นไร!”เฉินฝานไม่เป็นอะไรจริงๆ เพราะว่า...“คิดถึงท่านยิ่งนัก!”“...” เฉินฝานมองหญิงสาวที่นั่งทับตนอย่างหมดคำจะบรรยาย หญิงสาวระดมจูบเขาคล้ายว่าการจูบเขานั้นไม่อาจทำให้นางพอใจได้ หญิงสาวเริ่มฉีกเสื้อผ้าของเขา“เพี๊ยะ!”เฉินฝานตบบั้นท้ายของหญิงสาว“นายท่าน ทำไมท่านต้องตีก้นข้าด้วย เจ็บนะ” ฉินเย่ว์เจียวหน้ามู่ทู่ แม้จะถูกตีจนเจ็บ ทว่ามือที่ฉีกเสื้อของเฉินฝานยังคงไม่หยุด“ระวังหน่อย อยู่บนรถม้า”เฉินฝานยื่นมืออยากห้ามฉินเย่ว์เจียว แต่ถูกนางคว้ามือเอาไว้ ถลึงตามอง ริมฝีปากแดง
ท้องพระโรงเช้าวันนี้ หลินชางเป็นคนแรกที่พูดเขาถือหยกสมปรารถนา ยืนอยู่หน้าตำหนัก “ฝ่าบาท ตั้งแต่เฉินฝานเลื่อนขั้นเป็นซื่อหลางกรมพระคลัง ตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลังว่างเว้นมาโดยตลอด ท้องพระคลังถือเป็นรากฐานของแคว้น หวังว่าฝ่าบาทรีบเลือกคนมาทำหน้าที่นี้พ่ะย่ะค่ะ”“เสนาบดีกรมพระคลัง ต้องรีบแต่งตั้งพ่ะย่ะค่ะ”ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งพูดจบ หลิงชางหยิบรายชื่อออกมาจากแขนเสื้อในใบรายชื่อของหลินชางมีเพียงคนเดียว หลังจากเขาอ่านชื่อในใบรายชื่อ ยังตั้งใจพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค“ฝ่าบาท บุคคลที่จะถูกคัดเลือกนี้ กระหม่อมให้ท่านอัครเสนาบดีดูแล้ว ใต้เท้าเห็นว่าคนผู้นี้มีความสามารถโดดเด่น มีความสามารถที่จะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง”หลินชางอ้างชื่อเสิ่นหมิงหยวนความหมายที่ซ่อนอยู่นั้นก็คือไม่ได้ให้ฉินเย่ว์เหมยตัดสินใจ เพียงแจ้งให้ทราบเท่านั้นเสิ่นหมิงหยวนเงียบ เพียงพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าหลินชางพูดถูกมือของฉินเย่ว์เหมยที่จับบัลลังก์มังกรอยู่นั้น กุมแน่นเล็กน้อยคนผู้นั้นมีความสามารถ?ถุย!คนที่หลินชางพูดถึง คือมั่วหมิงเจอบุตรของพี่สาวหลินชางมั่วหมิงเจอคือคุณชายเที่ยวเตร่ไม่เอาการเอางานคนหนึ่
“ตึ้ง!”บุรุษที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวสะดุดล้ม เนื้อตัวของเขาสั่นจนไม่อาจควบคุมได้ ข้างกายเขาคือเสิ่นหยวนเลี่ยงพอดิบพอดีเสิ่นหยวนเลี่ยงยื่นมือไปพยุงตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกชายคนนั้นกระชากให้ล้มลง“ใต้เท้า”“ท่านไม่เป็นอะไรกระมังพวกพ้องของเสิ่นหมิงหยวนล้วนเป็นพวกประจบประแจง เมื่อเห็นเสิ่นหยวนเลี่ยงล้มลง รีบกรูกันเข้ามาขุนนางที่ยืนล้อมเสิ่นหยวนเลี่ยงไม่น้อยกว่าสิบคนชั่วขณะหนึ่ง ในตำหนักวุ่นวายเล็กน้อยท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เสิ่นหยวนเลี่ยงกระซิบบอกชายคนนั้นเสียงเบา “อยากมีชีวิตรอดหรือไม่?”บุรุษชะงักไปครู่หนึ่ง ตามด้วยพยักหน้า “อยากขอรับ”“ดีมาก ข้าขอถามเจ้า เจ้าเป็นคนแคว้นใด?”“ขอรับ?” บุรุษตกอยู่ในความฉงนสงสัยอีกครั้ง “แน่นอนว่าข้าเป็นชาวแคว้นต้าชิ่ง...”“ไม่ใช่ เจ้าคือ...”“โอ๊ยโหย” หลิวเกาจัวที่วิ่งมาคนแรกพยุงเสิ่นหยวนเลี่ยงขึ้นแล้ว หลิวเกาจัวมองนิ้วโป้งของเสิ่นหยวนเลี่ยงด้วยความปวดใจ ตอนล้มลง นิ้วโป้งของเขาบวมเป่ง“โบราณกล่าวว่า นิ้วทั้งสิบประสานกับหัวใจ ท่านใต้เท้าเสิ่นน่าจะเจ็บมากกระมังขอรับ”เสิ่นหยวนเลี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ็บบ้าเจ็บบออะไร!ประจบไม่เป็นก็อย
“ฝ่าบาท พระตำหนักจินหลวน เป็นตำหนักหารือตัดสินงานบ้านงานเมือง ปล่อยให้ขุนนางชั้นต่ำสกปรกเข้ามาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”เสิ่นหมิงหยวนเพิ่งพูดจบ ขุนนางมากมายด้านหลังเขาต่างเห็นด้วย โดยเฉพาะหัวหน้าเลขาฝ่ายพิธีการหลิวเกาจัว“พระตำหนักจินหลวนคือเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจมังกร เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ขุนนางที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเงิน ไม่ควรเข้ามาในนี้พ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาท โปรดรีบไล่พวกเขาออกไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท โปรดมีรับสั่ง!”“ขุนนางในตำหนักคุกเข่ากันเป็นแพคล้ายว่าหากไม่ไล่พวกพ่อค้าเหล่านี้ พวกเขาก็จะก่อกบฏอย่างไรอย่างนั้นฉินเย่ว์เหมยอดทนกับการโจมตีครั้งใหญ่นี้ นางเหยียดตัวนั่งตรง เผชิญหน้ากับสายตาบีบบังคับ“พ่อค้าพ่อสกปรกเช่นนั้นหรือ? ขุนนางที่รัก หรือว่าทุกวันนี้พวกท่านไม่ได้กินข้าวปลาอาหารที่พ่อค้าค้าขายหรือ? หรือว่าพวกท่านไม่ได้จุดตะเกียงน้ำมันที่พ่อค้าค้าขาย? หรือว่าพวกท่านไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่พวกพ่อค้าค้าขาย?”ทันทีที่ถ้อยคำนี้ออกมาจากปากของฉินเย่ว์เหมยพวกขุนนางที่ถูกรังเกียจจนไม่อาจทนได้ อยากจะเดินออกไปเองนั้น น้ำตาคลอเบ้าบัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกร และพ่อค้าวาณิชย์นับ
ตัวของเริ่นอวี่เฟยสั่นเทา “กระหม่อม กระหม่อม...”“ณ แดนเหนือ กองทัพหมาป่ากำลังต่อสู้กับชาวหูที่พยายามลุกล้ำ อากาศหนาวเย็น กองทัพหมาป่ามีความต้องการเสื้อผ้าฝ้ายและกางเกงผ้าฝ้ายโดยด่วน แต่เจ้ากลับฉวยโอกาสนี้ พาพ่อค้าชาวหูมากว้านซื้อดอกฝ้ายของแคว้นเรา”“พูดมา! เจ้าร่วมมือกับศัตรูหรือไม่?”สิ้นเสียงของฉินเย่ว์เหมย บรรดาพ่อค้ารีบพูดทันที “ฝ่าบาท เขาต้องร่วมมือกับศัตรูแน่นอนพ่ะค่ะย่ะ ตอนพ่อค้าชาวหูมากว้านซื้อ ไม่เพียงกว้านซื้อดอกฝ้ายในคลัง แม้กระทั่งดอกฝ้ายในไร่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวพวกเขาก็ซื้อ อย่าว่าแต่เมล็ดฝ้าย แม้กระทั่งเปลือกฝ้ายก็ไม่หักลบพ่ะย่ะค่ะ”“พวกกระหม่อมยังสงสัย ไม่หักลบแม้กระทั่งเมล็ดและเปลือกฝ้าย ทั้งยังซื้อในราคาแพง เขาต้องอยากให้กองทัพหมาป่าหนาวตายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เขาคือกบฏชั่วพ่ะย่ะค่ะ”“ฝ่าบาท!” เหอกังเดินออกมาจากแถวของขุนนาง “กองทัพหมาป่าคือกำลังสำคัญของแคว้น ผู้บ่อนทำลาย ควรถูกลงโทษด้วยการทัณฑ์พาหนะแยกร่างพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อม กระหม่อม...”คำว่าทัณฑ์พาหนะแยกร่างทำให้เริ่นอวี่เฟยเหงื่อแตก ขยับลิ้นอยู่นานก็ไม่อาจทำให้ตรงได้เขาใช้สายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือกับหลิ
เขาเพิ่งได้รับใบสั่งซื้อของราชสำนักจากหลินชาง กำลังนั่งนับเงินในบ้านอย่างมีความสุข สตรีเกรี้ยวกราดคนหนึ่ง ยกธนูขึ้นบุกรุกเข้ามาในบ้านของเขา“ฮ่องเต้ต้าชิ่ง ท่านเป็นใบ้หรือ ฮ่าๆ !” เริ่นอวี่เฟยหยุดด่าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เขาชี้ไปทางขุนนางทั้งหลายแล้วหัวเราะเยาะ “คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ต้าชิ่งของพวกเจ้า จะเป็นใบ้”ฉินเย่ว์เหมยโมโหมากหงอิงก็หงุดหงิดมากเหตุใดนางจึงประมาทเช่นนี้ ไม่ค้นตัวเริ่นอวี่เฟยให้ละเอียด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาพกป้ายชื่อติดตัว“หลี่ชิ่ง!” เสิ่นหมิงหยวนพูดแล้ว “เอาตัวพ่อค้าชาวหูคนนี้...”“ช้าก่อน!”เฉินฝานแหวกจากวงขุนนางที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขา ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าเขาหยุดลงตรงหน้าเริ่นอวี่เฟย พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “อยากตาย?”“ใช่!” เริ่นอวี่เฟยเชิดหน้าขึ้น “อยากตาย เจ้าคือคนที่จะฆ่าข้าหรือ?”เฉินฝานพยักหน้า “แน่นอน แต่ว่า...” ตอนเฉินฝานเดินผ่านเริ่นอวี่เฟย เขาพูดเสียงแผ่วเบา “อยากมีชีวิตรอดหรือไม่?”เริ่นอวี่เฟยชะงักครู่หนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ ถ้อยคำนี้ เขาได้ยินมาสองครั้งแล้วเฉินฝานไม่รอเขาตอบ พูดเสียงเบา ‘อยากมีชีวิตรอด ก็ต้องกัดให้แน่น’พูดจบ เฉินฝานเดินผ่านเขา
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ
ผ่านไปไม่นาน ฉินฮวากับฉินเหนียนก็ถูกช่วยออกมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เฉินฝานก็ยกทัพออกศึกแล้วฉินฮวากับฉินเหนียนเห็นเฉินฝาน ความตื่นเต้นดีใจไม่ได้น้อยไปกว่าฉินเย่ว์โหรวเลยนี่ก็คือสามีของพวกนาง บุรุษที่เหมือนกับขุนเขาเขาไม่ตาย ไม่ตายช่างดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินจริง ๆ! “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีคำพูดมากมายอยากถามข้า แต่ตอนนี้พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน” “ปัง!” คำพูดของเฉินฝานยังไม่ทันสิ้นสุดลง กำแพงที่เชื่อมต่อกับลานด้านนอกพลันถล่มลงมา เปลวไฟที่ลุกโชน ราวกับมังกรเพลิงพุ่งคำรามจากด้านนอกเข้าไปในลานบ้านตัวแล้วตัวเล่าเฉินฝานขมวดคิ้วไฟไหม้นี้รุนแรงขึ้นกว่าสองเท่าจากตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเฉินฝานสูดจมูก ไม่ใช่ในไฟนี้มีกลิ่นน้ำมันสน“ซ่า!” เฉินฝานมองเห็นจากไกล ๆ ว่ามีทหารนายหนึ่งสาดน้ำถังหนึ่งมาทางลานบ้านกลิ่นน้ำมันสนแรงมากขึ้น แท้จริงแล้วในถังนั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นน้ำมันสนที่ดูใกล้เคียงกับน้ำ“ซ่า!”‘น้ำ’ อีกถังสาดเข้ามาจากด้านนอก และครั้งนี้ทหารคนนั้นวิ่งเข้าไปในลาน แล้วราดใส่ศีรษะของพวกเขาโดยตรง“หมอบลง!” เย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูได้รับการฝึกอบรมมากแล้ว เข้าใจคำสั่งนี้
บางครั้งสาวงามมักจะโง่งมเล็กน้อย “เจ้าไม่ลืมตา แล้วจะมองเห็นสามีได้อย่างไรเล่า?” เฉินฝานพูดพลางเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของฉินเย่ว์โหรวเวลานี้เอง ฉินเย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูก็เข้ามาเช่นกัน พวกนางใช้ผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของจินเหยียนไชเป่า ก่อนจะอุ้มพวกเขาไปจากอ้อมกอดของฉินเย่ว์โหรว ฉินเย่ว์โหรวที่ถูกเฉินฝานเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกยังคงไม่มีความคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าทันใดนั้นเองอ้อมกอดก็ว่างเปล่าในฐานะมารดาคนหนึ่ง จู่ ๆ บุตรถูกอุ้มไปเป็นเรื่องที่ตื่นตัวมากที่สุด นางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“...”ฉินเย่ว์โหรวมองพวกเฉินฝานด้วยสายตาตะลึงงัน ไม่มีความประหลาดใจยินดี ไม่มีการร้องตะโกน น้ำตาค่อย ๆ เอ่อคลอเต็มดวงตา สุดท้ายก็พรั่งพรูออกมา“นายท่าน พี่หญิงสาม เย่ว์หนู ขอบใจนะเจ้าคะที่ยังอดทนรอข้าอยู่บนทางสู่ปรโลก”“ปัง“เพล้ง!” คานไม้ตรงมุมห้องที่ถูกเผาจนหักหล่นลงมา ทำให้กระเบื้องหลังคาร่วงตามลงมาด้วย“ทางสู่ปรโลกอันใด...เฮ้อ เจ้านี่นะ นอกจากตอนนับเงินที่ฉลาดมากแล้ว เวลาอื่น ๆ ช่างโง่งมเสียจริง ข้าไม่พูดมากกับคนโง่งมอย่างเจ้าแล้ว”เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์โหรวขึ้นมาแล้วเดินออกไป ฉิ
ภายในคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า“แค่ก แค่ก แค่ก!”“แง้ แค่ก แง้!”เสียงไอของผู้ใหญ่และเสียงไอผสมร้องไห้ของเด็กดังสลับกันไปมา อีกทั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนมากมายปะปนอยู่ในนี้ด้วยมีคนถูกคานที่หล่นลงมาจากหลังคาและประตูหน้าต่างที่โดนถูกเผา ร่วงทับใส่ไม่หยุด “จินเหยียนไชเป่า พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่ ๆ” ฉินเย่ว์โหรวกอดบุตรชายทั้งสี่คนไว้ในอ้อมแขนแน่น ๆ เด็กน้อยที่น่าเวทนาทั้งสี่คนเพิ่งจะอายุได้หนึ่งขวบกว่า แต่ละคนหน้าแดงก่ำเพราะไฟที่เผาไหม้ ฤดูเหมันต์ ทั่วทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เหยียนเป่ากับไชเป่าร่างกายอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่ว์โหรว พวกเขาก็แทบจะไม่มีสติแล้ว“เหยียนเป่า ไชเป่า พวกเจ้าฟื้นสิ พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาสิ!” ฉินเย่ว์โหรวร้องเรียกชื่อของบุตรชายสองคนด้วยความกังวลใจแต่เหยียนเป่ากับไชเป่าไม่มีการตอบสนองเลย“ช่วยด้วย หมัวมัว หมัวมัว”“แค่ก ๆๆ” ฉินเย่ว์โหรวร้องขอความช่วยเหลือแววตาตื่นตระหนก ตะโกนหาหมัวหมัวที่ดูแลข้างกายนางมาโดยตลอด เมื่อเอ่ยปากก็มีควันเข้ามาในปาก ทำให้นางสำลักจนแทบจะทรงตัวนั่งไม่ได้ไม่มีผู้ใดตอบรับฉิน
ภายใต้เสียงร้องเรียกของคนมากมาย เสิ่นหมิงหยวนปรากฏตัวตรงหน้าฉินเย่ว์เหมย คุกเข่าบนพื้น“ฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็ฟื้นแล้ว”เสิ่นหมิงหยวนในสภาพหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน คล้ายเพิ่งหนีตายเห็นฉินเย่ว์เหมยมองเรือนที่พักของฉินเย่ว์โหรวด้วยสีหน้ากังวล เขารีบพูดขึ้นทันที “ฝ่าบาท โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ แม้กระหม่อมจะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ก็จะช่วยพวกฮูหยินตระกูลเฉินออกมาจากเพลิงไหม้”“แล้วเจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปช่วยอีก!” ฉินเย่ว์เหมยตะคอกเสียงดังกล่าวว่าทำสุดความสามารถ กล่าวว่าแม้จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่เสิ่นหมิงหยวนใช้สำหรับถ่วงเวลาก็เท่านั้นหลายวันมานี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่ได้กินข้าวและไม่ได้ดื่มน้ำ เมื่อตะคอกเสียงดัง นางรู้สึกคล้ายดาวลอยอยู่ตรงหน้า“ฝ่าบาท!”หงอิงรีบพยุงฉินเย่ว์เหมยที่กำลังจะล้มลง“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเองเสิ่นหมิงหยวนก็ลุกขึ้นยืน “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องทำตอนนี้คือพักผ่อน ที่เหลือให้กระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ ไม่สนใจว่าฉินเย่ว์เหมยเห็นด้วยหรือไม่ เขาสั่งให้หลี่ชิ่งเอาตัวฉินเย่ว์เหมยออกไปเวลานี้ทหารรักษาพระองค์ท