เฉินฝานทำเรื่องน่าอัศจรรย์มากมายในอำเภอผิงอัน เมื่อก่อนซูซิวฉีเคยบอกนางแต่ว่าสร้างเครื่องจักรสุดมหัศจรรย์ที่สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าฝ้ายสองแสนตัวในเจ็ดวัน ของเช่นนี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีจริง“สิ่งนั้นที่เรียกว่า เรียกว่า...เฮ้อ เมื่อฝ่าบาทเห็นก็จะทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”หลี่ซานพูดจบ ลากเหอจื่อหลินออกไปข้างนอก “เหอจื่อหลิน ไปเร็วเข้า ไปเปิดหูเปิดตากับข้าขอรับ”เหอจื่อหลินไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้หลี่ซานดึงตัวเขาครั้งก่อน ตอนอยู่อำเภอหลี หลี่ซานเคยดึงตัวเหอจื่อหลินไปดูเป็ดย่างที่เฉินฝานทำหลังจากหลี่ซานและเหอจื่อหลินไป หงอิงมองฉินเย่ว์เหมย “ฝ่าบาท ให้หม่อมฉัน...ไปรับคนนอกเมืองดีไหมเพคะ”เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็เริ่มเชื่อเฉินฝานแล้วตอนอยู่อำเภอหลี เฉินฝานก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ แต่สุดท้าย ไม่เพียงพึ่งพาได้ ทั้งยังทำได้เยี่ยมยอดผู้ใดจะคาดคิด ไม่ต้องสูญเงินกับภัยพิบัติ ทั้งยังได้เงินจากภัยพิบัติครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้“เหตุใดแม้กระทั่งเจ้าก็ยัง...ช่างเถอะ” น้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยโอนอ่อนลงเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ”“สุดท้าย หากเจ้าทำไม่สำเร็จ พาลให
หลี่ซานมองจักรเย็บผ้าที่เฉินฝานเพิ่งประกอบเสร็จด้วยความระมัดระวัง “น้องฝาน เจ้าสิ่งนี้ หนึ่งชั่วยามตัดเย็บเสื้อผ้าได้หลายตัวจริงๆ หรือ?”เสื้อผ้าในยุคสมัยนี้ ล้วนอาศัยแรงงานของสตรีในการตัดเย็บทีละเส้นๆ เสื้อผ้าหนึ่งตัว โดยเฉพาะเสื้อผ้าฝ่าย อย่างน้อยต้องใช้เวลาห้าถึงหกวัน จึงจะตัดเย็บเสร็จ“นี่คือเวลาพิสูจน์ปาฏิหาริย์แล้ว”เฉินฝานฉีกม่านเล็กน้อย ใช้กรรไกรตัด หลังจากนั้นนั่งตรงหน้าจักรเย็บผ้า นำม่านสอดไว้ใต้จักรเย็บผ้า แล้วใช้เท้ากด“ติ๊ด ต๊าด ติ๊ด ต๊าด ติ๊ด ต๊าด...”เสียงจักรเย็บผ้าดังเป็นจังหวะเสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้ทุกคนตกใจ ทุกคนถอยหลังตามสัญชาตญาณ หงอิงถึงขั้นยืนป้องหน้าฉินเย่ว์เหมย“จิ๊ๆๆ จักร...เย็บผ้านี้ ต๊าดต๊าดนี้”เสียงจิปากของหลี่ซาน ดังก้องตำหนักไท่เหอจักรเย็บผ้าสามคำนี้ ไม่คุ้นปากเกินไป เขานึกไม่ออกจริงๆ จึงเรียกว่ารถต๊าดต๊าด “ความเร็วนี้ การเย็บของเข็มนี้ ทั้งตรงและถี่ รถต๊าดต๊าดสุดยอดมากจริงๆ”เสียงร้องด้วยความตกตะลึงของหลี่ซาน ดังขึ้นเรื่อยๆคนที่ก่อนหน้านี้ถอยหลัง ไม่อาจต้านทานความสงสัย พวกเขาล้อมวงเข้ามาฉินเย่ว์เหมยผลักหงอิงที่ยืนขวางหน้านาง และเ
บุญคุณและความแค้นเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างฉินเย่ว์เหมยกับเฉินฝาน แน่นอนว่าพวกเหอจื่อหลินย่อมไม่มีทางรู้เหอจื่อหลินชี้ไปยังหมอนที่เฉินฝานกอดเอาไว้ “เฉินซือเจี๋ย กอด กอดนี้ของท่าน...”“หมอนกอด!” เฉินฝานพูด“อ่อ ใช่ หมอนกอดๆ ชื่อเรียกไม่สำคัญ” เหอจื่อหลินโบกมือ “สิ่งสำคัญคือข้าเพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ท่านทำ ใช้เวลาหนึ่งจิบน้ำชาเท่านั้น ความเร็วนี้ช่างน่าอัศจรรย์อย่างมาก!”“เฮ้อ! หากไม่เร็ว น้องฝานจะชมตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร การชื่นชมตนเองของน้องฝาน ไม่เคยสูญเปล่า”สีหน้าของหลี่ซานเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจรู้จักเฉินฝาน ทั้งยังกลายเป็นพี่น้องคนสนิทของกันและกัน คือวาสนาที่เขาหลี่ซานทำบุญสั่งสมมานับร้อยชาติ“เป็นความเร็วที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ของสิ่งนี้ สตรีห้าสิบคนรวมกันยังไม่อาจเทียบได้”กลุ่มพ่อค้าแคว้นฉู่ก็ชมไม่หยุด“ห้าสิบคน? หึ!” หลี่ซานหัวเราะในลำคอด้วยความลำพองใจ เขาชูนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้น “เป็ดสิบ สตรีแปดสิบคนรวมกันยังไม่อาจเทียบได้ อีกทั้งต้องเป็นสตรีที่ทำงานรวดเร็ว คนทำงานช้าต้องประมาณหนึ่งร้อยคน”“น้องฝาน เจ้าช่างเก่งจริงๆ!” เหอจื่อหลินตบหัวไหล่เฉินฝาน “แม้จะมีเครื่องต๊าด ต๊าดนี้.
เรื่องนี้ เขาคิดตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นตอนทำจักรเย็บผ้า เขาจึงตั้งใจทำให้ง่ายที่สุด“แต่ว่าตอนนี้มีเพียงครึ่งเดียว แม้จะเร็วเพียงใดก็ไม่พอใช้”“ฝ่าบาท กระหม่อมให้คนทำห้าร้อยตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉินฝานหันไปมองหวังอาซื่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ก่อนเขาออกมาจากอำเภอผิงอัน เขาให้เงินก้อนใหญ่กับหวังอาซื่อ ให้เขาทำเครื่องหลักห้าร้อยเครื่องเวลานั้นตอนเฉินฝานสั่งผลิตจักรเย็บผ้า เขาไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตเช่นตอนนี้ ตอนนั้นเขาแค่อยากขยายธุรกิจ อยากสร้างรายได้เพิ่ม คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะนำมาช่วยชีวิตได้“เสี่ยวฝาน” หวังอาซื่อตบแผงอกของตนเอง “งานที่เจ้ามอบหมายให้ข้าทำ ข้าย่อมไม่อาจรอช้า เงินที่เจ้าเก็บไว้ให้ ไม่เพียงทำได้ห้าร้อยเครื่อง ทำได้หกร้อยหกสิบเจ็ดเครื่องแหนะ และเพื่อความหมายที่ดี ข้าจึงเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย ทำทั้งหมดหกร้อยหกสิบแปดเครื่อง”เฉินฝานหันไปยกนิ้วโป้งให้หวังอาซื่อ “หกร้อยหกสิบแปด เยี่ยมมาก!”“นี่เป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่หรือ?” หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าแคว้นฉู่สีหน้าฉายความดีใจ “นายจ้างใหญ่แซ่ฉู่ของเราบอกว่า สินค้าที่ถึงมือลูกค้า มากได้แต่ไม่อาจน้อย การค้าจึงจะยาวนาน น้องฝาน งานที่เจ้ามอบหมาย
“ไม่ใช่รถต๊าดต๊าด เรียกว่าจักรเย็บผ้า”“น้องฝาน เรียกว่ารถต๊าดต๊าดเถอะ จักรเย็บอะไรนั่นเรียกยาก อีกทั้งเมื่อครู่ตอนเจ้าเหยียบมีเสียงต๊าดต๊าดดังขึ้น เช่นนั้นเรียกว่ารถต๊าดต๊าดเหมาะสมยิ่งกว่า”“...” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฝานไม่อาจพูดเอาชนะคนโบราณได้“ต๊าดบ้าอะไร!” เฉินฝานเตะหลี่ซาน “ยังไม่รีบออกนอกวังหลวงแล้วไปทำงานอีก!”หลี่ซานเอามือกุมสะโพกที่ถูกเฉินฝานเตะจนเจ็บ ปากก็บ่นพึมพำด้วยความดื้อรั้น “รถต๊าดต๊าดก็รถต๊าดต๊าดสิ รถต๊าดต๊าดเพราะดี!”“ใต้เท้าเฉิน!”ตอนเดินออกมาจากพระตำหนักไท่เหอ เจิ้งชิงหัวหน้ากลุ่มพ่อค้าแคว้นฉู่วิ่งมาตรงหน้าเฉินฝาน พูดประจบ “รถต๊าดต๊าดนั้น ข้าขอนำกลับไปให้นายจ้างใหญ่หนึ่งงเครื่องได้หรือไม่ ข้าไม่เอากลับไปฟรีๆ ข้าจะจ่ายเงิน”ในฐานะตัวแทนของฉู่หยางหง ย่อมจ่ายเงินก้อนใหญ่ เจิ้งชิงควักเงินออกมา คือตั๋วเงินจำนวนมากเฉินฝานมองครู่หนึ่งเยี่ยมห้าหมื่นตำลึง“ท่านอาเจิ้ง! มิตรภาพระหว่างท่านกับพี่หยางหง พูดคุยเรื่องเงินเล็กน้อยเท่านี้ จะไม่เป็นการทำลายความสัมพันธ์หรือ? ข้ายกให้เขาหนึ่งเครื่องก็ได้ แค่ว่า...”ขณะพูด เฉินฝานเริ่มลำบากใจ “อาเจิ้ง ท่านเองก็ได้ยินแล้
ภายในพระตำหนักไท่เหอ นอกจากหลี่ซานที่วิ่งมาแล้ว ยังมีฉินเย่ว์เหมย หงอิง พ่อลูกเหอกังและเหอจื่อเฉินฝานขมวดคิ้วเป็นปม “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ปีนี้ดอกฝ้ายเก็บเกี่ยวได้ดีไม่ใช่หรือ?”หลี่ซานส่ายหน้า “ไม่ได้เป็นเพราะเก็บเกี่ยวไม่ดี แต่เพราะหลายวันก่อน มีพ่อค้าต่างแคว้น พวกเขากว้านซื้อในราคาสูง ดังนั้นตอนนี้ชาวบ้านจึงมีดอกฝ้ายในมือไม่มากแล้ว”“ไม่มีดอกฝ้าย เช่นนั้นแม้จะเก่งกาจเพียงใดก็ไร้ความหมาย จะทำเสื้อผ้าฝ้ายและกางเกงผ้าฝ้ายสองแสนตัวได้อย่างไร?” สีหน้าเหอจื่อหลินฉายความกังวล“เหอกัง เหอจื่อหลิน!”ฉินเย่ว์เหมยพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเจ้าสองพ่อลูกนำทหารรักษาพระองค์หนึ่งร้อยนาย มุ่งหน้าไปแคว้นฉู่ ต้องซื้อดอกฝ้ายสองแสนจินภายในสองวันให้ได้”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”เหอกังและเหอจื่อหลินรับคำสั่งแล้วออกไป“ไม่ต้อง!”เฉินฝานขวางทางพ่อลูกตระกูลเหอ “พวกเขาซื้อดอกฝ้ายจากแคว้นเราได้ เช่นนั้นก็ย่อมซื้อดอกฝ้ายในแคว้นฉู่ไปไม่น้อย”“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี อีกเจ็ดวันหากไม่อาจนำเสื้อผ้าฝ้ายออกมาได้ พวกเสิ่นหมิงหยวนต้องบีบให้ฝ่าบาทประหารท่านแน่นอน” เหอจื่อหลินพูดด้วยความร้อนรน“ไม่อยากให้ฆ่าตาย
ชุยต๋าหลุนไม่อยากทำให้ฉินเย่ว์เหมยลำบากใจ แต่ว่าบรรดาสหายกองทัพหมาป่ากำลังรอเสื้อผ้าฝ้ายจากเขาหากตาย ที่ไม่ได้มาจากการสู้รบกับชาวหู แต่เพราะหนาวตาย เช่นนั้นทหารกองทัพหมาป่าทั้งหมดก็ตายตาไม่หลับ“ขุนนางชุย เฉินฝานไปทำงานจริงๆ เจ้ารอหน่อย ตอนนี้เขากำลังรีบกลับมาแล้ว”ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งพูดจบ เสิ่นหมิงหยวนก็พูดทันที “ในเมื่อฝ่าบาทตรัสว่าเฉินฝานกำลังเร่งเดินทางกลับมา เช่นนั้นบอกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เฉินฝานเร่งเดินทางกลับมาจากทิศทางใด กระหม่อมไม่ได้สงสัยฝ่าบาท แต่ว่า...”เสิ่นหมิงหยวนมองชุยต๋าหลุนปราดหนึ่ง แล้วค่อยพูดต่อ “ประการแรก ให้ท่านนายกองชุยสบายใจ ประการที่สอง กระหม่อมจะได้สั่งให้คน หลีกทางให้เฉินฝาน จะได้ไม่ต้องแจ้งหนังสือเปิดทางอยู่ร่ำไปพ่ะย่ะค่ะ”หลายหน่วยงานในแคว้นต้าชิ่ง ยอมรับคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวน แต่ไม่ยอมรับราชโองการของฉินเย่ว์เหมย นี่เป็นสิ่งที่เสิ่นหมิงหยวนลำพองใจ และเป็นความอับอายของฉินเย่ว์เหมย“ไม่ต้องแล้ว...”“ไม่ต้องแล้ว หรือฝ่าบาทไม่รู้ว่าเฉินฝานไปทิศทางใดพ่ะย่ะค่ะ?” เสิ่นหมิงหยวนพูดแทรกฉินเย่ว์เหมย“สามหาว!” ฉินเย่ว์เหมยตบพนักแขนของบัลลังก์มังกร “เสิ่นหมิงหยวน
ฉินเย่ว์เหมยยังไม่ได้เดินออกจากตำหนักที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสิ่นหมิงหยวนก็มีคำสั่งที่สอง“ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลท้องพระคลังของแคว้น เที่ยวเล่นไม่รับผิดชอบในฐานะ หลบหนีกะทันหัน ไม่สนใจชีวิตทหารกองทัพหมาป่าสองแสนนายทางแดนเหนือ!”“การกระทำนี้ถือเป็นการก่อกบฏเป็นความผิดร้ายแรง เหมาะแก่การประหารชีวิตและยึดทรัพย์สิน หลี่ชิ่ง ข้าขอสั่งให้เจ้าไปจวนเฉิน บุรุษจับเป็นทหาร สตรีจับมาเป็นสาวใช้วังหลวง”“สาวใช้วังหลวงและสตรีในหอโคมแดงเหมือนกัน ทว่าสาวใช้วังหลวงน่ารันทดยิ่งกว่า สตรีหอโคมแดงบริการลูกค้ายังได้รับเงิน เมื่อมีเงินมากพอสามารถไถ่ถอนตนเองได้ ทว่าสาวใช้วังหลวงไม่มีเงิน และไม่อาจไถ่ถอนตัวเองได้“เสิ่นหมิงหยวน...”ฉินเย่ว์เหมยหันขวับกลับไปทันที คว้าดาบออกมาจากเอว กระโดดขึ้นกลางอากาศ พุ่งดาบไปทางเสิ่นหมิงหยวน“ปกป้องใต้เท้า!”“ฝ่าบาท!”เสียงของหลี่ชิ่งและหงอิงดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งตัวไปหานายของตนพร้อมกัน ดาบของหลี่ชิงขวางหน้าเสิ่นหมิงหยวน ทางด้านหงอิง...“ติ้งตั้ง!”“ตึ้ง!”ฉินเย่ว์เหมยล้มลงบนพื้น นางไม่ได้ล้มเอง แต่ถูกหงอิงทำให้สะดุดล้ม“หงอิง เหตุใดเจ้าจึง...”“ฝ่า
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ