“ฝ่าบาท” ชุยต๋าหลุนโค้งตัวเล็กน้อย “ด่านทางเหนือเผชิญกับความหนาวเหน็บอย่างกะทันหัน กองทัพหมาป่าต้องการเสื้อผ้ากางเกงผ้าห่มผ้าฝ้ายจำนวนมากอย่างเร่งด่วน”“เผชิญกับความหนาวเหน็บอย่างกะทันหัน? เช่นนั้นต้องรีบส่งไปโดยเร็ว ขุนนางเสิ่นที่รัก เรื่องนี้เจ้าไปจัดการอย่างเร่งด่วนที่สุด” เปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยอ่อนลงไปมากแต่ละส่วนแต่กรมในราชสำนักอำนาจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในมือของเสิ่นหมิงหยวน ฉินเย่ว์เหมยทำได้เพียงสงบเสงี่ยมเจียมตัวตามอย่างที่แล้วมา เสิ่นหมิงหยวนจะต้องฉวยโอกาสทำให้ฉินเย่ว์เหมยลำบากใจเป็นแน่ วันนี้เขากลับไม่ทำ“รับทราบ ฝ่าบาท เรื่องนี้ข้าจะควบคุมด้วยตัวเองแน่นอน”ระหว่างที่พูด เสิ่นหมิงหยวนก็หันหน้าไปมองเลขาธิการกรมคลัง“หลินชาง ด่านทางเหนือหนาวอย่างฉับพลันเสื้อผ้ากางเกงผ้าห่มผ้าฝ้ายเป็นสิ่งรักษาชีวิตของพลทหารกองกำลังหมาป่า พลทหารป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก เป็นปัญหาความปลอดภัยอันยิ่งใหญ่ของอาณาประเทศ ข้าขอออกคำสั่งกับเจ้า ภายในสิบวันส่งเสื้อผ้ากางเกงผ้าห่มผ้าฝ้ายสองแสนชุดไปที่ด่านทางเหนือ”“สิบวัน ใต้เท้า......”ต้องทำเสื้อผ้ากางเกงผ้าห่มผ้าฝ้ายสอ
“พูดจามั่วซั่วในราชสำนัก ทหาร เอาตัวเฉินฝานออกไปราชสำนัก กักบริเวณสิบวัน ลดเงินรายเดือนสามเดือน!”ฉินเย่ว์เหมยน้ำเสียงดุดัน สายตาที่มองเฉินฝานดุดันยิ่งกว่าน้ำเสียงเสียอีกนางตักเตือนเขาไปตั้งหลายรอบแล้ว ราชสำนักไม่ใช่ตลาดสด คำพูดทุกคำในราชสำนักล้วนต้องไตร่ตรองให้ดีจึงจะพูดออกมาได้เพราะมีโอกาสเป็นไปได้มากว่าเสียตำแหน่งขุนนาง ร้ายแรงก็อาจจะถูกตัดหัว เป็นภาระให้คนที่บ้าน เพียงเพราะมีหนึ่งตัวอักษรหรือหนึ่งคำที่ใช้ไม่ถูกต้องหงอิงรวดเร็วมาก ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งจะพูดจบ นางก็มาอยู่ด้านหน้าเฉินฝาน ลากแขนเขาอย่างแรงเดินออกไปด้านนอก“นี่ ผู้บัญชาการหง อย่ารีบร้อนไป!”เสิ่นหมิงหยวนห้ามปรามหงอิง และหันไปพูดกับฉินเย่ว์เหมย “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าที่เฉินฝานพูดนั้นถูกต้อง อากาศที่หนาวเหน็บสุดขีด อย่าแต่สิบวันเลย แค่หนึ่งชั่วยาม พวกเราล้วนสามารถสูญเสียกองทัพหมาป่าไปคนหนึ่งได้”“พลทหารกองทัพหมาป่า ปกป้องด่านทางเหนือ ขับไล่คนนอกด่าน ที่พวกเราสามาถปรึกษาหารือในราชสำนักได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้ ล้วนมีผลสืบเนื่องมาจากการสละชีพปกป้องของพลทหารกองทัพหมาป่าทั้งหมด”“หากของง่ายๆอย่างเสื้อผ้ากางเกงผ้าห่มผ้าฝ
ยังคงไม่มีใครสนใจเฉินฝานสายตาของฉินเย่ว์เหมยมองไปที่หงอิง หงอิงพยักหน้า รีบเดินเข้าไปในตำหนัก ตอนที่นางออกมาอีกครั้ง ในมือกำลังยกกล่องเล็กขนาดใหญ่เปิดกล่อง ข้างในเต็มไปด้วยทองคำทอประกายแวววาวเฉินฝานพึมพำในใจทองคำเหล่านี้คงจะเป็นของล้ำค่าที่ฉินเย่ว์เหมยเก็บไว้ใต้เตียงมังกรกระมังครั้งก่อนตอนนางเอ่ยถึงเงินก้อนนี้กับเขา เป็นตอนที่เขาเพิ่งเข้าวังหลวง นางรู้สึกว่าตนไม่อาจเอาชนะเสิ่นหมิงหยวนได้ จึงให้เขานำเงินก้อนนี้ พาบรรดาน้องสาวของนางหลบหนีไปให้ไกลครั้งนี้...“ครั้งก่อนเพียงครู่หนึ่งก็ทำเงินได้ห้าล้านกว่าตำลึง แต่ท้องพระคลังไม่มีเงินเป็นทุนเดิม แดนเหนือกำลังมีสงคราม เมืองน้อยใหญ่ทั่วแคว้นกำลังเกิดภัยพิบัติ ทุกแห่งหนล้วนจำเป็นต้องใช้เงิน เงินที่ใช้ได้เกรงว่าจะไม่มากแล้ว”ในที่สุดฉินเย่ว์เหมยก็ยอมคุยกับเฉินฝานแล้ว แต่ว่า น้ำเสียงของนางไม่ค่อยดีเท่าใดนัก“แม้เงินไม่มากนัก แต่ทำเสื้อผ้าฝ้าย กางเกงผ้าฝ้ายและผ้าห่มสองแสนชุด ยังคงเพียงพอ” เฉินฝานกล่าว“เฮ้อ!” ฉินเย่ว์เหมยหงุดหงิดในความไม่ได้ดั่งใจของเฉินฝาน “เจ้าช่างหัวดื้อจริงๆ เจ็ดวัน เจ้าไม่มีทางทำเสื้อผ้ามากมายขนาดนั้นได้ ตอนน
เจ้าพาเฉินซือเจี๋ยรวมถึงคนในครอบครัวของเขา ออกเดินทางวันนี้ ส่งพวกเขาไปหาฉู่หยางหง ณ แคว้นฉู่อย่างปลอดภัย”ด้านการค้า เฉินฝานมากความคิด ฉู่หยางหงต้องปกป้องเฉินฝานแน่นอน“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!“จำเอาไว้! ต้องให้พวกเขาไปถึงอย่างปลอดภัย!”ฉินเย่ว์เหมยกำชับคำว่าปลอดภัยอีกครั้ง“ฝ่าบาท!” เสียงของเหอจื่อหลินดังก้อง น้ำเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่เฉินซือเจี๋ยและครอบครัวยังมีชีวิต กระหม่อมก็จะยังมีชีวิตพ่ะย่ะค่ะ!”มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เฉินฝานตื้นตันใจอย่างมาก ทว่าในทางเดียวกันก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ “พวกท่านกำลังทำสิ่งใด ต้าชิ่งเป็นแคว้นของข้า เป็นบ้านของข้า ข้าไม่มีทางไปจากที่นี่”เฉินฝานรู้ดีว่าพวกฉินเย่วืเหมยจะโต้แย้งเขาแน่นอน เขาจึงรีบพูดต่อ “พวกท่านโปรดวางใจ พวกเสิ่นหมิงหยวนไม่อาจสังหารกระหม่อมได้ เสื้อผ้าฝ้ายสองแสนตัว กระหม่อมทำได้พ่ะย่ะค่ะ”ขณะพูด เฉินฝานเตะหลี่ซานหนึ่งครั้ง “พวกเขาไม่รู้จักข้าดี ไม่เชื่อใจข้า เจ้าก็ไม่เชื่อใจข้าเช่นนั้นหรือ!”“น้องฝาน...” หลี่ซานลังเลเล็กน้อย “เจ้ามีวิธีจริงๆ หรือ?”“มี ภารกิจของเจ้าในตอนนี้ข้ารีบออกไปจากวังหลวง ซื้อฝ้ายและผ้ามาให้ข้า!”
เฉินฝานทำเรื่องน่าอัศจรรย์มากมายในอำเภอผิงอัน เมื่อก่อนซูซิวฉีเคยบอกนางแต่ว่าสร้างเครื่องจักรสุดมหัศจรรย์ที่สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าฝ้ายสองแสนตัวในเจ็ดวัน ของเช่นนี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีจริง“สิ่งนั้นที่เรียกว่า เรียกว่า...เฮ้อ เมื่อฝ่าบาทเห็นก็จะทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”หลี่ซานพูดจบ ลากเหอจื่อหลินออกไปข้างนอก “เหอจื่อหลิน ไปเร็วเข้า ไปเปิดหูเปิดตากับข้าขอรับ”เหอจื่อหลินไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้หลี่ซานดึงตัวเขาครั้งก่อน ตอนอยู่อำเภอหลี หลี่ซานเคยดึงตัวเหอจื่อหลินไปดูเป็ดย่างที่เฉินฝานทำหลังจากหลี่ซานและเหอจื่อหลินไป หงอิงมองฉินเย่ว์เหมย “ฝ่าบาท ให้หม่อมฉัน...ไปรับคนนอกเมืองดีไหมเพคะ”เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางเองก็เริ่มเชื่อเฉินฝานแล้วตอนอยู่อำเภอหลี เฉินฝานก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ แต่สุดท้าย ไม่เพียงพึ่งพาได้ ทั้งยังทำได้เยี่ยมยอดผู้ใดจะคาดคิด ไม่ต้องสูญเงินกับภัยพิบัติ ทั้งยังได้เงินจากภัยพิบัติครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้“เหตุใดแม้กระทั่งเจ้าก็ยัง...ช่างเถอะ” น้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยโอนอ่อนลงเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถอะ”“สุดท้าย หากเจ้าทำไม่สำเร็จ พาลให
หลี่ซานมองจักรเย็บผ้าที่เฉินฝานเพิ่งประกอบเสร็จด้วยความระมัดระวัง “น้องฝาน เจ้าสิ่งนี้ หนึ่งชั่วยามตัดเย็บเสื้อผ้าได้หลายตัวจริงๆ หรือ?”เสื้อผ้าในยุคสมัยนี้ ล้วนอาศัยแรงงานของสตรีในการตัดเย็บทีละเส้นๆ เสื้อผ้าหนึ่งตัว โดยเฉพาะเสื้อผ้าฝ่าย อย่างน้อยต้องใช้เวลาห้าถึงหกวัน จึงจะตัดเย็บเสร็จ“นี่คือเวลาพิสูจน์ปาฏิหาริย์แล้ว”เฉินฝานฉีกม่านเล็กน้อย ใช้กรรไกรตัด หลังจากนั้นนั่งตรงหน้าจักรเย็บผ้า นำม่านสอดไว้ใต้จักรเย็บผ้า แล้วใช้เท้ากด“ติ๊ด ต๊าด ติ๊ด ต๊าด ติ๊ด ต๊าด...”เสียงจักรเย็บผ้าดังเป็นจังหวะเสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้ทุกคนตกใจ ทุกคนถอยหลังตามสัญชาตญาณ หงอิงถึงขั้นยืนป้องหน้าฉินเย่ว์เหมย“จิ๊ๆๆ จักร...เย็บผ้านี้ ต๊าดต๊าดนี้”เสียงจิปากของหลี่ซาน ดังก้องตำหนักไท่เหอจักรเย็บผ้าสามคำนี้ ไม่คุ้นปากเกินไป เขานึกไม่ออกจริงๆ จึงเรียกว่ารถต๊าดต๊าด “ความเร็วนี้ การเย็บของเข็มนี้ ทั้งตรงและถี่ รถต๊าดต๊าดสุดยอดมากจริงๆ”เสียงร้องด้วยความตกตะลึงของหลี่ซาน ดังขึ้นเรื่อยๆคนที่ก่อนหน้านี้ถอยหลัง ไม่อาจต้านทานความสงสัย พวกเขาล้อมวงเข้ามาฉินเย่ว์เหมยผลักหงอิงที่ยืนขวางหน้านาง และเ
บุญคุณและความแค้นเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างฉินเย่ว์เหมยกับเฉินฝาน แน่นอนว่าพวกเหอจื่อหลินย่อมไม่มีทางรู้เหอจื่อหลินชี้ไปยังหมอนที่เฉินฝานกอดเอาไว้ “เฉินซือเจี๋ย กอด กอดนี้ของท่าน...”“หมอนกอด!” เฉินฝานพูด“อ่อ ใช่ หมอนกอดๆ ชื่อเรียกไม่สำคัญ” เหอจื่อหลินโบกมือ “สิ่งสำคัญคือข้าเพิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ท่านทำ ใช้เวลาหนึ่งจิบน้ำชาเท่านั้น ความเร็วนี้ช่างน่าอัศจรรย์อย่างมาก!”“เฮ้อ! หากไม่เร็ว น้องฝานจะชมตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร การชื่นชมตนเองของน้องฝาน ไม่เคยสูญเปล่า”สีหน้าของหลี่ซานเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจรู้จักเฉินฝาน ทั้งยังกลายเป็นพี่น้องคนสนิทของกันและกัน คือวาสนาที่เขาหลี่ซานทำบุญสั่งสมมานับร้อยชาติ“เป็นความเร็วที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ของสิ่งนี้ สตรีห้าสิบคนรวมกันยังไม่อาจเทียบได้”กลุ่มพ่อค้าแคว้นฉู่ก็ชมไม่หยุด“ห้าสิบคน? หึ!” หลี่ซานหัวเราะในลำคอด้วยความลำพองใจ เขาชูนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้น “เป็ดสิบ สตรีแปดสิบคนรวมกันยังไม่อาจเทียบได้ อีกทั้งต้องเป็นสตรีที่ทำงานรวดเร็ว คนทำงานช้าต้องประมาณหนึ่งร้อยคน”“น้องฝาน เจ้าช่างเก่งจริงๆ!” เหอจื่อหลินตบหัวไหล่เฉินฝาน “แม้จะมีเครื่องต๊าด ต๊าดนี้.
เรื่องนี้ เขาคิดตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นตอนทำจักรเย็บผ้า เขาจึงตั้งใจทำให้ง่ายที่สุด“แต่ว่าตอนนี้มีเพียงครึ่งเดียว แม้จะเร็วเพียงใดก็ไม่พอใช้”“ฝ่าบาท กระหม่อมให้คนทำห้าร้อยตัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เฉินฝานหันไปมองหวังอาซื่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ก่อนเขาออกมาจากอำเภอผิงอัน เขาให้เงินก้อนใหญ่กับหวังอาซื่อ ให้เขาทำเครื่องหลักห้าร้อยเครื่องเวลานั้นตอนเฉินฝานสั่งผลิตจักรเย็บผ้า เขาไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตเช่นตอนนี้ ตอนนั้นเขาแค่อยากขยายธุรกิจ อยากสร้างรายได้เพิ่ม คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะนำมาช่วยชีวิตได้“เสี่ยวฝาน” หวังอาซื่อตบแผงอกของตนเอง “งานที่เจ้ามอบหมายให้ข้าทำ ข้าย่อมไม่อาจรอช้า เงินที่เจ้าเก็บไว้ให้ ไม่เพียงทำได้ห้าร้อยเครื่อง ทำได้หกร้อยหกสิบเจ็ดเครื่องแหนะ และเพื่อความหมายที่ดี ข้าจึงเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย ทำทั้งหมดหกร้อยหกสิบแปดเครื่อง”เฉินฝานหันไปยกนิ้วโป้งให้หวังอาซื่อ “หกร้อยหกสิบแปด เยี่ยมมาก!”“นี่เป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่หรือ?” หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าแคว้นฉู่สีหน้าฉายความดีใจ “นายจ้างใหญ่แซ่ฉู่ของเราบอกว่า สินค้าที่ถึงมือลูกค้า มากได้แต่ไม่อาจน้อย การค้าจึงจะยาวนาน น้องฝาน งานที่เจ้ามอบหมาย
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้