“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย”เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น หยวนอิงคุกเข่าลงทันทีชายชราเมินเฉยหยวนอิงและก้าวเท้าเร็วไปหาเฉินฝาน แต่เพ่ยจี้ตะโกนเสียงโกรธระหว่างทาง “ซูซิวฉี ท่านไม่อยู่ในราชสำนัก มาทำอะไรที่นี่?”เพ่ยจี้โกรธมากดั่งสายฟ้าแลบ ถ้าชายชราผู้นี้ไม่ปรากฏตัว เฉินฝานคงจะตอบตกลงเขาแล้ว“ถ้าข้าไม่มา คนของข้าก็คงถูกแย่งชิงไปแล้ว!”ขณะที่เขาพูด ซูซิวฉีก็เดินมาถึงตรงหน้าเฉินฝาน เขามองเฉินฝานอย่างตื่นเต้น “เสี่ยวฝาน เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม ข้าคิดถึงเจ้ามากเลยนะ”หลังกลับจากอำเภอผิงอันจนถึงเมืองหลวง ซูซิวฉีรู้สึกว่าแต่ละวันยาวนานเหมือนเป็นปี เขานับวันและตั้งตารอวันที่สอบระดับราชสำนักจะมาถึงเร็ว ๆ ระหว่างการสอบระดับมณฑลกับการสอบระดับราชสำนัก ห่างกันเพียงหนึ่งเดือนกว่า ซึ่งก็คือสามสิบแปดวัน แต่สามสิบแปดวันนี้ ซูซิวฉีรู้สึกยาวนานเหมือนสามร้อยแปดสิบวันเขากลัวการสอบระดับราชสำนักจะเกิดปัญหาระหว่างทาง ซูซิวฉีจึงเดินทางจากเมืองหลวงมาที่นี่เองเดิมที เขาแค่อยากรอเฉินฝานในเมืองหรงตูตอนที่เขามาถึงเมืองหรงตูเป็นเวลาสามสี่โมงเช้าแล้วตอนที่เขากลับไปครั้งที่แล้ว เขาให้คนอยู่ต่ออำเ
“ขุนนางพลเรือนอย่างพวกเจ้าจับพู่กันทั้งวัน มันทั้งเล็กและสั้น ฮึ ถึงว่าสิ่งที่อยู่ในร่างกายของพวกเจ้าก็ช่างเล็กเสียเหลือเกิน เช่นนั้นแล้ว……”“เพ่ยจี้ เจ้า เจ้า......เจ้ามีแล้วมีประโยชน์อะไร? เจ้าก็ไม่มีบุตรลูกสาวเหมือนกัน”“ซูซิวฉี เจ้ามีบุตรชายแล้วเก่งนักรึไง!”เพ่ยจี้ปาหินลูกหนึ่งใส่ซูซิวฉี“เพ่ยจี้ เจ้าคนหยาบกระด้าง กล้าโยนของ!”ซูซิวฉียังโยนแท่นฝนหมึกบนตัวออกไปหาเพ่ยจี้ทั้งสองคนจากทะเลาะมาจนถึงขว้างปาสิ่งของอยู่อย่างนั้นสลับกันไปมาคนที่อยู่รอบ ๆ เพ่ยจี้กับซูซิวฉีต่างตกตะลึง แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงตกตะลึงและไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขาเมื่อเห็นชายชราสองคนทะเลาะกันและขว้างสิ่งของใส่กันเหมือนเด็กไม่กี่ขวบปี เฉินฝานก็ทำหน้าจนใจหากเมื่อครู่นี้หยวนอิงไม่ได้คุกเข่าคารวะ เขาคงไม่เชื่อว่าชายชราสองคนนี้เป็นบุคคลที่มีอำนาจในราชสำนักหลังจากขว้างสิ่งของบนตัวหมดแล้ว ชายชราสองคนเริ่มขว้างของใช้ในเรือน“ผู้เฒ่า ถ้าใครกล้าโยนของใช้ของข้า ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”ห้องเซียงฝางที่ทะเลาะดังโหวกเหวก พลันเงียบสงบในทันใดผู้คุ้มกันของผู้นำทั้งสองฝ่ายหยวนอิงและเว่ยสือต่างมองหน้าพร้อมกันเพียง
ครั้งนี้ซูซิวฉีไม่ได้มาสืบสาวอย่างลับๆ ตัวตนของเพ่ยจี้ก็เปิดเผยให้เห็นนานแล้ว เฉินฝานถงเซิงรากหญ้าคนหนึ่ง มีการคุ้มกันที่แน่นหนาจางเจิ้งห้าวที่เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ครั้งแรก สูดหายใจเข้าลึกๆจะว่าไปแล้ว หากไม่ใช่เฉินฝาน เขาทุ่มเททั้งชีวิต เกรงว่าคงจะไม่ได้เห็นสภาพการณ์เช่นนี้เฉินฝานช่างเป็นดาวดวงใหญ่แห่งโชคลาภของเขาและหลูเฉิงกวงจริงๆจางเจิ้งห้าวจัดชุดขุนนางของตัวเอง และถามคนข้างกาย หลังจากที่ยืนยันได้ว่าเสื้อผ้าหน้าผมของตนไม่มีปัญหาแล้ว จึงกล้าเดินเข้าไปในลานบ้านเฉินฝานตอนที่เข้าไปในลานบ้าน จางเจิ้งห้าวไม่เห็นซูซิวฉี เห็นเพียงเฉินฝานนั่งจิบชาอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาจางเจิ้งห้าววิ่งเหยาะๆเข้าไปหาเมื่อเห็นจางเจิ้งห้าว เฉินฝานลุกขึ้นเตรียมที่จะทำความเคารพให้เขา“อย่าเลย!” จางเจิ้งห้าวรีบร้อนรุดหน้าห้ามปรามตำแหน่งนายอำเภอของเขานี้ เป็นการพึ่งพาจึงได้มา ถ้าหากไม่ใช่มีเหล่าคนใช้และองครักษ์อยู่ เขายังอยากจะทำความเคารพให้กับเฉินฝานเลยล่ะ“ใต้เท้า ดื่มชา!”เฉินฝานชงชาให้จางเจิ้งห้าวหนึ่งแก้ว“เสี่ยวฝาน ท่านอัครเสนาบดีกับท่านนายพลล่ะ?” จางเจิ้งห้าวรับแก้วชาด้วยสองมือ ตามองไป
“ข้าว่านะท่านใต้เท้าทั้งสองพวกท่านหยุดก่อนเถอะ” เฉินฝานถือพระราชโองการมายืนตรงหน้าเพ่ยจี้และซูซิวฉี“โวยวายอะไร ไม่เห็นว่าพวกข้ากำลังยุ่งอยู่หรือกระไร?”เพ่ยจี้ที่ระเบิดอารมณ์โมโหคิดว่าเป็นลูกน้องของพวกเขาทั้งสอง ตะคอกด้วยความโมโหออกมาเสียอย่างนั้นเขาหงุดหงิดมากจริงๆ เพราะว่าคำพูดที่แทรกมากะทันหันนี้ ทำให้เขาถูกซูซิวฉีโยนขี้โคลนใส่หน้าเขาและซูซิวฉีตีกันมาสองวันแล้ว เป็นครั้งแรกที่โดนซูซิวฉีโจมตีได้ จะไม่โมโหได้อย่างไร?“เสี่ยวฝาน เขาด่าเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมกองทัพหมาป่าของเขา”คนที่เห็นว่าเป็นเฉินฝานก่อนคือ ซูซิวฉี เมื่อเห็นเพ่ยจี้ด่าเฉินฝาน เขามีความสุขเป็นอย่างมาก“ได้ ฟังที่ท่านอัครเสนาบดีพูด ข้าจะไม่ไปกองทัพหมาป่า” เฉินฝานยิ้มพลางพูด“ไอ้หยา เสี่ยวฝาน ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้จริงๆว่าคนที่เดินมาคือเจ้า” เพ่ยจี้ขวัญหนีดีฝ่อกล่าวขอโทษเฉินฝาน“พูดอะไรน่ะ เสี่ยวฝานตัวออกจะโตขนาดนั้น เจ้ามองไม่ชัด? เจ้าจงใจล่ะสิ” ไม่ง่ายเลยที่จะฉกฉวยโอกาสมาได้ ซูซิวฉีจึงไม่ปล่อยไปง่ายๆความเพียรพยายามด้านร่างกาย เขาสู้เพ่ยจี้ไม่ได้ ความเพียรพยายามด้านฝีปากเพ่ยจี้
“ใต้เท้าจาง ฝ่าบาทออกพระราชโองการอันใดมา ข้าน้อยทราบได้หรือไม่?”หลี่ซานเองก็ถามจางเจิ้งห้าวด้วยความอยากรู้เช่นกัน“ไม่มีปัญหาหรอก ให้เจ้ารู้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียอีกประเดี๋ยวก็คงจะติดตรงป้ายประกาศของอำเภอ แต่พระราชโองการนั้น ช่าง.... กับเสี่ยวฝานเสียจริง เฮ้อ!”จางเจิ้งห้าวนำพระราชโองการฉบับคัดลอกด้วยมือส่งให้หลี่ซาน“ไม่ยุติธรรม เหตุใดฝ่าบาทจึงออกพระราชโองการเช่นนี้ ไม่ยุติธรรมกับคนมากมาย โดยเฉพาะกับเสี่ยวฝาน ไม่ยุติธรรมสุดๆ”หลี่ซานอ่านเนื้อหาในพระราชโองการจบแล้ว พูดออกมาด้วยความยากที่จะรับได้และไม่สบอารมณ์ไม่หยุดเรื่องนี้ทำหลี่ซานรับไม่ได้ และยังไม่พอใจในเนื้อหาพระราชโองการคร่าวๆที่เป็นเช่นนี้อย่างมากการสอบระดับอำเภอและระดับมณฑลทั้งหมดในรัชสมัยต้าชิ่ง ให้อภิสิทธิ์กับปัญญาชนที่มีลูกชายก่อน ปัญญาชนที่ไม่มีลูกสามารถผ่านการสอบระดับอำเภอและระดับมณฑลได้ ทว่าเข้าร่วมการสอบระดับพระราชวังไม่ได้หรือก็คือ เฉินฝานที่ไม่มีลูกชายลูกสาวในตอนนี้ ต่อให้เอาคนสอบอันดับแรกของการสอบระดับมณฑลอำเภอผิงอัน“ฝ่าบาทเสียสติไปแล้วกระมัง...”“หลี่ซาน!” จางเจิ้งห้าวรีบร้อนปิดปากหลี่ซาน “เจ้าอยากตา
อยู่ๆซูซิวฉีและเพ่ยจี้ที่ทะเลาะกันมาสองวันก็ดีกันเสียอย่างนั้น ก่อนที่จะจากอำเภอผิงอันไป พวกเขาต่างหาหมอห้าคนให้กับเฉินฝานและพี่น้องนางฉินในตอนแรก พี่น้องนางฉินไม่รู้ว่าหมอมาทำอะไร เห็นหมอสิบคนกำลังห้อมล้อมเฉินฝาน ยังคิดว่าเฉินฝานป่วยหนักฉินเย่ว์โหรวบ่อน้ำตาตื้น ร้องไห้หนักมากเฉินฝานโมโหจนด่าอย่างรุนแรง ให้ซูซิวฉีและเพ่ยจี้นำหมอเหล่านั้นออกไปซูซิวฉีและเพ่ยจี้ไม่ว่าอะไรก็ทำตามเฉินฝานหมด เรื่องนี้กลับไม่ทำตามหลังจากที่หมอสิบคนล้วนกล่าวว่าร่างกายของเฉินฝานและพี่น้องนางฉินปกติดีทุกอย่าง สามารถให้กำเนิดลูกได้ ใจที่เป็นกังวลของสองผู้เฒ่าถึงวางใจได้นิดหน่อยวางใจได้นิดหน่อยจริงๆ ไม่เช่นนั้น...เฉินฝานยืนตกตะลึงอยู่ตรงทางเข้ายุ้งฉางที่มักจะเอาไว้เก็บเสบียงอาหารห้านาทีสองผู้เฒ่านี้ ออกไปแล้วยังจะหาเรื่องลำบากมาให้เขาอีก“เสี่ยวฝาน ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี้เอง ข้าหาเจ้าตั้งนาน”ด้านหลังมีเสียงของหลี่ซานดังขึ้น“เจ้ายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น ยุ้งฉางมีอะไรน่าดู มีโจรบุกเข้ามาขโมยเสบียงงั้นหรือ”เสียงของหลี่ซานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ“เฮ้ย !”ตอนที่หลี่ซานเห็นของในยุ้งฉางชัดเจนแล้ว ก็ตกใจเช่
“นายท่านชางเจ้าค่ะ เขาพานายน้อยชางเฟยอวี่และเหล่าคุณหนูชางมา เจ้านายต้องการพบหรือไม่?”“เจ้าพาพวกเขาไปโถงรับแขกแล้วกัน!”การประลองสามรอบกับอำเภอตูอันครั้งก่อน ภาพจำของเฉินฝานที่มีต่อชางเฟยอวี่ไม่ดีนักทว่าตระกูลชางเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับสองในอำเภอผิงอัน และตระกูลชางก็อาศัยอยู่ตรงข้ามกัน ในวันธรรมดาไม่มากก็น้อยก็ต้องเห็นกันอยู่แล้ว ความสัมพันธ์แบบเพื่อนบ้าน ก็ควรจะพยายามสมานฉันท์อย่างเต็มที่เฉินฝานเพิ่งจะมาถึงโถงรับแขก สุ่ยเซียนก็พาคนเข้ามาเช่นกัน“หลานฝานเอ๋ย!”เมื่อเห็นเฉินฝาน นายท่านชางชางหย่งชางก็ทักทายเฉินฝานอย่างอบอุ่นด้านหลังชางหย่งชางตามมาด้วยหนึ่งชายสามหญิงผู้ชายนั้นก็ต้องเป็นชางเฟยอวี่อยู่แล้ว ผู้หญิงน่าจะเป็นเหล่าลูกสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนของชางหย่งชางต้องยังไม่ได้ออกเรือนเป็นแน่ ถ้าออกเรือนไปแล้ว ชางหย่งชางไม่พามาด้วยหรอก ออกเรือนมีสามีแล้ว ต่อให้ออกมา ก็ไม่ใช่ชางหย่งชางพามาตระกูลชางสี่คนยืนแถวเรียงหนึ่งรวมทั้งชางหย่งชางด้วย แต่ละคนล้วนหิ้วกล่องของขวัญมากมาย“ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหลานชายมานมนานแล้ว ตาแก่อย่างข้าจำใจทำงานตรากตำอยู่ต่างถิ่น เมื่อวานถึงจะไ
พวกนางประดับศีรษะด้วยปิ่นปักผมล้ำค่าสีชาด ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต เรือนร่างล้วนสวมใส่ผ้าไหมดักแด้อย่างดี คุณภาพคล้ายกับผ้าพันแผลชั้นดีในยุคปัจจุบันผ้าไหมดักแด้ห่อหุ้มร่างกาย ขับความงดงามอ่อนช้อยของเรือนร่างเด็กสาวให้เด่นชัดยิ่งขึ้น สวยงามหยดย้อยราวกับนางอัปสรพวกนางก้าวเท้าสั้นๆ ค่อยๆเดินไปหาเฉินฝาน“เสี่ยวฝาน!” ชางหย่งชางแนะนำเหล่าลูกสาวตนเองให้กับเฉินฝาน “นี่คือลูกสาวคนที่ห้าคนที่หกคนที่เจ็ดของตาเฒ่า ถิงถิง อิงอิง เยี่ยนเยี่ยน รีบมาทักทายพี่ฝานของพวกเจ้าสิ”“...แคก!”เฉินฝานแทบจะพ่นน้ำชาในปากออกมาชางหย่งชางนั้นการค้าการปฏิบัติตนล้วนรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางทั้งนั้น ทว่าความสามารถในการตั้งชื่ออยู่ในระดับพอถูๆไถๆจริงๆหากไม่ใช่ความเหนียมอายที่ปรากฏบนใบหน้าของนางทั้งสามคน เฉินฝานยังคิดไปเองว่าชางหย่งชางพาหญิงสาวสามคนจากสำนักนางโลมมาเสียอีก“ทักทายพี่ฝาน!”ตอนที่ถิงถิงอิงอิงเยี่ยนเยี่ยนโน้มตัวทักทาย ชั่วพริบตาเฉินฝานสามารถเห็น...ของพวกนางได้รางๆ“สวัสดีพวกน้องสาว ดีเลย!”ตามประเพณีดั้งเดิมของราษฎรต้าชิ่ง ชางหย่งชางให้เหล่าลูกสาวแต่งกายเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็เข้าใจ
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่