“เมื่อดูปฏิกิริยาของบัณฑิตเริ่นที่มีต่ออาจารย์เฉียน ข้ารู้สึกว่าอาจารย์เฉียนก็คือบัณฑิตเฉียน!”“ดังนั้น......นี่เป็นพิสูจน์ทางอ้อมได้ว่าเฉินฝานไม่ได้ขโมยข้อสอบ อาจารย์ของเขาเป็นถึงบัณฑิตเฉียนเลยนะ”“เอ่อ จะพูดแบบนี้ไม่ได้กระมัง ถึงแม้บัณฑิตเฉียนเยี่ยมยอดมาก ก็ไม่สามารถทำให้คนที่เพิ่งเรียนคัมภีร์สามอักษรจบสอบได้คะแนนเต็มนี่”“หรือไม่ นี่คือความเก่งกาจของบัณฑิตล่ะ?”“โอ้แม่ข้า ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ข้าจะย้ายไปสถานศึกษาของหมู่บ้านซานเหอทันที”“อย่าเพ้อฝันเลยน่า ข้าได้ยินมาว่า บัณฑิตเฉียนไม่รับนักเรียนง่าย ๆ หรือไม่เจ้าก็ดูสิ ในบรรดานักเรียนของหมู่บ้านซานเหอ หลายปีมานี้เหตุใดถึงมีเพียงเฉียนหย่งเหนียนคนเดียวที่สอบผ่านถงเซิงอย่างยากลำบาก”“แล้วเฉินฝานคนนี้มีอะไร? เมื่อก่อนเขาเป็นแค่อันธพาลไม่มีอนาคต แต่โชคกลับมาตกที่เขาจริง ๆ!”เช่นเดียวกับเหตุการณ์ประกาศรายชื่อในเวลานั้น ปัญญาชนเหล่านั้นแสดงความอิจฉาต่อเฉินฝานอีกครั้งพวกเขาพยายามอย่างหนัก ตั้งใจเรียนนานถึงเพียงนั้น แต่เหตุใดถึงไม่มีความโชคดีเลย?สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย“ข้าว่าพวกเจ้าด่วนสรุปเร็วเกินไป” มีปัญญาชนบางคนเห็นต่าง
“อะไรนะ?”คำพูดของเฉินฝานเป็นเหมือนระเบิดลูกใหญ่อีกลูก ทุกคนต่างมองเฉินฝานอ้าปากตาค้างการประลองระหว่างถงเซิงผู้หนึ่งกับบัณฑิตผู้มีคุณธรรมดีเด่น มีชื่อเสียงมีผลงานยิ่งใหญ่และเป็นที่นับถือ?“ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ เฉินฝานบอกว่าจะแข่งกับบัณฑิตเริ่น?”“เจ้าไม่ได้ฟังผิด”“ขโมยคำถามไปสองสามข้อและจำคำตอบได้สองสามข้อ ก็คิดว่าตนเองมีความรู้มากมายแล้วรึ?”“ที่แท้อาการเพ้อเจ้อฝันสูง ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง ดูท่าทางแล้วป่วยหนักไม่เบา ข้าว่าหมอส่วนใหญ่คงส่ายหัวเมื่อเห็นเขา”“ฮ่า ๆ ๆ ไม่อาจรักษาได้แล้ว!”ผู้คนเริ่มจากอาการตื่นตกใจจนถึงหัวเราะเยาะเยาะเย้ยและดูถูกเฉินฝานยิ้มเบา ๆ และทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้น เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สนใจ“เอาสุรามา!”“สุราที่ท่านขอ!”คนที่นำโถสุราให้เฉินฝานคือทหารล้อมรอบเขาและต้องการจับเขา“อืม!”จนกระทั่งจางหย่งชุนส่งเสียงให้สัญญาณ ทหารที่ยื่นโถสุราให้เฉินฝานถึงตรงหน้าถึงมีสติอีกครั้งพูดได้เพียงว่า พลานุภาพของเฉินฝานแข็งแกร่งเกินไป คำว่าเอาสุรามาของเขา เสียงตะโกนนั้นยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม ฟังแล้วสามารถยอมจำนนได้อย่างไม่รู้ต
“ข้าว่าเจ้ายังเหมือนตอนนั้นไม่เปลี่ยน ไม่มีอะไรในสมอง กลัวสู้ไม่ไหว เลยกลับไปใช้กลอุบายเก่า ๆ วิธีสกปรก ๆ แบบนี้อีก”“ข้าจะบอกอะไรเจ้านะ เจ้ามันคือขยะ”เริ่นรุ่ยฟ่านไม่พูด อาจารย์เฉียนก็ด่าไม่หยุดและไม่ไว้หน้าเริ่นรุ่ยฟ่านแม้แต่เล็กน้อย“ศิษย์พี่ ในฐานะผู้พ่ายแพ้ของข้า ถ้าไม่ยอมรับก็ทนเอา!”เริ่นรุ่ยฟ่านแสดงสีหน้าร้ายกาจ “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หัวหน้าสำนัก ข้าก็คง……”“คงทำอะไร? เจ้ามันจอมปลอม ไม่เช่นนั้นเจ้าก็แข่งกับนักเรียนของข้าตอนนี้ ถ้าเจ้าไม่แข่ง เจ้าก็คือไอ้งั่ง!”“แปะ ๆ ๆ!”บางคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้นรู้สึกชอบใจในคำพูดอันเกรี้ยวโกรธของอาจารย์เฉียนและอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้อาจารย์เฉียนหลังจากปรบมือเสร็จก็พบว่าไม่ควรทำเช่นนั้น พวกเขาจึงหยุดทันทีชาวบ้านที่มาร่วมงานเลี้ยง รวมถึงคนที่หลี่ชางกับหลูเฉิงกวงพามาด้วย ทางเข้าหมู่บ้านซานเหอ มีผู้คนเกือบพันคนยืนอยู่ วินาทีนี้ไม่มีแม้แต่เสียงร้องอีกา ทุกอย่างเงียบราวกับไม่มีคนสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เริ่นรุ่ยฟ่านเมื่อมาถึงขั้นนี้ ทุกคนต่างหวังว่าเริ่นรุ่ยฟ่านจะแข่งกับเฉินฝานแน่นอนว่า คนส่วนใหญ่ต้องการเห็นว่าเริ่นรุ่ยฟ่านสั่
เริ่มแล้ว เริ่มแล้วมีผู้คนนับพันคนในพื้นที่เปิดโล่งตรงทางเข้าหมู่บ้านซานเหอ เงี่ยหูฟังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายนี่เป็นการแข่งขันระหว่างปัญญาชนทั่วไปกับบัณฑิตครั้งแรกนับตั้งแต่การสถาปนาราชวงศ์ต้าชิ่งผู้คนต่างสงสัยว่าเฉินฝานมีความสามารถแท้จริงหรืออวดดีจากน้ำเมาเวลานี้ พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก ภายใต้การหักเหของแสงตะวัน เห็นฝุ่นที่ฟุ้งกระจายและความสลัวที่ลึกซึ้ง ไม่มีสิ่งไหนไม่ชวนให้นึกถึงสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในสนามรบเริ่นรุ่ยฟ่านที่แต่งกายชุดดำ ยืนน้อมรับการประลองท่ามกลางสายลมราวกับท่านนายพลผู้สง่างามเฉินฝานที่อยู่ตรงข้ามเขา พิงโถสุราอย่างสบาย ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาพร่ามัวจากฤทธิ์สุรา สภาพของเขากล่าวได้ว่าทุลักทุเลไม่เริ่มการแข่งขัน คนส่วนใหญ่มีคำตอบในใจแล้ว“ใช้คำถามของอาจารย์ น่าแข่งขันอย่างไร? ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าคิดถ่วงเวลา!” หลี่ชางอยู่ด้านข้างและกล่าวเสียงโมโห“ไม่มีมารยาท อาจารย์ของเจ้าสอนความรู้แก่เจ้า ให้เจ้ารู้จักท่องแต่จำหนังสือ แต่ไม่สอนเรื่องมารยาทและความละอายใจแก่เจ้ารึ?”ไม่สนใจหรอกว่าเป็นใต้เท้าเจ้าเมืองอะไร เวลาอาจารย์เฉียนเอ่ยปาก เขาไม่เ
เป็นไปได้อย่างไร นักเรียนในสถานศึกษาของหมู่บ้านยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อพวกเขารู้จักเฉินฝานตั้งแต่เด็ก ก่อนเข้าเรียนในสถานศึกษา เขารู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัวเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?หรือว่าอาจารย์เฉียนแอบสอนเขาลับหลังจริง ๆ?เฉินฝานเพิกเฉยต่อความประหลาดใจเหล่านั้นและท่องต่อ “《คัมภีร์จงยง》บทที่35 กล่าวว่า: ผู้ปราศจากกังวล เห็นจะมีแต่เหวินหวาง มีหวางจี้เป็นบิดา มีอู่หวางเป็นโอรส บิดาวางรากฐาน บุตรสานปณิธานอู่หวางสืบตำแหน่งจากไท่หวาง หวางจี้และเหวินหวาง รบพุ่งจนครองใต้ฟ้า มิไดเสียนามกระเดื่องในใต้ฟ้า สูงศักดิ์ถึงขั้นโอรสสวรรค์ มั่งคั่งด้วยมีสี่สมุทร มีศาลบูชา อนุชนเซ่นไหว้ต่อมา……”“......《หนังสือแห่งพิธีกรรม》บทที่221: ว่ากันว่าคนโบราณมารยาทในการเข้าพบ หากเป็นครั้งแรก ควรกล่าว: ‘ข้าหวังจะรายงานชื่อให้ท่านทราบผ่านผู้แนะนำ’ ห้ามเข้าพบเจ้านายโดยข้ามผู้แนะนำ หากเข้าพบผู้มีสถานะเท่าเทียม ควรกล่าว: ‘ข้ามาเข้าพบท่านเป็นการเฉพาะ’ หากเข้าพบผู้ยากจะได้เจอ ควรกล่าว: ‘ข้าหวังจะรายงานชื่อให้ท่านทราบ’ หากเข้าพบผู้พบกันบ่อยครั้ง ควรกล่าว: ‘ขอบคุณที่กล่าวแจ้งบ่อยครั้ง’ คนตาบอดขอเข้าพบ ควรกล่าว: ‘ข้าหวังจ
เฉินฝานยิ้มแห้งและกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ขอบคุณ เพื่อน”เฉินฝานที่รินเหล้าลงถ้วย ส่ายหัวอย่างรังเกียจอีกครั้งไม่เพียงแต่โถเหล้าที่เล็ก ถ้วยเหล้าก็เล็กไม่น่าแปลกใจเลยที่ดื่มมานานขนาดแล้วแต่ไม่รู้สึกอืดท้องหลังจากดื่มไปอีกหนึ่งถ้วย เฉินฝานรู้สึกสมองแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิมถ้อยคำในหนังสือโบราณเหล่านั้น เปรียบเสมือนภาพขยายที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่หยุด“《คัมภีร์อี้จิง》บทที่118: ……”เฉินฝานยังท่องต่อไป ที่สำคัญ ยิ่งเวลาผ่านไปนาน การท่องของเขาก็คล่องและเร็วมากขึ้น“《ความคิดเห็นที่มีต่อหนังสือกระจกส่องการปกครอง》บทที่ 600…...”หลังจากท่องจำหน้าสุดท้ายของหนังสือโบราณทั้งห้าเล่มเสร็จ เฉินฝานก็เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง และกวาดสายตามองเริ่นรุ่ยฟ่านอย่างเย็นชา“ขโมยคำถาม ขโมยคำถามบ้าอะไร ข้าถูกแม่จับท่องจำบทกวีและหนังสือโบราณตั้งแต่สามขวบ หนังสือที่ข้าจำได้มีมากกว่าอาหารที่เจ้ากิน......”“ปัง!”เฉินฝานล้มลงที่โต๊ะข้างหลัง เปลือกตาที่แทบเปิดไม่ได้ปิดลงอีกครั้ง แต่ปากกลับพึมพำด่าไม่หยุด “ขโมยคำถามบ้าอะไร แม่เจ้านั่นแหละขโมยคำถาม บ้าเอ๊ย......”ปากทางเข้าหมู่บ้านซานเหอ ตกอยู่ในความเงียบที่ย
“《หนังสือรวมบทกวีพื้นบ้าน》”“ตุบ!” เมื่อได้ยินเฉินฝานพูดชื่อหนังสือเล่มนี้ มือของหลี่ชางก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ 《หนังสือรวมบทกวีพื้นบ้าน》ในมือพลางตกลงพื้น“ใช่!” เฉินฝานลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วชี้ไปที่หนังสือบนพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา “เล่มนี้เนี่ยล่ะ ที่มีชื่อว่า 《หนังสือรวมบทกวีพื้นบ้าน》การสอบระดับอำเภอและระดับมณฑลของปีนี้ไม่มีคำถามจากหนังสือเล่มนี้ บทที่ 77: ……”เช่นเดียวกับเมื่อครู่นี้ เฉินฝานท่องร้อยแก้วโบราณท่อนใหญ่แล้วหยุดชั่วคราวทันทีที่เฉินฝานหยุดชั่วคราว หลี่ชางพบว่ามีดวงตานับไม่ถ้วนหันมาหาเขาร่างกายของหลี่ชางสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ คนเหล่านี้ด้วยเขาเช่นนี้ทำไม“ใต้เท้า!” ในที่สุดหลูเฉิงกวงเป็นผู้กล่าวเตือนหลี่ชาง “ทำไมท่านไม่เปิดหนังสือแล้วล่ะ? รีบเปิดเร็ว สิ่งที่เฉินฝานท่องนั้นถูกต้องหรือไม่?”“อ่อ ๆ!” หลี่ชางก้มศีรษะลงโดยสัญชาตญาณและเปิด 《หนังสือรวมบทกวีพื้นบ้าน》ไปยังบทที่ 77“......ถูกต้องทั้งหมด”แม้ว่าเสียงของหลี่ชางไม่ดังมาก แต่ทุกคนได้ยินชัดแจ้ง“บทที่ 91: ......”เฉินฝานท่องจำต่อไป ไม่เพียงแต่ท่องจำ《หนังสือรวมบทกวีพื้นบ้าน》เท่านั้น แต่ยังท่องจำอีกสามเล่มติดต่
ในสภาพสะลึมสะลือ เฉินฝานพลิกตัวผ้านวมผืนนี้......นุ่มมากและยืดหยุ่นมาก เมื่อโน้มตัวลงไปพิง กลิ่นหอมหวานอันสดชื่นแตะเข้าที่ปลายจมูกคงเป็นกลิ่นจากน้ำยาซักผ้าใหม่มั้งดูเหมือนว่าครั้งนี้เลือกถูกยี่ห้อแล้วเฉินฝานที่คิดว่าอยู่ในยุคปัจจุบัน กอดผ้าห่มไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข......แต่ผ้าห่มกลิ่นหอมจริง แต่ทำไมกลับรู้สึกหนาว อุณหภูมิลดลงเหรอ?เฉินฝานถอยห่างตามสัญชาตญาณ แล้วผ้าห่มผืนนั้นก็ตามเขามาและอยู่ใกล้เขาอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญดูเหมือนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ“หืม?”เฉินฝานขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะลืมตา จู่ ๆ เสียงอันแผ่วเบาและเขินอายก็ดังขึ้นข้างหู“โอ๊ย พี่สาม! ไม่เอา ดูสิ นายท่านตื่นเพราะพวกเราแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นเราต้องเร่งความเร็ว......”“พี่สาม พี่สาม ทำแบบนี้ไม่ดีกระมัง?”“ไม่ดีตรงไหน ปีนี้เจ้าต้องให้นายท่านมี……”เฉินฝานทนไม่ไหวต่อไปจึงลืมตาขึ้นมา......ภาพตรงหน้า ช่างก้าว/ร้าวเสียจริงฉินเย่ว์เจียวพยายามถอดเสื้อผ้าของฉินเย่ว์โหรว จากนั้นผลักฉินเย่ว์โหรวที่เปลือยเปล่าเข้ามาในอ้อมแขนของเขาหลังจากถอดเสื้อผ้าของฉินเย่ว์โหรวหมดแล้ว ฉินเย่ว์เจียวเริ่มถอดเสื้อผ้าของเฉินฝ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่
“ตุ้บ!”หลี่ชิ่งที่แต่เดิมกำลังพยุงหลิวเกาจัวปล่อยมือออกทันทีหลิวเกาจัวที่หกล้มหน้าคะมำตะโกนร้องโอดโอย เห็นว่ามีเท้าสองข้างอยู่ด้านหน้าจึงคิดที่จะใช้เพื่อยันตัวลุกขึ้นปรากฏว่าเมื่อเขาสัมผัสเท้านั้น เจ้าของฝ่าเท้านั้นก็จงใจยกขึ้น จึงทำให้เขาลื่นล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“บัณฑิตหลิว กลางวันแสกๆเช่นนี้ นักพรตชิงเฟิงก็กำลังทำพิธีอยู่ที่แห่งนี้ จะมีภูตผีตนใดกล้าออกมากัน?”ผู้ที่ถีบหลิวเกาจัวคือเลขาธิการกรมโยธาธิการหยางอวิ๋นหู่ เดิมทีหยางอวิ๋นหู่เป็นผู้เก่งกาจในการประจบประแจงคนหนึ่ง ก่อนที่หลิวเกาจัวจะทรยศซูซิวฉี เสิ่นหมิงหยวนให้ความสนใจกับหยางอวิ๋นหู่เป็นอย่างมาก ปรากฏว่าเมื่อหลิวเกาจัวปรากฏตัวขึ้นมา หยางอวิ๋นหู่ก็เทียบเคียงหลิวเกาจัวมิได้แม้แต่น้อยครั้งนี้สามารถทำให้เฉินฝานติดอยู่ในเมืองเซียนตูได้ เดิมทีก็เป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหยางอวิ๋นหู่ แต่เพราะสาเหตุที่ว่าเรือนเซียนผาสุกมิสามารถปิดตายเฉินฝานได้อย่างสมบูรณ์ หลิวเกาจัวก็คอยใส่สีตีไข่อยู่เสมอ หยางอวิ๋นหู่มิเพียงแต่มิได้รับรางวัลจากเสิ่นหมิงหยวนเท่านั้น กลับถูกตำหนิอย่างรุนแรงอีกด้วย“ใต้เท้าหยางพูดถูก ต่อให้เป็นกลางวั
เฉินฝานเดินออกมาจากห้องตั้งดวงวิญญาณ ก่อนจะเดินไปยังแท่นบูชาบนแท่นบูชายังมีคนกำลังทำพิธีอยู่นอกจากนี้คนบนแท่นบูชาผู้นี้แต่งกายงดงามกว่าหมอผีที่อยู่ในห้องตั้งดวงวิญญาณ เครื่องมืออุปกรณ์ก็ดูอลังการมากกว่าว้าวเฉินฝานอดลอบอุทานไม่ได้เสิ่นหมิงหยวนลงทุนสำหรับงานศพนี้ของเขาไปไม่น้อยเลยตรงพื้นที่เปิดโล่งใต้แท่นบูชา มีขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊คุกเข่ากันเต็มไปหมดหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งเฉินฝานมองแวบเดียวก็เห็นอ๋องตวนที่ยืนอยู่หน้าขุนนางทั้งหมด อ๋องตวนไม่มีท่าทางเมามายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วผมที่เดิมทีขาวแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ขาวโพลนไปหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าลูกเขยจากไปแล้วท่ามกลางเพลิงไหม้อย่างรุนแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังสูญเสียบุตรีไปอีกสองคนนี่ก็คือคนผมขาวส่งศพคนผมดำสินะเฉินฝานเห็นแล้วรู้สึกประทับใจเล็กน้อยแม้ว่าพ่อตาที่โผล่มาตอนครึ่งทางผู้นี้ของเขา ปกติจะชอบดื่มเหล้า และเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก แต่ก็ปฏิบัติกับเขาดีมากจริง ๆ จนไม่มีอะไรจะพูด อีกไม่นาน อีกไม่นาน เขาก็ไม่ต้องเสียใจแล้วส่วนบนพระที่นั่งมังกรที่อยู่ไกล ๆ... ว่างเปล่าไม่
“วันที่แปดแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย นายท่าน คนข้างนอกพวกนั้นด่าท่านมาแปดวันแล้ว ท่านยังอารมณ์ดีทนได้ แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกน้อยอกน้อยใจ นางกำหมัดแน่นมาหลายวันแล้ว แต่เฉินฝานสั่งให้เย่ว์หนูคอยดูแลนาง นางจึงทำได้เพียงงอนอยู่ที่บ้าน“เจ้าลดเสียงหน่อย จินเป่าเพิ่งจะหลับไปนะ!”เฉินฝานวางจินเป่าที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะกล่อมให้นอนหลับลงบนเตียง จากนั้นก็เดินไปที่ริมหน้าต่าง ฟังเสียงด่าทอจากข้างนอกเสิ่นหมิงหยวนตั้งใจปล่อยให้ชาวบ้านในเซียนตูก่นด่าเฉินฝาน อยากจะทำให้เฉินฝานชื่อเสียงฉาวโฉ่เฉินฝานฟังชาวบ้านในเซียนตูด่าทอตนเอง เพื่อให้พวกเสิ่นหมิงหยวนสูญเสียความระแวดระวัง ชาวบ้านยิ่งด่ารุนแรงและยิ่งด่านานเท่าไร ความระแวดระวังของเสิ่นหมิงหยวนก็จะยิ่งหย่อนยานลง เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆแววตาของเฉินฝานเย็นชาขึ้นมาทีละนิด“พรุ่งนี้ข้าก็จะ ‘ถูกฝัง’ ได้แล้ว” พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ที่ของมัน ไม่สิควรพูดว่าพรุ่งนี้เขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของต้าชิ่งอย่างเป็นทางการหลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหนึ่งปีกว่า ในที่สุดเขาก็ได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเดิมของซูซิว
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้