เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”มือปราบหน้าตาเหี้ยมโหดคนหนึ่ง พูดกับสารถีชรา “เขาเป็นปลัดอำเภอของเรา เจ้ากล้าสั่งให้ใต้เท้าหลีกทางให้ม้าของเจ้าหรือ?”“อ่อ” สีหน้าสารถีชราฉายความตกตะลึง เขามองปลัดอำเภอ “ท่านคือปลัดอำเภอของอำเภอผิงอันหรือ!”ขณะพูด สารถีชราหันไปพูดกับชายชราในรถม้า “นายท่าน เขาคือปลัดอำเภอผิงอันขอรับ!”“สามหาว!”มือปราบคนนั้นตำหนิอีกครั้ง “ในเมื่อรู้ว่าเป็นท่านใต้เท้า ยังไม่รีบเคลื่อนรถม้าของพวกเจ้าไปข้างๆ แล้วลงจากรถม้ามาคุกเข่าคำนับท่านใต้เท้าอีก”ชายชราจับหู “เจ้าพูดอะไร? ข้าฟังไม่ค่อยชัด พูดอีกรอบสิ”“พวกเขาบอกว่า” สารถีชราชี้ไปยังปลัดอำเภอที่นั่งอยู่บนหลังม้า “ท่านผู้นั้นคือปลัดอำเภอผิงอัน ให้พวกเราลงจากรถม้าไปคุกเข่าคำนับขอรับ ท่านว่าพวกเราต้องคุกเข่าหรือไม่?”“อะไรนะ? แพง? แค่จอดรถก็เรียกเงินด้วยหรือ” ชายชราหยิบตราคำสั่งสีทองขึ้นมา ยื่นให้สารถี “เจ้าดูสิว่าพอไหม?”“นายท่าน...” สารถีจ้องมองตราคำสั่งนั่น ลังเลครู่หนึ่ง ค่อยยื่นมือไปรับ“เอ๊ะ!”มือของสารถีเพิ่งสัมผัสตราคำสั่ง ชายชราก็ถอนกลับไป “เจ้านี่ ทั้งที่ตนเองก็มีตราคำสั่งเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
ปลัดอำเภอเดินไปตรงหน้าชายชรา เสียงอ่อนมาโดยตลอด ทั้งยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้น “นายท่าน ท่านมีอะไรให้รับใช้ขอรับ?”“เจ้าเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อย”ไม่รู้ว่าชายชราพูดอะไรกับปลัดอำเภอ เห็นเพียงสีหน้าของปลัดอำเภอแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวหลังจากชายชราสนทนากับปลัดอำเภอจบ หันไปบอกสารถี “เอาตราคำสั่งของเจ้าให้เขา!”“ขอรับ?”สารถีป้องตราคำสั่งที่ห้อยไว้บนเอว “เพราะเหตุใดขอรับ?”“สั่งให้เจ้าให้ก็ให้สิ พูดร่ายยาวจริงๆ”สารถีไม่ค่อยยินดีที่จะให้เท่าใดนัก เขายื่นตราคำสั่งของตนให้ปลัดอำเภอปลัดอำเภอโค้งลำตัว รับตราคำสั่งสีเงินจากสารถีเขาเพิ่งรับตราคำสั่ง หวังเจิ้งเต๋อก็พาคนเดินออกมาจากตระกูลหวังเมื่อเห็นหวังเจิ้งเต๋อ ชายชราส่งสายตาให้อำเภอทันที บอกให้เขาอย่าเอะอะโวยวายสารถีเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมเมื่อครู่ กลายมาเป็นชายชราต่ำต้อยที่ขับรถม้า“ไอ้แก่นี่ ตาบอดหรืออย่างไร ถึงขี่รถม้ามาจอดหน้าเรือนข้า”ทันทีที่หวังเจิ้งเต๋อมาถึงก็ด่าทอสารถีฉอดๆปลัดอำเภอหันไปอีกทาง เขาไม่กล้ามองภาพนี้จริงๆชายชรามีคำสั่ง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจพูดอะไร“ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ” สารถีก้มหน้าขอโทษด้วยความอ่อนน้อม “ข้าแก่
“ใต้เท้า!”ปลัดอำเภอเพิ่งเดินเข้าไปในห้องโถง เฉินจินเซียงก็วิ่งไปหาทันที “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าน้อย ไม่เกี่ยวอะไรกับเสี่ยวฝาน ใต้เท้า หากท่านจะจับก็จับข้าน้อยเพียงคนเดียวเถอะเจ้าค่ะ”“นางคนสารเลว ย่อมต้องจับเจ้าอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของท่านใต้เท้าอีก โทษหนักขึ้นอีกหนึ่งขั้น”“ไสหัวไป!”หวังหยวนหลงคว้าตัวเฉินจินเซียง ลากนางไปอีกด้านหนึ่ง“ตึ้ง!”จู่ๆ ถ้วยน้ำชาในมือเฉินฝานก็พุ่งตัวออกไป ฟาดกระทบใบหน้าของหวังหยวนหลง“โอ๊ย โอ๊ย!”หวังหยวนหลงร้องด้วยความเจ็บปวดถ้วยน้ำชาที่ฟาดใบหน้าครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง หวังหยวนหลงล้มลงบนพื้น ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ก่อนหน้านี้ เฉินฝานออมมือ ไม่ได้ใช้ความรุนแรงตอนนี้เขาจะไปแล้ว เช่นนั้นก็ให้เขาล้มลงนอนบนพื้นก็แล้วกัน“โธ่ หยวนหลง หยวนหลงของแม่” นางมั่ววิ่งเข้าไปหา กอดหวังหยวนหลงแน่น “สวรรค์ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาจริงๆ”“ใต้เท้า!” หวังเจิ้งเต๋อก็รีบพูดกับปลัดอำเภอเช่นเดียวกัน “เขาทำร้ายคนต่อหน้าท่าน เหิมเกริมกันไปแล้ว ควรจับตัวไปลงโทษขอรับ”ปลัดอำเภอมองหวังเจิ้งเต๋อและครอบครัว “ข้าจะจัดการ”“ใช่ จัดการเดี๋ยวนี้ จัด
“ท่าน ท่าน”หวังหยวนหลงตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน“ญาติผู้น้อง ตอนนี้ญาติผู้พี่ของเจ้าอายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว โบยสิบทีมากเกินไปกระมัง โบยครั้งนี้...”“นักการ !”หวังเจิ้งเต๋อยังพูดไม่จบ น้ำเสียงเย็นชาของปลัดอำเภอดังขึ้น “ปิดปากหวังเจิ้งเต๋อกับหวังหยวนหลงซะ”หากไม่ใช่เพราะชายชรามีคำสั่ง ให้ควบคุมสติ เขาสั่งให้คนโบยยี่สิบทีแล้วอีกทั้งไม่ใช่แค่นางมั่ว แต่โบยทั้งตระกูลครอบครัวนี้ เห็นว่าเขายังเสี่ยงถูกปลดจากตำแหน่งไม่มากพอหรือ?เวลานี้ หวังเจิ้งเต๋อรู้สึกถึงความผิดปกติ ชายชราสองคนข้างนอก...น่าเสียดาย เขารู้ตัวช้าไปหวังเจิ้งเต๋อรวมถึงหวังหยวนหลงที่ยังคงลุกไม่ขึ้นถูกปิดปากนางมั่วโดนลงโทษ ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เสียงดังไม่หยุดปลัดอำเภอเดินไปตรงหน้าเฉินฝานอีกครั้ง ประสานสองมือยื่นตราคำสั่งสีเงินให้เขา “เสี่ยวฝาน นายท่านข้างนอกให้ข้าเอาให้เจ้า”“ให้ข้าหรือขอรับ?” เฉินฝานมองตราคำสั่งในมือปลัดอำเภอ ไม่ได้รับไว้ในทันทีชายชราสองคนข้างนอก ร้ายกาจยิ่งนักหรือว่า นี่เป็นหลุมพรางของพวกเขา“ใช่!” ปลัดอำเภอพยักหน้าด้วยความรีบร้อน “นายท่านยังบอกอีกว่า หากวันหน้าเสี่ยวฝานพบเจอปัญหา นำตร
เหล่าสาวใช้และแม่นมของตระกูลหวังต่างเห็นกับตาตอนที่เฉินฝานกับเฉินจินเซียงกลับมา คนในตระกูลหวังยืนอยู่ทุกคนและวางมาดอย่างโอหังแต่เวลาผ่านไปเพียงครึ่งวัน ตอนนี้คนในตระกูลหวังที่อยู่ข้างหน้าเฉินฝานกับเฉินจินเซียง นอนราบอยู่สองคนและยืนอยู่หนึ่งคนหวังเจิ้งเต๋อที่ยืนอยู่ สภาพไม่ได้ดีเท่าไหร่เมื่อนักการในศาลาว่าการปิดปากเขา เขาทำการขัดขืน ภายใต้คำสั่งของปลัด อำเภอนักการในศาลาว่าการจึงทุบตีไปหนึ่งยกอย่างรุนแรง ตอนนี้ใบหน้าและจมูกของเขาทั้งบวมทั้งช้ำหมดสภาพนายท่านแห่งตระกูลหวังดั่งเคยไปอย่างสิ้นเชิงปลัดอำเภอเดินไปอยู่ข้าง ๆ เฉินจินเซียง “ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเห็นฮูหยินผู้นี้เสมือนได้เห็นข้า หากไม่เคารพนางก็เท่ากับไม่เคารพข้า!”เดิมทีปลัดอำเภอต้องการยืนข้างเฉินฝานแล้วพูดแต่เฉินฝานมอบป้ายแขวนเอวให้กับเฉินจินเซียง“ท่านอา ท่านบ้าไปแล้วหรือ?”ใบหน้าของหวังหยวนหลงเต็มไปด้วยความตกใจและไม่แปลกใจหากเป็นเช่นนั้น จากนี้ไปเฉินจินเซียงผู้นี้ก็จะอยู่บนหัวเขาน่ะสิ?“เข้ามา หวังหยวนหลงดูหมิ่นข้า โบยยี่สิบที”“ใต้เท้า!”หวังเจิ้งเต๋อคุกเข่าลงกับพื้นดังฟุบ “ตอนนี้หยวนหลงบาดเจ็บเช่นนี้แล้ว โบย
เห็นเฉินฝานเดินออกไปข้างนอก ปลัดอำเภอรีบตามไป "เสี่ยวฝาน เมื่อครู่ได้ยินอาของเจ้าบอกว่า เจ้าเดินมา ข้ามีม้าตัวหนึ่ง เจ้าขี่กลับไปได้"ชายชราสองคนข้างนอกเห็นความสำคัญของเฉินฝานมากขนาดนั้น เขาต้องฉวยโอกาสนี้ตีสนิทเฉินฝานเขาเป็นปลัดอำเภอมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว ยังอยู่ที่เดิม เพราะไม่มีเบื้องบนสนับสนุนไม่ใช่หรือ?บางทีเฉินฝานอาจจะเป็นโอกาสในการเลื่อนขั้นของเขาก็ได้"ขอบคุณใต้เท้าขอรับ แต่ว่าข้าขี่ม้าไม่เป็น"เฉินฝานทั้งปฏิเสธและพูดความจริงเขาที่ทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบัน ขี่ม้าไม่เป็นจริงๆปลัดอำเภออยากใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อใกล้ชิดกับชายชราสองคนข้างนอก ข้อนี้เฉินฝานรู้ดีไม่ว่าชายชราสองคนข้างนอกจะเป็นใครมาจากไหน เขาไม่อยากรู้ครั้งนี้พวกเขาช่วยตน เช่นนั้นเขาก็จะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ หลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาประสบการณ์ในยุคปัจจุบันบอกกับเขาว่า คนคนหนึ่งอยากอยู่ในสังคมอย่างมั่นคงนั้น สุดท้ายต้องพึ่งตนเองอาศัยคนอื่นไม่ยืนยาว ทั้งยังถูกควบคุม"เช่นนั้นข้าให้คนส่งเจ้ากลับไป หมู่บ้านต้ากู่ไกลจากหมู่บ้านซานเหอ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว เจ
เฉินจินเซียงยังอยากส่งเฉินฝานไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน แต่เฉินฝานปฏิเสธอากาศหนาวจัดและสุขภาพของนางเดิมทีก็ไม่แข็งแรง ก่อนหน้านี้ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากตระกูลหวังและมีแผลเปื่อยมากมายที่มือและเท้า“ใช่!”เฉินฝานมองผ่านเฉินจินเซียง สายตาตกอยู่ที่หลิ่วหรูเยียนผู้อยู่ตรงมุมเหมือนนกกระทา“ท่านป้า อย่าใจอ่อนนะขอรับ กลับไปแล้วก็ขายนางทิ้งซะ”เฉินจินเซียงเป็นภรรยาใหญ่ และหลิ่วหรูเยียนเป็นภรรยาน้อยภรรยาคนโตมีสิทธิ์ที่จะขับไล่หรือขายภรรยาน้อยได้“เสี่ยวฝาน หลานวางใจเถิด ข้าจะทำเช่นนั้น” เฉินจินเซียงจ้องหลิ่วหรูเยียนและกล่าวอย่างเกลียดชังหลิ่วหรูเยียนรังแกนางก็มากพอแล้ว แต่กลับกล้ารังแกบุตรสาวของนางด้วย นางไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่“ท่านป้าขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เย่ว์โหรวและคนอื่น ๆ ยังรอข้าอยู่ที่เรือน”เฉินฝานเพิ่งกล่าวลากับเฉินจินเซียงเสร็จ รถม้าของชายชราก็ขวางตรงหน้าเขาชายชราเปิดม่านหน้าต่างรถม้า เขามองเฉินฝานพร้อมยิ้มกล่าว “เจ้าหนุ่ม ทำธุระเรียบร้อยแล้วรึ”“อืม”เฉินฝานไม่เกรงใจชายชรา เขาตอบอืมเสร็จก็กระโดดขึ้นรถม้าของชายชราทันที“นี่ ทำไมขึ้นรถม้าของข้าล่ะ ข้ายังไม่ไ
“เมื่อครู่นี้ข้าคงพูดไม่ชัดเจนพอ ที่ข้าพูดว่าข้าเก่ง ข้าหมายถึงในราชวงศ์ต้าชิ่งทั้งหมด รวมถึงท่านอ๋อง ผู้ที่มีอายุมากกว่าข้ามีไม่เกินสิบคน”ชายชราพยายามอธิบาย บนใบหน้ามีความวิตกกังวลเล็กน้อย“อ่อ!” สีหน้าของเฉินฝานเปลี่ยนไปและกลายเป็นจริงจัง “ในราชวงศ์ต้าชิ่งทั้งหมด รวมถึงท่านอ๋อง ผู้ที่มีอายุมากกว่าข้ามีไม่เกินสิบคน?”“ใช่ ไม่เกินสิบคน” เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินฝานเปลี่ยนไป ชายชราก็เย่อหยิ่งและเชิดหน้าเฉินฝานยื่นนิ้วโป้งให้ชายชรา “ถ้าเช่นนั้นท่านสุดยอดมาก”หัวข้อสนทนาพลันเปลี่ยนกะทันหัน “แต่มัน ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”“......” ชายชราเข้ารับราชการเมื่ออายุยี่สิบปี อยู่ในตำแหน่งหลายสิบปีคนประเภทใด สถานการณ์เช่นไร ไม่มีสิ่งใด ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนแต่ทว่า......คนอย่างเฉินฝานเช่นนี้ สถานการณ์แบบนี้เขาไม่เคยเห็นหรือมีประสบการณ์มาก่อนจริง ๆเขาเป็นตัวแทนของอำนาจ เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งในโลกนี้ใครไม่รักอำนาจ ไม่รักเงินทอง?อำนาจ เงินทอง คงเป็นเรื่องโกหกหากบอกว่าเฉินฝานไม่รักเพียงแต่ว่าเขามีจิตวิญญาณของคนสมัยใหม่ ความคิดและแนวความคิดของเขาก็แตกต่างจากคนในราชวงศ์ต้าชิ่ง ท้ายท
ลักพาตัวอ๋องแคว้นจ้าวต่อหน้าต่อตาองครักษ์หนึ่งหมื่นกว่าคน และยังสามารถทำให้เขายอมถอยทัพแต่โดยดี จะต้องมิใช่การประเมินศัตรูต่ำไปเพียงอย่างเดียวแน่นอนใต้เท้าด้านนอกผู้นั้นจะต้องมีวรยุทธ์และสติปัญญาเหนือมนุษย์เป็นแน่ได้ยินว่า เขามีสิ่งของที่เป็นเหล็กปลายแหลมสามารถโจมตีได้ น่าหวาดกลัวอย่างมาก สามารถต่อกรกับศัตรูจำนวนมหาศาลได้ด้วยตัวคนเดียวดังนั้น เฉินฝานต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจึงมาเยือนต่อให้มิมีความมั่นใจว่าจะชนะได้ ทว่าพวกเขาก็ต้องมั่นใจว่าตนเองจะสามารถถอยกลับได้อย่างปลอดภัยแน่นอนหากล่าถอยไปแล้วกลับมาอีกครั้ง คงจะมิได้มีเพียงสองคน แต่เป็นกองกำลังจำนวนมหาศาลพื้นที่ธารน้ำอันคับแคบจะสามารถต่อต้านกองกำลังมหาศาลได้อย่างไร?“เสี่ยวฝาน เจ้าดูสิ!”อ๋องตวนตะโกนด้วยความตื่นตกใจทันที เขาชี้ไปร่างเงาตรงโพรงหญ้า “โจรป่าเหล่านั้นออกมาแล้ว และยังมาจำนวนมหาศาลอีกด้วย ตอนนี้น่าจะประมาณหนึ่งพันคน”“ฮี่ ๆ ๆ!”อ๋องตวนฉีกยิ้ม มองเฉินฝานด้วยความนับถือ“เสี่ยวฝาน เจ้าคาดการณ์ได้ดั่งเทพ เจ้าบอกว่าขอแค่พวกเราสองคนมา โจรป่าจะต้องออกมาแน่นอน”“มิใช่ว่าข้าคาดการณ์ได้ดั่งเทพ นี่คือจิตวิทยา” เฉิน
ผู้ที่เสนอตัวขอออกรบก่อนคือ หัวหน้าสามกั้วเจียงหลงชื่อที่โหดเหี้ยมปานนี้ มิใช่เพราะเขาเก่งกาจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะตอนยังเด็กเขาซุกซนจนถูกแม่ไล่ตี ตอนที่หน้าสิ่วหน้าขวาน จึงกระโดดลงแม่น้ำว่ายไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหนีแม่ของตนเองจึงเป็นที่มาของชื่อกั้วเจียงหลง“ออกไปรบงั้นรึ? กำจัดพวกเขาให้สิ้นซากรึ?” หัวหน้าใหญ่เหอหรันถีบกั้วเจียงหลงด้วยความโมโหทันที “เจ้าเก่งกว่ากองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าวรึ?”“หัวหน้าใหญ่ ข้าคิดว่าเจ้าระแวงเกินไป หัวหน้าสามพูดถูก ควรจะออกไปสู้!”เสียงเคร่งขรึมดูมีอายุดังขึ้น ชายชราผมหงอกทั้งหัวเดินเข้ามาจากด้านนอก“ท่านอาจารย์!”เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น เหอหรันรีบทำมือเคารพอย่างลนลาน คนอื่นก็พากันทำตามเมื่อชายชราเห็นด้วย กั้วเจียงหลงจึงเงยหน้าทันที “หัวหน้าใหญ่ ท่านอาจารย์ยังคิดว่าท่านระแวงเกินไป พวกเรามิได้เป็นแบบกองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าวเสียหน่อย”กั้วเจียงหลงพูดจบ ชายชรารีบพูดต่อทันที “หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าสามพูดถูกแล้ว พวกเรามิใช่กองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าว สาเหตุที่พวกเขาพ่ายแพ้เพราะประเมินศัตรูต่ำและอวดดีเกินไป ตอนนี้ผู้ที่อวดดีและประเมินศัตรูต่ำ
“ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ๋องออกจากเมืองไปแล้ว พวกเขาไม่ได้กลับเมืองหลวง แต่ว่ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้าเฮยแล้วขอรับ!”พื้นที่ต้าเฮยก็คือรังของพวกโจร“เช่นนั้นพวกเราก็รีบตามไป ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ๋องให้หลี่ฉวินไปด้วยหรือไม่”หลี่ฉวินเป็นนายกองพิทักษ์เมืองเฟิ่งหวง เป็นแม่ทัพของกองทัพพิทักษ์เมืองเฟิ่งหวงเมืองเฟิ่งหวงเป็นเพียงเมืองป้อมปราการภายใต้เมืองเหอตู ไม่ควรมีนายกอง แต่เนื่องจากเมืองเฟิ่งหวงอยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงมีกองทัพพิทักษ์เมือง มีนายกองเช่นกันเพียงแต่ว่าต้าชิ่งขาดแคลนชายฉกรรจ์ เมืองป้อมปราการติดชายแดนที่ยากจนข้นแค้นอย่างเมืองเฟิ่งหวงยิ่งมีชายฉกรรจ์น้อยลงไปอีก กอปรกับก่อนหน้านี้ต่อสู้ต้านทานกองทหารของแคว้นจ้าว ตอนนี้กำลังพลในมือหลี่ฉวินจึงมีไม่ถึงสามร้อยนายเหอจื้อเฟยวิ่งกลับไปที่ห้องหยิบรองเท้าของตนขึ้นมา สวมพลางเดินออกไป “พวกเราก็รีบตามไปด้วย!” “ใต้เท้า!” เวลานี้เองหลี่ฉวินก็มาถึงแล้วเช่นกัน“หลี่ฉวิน?” เหอจื้อเฟยมองหลี่ฉวินด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ตอนนี้เจ้าควรไปที่พื้นที่ต้าเฮยกับท่านอัครเสนาบดีมิใช่หรือ?”“ใต้เท้า ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ
สิ่งปลูกสร้างที่ดีที่สุดในเมืองกลับเป็นราชนิเวศน์ที่ฮ่องเต้จ้าวพำนักก่อนหน้านี้ ราชนิเวศน์นั้นยังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาหลังจากที่แคว้นจ้าวยึดครองเมืองเฟิ่งหวงอีกด้วยก่อนหน้านี้เฉินฝานรู้สึกว่าการได้เป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายนั้นเก่งกาจมากแล้ว มีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่เสิ่นหมิงหยวนก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้ตามใจชอบตอนนี้เขาถึงค่อยรู้สึกว่ายิ่งมีอำนาจบนตัวมาก ภาระบนบ่าก็ยิ่งหนักมากต้าชิ่งยังคงยากจนข้นแค้นมากเมื่อเห็นเฉินฝานอารมณ์หดหู่มากถึงเพียงนั้น อ๋องตวนก็ไม่กล้าลากเขาไปดื่มเหล้าทายตัวเลขแล้ว เขาอยู่ทางด้านข้าง แม้แต่เสียงดื่มเหล้าก็ยังเบามาก“เฮ้อ นี่มันปัญหาใหญ่จริง ๆ!”อ๋องตวนที่ดื่มจนเมากรึ่มแล้ววางไหเหล้าลงข้าง ๆ พิงกำแพงเมืองอย่างเอียงเอน“เสี่ยวฝาน เจ้าคิดว่าโจรพวกนี้ยังควรจะปราบหรือไม่?”“โจรย่อมต้องถูกปราบอยู่แล้ว!” เฉินฝานเอ่ยอย่างหนักแน่น“แล้วบุตรชายของเหอจื้อเฟยจะจัดการอย่างไร? เขาถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เป็นหัวหน้าโจรที่ดื้อรั้นเสียแล้ว”“เหอจื้อเฟยฆ่าบุตรชายกับมือไปแล้วหนึ่งคน หากสังหารอีกคน ดูเหมือนว่า...”อ๋องตวนยกไหเหล้าจากทางด้านข้างขึ้นมากรอกอีกคำแล้วค่อ
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเหอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง“ความเมตตาของสวรรค์ก็ไม่อาจทนต่อความโหดร้ายในโลกนี้ได้ ตอนที่ลูกชายของข้าออกไปปราบโจรครั้งที่ห้า โจรพวกนั้นฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเมือง และเอาหลานชายฝาแฝดที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานของข้า...”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเหอก็สะอื้นไม่หยุด ริมฝีปากอ้าอยู่หลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก“หลานชายฝาแฝดของเจ้าถูกโจรพวกนั้นฆ่าไปแล้วหรือ?”อ๋องตวนถามขึ้น ความจริงไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าตอบ อ๋องตวนก็นึกคำตอบได้แล้ว เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วส่งเสียงดังกร๊อบ“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องสังหารหัวหน้าโจรเหล่านั้นให้หมดอย่างแน่นอน!”“ท่านอ๋อง!”ฮูหยินผู้เฒ่าเหอคุกเข่าลงอีกครั้ง “ทหารแคว้นจ้าวถูกขับไล่ไปแล้ว ขอร้องท่านกลับไปยังเมืองหลวงเสียเถิด”“หญิงชราผู้นี้เป็นอะไรไป?” อ๋องตวนโกรธจัดจนเต้นเร่า ๆ แล้ว“พวกเจ้าบอกว่าโจรส่วนมากล้วนเป็นลูกชายของชาวบ้านเหล่านี้ ข้าจะไม่ฆ่าโจรทั่วไป จะฆ่าแค่หัวหน้าของพวกมันก็ไม่ได้หรือ?”“ท่านอ๋อง!” เฉินฝานดึงอ๋องตวนไว้"ผู้อาวุโส" เฉินฝานก้มตัวประคองนางเหอให้ลุกขึ้นมา“โจรให้หลานชายฝาแฝดของพวกท่านเป็นหัวหน้าแล้วใช่
“พวกสตรีชั่วช้าอยากจะฆ่าอัครเสนาบดีก็เหมือนก่อกบฏอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้ายังจะขอร้องแทนพวกนางอีกหรือ?”อ๋องตวนเตะเหอจื้อเฟยด้วยความเดือดดาลเหอจื้อเฟยคลานขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานต่อเพื่อขอร้องแทนสตรีเหล่านั้น “พวกนางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ลูกชายของพวกนางล้วนอยู่ในกำมือของโจรพวกนั้น หลายคนถูกจับตัวไปตั้งแต่ที่ยังเด็กมาก ๆ พวกเขากลายเป็นโจรก็เพราะถูกบีบบังคับ”“เพราะว่าหากพวกเขาไม่ยอมเข้าร่วมฝึกฝนกลายเป็นโจร หัวหน้าโจรเหล่านั้นก็จะสังหารมารดาของพวกเขาแทน”เหอจื้อเฟยเอ่ยคำพูดสองประโยคนี้ก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นทั่วบริเวณแม้ว่าเฉินฝานจะคาดเดาคำตอบได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินเองกับหูถึงสิ่งที่เหอจื้อเฟยพูดออกมา เขาก็ยังรู้สึกสะเทือนใจมาก แม่กลัวลูกต้องตาย จึงห้ามไม่ให้ทางการส่งทหารออกไปปราบโจรลูกกลัวแม่ต้องตาย จึงฝึกฝนสุดชีวิตเพื่อเป็นโจรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต้องยอมรับว่าหัวหน้าโจรพวกนั้นเฉลียวฉลาดมาก“นั่นเป็นเพราะเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่!” อ๋องตวนเตะเหอจื้อเฟยอีกครั้ง “หากเจ้าส่งคนไปกำจัดโจรพวกนี้ตั้งแต่แรก จะมีผลที่ตามมาเยอะถึงเพียงนี้หรือ?”ทันทีที่อ๋องตวนพูดจบก็มีสตรีผู้หนึ่งออก
“เมื่อครู่ข้าได้ยินชัดเจนว่าเจ้าแค่สั่งให้เหอจื้อเฟยไปปราบโจรเท่านั้น เหตุใดถึงไปทำร้ายลูกของพวกเขา...”อ๋องตวนพลันหยุดชะงัก“โจร?!” อ๋องตวนร้องอุทานขึ้นมา “หรือว่าโจรพวกนั้นก็คือลูกชายของพวกนาง?”“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วน” เฉินฝานพยักหน้าเช่นกัน“พวกเขาไม่ใช่โจรร้าย ขุนนางใหญ่สูงส่งอย่างพวกท่านจะไปเข้าใจอะไร?” บทสนทนาระหว่างอ๋องตวนกับเฉินฝานทำให้สตรีเหล่านั้นอารมณ์ร้อนมาก แต่ละคนเหมือนกับไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่ปาน ผลักดันเบียดเสียดกันห้อมล้อมนักการในศาลาว่าการข้างกายเฉินฝานกับอ๋องตวนไว้ เมื่อเห็นว่าผลักไม่ได้แล้ว ก็ใช้มีดหั่นผักในมือฟันใส่ทันที“เพล้ง!”อ๋องตวนโยนไหเหล้าในมือลงกับพื้น“พวกสตรีชั่วช้า พอพยัคฆ์ไม่แสดงบารมี พวกเจ้าก็เห็นว่าเป็นแมวป่วยใช่หรือไม่?” พวกนางคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยหรืออย่างไร? ถ้าเสือไม่คำราม พวกเจ้าไม่เห็นรัศมีหรืออย่างไร?”อ๋องตวนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เตะสตรีหลายคนจนกระเด็นไปทันทีอย่างไรก็ตามแม้สตรีหลายคนจะถูกถีบกระเด็น แต่ก็ไม่เกิดผลให้หวาดกลัวใด ๆ เลย สตรีเหล่านั้นกลับฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น ปากตะโกนว่าจะให้พวกเฉินฝานตายไปพร้อมกั
หญิงชราวัยประมาณหกสิบปีผู้หนึ่งขวางหน้าเหอจื้อเฟยไว้“ท่านแม่ ลูกต้องไปทำงาน ท่านอย่าขัดขวางลูกเลย” เหอจื้อเฟยเอ่ยด้วยความเจ็บปวดใจคนที่ยืนขวางเหอจื้อเฟยไม่ให้เหอจื้อเฟยไปทำร้ายโจร ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมารดาของเขาเองนางเหอเหลือบมองดาบในมือของเหอจื้อเฟยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “งานของเจ้าอยู่ในที่ว่าการไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นขุนนาง ไม่อยู่ในที่ว่าการ ถือดาบวิ่งออกมา นี่จะไปทำสิ่งใด? เจ้าเป็นเพชฌฆาตหรือไร? เจ้าเป็นคนฆ่าสัตว์หรือไร?”“ท่านแม่ ลูกมีงานราชการเร่งด่วนจริง ๆ ใครก็ได้!”เหอจื้อเฟยพูดพลางหันหน้าไปสั่งนักการในศาลาว่าการที่อยู่ข้างหลังเสียงดัง “พาฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวน!” “ใครกล้าแตะต้องข้า!”นางเหอหยิบกรรไกรออกมาทันที แล้วชี้ไปยังนักการในศาลาว่าการที่เดินมาหานางหลังจากที่นักการในศาลาว่าการหยุดเดินไม่กล้าเดินข้างหน้า นางเหอก็ใช้กรรไกรจ่อคอตัวเองทันที“เหอจื้อเฟย เจ้าอย่าคิดว่าแม่แก่แล้วหูตาฟ้าฟาง ไม่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ใด หากเจ้าไปสังหารโจรก็สังหารแม่ก่อน หลังจากนั้นค่อยข้ามศพของแม่ไป”“ท่านแม่ นี่ท่านทำอะไร?” ใบหน้าของเหอจื้อเฟยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอับจนปัญญาอ๋องตวนถ
โจรเข้ามาในเมืองกันหมดแล้ว แต่เหอจื้อเฟยกลับทำเป็นไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเมื่อครู่สตรีวัยกลางคนยังบอกว่าเหอจื้อเฟยเป็นขุนนางที่ดี หรือว่าจะไม่กล้าพูดความจริงเฉินฝานบอกลาครอบครัวของสตรีวัยกลางคน แล้วรีบรุดไปยังที่ว่าการเมืองเฟิ่งหวงด้านนอกศาลาว่าการ เฉินฝานยังจงใจมองรอบหนึ่ง มีชายหลายคนเดินป้วนเปี้ยนอยู่ด้านนอกศาลาว่าการจริง ๆ ดวงตาชำเลืองมองศาลาว่าการของเมืองเฟิ่งหวงเป็นครั้งคราวสายตาของชายเหล่านั้นดูอำมหิตดุดัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาพวกเขาน่าจะเป็นโจรที่สตรีวัยกลางคนพูดถึงโจรป่าคอยนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูที่ว่าการช่างอุกอาจนัก!เฉินฝานสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปในที่ว่าการ“ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย!”เมื่อเห็นเฉินฝาน เหอจื้อเฟยก็วิ่งเข้ามาหาทันทีเฉินฝานเองก็ก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าไปหาเช่นกัน เมื่ออยู่ห่างจากเหอจื้อเฟยไม่ถึงห้าเมตร...“เคร้ง!”เฉินฝานชักดาบคู่กายของนักการในศาลาว่าการคนหนึ่งออกมาอย่างฉับไว“ตะ ใต้...”ขณะที่นักการในศาลาว่าการพูดติดอ่าง เฉินฟานก็ถือดาบชี้ไปที่เหอจื้อเฟยแล้วเหอจื้อเฟยมองเฉินฟานอย่างตกตะลึง สุดท้ายก็คุกเข่าลงอย่างเงียบงัน