“ผู้ใหญ่บ้าน!”เมื่อฟังถึงตรงนี้ จูต้าอันกระสับกระส่าย “ข้าไม่ได้สร้างความเท็จ ความเท็จเป็นผู้เฒ่าหลี่ทั้งหมด ข้าแค่ถูกเขาต้มตุ๋น!”“ถูกเขาต้มตุ๋น?” สายตาของผู้ใหญ่แผ่รังสีจ้องเขม็งไปที่จูต้าอัน “เกรงว่าเจ้าอยากใช้โอกาสนี้กำจัดเฉินฝานล่ะสิ!”“ข้าเปล่า ข้าเปล่า”“เจ้าทำ ความโกรธแค้นที่มีต่อเฉินฝานมันอยู่ในใจเจ้า อยากจะแก้แค้นมานานแล้ว”“ใช่ เมื่อครู่เรื่องมันจะสงบลงตั้งหลายครั้งแล้ว เขาอาศัยจังหวะทันที”ชาวบ้านทยอยกันออกมาเป็นพยาน“น้องฝาน” คนมาอยู่ด้านหน้าเฉินฝานนามว่าจูฉวนอัน เขาเป็นลูกพี่ของจูต้าอัน “เมื่อครู่ลูกพี่ลูกน้องข้าถูกหลอกลวง พลอยกระแทกประตูกับเขาไปด้วยขออภัยอย่างยิ่ง!”“น้องฝาน น้องฝาน!”เฉินฝานไม่ได้พูดอะไร จูต้าอันคลานไปที่ด้านหน้าเขา เกาะแกะกับเท้าของเขา “ข้าโดนผู้เฒ่าหลี่หลอกลวง พลั้งพลาดไปครั้งหนึ่งน้องฝาน ได้โปรดให้อภัยข้าเถอะ”จูต้าอันไม่ได้มีความสามารถอะไร ทว่าเขารู้กฎหมู่บ้านดีเรื่องวันนี้ ตามกฎหมู่บ้านอย่างเบาที่สุดคือเขาจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านซานเหอเฉินฝานมองจูต้าอันที่เกาะแกะอยู่ตรงเท้าเขาอย่างเยือกเย็น ยกเท้าขึ้น“ไสหัวไป!”เขาก็ไม่ได้เป็น
“เจียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดอะไร?” เฉินฟู่กระตุกเฉินเจียงเบาๆทว่าเฉินเจียงกลับทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรอย่างไรอย่างนั้น “หลังจากเสี่ยวฝานตกหน้าผา มีโชคจากเคราะห์ร้ายกลายเป็นคนเฉลียวฉลาด หากไม่ร่ำเรียนในสำนักศึกษาคงจะน่าเสียดาย”“เฉินเจียงเสนอเรื่องนี้ได้อย่างไร ถึงเวลาเฉินฝานไปสำนักศึกษาแล้วเขาจะฟังรู้เรื่องหรือ? การร่ำเรียนไม่ใช่การขายปลา จะเป็นเรื่องง่ายๆ ได้อย่างไร?”“ใช่ สิ่งที่ยากที่สุดบนโลกใบนี้คือการร่ำเรียน พี่หย่งเหนียนสอบตั้งหลายปีแล้ว เมื่อปีกลายเพิ่งสอบได้อันดับรองสุดท้ายในการสอบระดับท้องถิ่น สอบติดถงเซิงอย่างเฉียดชิว“นั่นน่ะสิ? พี่เหนียนสอบผ่านแล้ว ข้ายังสอบไม่ผ่าน”เสียงกระซิบกระซาบของปัญญาชนโต๊ะนั้นในห้องโถง ล้วนปฏิเสธความคิดของเฉินเจียงที่จะให้เฉินฝานมาร่ำเรียนในสำนักศึกษาอีกทั้ง ปัญญาชนเหล่านี้ แม้ไม่ได้แสดงออกมา แต่ส่วนลึกในใจของพวกเขามีความรู้สึกเหนือกว่าเฉินฝานเป็นแค่คนขายปลา ไม่คู่ควรที่จะมาร่ำเรียนกับพวกเขา“เจียงเอ๋อร์!”เฉินฟู่กระตุกเฉินเจียงอีกครั้ง เฉินเจียงหันไปถามเฉินฟู่ “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร?”“เสี่ยวฝาน อ่านออกเขียนได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาจะเร
“ได้!” อาจารย์เฉียนพยักหน้า “เสี่ยวฝาน เจ้าอยากมาเรียนก็มาได้เลย”อาจารย์เฉียนไม่หยิ่งผยองเหมือนปัญญาชนพวกนั้น เขาสอนมาหลายปี มองคนแตกต่างจากคนทั่วไปแม้เฉินฝานจะเป็นคนขายปลา อาจจะอ่านออกเขียนได้เพียงไม่กี่คำ แต่แววตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยความฉลาดแค่ได้ยินผ่านกำแพงที่ขวางกั้น ก็เข้าใจความหมายของคำว่าอ๋องโหวแม่ทัพขุนนางชั้นสูงมีชื่อเรียกต่างกันพวกปัญญาชนบนโต๊ะ เมื่อครั้นตอนที่เขาสอนสุภาษิตนี้ ท่ามกลางพวกเขามีหลายคนที่ตนต้องอธิบายหลายรอบกว่าจะเข้าใจอาจารย์เฉียนเอ่ยปากรับเฉินฝานเป็นศิษย์แล้ว ทุกคนไม่อาจปฏิเสธไปโดยปริยายคนที่เข้าข้างเฉินฝาน เป็นห่วงเขากลัวว่าวันข้างหน้าเฉินฝานจะถูกหัวเราะเยาะยามอยู่ในสำนักศึกษาปัญญาชนที่อยู่ที่นี่เวลานี้ เป็นคนในหมู่บ้าน ยามพูดจายังพอรักษาน้ำใจกันไว้บ้างแต่ปัญญาชนนอกหมู่บ้านเหล่านั้น อาจจะพูดจาหยาบคายก็เป็นได้นักปราชญ์ดูแคลนกันเอง ยามปัญญาชนด่าทอ บางครั้งเจ็บแสบยิ่งกว่าสู้กันเสียอีก“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอของอาเจียง ขอบคุณคำอนุญาตของอาจารย์ขอรับ” เฉินฝานคารวะเฉินเจียงกับอาจารย์เฉียน“เสี่ยวฝานไม่ต้องขอบคุณ แม้พวกเราจะเป็นอาหลานกัน แต่เราอายุ
เฉินเย่ว์ฉู่ก้าวเท้าเล็กๆ เดินมาใกล้เฉินฝานช้าๆเฉินฝานยื่นมือไปลูบผมของนาง “สุภาพบุรุษขยับปากไม่ลงไม้ลงมือ อ่านตำรากับข้าไม่กี่เล่ม วันหน้าพวกเขาก็ไม่อาจพูดชนะเจ้าได้แล้ว”“แต่ข้าไม่ใช่สุภาพบุรุษ ข้าเป็นสตรีเจ้าค่ะ”“สตรีก็ไม่ได้เหมือนกัน!” เฉินฝานเกือบจะโมโห เด็กน้อยคนนี้เถียงคำไม่ตกฟาก“เจ้าค่ะ นายท่าน เสียวฉู่สำนึกผิดแล้ว” รู้ว่าเฉินฝานโมโหแล้วจริงๆ ฉินเย่ว์ฉู่ค่อยก้มหน้ายอมรับความผิด หลังจากนั้นนั่งอ่านหนังสือข้างเฉินฝานอย่างว่าง่าย…ค่ำคืน ฉินเย่ว์โหรวถามเฉินฝาน“นายท่านเจ้าคะ นายท่านไปสำนึกศึกษา ถึงเวลาจะเข้าร่วมการสอบขุนนางหรือไม่เจ้าคะ?”“อื้ม...”เรื่องนี้เฉินฝานไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ เขาไปสำนักศึกษา แค่เพราะอยากปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยนี้เห็นเฉินฝานเงียบอยู่นานไม่ตอบคำถามของตน ฉินเย่ว์โหรวจึงพูดอีก “การสอบขุนนางไม่ใช่เรื่องง่าย คนส่วนมากสอบไม่ผ่าน แม้สอบไม่ผ่าน ท่านก็เป็นนายท่านที่แสนดีของพวกข้า”เฉินฝานเข้าใจ ฉินเย่ว์โหรวคิดว่าเขากดดัน จึงปลอบใจเขา“อ่อ! จากที่เจ้าพูด หากข้าสอบผ่านเช่นนั้นก็ไม่ใช่นายท่านที่แสนดีของพวกเจ้าแล้วสิ? หากข้าสอบผ่าน ข้าจะไปรับภรรยาคนให
“นายท่าน วันนี้...”ฉินเย่ว์เจียวเดินเข้ามากะทันหัน“ข้า...”ฉินเย่ว์เจียวรีบหมุนตัวหันหลังเดินออกไป พร้อมกับลากฉินเย่ว์ฉู่ที่กำลังจะเดินเข้ามาในห้องออกไป“พี่สาม เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ เหตุใดพี่ไม่ให้ข้าเข้าห้อง?”“เจ้าสกปรกเช่นนี้ ต้องล้างหน้าล้างตัวก่อนค่อยเข้าไป”“พี่สาม ข้าล้างแล้วเจ้าค่ะ”“ล้างไม่สะอาด ไปล้างอีก!”“…พี่สี่!” ฉินเย่ว์ฉู่ร้องเรียกคนที่วิ่งผ่านนางไป “ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?”“ข้า ข้าจะไปล้างหน้าแปรงฟัน”ฉินเย่ว์เจียวอยากให้เวลาส่วนตัวกับฉินเย่ว์โหรวและเฉินฝาน แต่ฉินเย่ว์โหรวหน้าบางเกินไป นางจะกล้าทำได้อย่างไร อาศัยตอนที่เฉินฝานถูกฉินเย่ว์เจียวขัดจังหวะ ผลักเฉินฝานแล้ววิ่งออกไป“ล้างหน้าแปรงฟันก็ล้างหน้าแปรงฟันสิ ท่านวิ่งเร็วขนาดนี้ทำไมเจ้าคะ? กลัวข้าแย่งท่านหรือ?”เห็นฉินเย่ว์โหรวไม่ตอบคำถาม ฉินเย่ว์ฉู่ส่ายหน้า หันไปหาฉินเย่ว์เจียว “พี่สาม ท่านว่าข้าควรไปล้างอีกหรือไม่?”“ไม่ต้องล้างแล้ว”ฉินเย่ว์เจียวหงุดหงิดยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะนางบุ่มบ่ามเกินไป...เฮ้อ!ฉินเย่ว์เจียวเคาะศีรษะตนเองฉินเย่ว์เจียวที่เข้าไปในห้องอีกครั้ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น อุ้มผ้าห
“อื้ม!” เฉินฝานถือขนมปังหนึ่งอัน เดินออกมาจากห้องครัว “เย่ว์เจียวรอก่อน ข้ากลับไปเอาพวกพู่กันและหมึกดำก่อน”“นายท่าน ไม่ต้องไปแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเย่ว์เจียวตบกระเป๋าสะพายบนหลัง “ของที่ใช้ในสำนึกศึกษาของท่านอยู่ในนี้หมดแล้ว”“เอ๋?”เฉินฝานจ้องมองกระเป๋าสะพายที่ฉินเย่ว์เจียวสะพาย สิ่งนี้คล้ายกับที่เขาเห็นในโทรทัศน์ยุคปัจจุบันคล้ายกับที่ฉวี่เซียน หนิงไช่เฉินสะพาย“เย่ว์เจียว เจ้าเอาสิ่งนี้มาจากไหน”ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะเรียนหนังสือ ดังนั้นไปร้านหนังสือหลายรอบก็ไม่เคยคิดจะซื้อสิ่งนี้“นายท่าน ท่านจำไม่ได้อีกแล้วหรือเจ้าคะ นี่ไม่ได้เรียกว่าสิ่งนี้ เรียกว่ากระเป๋าสะพายเจ้าค่ะ”กระเป๋าสะพาย โดยทั่วไปสานจากไม้ไผ่ เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บตำรา พู่กันและหมึกของปัญญาชนในยุคโบราณ คล้ายกระเป๋าของนักเรียนในยุคปัจจุบันฉินเย่ว์โหรวถือตะกร้าไม้ไผ่เดินออกมาจากห้องเก็บเสบียงอาหาร เรือนร่างและอุปนิสัยของนางเหมือนกัน บอบบางและอ่อนช้อยนางเดินมาถึงตรงหน้าเฉินฝาน “กระเป๋าสะพายนี้พี่อวิ๋นอิงเอามาให้เจ้าค่ะ นางบอกว่าพี่หย่งเหนียนมีหลายใบแล้ว ทั้งยังบอกว่านายท่านเข้าเรียนกะทันหัน ที่บ้านต้องไม่มีก
“เสียวฉู่ของเราวิ่งเร็วแบบนี้ สูงขึ้นแล้วหรือเปล่า?” เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่วิ่งมาหาเขาด้วยความเอ็นดู“สูงขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์เจียวที่ยืนมองอยู่ข้าบๆ พยักหน้า “ตอนนี้เสียวฉู่สูงถึงเอวนายท่านแล้ว”“อื้ม ข้าเองก็รู้สึกว่าสูงขึ้นเหมือนกัน”เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวบอกว่าฉินเย่ว์ฉู่สูงขึ้นแล้ว ฉินเย่ว์ฉู่ดีใจจนยิ้มกว้างระหว่างทาง ฉินเย่ว์ฉู่ที่กระโดดโลดเต้นอยู่นั้น จู่ๆ ก็พูดขึ้น “วันนี้ข้าพบว่า แม้ปกตินายท่านจะเก่งกาจ แต่นายท่านกลัวพี่สี่”“เสียวฉู่ เงียบเดี๋ยวนี้” ฉินเย่ว์เจียวพูดเสียงดังร้องปรามฉินเย่ว์ฉู่ฉินเย่ว์เจียวทำให้ฉินเย่ว์ฉู่ตกใจจนตัวสั่น ตัวนางเองก็ตกใจเช่นเดียวกันจริงด้วย นางลืมไปได้อย่างไร การบอกว่าบุรุษกลัวภรรยาของตนเองเป็นข้อห้ามใหญ่“เย่ว์เจียว อย่าทำให้เสียวฉู่ตกใจ” เฉินฝานรีบพูด “เสียวฉู่พูดถูก ข้ากลัวเย่ว์โหรวจริงๆ”“พวกเรารีบไปกันเถอะ!” เฉินฝานเร่งสองพี่น้อง “ขืนยังไม่ไปอีกก็จะสายแล้วจริงๆ ประเดี๋ยวกลับไปเย่ว์โหรวจะดุพวกเราอีก”ฉินเย่ว์เจียวมองแผ่นหลังเหยียดตรงของเฉินฝาน พูดพึมพำ “ท่านไม่ได้กลัว เห็นชัดว่ารักต่างหาก”ยิ่งใกล้สำนักศึกษา ก็ยิ่งเห็นคนส
“เสี่ยวฝาน” เฉียนหย่งเหนียนมองเฉินฝานด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้? เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?”“อ่อ!” เฉินฝานเกาศีรษะเล็กน้อย “พี่หย่งเหนียน เมื่อวานพวกจูต้าอันบอกว่าข้าเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาพูดถูก ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าลืมเรื่องในอดีตไปมากมาย”“เช่นนี้...ก็ดีเหมือนกัน!” เฉียนหย่งเหนียนตบไหล่เฉินฝาน “จำตนเองในอดีตไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน!”เฉินฝานในอดีตไม่เหมือนคนเลย“ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า ถึงรุ่นของเรา ทารกชายก็เริ่มน้อยลง โดยเฉพาะหลายปีนี้ยิ่งร้ายแรง ดังนั้น...”เฉียนหย่งเหนียนชี้ไปยังภรรยาที่ยืนรอสามีด้านนอกท่ามกลางลมหนาว “ราชสำนักจึงจัดสรรภรรยาให้พวกเขา อีกทั้งเมื่อได้ลูกชายก็จะมีรางวัลให้”“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ทารกชายให้กำเนิดน้อย มีเพียงต้าชิ่งของเราที่เป็นเช่นนี้หรือขอรับ? แคว้นรอบๆ มีสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่” เฉินฝานถาม“แคว้นโดยรอบก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่าแคว้นต้าชิ่งของเรา ก็เพราะแบบนี้!”ขณะพูด เฉียนหย่งเหนียนกำหมัดแน่น“แคว้นโดยรอบโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ต้าชิ่งของเราสูญเสียหลายเมือง และเพราะแบบนี้” เฉียนหย่งเ
“ฉินเย่ว์เจียวตั้งใจยิงธนูไปที่น่องของหญิงวัยกลางคนทว่าหัวลูกธนูนี้ค่อนข้างทื่อ ทำให้คนล้มลง แต่ไม่ทำให้คนบาดเจ็บสาเหตุที่ฉินเย่ว์เจียวทำเช่นนี้ เพราะอยากจะทดสอบดูว่า หญิงวัยกลางคนคนนี้มีวรยุทธ์หรือไม่ยามคับขัน ระมัดระวังหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่ดีฉินเย่ว์เจียวใช้สายตาส่งสัญญาณให้เย่ว์หนู เย่ว์หนูเข้าใจทันที รีบไปพยุงหญิงวัยกลางคน พร้อมกับขอโทษนางเย่ว์หนูที่เดินกลับมาหาฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าหญิงวัยกลางคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพักเท่านั้น...ณ จวนเจ้าเมืองของซื่อต้าเผิง เมืองเซียนตูห้องนอนใหญ่กลางจวน เดิมทีห้องนี้เป็นห้องของซื่อต้าเผิงแต่ว่า ตอนนี้ซื่อต้าเผิงกำลังก้มหน้าโค้งคำนับ ยืนอยู่ข้างประตู ไม่อาจเข้าไปได้ และไม่มีสิทธิ์เข้าไปเสิ่นหมิงหยวนกลับเข้ามาด้วยความรีบร้อนเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู สีหน้าของเขาฉายความกังวลทันทีเขาเดินมาที่หน้าเตียง มองคนบนเตียงคนบนเตียง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทว่าซีดขาวคิ้วของเสิ่นหมิงหยวนขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยถามชายชราที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง “หมอหลวงสวี เมื่อไหร่ฝ่าบาทจะฟื้น?”หมอหลวงสวีส่ายหน้า
“คุณหนู คุณหนู!”บุรุษสวมชุดสีน้ำเงิน กระโดดลงมาจากชั้นบนเมื่อเห็นชายคนนั้น เถ้าแก่และพนักงานรีบเดินไปต้อนรับทันที เขาคือเจ้าของเรือนจินสี่บุรุษวิ่งมาตรงหน้าฉินเย่ว์เจียว “โรงเตี๊ยมของเรามีตาแต่หามีแววไม่ หวังว่าคุณหนูจะให้อภัย”ขณะพูด ก็ยกเท้าเตะพนักงานที่ของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ “เร็วเข้า รีบพาคุณหนูและคุณชายไปพักที่ห้องชั้นสาม”“ขอรับๆ!” พนักงานโรงเตี๊ยมรีบหันไปพูดกับฉินเย่ว์เจียว “คุณหนู เชิญมาจ่ายเงินทางนี้ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อย...”“โง่เขลาสิ้นดี!” บุรุษเตะพนักงานโรงเตี๊ยมอย่างแรงอีกครั้ง “คุณหนูท่านนี้เป็นถึงแขกคนสำคัญจากแคว้นเหมี่ยน พวกเราจะเก็บเงินคุณหนูได้อย่างไร?”ตอนนี้เป็นช่วงไว้อาลัยแคว้น ไม่อาจโฆษณาอย่างเปิดเผยหลังจบช่วงไว้อาลัยแคว้น ทำการป่าวประกาศทูตแคว้นเหมี่ยนไม่เข้าพักที่เรือนทูต แต่เลือกมาพักที่เรือนจินสี่ชื่อเสียงของเรือนจินสี่ย่อมเลื่องลือกว่าเดิมได้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าเก็บค่าห้องจากฉินเย่ว์เจียวเฉินฝานเตือนฉินเย่ว์เจียวให้ทำแต่พอดีเจ้าของโรงเตี๊ยมจัดเตรียมทุกอย่างให้ด้วยตนเอง ระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที พวกเฉินฝานก็ได้เข้าพักที่ห้องชั้นสามของเรือนจินสี่
“พวกเจ้าคือทูตผู้มาร่วมไว้อาลัยต่างแคว้นหรือ?” แม้ทหารจะหยุดการกระทำของพวกเขา แต่สีหน้ายังเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ“ใช่!” เฉินฝานชี้ไปยังห่อผ้าบนโต๊ะ “ของในห่อผ้าพิสูจน์ตัวตนของพวกข้าได้!”เมื่อเปิดห่อผ้า สิ่งที่โผล่ให้เห็นอันดับแรกคือใบไม้ทองคำและถั่วทองคำกองโ ตามด้วยเสื้อผ้าที่แตกต่างจากชาวแคว้นต้าชิ่งอย่างสิ้นเชิง เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนปักด้วยด้ายทองคำ“ใบไม้ทองคำ ถั่วทองคำ เสื้อผ้าปักด้วยด้ายทองคำ? พวกเขาคือชาวเหมี่ยน?” คนในโรงเตี๊ยมที่รู้จักแคว้นเหมี่ยนพูดขึ้น“ลำพังเพียงใบไม้ทองคำ ถั่วทองคำและเสื้อผ้าปักด้ายทองคำเพียงไม่กี่ตัว ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาคือทูตของแคว้นเหมี่ยน”พวกทหารปิดล้อมอีกครั้ง “ไปกับพวกข้า”“ฮ่าๆๆ!”เสียงหัวเราะดังขึ้น ร่างกำยำปรากฏตัวที่โต๊ะจ่ายเงินด้วยความเร็วสูง“ว้าว!”ชายชราในชุดสีเทาอ่อน หยิบนกหวีดออกมาจากห่อผ้าด้วยความหูตาไว ตามด้วยร้องตะโกนเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “นี่คือปี่นาคาของราชวงศ์เหมี่ยนในตำนานนี่!”“เซียนเจี้ยนหวง เก็บของของข้ากลับที่เดิมเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เจียวถลึงตาโตด้วยความโมโห“ของของเจ้า?” เซียนเจี้ยนหวงหยิบปี่ขึ้นมา ถามฉินเย
“ท่านทั้งหลาย พักชั่วคราวหรือค้างแรมขอรับ?”พวกเฉินฝานเพิ่งเดินเข้าไปในเรือนจินสี่ มีพนักงานคนหนึ่งในโรงเตี๊ยมมาต้อนรับเพราะเป็นช่วงไว้อาลัยของแคว้น พนักงานในร้านจึงพูดค่อนข้างเบา“ค้างแรม!”“นายท่านทั้งหลายโปรดตามข้าน้อยมาขอรับ!”พนักงานโรงเตี๊ยมเดินนำพวกเฉินฝานไปยังโต๊ะจ่ายเงิน“นายท่านทั้งหลาย โปรดแสดงแผ่นไม้ประจำตัว!”คำถามแรกของเถ้าแก่ไม่ได้ถามว่าต้องการกี่ห้อง ห้องประเภทใด แต่ให้พวกเฉินฝานแสดงแผ่นไม้ประจำตัวโรงเตี๊ยมทั่วไปไม่จำต้องแสดงแผ่นไม้ประจำตัวแผ่นไม้ประจำตัว ‘คือแผ่นไม้ขนาดเล็กที่สลักข้อมูลประจำตัว คล้ายคลึงกับบัตรประชาชนในยุคปัจจุบัน’“นายท่านทั้งหลาย เวลานี้เป็นช่วงไว้อาลัยของแคว้น ฝ่าบาทเสด็จมาเมืองเซียนตู เกรงว่าจะมีไส้ศึกแคว้นอื่นแฝงตัวเข้ามา ทางการจึงออกกฎ แขกทุกคนในโรงเตี๊ยม ต้องแสดงแผ่นไม้ประจำตัวขอรับ”น่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ถูกลูกค้าหลายคนถาม เถ้าแก่จึงรับมือได้เป็นอย่างดี ไม่รอพวกเฉินฝานถาม เขาก็อธิบายเหตุผลให้ฟัง“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวหันไปมองเฉินฝานหากพวกเขาแสดงแผ่นไม้ประจำตัว เช่นนั้นก็เท่ากับเอาตัวไปรับดาบของเสิ่นหมิงหยวน“นายท่านทั้งห
พวกคนด้านหน้าที่หลบไม่ทัน บ้างก็ถูกม้าเหยียบบ้างก็ถูกเตะจนปลิว พวกเขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแต่คนที่นั่งอยู่บนหลังม้า กลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่ลดความเร็ว แต่ยังฟาดแส้ม้าในมือแรงขึ้น“จ้า!”“ระวัง!”เฉินฝานที่เดิมทีเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้ว รีบหันกลับมา ดึงตัวเมี่ยวอวี่ที่ยังคงยืนอยู่กลางถนน ด้วยความตกตะลึง“ว้าย!”เมี่ยวอวี่ที่ล้มตัวลงในอ้อมกอดของเมี่ยวอวี่ อุทานตามสัญชาตญาณ“วี้ด!”เสียงเป่าปากดังก้องทหารตรงกลาง ทันใดนั้นเองเขาก็จับแส้ม้าแน่นม้ายกขาหน้าทั้งสองขึ้น ทหารจับแส้ม้าแน่น หันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว“...”เพียงครู่หนึ่งเฉินฝานก็กระจ่างชัด รู้ว่าใครคือคนบนหลังม้าเขาคือหลี่ชิ่งสุนัขรับใช้ผู้แสนซื่อสัตย์ของเสิ่นหมิงหยวน หัวหน้าทหารรักษาการณ์เมืองหลวงเพิ่งหันกลับไป ดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิ่งราวกับอินทรีย์ กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเขาก็มองมาที่เฉินฝานเฉินฝานอ้าแขนทั้งสองข้าง คว้าตัวเย่ว์เจียว เย่ว์หนูและเมี่ยวอวี่เข้าหาตน“ท่าน...”เมี่ยวอวี่เบิกตากว้าง หูของนางแดงก่ำอย่างรวดเร็วเพราะ...มือขวาของเฉินฝาน คลำสะโพกของนางไม่หยุดเฉินฝานก้มหน้าลง พูด
“ตอนนี้พวกเราไม่อาจเข้าเมืองได้!”“เพราะเหตุใด?” สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวฉายความฉงน “พวกเราไม่เข้าเมือง แล้วจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้อย่างไร ตอนนี้ฝ่าบาทต้องเสียพระทัยมากแน่นอน”“เมือง!” ดวงตาสีดำดั่งน้ำหมึกของเฉินฝานมองไปที่ประตูเมือง ‘เมืองเซียนตู’ อักษรสามตัวขนาดใหญ่ “พวกเราต้องเข้าไปแน่นอน อีกทั้งต้องเข้าไปให้ได้”โรงเตี๊ยมและเรือนเซียนผาสุกปิดตัวลงกะทันหัน ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน“แต่ว่า พวกเราไม่อาจเข้าไปเช่นนี้”เฉินฝานหันหลังเดินออกไป“เจ้าอย่าคิดหนี ตามพวกข้ามา!”ตอนออกไป ฉินเย่ว์เจียวคว้าตัวเมี่ยวอวี่ “เจ้าเคยรับปากข้า หลังจากออกมาได้สำเร็จ เจ้าจะบอกให้ข้ารับรู้ว่าผู้ใดเป็นคนให้จี้หยกแก่เจ้า”คิ้วของเมี่ยวอวี่เลิกต่ำเล็กน้อย “ข้าไม่คิดจะไปจากพวกเจ้า!”เมี่ยวอวี่มาเพื่อลอบสังหารเขา ตอนนี้ไม่อาจให้ใครคนนั้นในเมืองเซียนตูรู้ว่าเขายังมีชีวิตเฉินฝานใช้ใบไม้ทองซื้อชุดไว้อาลัยสี่ตัวที่นอกเมือง ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาเข้าเมือง“สวรรค์ริษยาความปรีชา ให้ชีวิตมอดม้วย ฮือๆๆ!”เพิ่งเข้าเมือง พวกเฉินฝานก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นถนนสองข้างทาง คนมากมายกำลังคุกเข่าร่ำไห้“
“นายท่าน!” เพิ่งจะเดินไปได้มิกี่ก้าว จู่ ๆ ฉินเย่ว์เจียวก็หยุดชะงัก หันหน้าไปมองเฉินฝานด้วยความมึนงง “อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายใต้เท้าเฉินฝาน คงจะมิได้หมายถึงท่านหรอกกระมัง”“มีโอกาสเป็นได้สูง!” เฉินฝานกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ว้าว ท่านได้เป็นอัครเสนาบดีแล้ว!” ใบหน้าอันงดงามของฉินเย่ว์เจียวตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก“ทว่า...” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเอง “ตอนนี้กำลังพิธีศพให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่อยู่”“นั้นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจผิด นายท่าน พวกเรารีบไปกันเถอะ เมื่อเจอพวกเราแล้วความเข้าใจผิดก็จะคลี่คลาย” ฉินเย่ว์เจียวรีบสาวเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นด้านหน้าเหล่าคนที่มีชีวิตรอดเดินออกมาจากหุบเขาพร้อมกับพวกเฉินฝาน มีคนจำนวนหนึ่งที่เดินไปถึงประตูเมืองแล้วเป็นดั่งที่หญิงชรากล่าว เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าที่สกปรก ทหารที่รักษาเมืองจึงมิยอมให้พวกเขาเข้าไป“ใต้เท้า ได้โปรด! พวกเราเดินมาจากเศษซากทางเรือนเซียนผาสุก บ้านอยู่ในเมืองเซียนตู ให้พวกเราเข้าไปจึงจะสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้”คนที่กล่าววาจาคือจางเซิง“ถูกต้อง พวกเราถูกกักขังอยู่ด้านในมาหลายวันแล้ว กว่าจะออกมาได้มิง่ายเลย เจ้าให้พวกเราเข้าไปเถอะ”คนจำนวนมา
ทางด้านหน้า มีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวมากมาย“มีคนทำพิธีกรรมอันใดงั้นรึ?”“ดูเหมือนว่าจะใช่”นับตั้งแต่ทางเข้าหุบเขามาจนถึงประตูทิศตะวันออกของเมืองเซียนตู ตลอดเส้นทางนี้ล้วนมีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวตอนที่ฝูงชนเดินมาถึงประตูเมือง ก็พบว่าหอประตูเมืองถูกประดับไปด้วยผ้าสีขาวจำนวนมากหอประตูเมืองที่เดิมทีประดับด้วยโคมไฟสีแดงเป็นทิวแถว ตอนนี้โคมไฟเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารรักษาก็ยังแขวนผ้าสีขาว“นี่เป็นพิธีศพ และยังยิ่งใหญ่อีกด้วย แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารยังแขวนผ้าสีขาวอีกด้วย คงจะมีคนใหญ่คนโตของเมืองเซียนตูเสียชีวิตกระมัง จึงทำให้ทั้งเมืองร่วมไว้อาลัยได้เช่นนี้”ฝูงชนพากันถกเถียงอภิปราย“หรือว่าจะเป็นเจ้าเมืองซื่อต้าเผิง?” ฉินเย่ว์เจียวก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน“สาวน้อย คำพูดนี้มิสามารถพูดมั่วซั่วได้ ท่านเจ้าเมืองยังอยู่ดี เจ้าสาปแช่งใต้เท้าเช่นนี้ ระวังใต้เท้าจับเจ้าเข้าคุก”มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากในเมืองมากล่าวเตือนฉินเย่ว์เจียว “ อีกอย่าง เจ้าเมืองจะมีงานใหญ่โตเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”“โอ้?” เฉินฝานรุดหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ทำมือเคารพให้หญิงชรา “เช่นนั
“เจ้า...โอ๊ย ข้าโมโหจวนจะบ้าแล้ว!”ฉินเย่ว์เจียวค่อยๆลุกขึ้นยืน คิดที่โยนเมียวอวี่ออกไป ปรากฏว่าเมี่ยวอวี่ก็ค่อยๆลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้น...“......”เฉินฝานมองไปที่เมี่ยวอวี่ที่ติดหนึบเรือนร่างเขาราวกับปลาหมึกตัวหนึ่งด้วยความมึนงง“แม่นางเมี่ยวอวี่ รบกวนชีวิตสามีภรรยา เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างมาก”เฉินฝานอุ้มเมี่ยวอวี่ออกไปด้านนอก“อย่าเอาข้าออกไป”แขนของเมี่ยวอวี่โอบรัดคอของเฉินฝานไว้แน่น นำศีรษะฝังแนบกับไหล่เขา กล่าวเสียงแผ่วเบารีบร้อน“ขอร้องล่ะ!”“ได้สิ” เฉินฝานเริ่มคิดเล่นสนุก “ให้เจ้าอยู่ก็ได้ ทว่าเจ้าต้องเปลื้องผ้าให้หมดและคลานเข้าไปในถุงนอนของข้า”ใบหูที่ขาวผ่องของเมี่ยวอวี่ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด“มิมีทาง น้ำเสียงของเมี่ยวอวี่นุ่มนวล ทว่าสามารถฟังออกได้ว่ากัดฟันพูด“เหอะ!” เฉินฝานหัวเราะเยาะออกมาทันที “มิมีผลประโยชน์ให้ข้าแม้แต่น้อย ไฉนข้าต้องยอมให้เจ้าอยู่ที่นี้?”“สิ่งนี้!”เมี่ยวอวี่เปิดเสื้อตนเองออกทัศนียภาพที่งดงามพลันปรากฏต่อหน้าเฉินฝานเมี่ยวอวี่ที่ภายนอกที่ดูสูงสง่าราวเทพธิดา ภายในกลับ...“ต้องกล่าวว่าอาหารของกระท่อมหิมะนี้คุณภาพค่อนข้า