“ผู้ใหญ่บ้าน!”เมื่อฟังถึงตรงนี้ จูต้าอันกระสับกระส่าย “ข้าไม่ได้สร้างความเท็จ ความเท็จเป็นผู้เฒ่าหลี่ทั้งหมด ข้าแค่ถูกเขาต้มตุ๋น!”“ถูกเขาต้มตุ๋น?” สายตาของผู้ใหญ่แผ่รังสีจ้องเขม็งไปที่จูต้าอัน “เกรงว่าเจ้าอยากใช้โอกาสนี้กำจัดเฉินฝานล่ะสิ!”“ข้าเปล่า ข้าเปล่า”“เจ้าทำ ความโกรธแค้นที่มีต่อเฉินฝานมันอยู่ในใจเจ้า อยากจะแก้แค้นมานานแล้ว”“ใช่ เมื่อครู่เรื่องมันจะสงบลงตั้งหลายครั้งแล้ว เขาอาศัยจังหวะทันที”ชาวบ้านทยอยกันออกมาเป็นพยาน“น้องฝาน” คนมาอยู่ด้านหน้าเฉินฝานนามว่าจูฉวนอัน เขาเป็นลูกพี่ของจูต้าอัน “เมื่อครู่ลูกพี่ลูกน้องข้าถูกหลอกลวง พลอยกระแทกประตูกับเขาไปด้วยขออภัยอย่างยิ่ง!”“น้องฝาน น้องฝาน!”เฉินฝานไม่ได้พูดอะไร จูต้าอันคลานไปที่ด้านหน้าเขา เกาะแกะกับเท้าของเขา “ข้าโดนผู้เฒ่าหลี่หลอกลวง พลั้งพลาดไปครั้งหนึ่งน้องฝาน ได้โปรดให้อภัยข้าเถอะ”จูต้าอันไม่ได้มีความสามารถอะไร ทว่าเขารู้กฎหมู่บ้านดีเรื่องวันนี้ ตามกฎหมู่บ้านอย่างเบาที่สุดคือเขาจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านซานเหอเฉินฝานมองจูต้าอันที่เกาะแกะอยู่ตรงเท้าเขาอย่างเยือกเย็น ยกเท้าขึ้น“ไสหัวไป!”เขาก็ไม่ได้เป็น
“เจียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดอะไร?” เฉินฟู่กระตุกเฉินเจียงเบาๆทว่าเฉินเจียงกลับทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรอย่างไรอย่างนั้น “หลังจากเสี่ยวฝานตกหน้าผา มีโชคจากเคราะห์ร้ายกลายเป็นคนเฉลียวฉลาด หากไม่ร่ำเรียนในสำนักศึกษาคงจะน่าเสียดาย”“เฉินเจียงเสนอเรื่องนี้ได้อย่างไร ถึงเวลาเฉินฝานไปสำนักศึกษาแล้วเขาจะฟังรู้เรื่องหรือ? การร่ำเรียนไม่ใช่การขายปลา จะเป็นเรื่องง่ายๆ ได้อย่างไร?”“ใช่ สิ่งที่ยากที่สุดบนโลกใบนี้คือการร่ำเรียน พี่หย่งเหนียนสอบตั้งหลายปีแล้ว เมื่อปีกลายเพิ่งสอบได้อันดับรองสุดท้ายในการสอบระดับท้องถิ่น สอบติดถงเซิงอย่างเฉียดชิว“นั่นน่ะสิ? พี่เหนียนสอบผ่านแล้ว ข้ายังสอบไม่ผ่าน”เสียงกระซิบกระซาบของปัญญาชนโต๊ะนั้นในห้องโถง ล้วนปฏิเสธความคิดของเฉินเจียงที่จะให้เฉินฝานมาร่ำเรียนในสำนักศึกษาอีกทั้ง ปัญญาชนเหล่านี้ แม้ไม่ได้แสดงออกมา แต่ส่วนลึกในใจของพวกเขามีความรู้สึกเหนือกว่าเฉินฝานเป็นแค่คนขายปลา ไม่คู่ควรที่จะมาร่ำเรียนกับพวกเขา“เจียงเอ๋อร์!”เฉินฟู่กระตุกเฉินเจียงอีกครั้ง เฉินเจียงหันไปถามเฉินฟู่ “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร?”“เสี่ยวฝาน อ่านออกเขียนได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาจะเร
“ได้!” อาจารย์เฉียนพยักหน้า “เสี่ยวฝาน เจ้าอยากมาเรียนก็มาได้เลย”อาจารย์เฉียนไม่หยิ่งผยองเหมือนปัญญาชนพวกนั้น เขาสอนมาหลายปี มองคนแตกต่างจากคนทั่วไปแม้เฉินฝานจะเป็นคนขายปลา อาจจะอ่านออกเขียนได้เพียงไม่กี่คำ แต่แววตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยความฉลาดแค่ได้ยินผ่านกำแพงที่ขวางกั้น ก็เข้าใจความหมายของคำว่าอ๋องโหวแม่ทัพขุนนางชั้นสูงมีชื่อเรียกต่างกันพวกปัญญาชนบนโต๊ะ เมื่อครั้นตอนที่เขาสอนสุภาษิตนี้ ท่ามกลางพวกเขามีหลายคนที่ตนต้องอธิบายหลายรอบกว่าจะเข้าใจอาจารย์เฉียนเอ่ยปากรับเฉินฝานเป็นศิษย์แล้ว ทุกคนไม่อาจปฏิเสธไปโดยปริยายคนที่เข้าข้างเฉินฝาน เป็นห่วงเขากลัวว่าวันข้างหน้าเฉินฝานจะถูกหัวเราะเยาะยามอยู่ในสำนักศึกษาปัญญาชนที่อยู่ที่นี่เวลานี้ เป็นคนในหมู่บ้าน ยามพูดจายังพอรักษาน้ำใจกันไว้บ้างแต่ปัญญาชนนอกหมู่บ้านเหล่านั้น อาจจะพูดจาหยาบคายก็เป็นได้นักปราชญ์ดูแคลนกันเอง ยามปัญญาชนด่าทอ บางครั้งเจ็บแสบยิ่งกว่าสู้กันเสียอีก“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอของอาเจียง ขอบคุณคำอนุญาตของอาจารย์ขอรับ” เฉินฝานคารวะเฉินเจียงกับอาจารย์เฉียน“เสี่ยวฝานไม่ต้องขอบคุณ แม้พวกเราจะเป็นอาหลานกัน แต่เราอายุ
เฉินเย่ว์ฉู่ก้าวเท้าเล็กๆ เดินมาใกล้เฉินฝานช้าๆเฉินฝานยื่นมือไปลูบผมของนาง “สุภาพบุรุษขยับปากไม่ลงไม้ลงมือ อ่านตำรากับข้าไม่กี่เล่ม วันหน้าพวกเขาก็ไม่อาจพูดชนะเจ้าได้แล้ว”“แต่ข้าไม่ใช่สุภาพบุรุษ ข้าเป็นสตรีเจ้าค่ะ”“สตรีก็ไม่ได้เหมือนกัน!” เฉินฝานเกือบจะโมโห เด็กน้อยคนนี้เถียงคำไม่ตกฟาก“เจ้าค่ะ นายท่าน เสียวฉู่สำนึกผิดแล้ว” รู้ว่าเฉินฝานโมโหแล้วจริงๆ ฉินเย่ว์ฉู่ค่อยก้มหน้ายอมรับความผิด หลังจากนั้นนั่งอ่านหนังสือข้างเฉินฝานอย่างว่าง่าย…ค่ำคืน ฉินเย่ว์โหรวถามเฉินฝาน“นายท่านเจ้าคะ นายท่านไปสำนึกศึกษา ถึงเวลาจะเข้าร่วมการสอบขุนนางหรือไม่เจ้าคะ?”“อื้ม...”เรื่องนี้เฉินฝานไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ เขาไปสำนักศึกษา แค่เพราะอยากปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยนี้เห็นเฉินฝานเงียบอยู่นานไม่ตอบคำถามของตน ฉินเย่ว์โหรวจึงพูดอีก “การสอบขุนนางไม่ใช่เรื่องง่าย คนส่วนมากสอบไม่ผ่าน แม้สอบไม่ผ่าน ท่านก็เป็นนายท่านที่แสนดีของพวกข้า”เฉินฝานเข้าใจ ฉินเย่ว์โหรวคิดว่าเขากดดัน จึงปลอบใจเขา“อ่อ! จากที่เจ้าพูด หากข้าสอบผ่านเช่นนั้นก็ไม่ใช่นายท่านที่แสนดีของพวกเจ้าแล้วสิ? หากข้าสอบผ่าน ข้าจะไปรับภรรยาคนให
“นายท่าน วันนี้...”ฉินเย่ว์เจียวเดินเข้ามากะทันหัน“ข้า...”ฉินเย่ว์เจียวรีบหมุนตัวหันหลังเดินออกไป พร้อมกับลากฉินเย่ว์ฉู่ที่กำลังจะเดินเข้ามาในห้องออกไป“พี่สาม เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ เหตุใดพี่ไม่ให้ข้าเข้าห้อง?”“เจ้าสกปรกเช่นนี้ ต้องล้างหน้าล้างตัวก่อนค่อยเข้าไป”“พี่สาม ข้าล้างแล้วเจ้าค่ะ”“ล้างไม่สะอาด ไปล้างอีก!”“…พี่สี่!” ฉินเย่ว์ฉู่ร้องเรียกคนที่วิ่งผ่านนางไป “ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?”“ข้า ข้าจะไปล้างหน้าแปรงฟัน”ฉินเย่ว์เจียวอยากให้เวลาส่วนตัวกับฉินเย่ว์โหรวและเฉินฝาน แต่ฉินเย่ว์โหรวหน้าบางเกินไป นางจะกล้าทำได้อย่างไร อาศัยตอนที่เฉินฝานถูกฉินเย่ว์เจียวขัดจังหวะ ผลักเฉินฝานแล้ววิ่งออกไป“ล้างหน้าแปรงฟันก็ล้างหน้าแปรงฟันสิ ท่านวิ่งเร็วขนาดนี้ทำไมเจ้าคะ? กลัวข้าแย่งท่านหรือ?”เห็นฉินเย่ว์โหรวไม่ตอบคำถาม ฉินเย่ว์ฉู่ส่ายหน้า หันไปหาฉินเย่ว์เจียว “พี่สาม ท่านว่าข้าควรไปล้างอีกหรือไม่?”“ไม่ต้องล้างแล้ว”ฉินเย่ว์เจียวหงุดหงิดยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะนางบุ่มบ่ามเกินไป...เฮ้อ!ฉินเย่ว์เจียวเคาะศีรษะตนเองฉินเย่ว์เจียวที่เข้าไปในห้องอีกครั้ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น อุ้มผ้าห
“อื้ม!” เฉินฝานถือขนมปังหนึ่งอัน เดินออกมาจากห้องครัว “เย่ว์เจียวรอก่อน ข้ากลับไปเอาพวกพู่กันและหมึกดำก่อน”“นายท่าน ไม่ต้องไปแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเย่ว์เจียวตบกระเป๋าสะพายบนหลัง “ของที่ใช้ในสำนึกศึกษาของท่านอยู่ในนี้หมดแล้ว”“เอ๋?”เฉินฝานจ้องมองกระเป๋าสะพายที่ฉินเย่ว์เจียวสะพาย สิ่งนี้คล้ายกับที่เขาเห็นในโทรทัศน์ยุคปัจจุบันคล้ายกับที่ฉวี่เซียน หนิงไช่เฉินสะพาย“เย่ว์เจียว เจ้าเอาสิ่งนี้มาจากไหน”ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะเรียนหนังสือ ดังนั้นไปร้านหนังสือหลายรอบก็ไม่เคยคิดจะซื้อสิ่งนี้“นายท่าน ท่านจำไม่ได้อีกแล้วหรือเจ้าคะ นี่ไม่ได้เรียกว่าสิ่งนี้ เรียกว่ากระเป๋าสะพายเจ้าค่ะ”กระเป๋าสะพาย โดยทั่วไปสานจากไม้ไผ่ เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บตำรา พู่กันและหมึกของปัญญาชนในยุคโบราณ คล้ายกระเป๋าของนักเรียนในยุคปัจจุบันฉินเย่ว์โหรวถือตะกร้าไม้ไผ่เดินออกมาจากห้องเก็บเสบียงอาหาร เรือนร่างและอุปนิสัยของนางเหมือนกัน บอบบางและอ่อนช้อยนางเดินมาถึงตรงหน้าเฉินฝาน “กระเป๋าสะพายนี้พี่อวิ๋นอิงเอามาให้เจ้าค่ะ นางบอกว่าพี่หย่งเหนียนมีหลายใบแล้ว ทั้งยังบอกว่านายท่านเข้าเรียนกะทันหัน ที่บ้านต้องไม่มีก
“เสียวฉู่ของเราวิ่งเร็วแบบนี้ สูงขึ้นแล้วหรือเปล่า?” เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่วิ่งมาหาเขาด้วยความเอ็นดู“สูงขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์เจียวที่ยืนมองอยู่ข้าบๆ พยักหน้า “ตอนนี้เสียวฉู่สูงถึงเอวนายท่านแล้ว”“อื้ม ข้าเองก็รู้สึกว่าสูงขึ้นเหมือนกัน”เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวบอกว่าฉินเย่ว์ฉู่สูงขึ้นแล้ว ฉินเย่ว์ฉู่ดีใจจนยิ้มกว้างระหว่างทาง ฉินเย่ว์ฉู่ที่กระโดดโลดเต้นอยู่นั้น จู่ๆ ก็พูดขึ้น “วันนี้ข้าพบว่า แม้ปกตินายท่านจะเก่งกาจ แต่นายท่านกลัวพี่สี่”“เสียวฉู่ เงียบเดี๋ยวนี้” ฉินเย่ว์เจียวพูดเสียงดังร้องปรามฉินเย่ว์ฉู่ฉินเย่ว์เจียวทำให้ฉินเย่ว์ฉู่ตกใจจนตัวสั่น ตัวนางเองก็ตกใจเช่นเดียวกันจริงด้วย นางลืมไปได้อย่างไร การบอกว่าบุรุษกลัวภรรยาของตนเองเป็นข้อห้ามใหญ่“เย่ว์เจียว อย่าทำให้เสียวฉู่ตกใจ” เฉินฝานรีบพูด “เสียวฉู่พูดถูก ข้ากลัวเย่ว์โหรวจริงๆ”“พวกเรารีบไปกันเถอะ!” เฉินฝานเร่งสองพี่น้อง “ขืนยังไม่ไปอีกก็จะสายแล้วจริงๆ ประเดี๋ยวกลับไปเย่ว์โหรวจะดุพวกเราอีก”ฉินเย่ว์เจียวมองแผ่นหลังเหยียดตรงของเฉินฝาน พูดพึมพำ “ท่านไม่ได้กลัว เห็นชัดว่ารักต่างหาก”ยิ่งใกล้สำนักศึกษา ก็ยิ่งเห็นคนส
“เสี่ยวฝาน” เฉียนหย่งเหนียนมองเฉินฝานด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้? เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?”“อ่อ!” เฉินฝานเกาศีรษะเล็กน้อย “พี่หย่งเหนียน เมื่อวานพวกจูต้าอันบอกว่าข้าเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขาพูดถูก ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าลืมเรื่องในอดีตไปมากมาย”“เช่นนี้...ก็ดีเหมือนกัน!” เฉียนหย่งเหนียนตบไหล่เฉินฝาน “จำตนเองในอดีตไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน!”เฉินฝานในอดีตไม่เหมือนคนเลย“ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า ถึงรุ่นของเรา ทารกชายก็เริ่มน้อยลง โดยเฉพาะหลายปีนี้ยิ่งร้ายแรง ดังนั้น...”เฉียนหย่งเหนียนชี้ไปยังภรรยาที่ยืนรอสามีด้านนอกท่ามกลางลมหนาว “ราชสำนักจึงจัดสรรภรรยาให้พวกเขา อีกทั้งเมื่อได้ลูกชายก็จะมีรางวัลให้”“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ทารกชายให้กำเนิดน้อย มีเพียงต้าชิ่งของเราที่เป็นเช่นนี้หรือขอรับ? แคว้นรอบๆ มีสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่” เฉินฝานถาม“แคว้นโดยรอบก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เพียงแต่ไม่รุนแรงเท่าแคว้นต้าชิ่งของเรา ก็เพราะแบบนี้!”ขณะพูด เฉียนหย่งเหนียนกำหมัดแน่น“แคว้นโดยรอบโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ต้าชิ่งของเราสูญเสียหลายเมือง และเพราะแบบนี้” เฉียนหย่งเ
ลักพาตัวอ๋องแคว้นจ้าวต่อหน้าต่อตาองครักษ์หนึ่งหมื่นกว่าคน และยังสามารถทำให้เขายอมถอยทัพแต่โดยดี จะต้องมิใช่การประเมินศัตรูต่ำไปเพียงอย่างเดียวแน่นอนใต้เท้าด้านนอกผู้นั้นจะต้องมีวรยุทธ์และสติปัญญาเหนือมนุษย์เป็นแน่ได้ยินว่า เขามีสิ่งของที่เป็นเหล็กปลายแหลมสามารถโจมตีได้ น่าหวาดกลัวอย่างมาก สามารถต่อกรกับศัตรูจำนวนมหาศาลได้ด้วยตัวคนเดียวดังนั้น เฉินฝานต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจึงมาเยือนต่อให้มิมีความมั่นใจว่าจะชนะได้ ทว่าพวกเขาก็ต้องมั่นใจว่าตนเองจะสามารถถอยกลับได้อย่างปลอดภัยแน่นอนหากล่าถอยไปแล้วกลับมาอีกครั้ง คงจะมิได้มีเพียงสองคน แต่เป็นกองกำลังจำนวนมหาศาลพื้นที่ธารน้ำอันคับแคบจะสามารถต่อต้านกองกำลังมหาศาลได้อย่างไร?“เสี่ยวฝาน เจ้าดูสิ!”อ๋องตวนตะโกนด้วยความตื่นตกใจทันที เขาชี้ไปร่างเงาตรงโพรงหญ้า “โจรป่าเหล่านั้นออกมาแล้ว และยังมาจำนวนมหาศาลอีกด้วย ตอนนี้น่าจะประมาณหนึ่งพันคน”“ฮี่ ๆ ๆ!”อ๋องตวนฉีกยิ้ม มองเฉินฝานด้วยความนับถือ“เสี่ยวฝาน เจ้าคาดการณ์ได้ดั่งเทพ เจ้าบอกว่าขอแค่พวกเราสองคนมา โจรป่าจะต้องออกมาแน่นอน”“มิใช่ว่าข้าคาดการณ์ได้ดั่งเทพ นี่คือจิตวิทยา” เฉิน
ผู้ที่เสนอตัวขอออกรบก่อนคือ หัวหน้าสามกั้วเจียงหลงชื่อที่โหดเหี้ยมปานนี้ มิใช่เพราะเขาเก่งกาจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะตอนยังเด็กเขาซุกซนจนถูกแม่ไล่ตี ตอนที่หน้าสิ่วหน้าขวาน จึงกระโดดลงแม่น้ำว่ายไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหนีแม่ของตนเองจึงเป็นที่มาของชื่อกั้วเจียงหลง“ออกไปรบงั้นรึ? กำจัดพวกเขาให้สิ้นซากรึ?” หัวหน้าใหญ่เหอหรันถีบกั้วเจียงหลงด้วยความโมโหทันที “เจ้าเก่งกว่ากองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าวรึ?”“หัวหน้าใหญ่ ข้าคิดว่าเจ้าระแวงเกินไป หัวหน้าสามพูดถูก ควรจะออกไปสู้!”เสียงเคร่งขรึมดูมีอายุดังขึ้น ชายชราผมหงอกทั้งหัวเดินเข้ามาจากด้านนอก“ท่านอาจารย์!”เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น เหอหรันรีบทำมือเคารพอย่างลนลาน คนอื่นก็พากันทำตามเมื่อชายชราเห็นด้วย กั้วเจียงหลงจึงเงยหน้าทันที “หัวหน้าใหญ่ ท่านอาจารย์ยังคิดว่าท่านระแวงเกินไป พวกเรามิได้เป็นแบบกองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าวเสียหน่อย”กั้วเจียงหลงพูดจบ ชายชรารีบพูดต่อทันที “หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าสามพูดถูกแล้ว พวกเรามิใช่กองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าว สาเหตุที่พวกเขาพ่ายแพ้เพราะประเมินศัตรูต่ำและอวดดีเกินไป ตอนนี้ผู้ที่อวดดีและประเมินศัตรูต่ำ
“ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ๋องออกจากเมืองไปแล้ว พวกเขาไม่ได้กลับเมืองหลวง แต่ว่ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้าเฮยแล้วขอรับ!”พื้นที่ต้าเฮยก็คือรังของพวกโจร“เช่นนั้นพวกเราก็รีบตามไป ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ๋องให้หลี่ฉวินไปด้วยหรือไม่”หลี่ฉวินเป็นนายกองพิทักษ์เมืองเฟิ่งหวง เป็นแม่ทัพของกองทัพพิทักษ์เมืองเฟิ่งหวงเมืองเฟิ่งหวงเป็นเพียงเมืองป้อมปราการภายใต้เมืองเหอตู ไม่ควรมีนายกอง แต่เนื่องจากเมืองเฟิ่งหวงอยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงมีกองทัพพิทักษ์เมือง มีนายกองเช่นกันเพียงแต่ว่าต้าชิ่งขาดแคลนชายฉกรรจ์ เมืองป้อมปราการติดชายแดนที่ยากจนข้นแค้นอย่างเมืองเฟิ่งหวงยิ่งมีชายฉกรรจ์น้อยลงไปอีก กอปรกับก่อนหน้านี้ต่อสู้ต้านทานกองทหารของแคว้นจ้าว ตอนนี้กำลังพลในมือหลี่ฉวินจึงมีไม่ถึงสามร้อยนายเหอจื้อเฟยวิ่งกลับไปที่ห้องหยิบรองเท้าของตนขึ้นมา สวมพลางเดินออกไป “พวกเราก็รีบตามไปด้วย!” “ใต้เท้า!” เวลานี้เองหลี่ฉวินก็มาถึงแล้วเช่นกัน“หลี่ฉวิน?” เหอจื้อเฟยมองหลี่ฉวินด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ตอนนี้เจ้าควรไปที่พื้นที่ต้าเฮยกับท่านอัครเสนาบดีมิใช่หรือ?”“ใต้เท้า ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ
สิ่งปลูกสร้างที่ดีที่สุดในเมืองกลับเป็นราชนิเวศน์ที่ฮ่องเต้จ้าวพำนักก่อนหน้านี้ ราชนิเวศน์นั้นยังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาหลังจากที่แคว้นจ้าวยึดครองเมืองเฟิ่งหวงอีกด้วยก่อนหน้านี้เฉินฝานรู้สึกว่าการได้เป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายนั้นเก่งกาจมากแล้ว มีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่เสิ่นหมิงหยวนก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้ตามใจชอบตอนนี้เขาถึงค่อยรู้สึกว่ายิ่งมีอำนาจบนตัวมาก ภาระบนบ่าก็ยิ่งหนักมากต้าชิ่งยังคงยากจนข้นแค้นมากเมื่อเห็นเฉินฝานอารมณ์หดหู่มากถึงเพียงนั้น อ๋องตวนก็ไม่กล้าลากเขาไปดื่มเหล้าทายตัวเลขแล้ว เขาอยู่ทางด้านข้าง แม้แต่เสียงดื่มเหล้าก็ยังเบามาก“เฮ้อ นี่มันปัญหาใหญ่จริง ๆ!”อ๋องตวนที่ดื่มจนเมากรึ่มแล้ววางไหเหล้าลงข้าง ๆ พิงกำแพงเมืองอย่างเอียงเอน“เสี่ยวฝาน เจ้าคิดว่าโจรพวกนี้ยังควรจะปราบหรือไม่?”“โจรย่อมต้องถูกปราบอยู่แล้ว!” เฉินฝานเอ่ยอย่างหนักแน่น“แล้วบุตรชายของเหอจื้อเฟยจะจัดการอย่างไร? เขาถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เป็นหัวหน้าโจรที่ดื้อรั้นเสียแล้ว”“เหอจื้อเฟยฆ่าบุตรชายกับมือไปแล้วหนึ่งคน หากสังหารอีกคน ดูเหมือนว่า...”อ๋องตวนยกไหเหล้าจากทางด้านข้างขึ้นมากรอกอีกคำแล้วค่อ
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเหอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง“ความเมตตาของสวรรค์ก็ไม่อาจทนต่อความโหดร้ายในโลกนี้ได้ ตอนที่ลูกชายของข้าออกไปปราบโจรครั้งที่ห้า โจรพวกนั้นฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเมือง และเอาหลานชายฝาแฝดที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานของข้า...”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเหอก็สะอื้นไม่หยุด ริมฝีปากอ้าอยู่หลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก“หลานชายฝาแฝดของเจ้าถูกโจรพวกนั้นฆ่าไปแล้วหรือ?”อ๋องตวนถามขึ้น ความจริงไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าตอบ อ๋องตวนก็นึกคำตอบได้แล้ว เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วส่งเสียงดังกร๊อบ“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องสังหารหัวหน้าโจรเหล่านั้นให้หมดอย่างแน่นอน!”“ท่านอ๋อง!”ฮูหยินผู้เฒ่าเหอคุกเข่าลงอีกครั้ง “ทหารแคว้นจ้าวถูกขับไล่ไปแล้ว ขอร้องท่านกลับไปยังเมืองหลวงเสียเถิด”“หญิงชราผู้นี้เป็นอะไรไป?” อ๋องตวนโกรธจัดจนเต้นเร่า ๆ แล้ว“พวกเจ้าบอกว่าโจรส่วนมากล้วนเป็นลูกชายของชาวบ้านเหล่านี้ ข้าจะไม่ฆ่าโจรทั่วไป จะฆ่าแค่หัวหน้าของพวกมันก็ไม่ได้หรือ?”“ท่านอ๋อง!” เฉินฝานดึงอ๋องตวนไว้"ผู้อาวุโส" เฉินฝานก้มตัวประคองนางเหอให้ลุกขึ้นมา“โจรให้หลานชายฝาแฝดของพวกท่านเป็นหัวหน้าแล้วใช่
“พวกสตรีชั่วช้าอยากจะฆ่าอัครเสนาบดีก็เหมือนก่อกบฏอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้ายังจะขอร้องแทนพวกนางอีกหรือ?”อ๋องตวนเตะเหอจื้อเฟยด้วยความเดือดดาลเหอจื้อเฟยคลานขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานต่อเพื่อขอร้องแทนสตรีเหล่านั้น “พวกนางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ลูกชายของพวกนางล้วนอยู่ในกำมือของโจรพวกนั้น หลายคนถูกจับตัวไปตั้งแต่ที่ยังเด็กมาก ๆ พวกเขากลายเป็นโจรก็เพราะถูกบีบบังคับ”“เพราะว่าหากพวกเขาไม่ยอมเข้าร่วมฝึกฝนกลายเป็นโจร หัวหน้าโจรเหล่านั้นก็จะสังหารมารดาของพวกเขาแทน”เหอจื้อเฟยเอ่ยคำพูดสองประโยคนี้ก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นทั่วบริเวณแม้ว่าเฉินฝานจะคาดเดาคำตอบได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินเองกับหูถึงสิ่งที่เหอจื้อเฟยพูดออกมา เขาก็ยังรู้สึกสะเทือนใจมาก แม่กลัวลูกต้องตาย จึงห้ามไม่ให้ทางการส่งทหารออกไปปราบโจรลูกกลัวแม่ต้องตาย จึงฝึกฝนสุดชีวิตเพื่อเป็นโจรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต้องยอมรับว่าหัวหน้าโจรพวกนั้นเฉลียวฉลาดมาก“นั่นเป็นเพราะเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่!” อ๋องตวนเตะเหอจื้อเฟยอีกครั้ง “หากเจ้าส่งคนไปกำจัดโจรพวกนี้ตั้งแต่แรก จะมีผลที่ตามมาเยอะถึงเพียงนี้หรือ?”ทันทีที่อ๋องตวนพูดจบก็มีสตรีผู้หนึ่งออก
“เมื่อครู่ข้าได้ยินชัดเจนว่าเจ้าแค่สั่งให้เหอจื้อเฟยไปปราบโจรเท่านั้น เหตุใดถึงไปทำร้ายลูกของพวกเขา...”อ๋องตวนพลันหยุดชะงัก“โจร?!” อ๋องตวนร้องอุทานขึ้นมา “หรือว่าโจรพวกนั้นก็คือลูกชายของพวกนาง?”“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วน” เฉินฝานพยักหน้าเช่นกัน“พวกเขาไม่ใช่โจรร้าย ขุนนางใหญ่สูงส่งอย่างพวกท่านจะไปเข้าใจอะไร?” บทสนทนาระหว่างอ๋องตวนกับเฉินฝานทำให้สตรีเหล่านั้นอารมณ์ร้อนมาก แต่ละคนเหมือนกับไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่ปาน ผลักดันเบียดเสียดกันห้อมล้อมนักการในศาลาว่าการข้างกายเฉินฝานกับอ๋องตวนไว้ เมื่อเห็นว่าผลักไม่ได้แล้ว ก็ใช้มีดหั่นผักในมือฟันใส่ทันที“เพล้ง!”อ๋องตวนโยนไหเหล้าในมือลงกับพื้น“พวกสตรีชั่วช้า พอพยัคฆ์ไม่แสดงบารมี พวกเจ้าก็เห็นว่าเป็นแมวป่วยใช่หรือไม่?” พวกนางคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยหรืออย่างไร? ถ้าเสือไม่คำราม พวกเจ้าไม่เห็นรัศมีหรืออย่างไร?”อ๋องตวนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เตะสตรีหลายคนจนกระเด็นไปทันทีอย่างไรก็ตามแม้สตรีหลายคนจะถูกถีบกระเด็น แต่ก็ไม่เกิดผลให้หวาดกลัวใด ๆ เลย สตรีเหล่านั้นกลับฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น ปากตะโกนว่าจะให้พวกเฉินฝานตายไปพร้อมกั
หญิงชราวัยประมาณหกสิบปีผู้หนึ่งขวางหน้าเหอจื้อเฟยไว้“ท่านแม่ ลูกต้องไปทำงาน ท่านอย่าขัดขวางลูกเลย” เหอจื้อเฟยเอ่ยด้วยความเจ็บปวดใจคนที่ยืนขวางเหอจื้อเฟยไม่ให้เหอจื้อเฟยไปทำร้ายโจร ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมารดาของเขาเองนางเหอเหลือบมองดาบในมือของเหอจื้อเฟยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “งานของเจ้าอยู่ในที่ว่าการไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นขุนนาง ไม่อยู่ในที่ว่าการ ถือดาบวิ่งออกมา นี่จะไปทำสิ่งใด? เจ้าเป็นเพชฌฆาตหรือไร? เจ้าเป็นคนฆ่าสัตว์หรือไร?”“ท่านแม่ ลูกมีงานราชการเร่งด่วนจริง ๆ ใครก็ได้!”เหอจื้อเฟยพูดพลางหันหน้าไปสั่งนักการในศาลาว่าการที่อยู่ข้างหลังเสียงดัง “พาฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวน!” “ใครกล้าแตะต้องข้า!”นางเหอหยิบกรรไกรออกมาทันที แล้วชี้ไปยังนักการในศาลาว่าการที่เดินมาหานางหลังจากที่นักการในศาลาว่าการหยุดเดินไม่กล้าเดินข้างหน้า นางเหอก็ใช้กรรไกรจ่อคอตัวเองทันที“เหอจื้อเฟย เจ้าอย่าคิดว่าแม่แก่แล้วหูตาฟ้าฟาง ไม่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ใด หากเจ้าไปสังหารโจรก็สังหารแม่ก่อน หลังจากนั้นค่อยข้ามศพของแม่ไป”“ท่านแม่ นี่ท่านทำอะไร?” ใบหน้าของเหอจื้อเฟยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอับจนปัญญาอ๋องตวนถ
โจรเข้ามาในเมืองกันหมดแล้ว แต่เหอจื้อเฟยกลับทำเป็นไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเมื่อครู่สตรีวัยกลางคนยังบอกว่าเหอจื้อเฟยเป็นขุนนางที่ดี หรือว่าจะไม่กล้าพูดความจริงเฉินฝานบอกลาครอบครัวของสตรีวัยกลางคน แล้วรีบรุดไปยังที่ว่าการเมืองเฟิ่งหวงด้านนอกศาลาว่าการ เฉินฝานยังจงใจมองรอบหนึ่ง มีชายหลายคนเดินป้วนเปี้ยนอยู่ด้านนอกศาลาว่าการจริง ๆ ดวงตาชำเลืองมองศาลาว่าการของเมืองเฟิ่งหวงเป็นครั้งคราวสายตาของชายเหล่านั้นดูอำมหิตดุดัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาพวกเขาน่าจะเป็นโจรที่สตรีวัยกลางคนพูดถึงโจรป่าคอยนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูที่ว่าการช่างอุกอาจนัก!เฉินฝานสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปในที่ว่าการ“ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย!”เมื่อเห็นเฉินฝาน เหอจื้อเฟยก็วิ่งเข้ามาหาทันทีเฉินฝานเองก็ก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าไปหาเช่นกัน เมื่ออยู่ห่างจากเหอจื้อเฟยไม่ถึงห้าเมตร...“เคร้ง!”เฉินฝานชักดาบคู่กายของนักการในศาลาว่าการคนหนึ่งออกมาอย่างฉับไว“ตะ ใต้...”ขณะที่นักการในศาลาว่าการพูดติดอ่าง เฉินฟานก็ถือดาบชี้ไปที่เหอจื้อเฟยแล้วเหอจื้อเฟยมองเฉินฟานอย่างตกตะลึง สุดท้ายก็คุกเข่าลงอย่างเงียบงัน