“เขามิได้เก่งกาจธรรมดา แต่เก่งกาจอย่างมาก ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เผชิญหน้าโดยมิลนลาน มิเพียงแต่ถอนพิษให้คนที่ติดพิษทั้งหมดได้ และยังสามารถแยกแยะหมอและคนติดพิษตัวจริงได้อีกด้วย”“ขอบคุณใต้เท้าที่กรุณาช่วยชีวิต ใต้เท้าเป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของเถี่ยหนิว ความเมตตาของท่าน เถี่ยหนิวจะมิวันลืมเลือน!” จางเถี่ยหนิวนำภรรยาและเหล่าลูกชายลูกสาวมาคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานคนติดพิษคนอื่นเห็นเช่นนี้ ก็พากันพาคนในครอบครัวมาคุกเข่าขอบคุณเฉินฝานทันใดนั้น เสียงร้องไห้ซาบซึ้งด้วยความดีใจก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งศูนย์บรรเทาทุกข์เฉินฝานช่วยเหลือเหล่าคนติดพิษแล้ว สังหารตัวปลอมที่แฝงตัวเข้ามาด้วยเจตนาร้าย เสิ่นหมิงหยวนก็เปิดศึกสังหารโดยไร้เหตุผลมิได้แล้วตอนนี้เสิ่นหมิงหยวนมิเพียงมิสามารถเปิดศึกโดยไร้เหตุผลแล้ว ยังต้องคิดหาวิธีแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่เกี่ยวข้องกับคนที่ปลอมตัวเข้ามาอีกด้วย“เหนือจิตนาการไปแล้ว ช่างเหนือจิตนาการยิ่งนัก!”เมื่อได้ยินว่าเฉินฝานถูกปิดล้อมอยู่ที่ศูนย์บรรเทาทุกข์ ไป่เผยหรานที่รีบร้อนพากองกำลังมา ตื้นตันใจสุดขีดหนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ยังตกอยู่ในสถานการณ์ถูกปิดล้อมอยู่เลย แ
“ดอกพลับพลึงแมงมุมกระตุ้นให้อาเจียน แกงถั่วเขียวถอนพิษ นมวัวบำรุงกระเพาะ ท่านหมอหลี่ซิ่นเริ่นบอกมาเช่นนี้”หมอหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง“เจ้าหนุ่มสมองกลวงช่างหลอกลวงเก่งยิ่งนัก” มีคนเขกหัวหมอหนุ่ม “ดอกพลับพลึงแมงมุมกระตุ้นให้อาเจียน แกงถั่วเขียวถอนพิษ นมวัวบำรุงกระเพาะงั้นรึ? ง่ายดายปานนั้นก็สามารถถอนพิษหญ้าไส้ขาดแล้ว พิษหญ้าไส้ขาดน่าหวาดกลัวปานนั้น น่าหวาดกลัวถึงขั้นที่ว่าหมอหลวงในวังยังหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว?”“ถูกต้อง จะต้องมิง่ายดายแบบนั้นแน่นอน ดอกพลับพลึงแมงมุม แกงถั่วเขียว นมวัว สิ่งเหล่านั้นล้วนนำมาใช้เพื่ออำพรางความจริง ด้านในจะต้องมีเครื่องปรุงยาล้ำค่าอันใดซ่อนอยู่เป็นแน่”ห่างออกไปมิไกลนักพิษหญ้าไส้ขาดถูกถอนแล้ว ศิลปะการแปลงโฉมถูกเปิดโปงแล้ว ไป่ชงซานที่จิตใจห่อเหี่ยวได้ยินคำพูดนี้ ก็มีกำลังวังชาขึ้นมาทันทีถูกต้องแล้ว จะต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน มิเช่นนั้นจะถอนพิษหญ้าไส้ขาดในหุบเขาร้อยบุปผาของเขาได้ง่ายดายปานนั้นได้อย่างไรเสิ่นหมิงหยวนสีหน้าถมึงทึงเหลือบมองไป่ชงซานเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้าไปจ้องเขม็งใช้สายตาถามหลี่ชิ่งหลี่ชิ่งรีบกล่าวอย่างลนลาน “ใต้เท้า ตอนที
เขากล่าวว่า แพทย์แผนจีนยิ่งใหญ่ ทว่าเพราะความคิดแล้งน้ำใจเช่นนี้ของเหล่าหมอทั้งหลาย ทำให้ใบสั่งยาแพทย์แผนจีนที่ยิ่งใหญ่มากมายมิได้ถูกส่งต่อ เมื่อถึงยุคปัจจุบัน แพทย์แผนจีนก็ถูกแพทย์แผนตะวันตกบดขยี้อย่างไร้ความปรานีหากหมอคนหนึ่งอยากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ จำเป็นต้องสลัดความคิดใจแคบเช่นนี้ออกไป ต้องแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ระดมความคิดเพื่อปรับปรุงใบสั่งยาให้ดียิ่งๆขึ้นไปหลี่ซิ่นเริ่นมิเข้าใจคำพูดของเฉินฝานมากนัก เพราะเขาล้วนรู้สึกมิคุ้นชินกับคำว่ายุคปัจจุบันหรือคำว่าแพทย์แผนตะวันตกมากนักทว่าสีหน้าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวของเฉินฝาน และประโยคด้านหลังที่ทำให้ประทับใจอย่างสุดซึ้งหากหมอทุกคนสามารถแบ่งปันใบสั่งยาของตนเองออกสู่สาธารณะ เช่นนั้นบนโลกหล้านี้คงจะมีคนป่วยรอดชีวิตเพิ่มขึ้นได้ด้วยเหตุนี้มิน้อย“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าก็ยังคงมิเชื่ออยู่ดี มานี่สิ!” หลี่ซิ่นเริ่นยกมือขึ้นชี้ไปทางศูนย์บรรเทาทุกข์ “ตามข้าไปที่ศูนย์บรรเทาทุกข์ คนติดพิษคนใหม่เข้ามาจำนวนมาก พวกเขาต้องการทุกท่าน”แม้หมอส่วนใหญ่ยังคงรู้สึกสงสัย ทว่าก็ตามหลี่ซิ่นเริ่นเข้าไปในศูนย์บรรเทาทุกข์อยู่ดีเฉินฝานมองดูอยู่ด้านข้างลอบชื่นชมอย
“ก็ถือว่าเป็นลูกผู้ชายตัวจริง” เฉินฝานกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งเขาหันหน้าไปออกคำสั่งกับไป่เผยหราน “ช่างเถอะ มิต้องทำให้เขาลำบากใจแล้ว”“ขอรับ ใต้เท้า” ไป่เผยหรานทำตามคำสั่งทันทีไป่เผยหรานส่งหลี่ซิ่นเริ่นตัวปลอมไปรักษาแผล หลังจากนั้นก็ให้เขากินดีอยู่ดีในคุก มิทรมานเขาอีกจริง ๆตอนแรกหลี่ซิ่นเริ่นตัวปลอมมิเชื่อว่าไป่เผยหรานจะปล่อยเขาไปจริงๆ จนกระทั่งหิวโหยมาสามวันสามคืนจนทนมิได้ต้องกินอาหาร ไป่เผยหรานก็ยังมิได้ทำให้เขาลำบากใจ เขาจึงปักใจเชื่อ“ต่อให้พวกเจ้าใช้วิธีนี้ ข้าก็จะมิพูดอันใดอยู่ดี!”ตอนที่ไป่เผยหรานมาส่งอาหารอีกรอบ หลี่ซิ่นเริ่นตัวปลอมเขียนข้อความใส่กระดาษมาเช่นนี้หลังจากที่วางกล่องอาหารลงแล้วไป่เผยหรานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดอย่างมิใส่ใจนัก “ข้ารู้ ดังนั้นก็มิได้คาดหวังให้เจ้าพูดอันใดออกมาอยู่แล้ว”“ในเมื่อรู้เช่นนี้ ไฉนยังต้องมาส่งอาหารให้ข้า?” หลี่ซิ่นเริ่นตัวปลอมเขียนอย่างลวกๆอีกหนึ่งประโยค มือที่กำหญ้าฟางไว้ ถูกไฟเผาทำให้ตุ่มหนองผุดขึ้นจำนวนมาก จะต้องเจ็บปวดอย่างมากเป็นแน่ ทว่าเขากลับมิได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแม้แต่น้อยผ่านไปครู่ใหญ่ ไป่เผยหรานจึงละสายตาจา
สายตาของหงอิงมองไปมือของฉินเย่ว์เหมย “ตอนนี้ฝ่าบาทสามารถอ่านสาสน์กราบทูลกลับหัวได้แล้ว”“...ข้า ข้า...” ฉินเย่ว์เหมยรีบกลับด้านสาสน์กราบทูลกลับอย่างลนลาน หันหน้าไปทางอื่นด้วยความประหม่า“เป็นเพราะเจ้าทำให้ข้าตกใจต่างหาก” เห็นได้ชัดว่าฉินเย่ว์เหมยหาข้ออ้างส่งเดช“เรื่องนั้นข้าน้อยมิได้เป็นคนทำเสียหน่อย” หงอิงหน้าแดงก่ำ กลั้นขำอย่างยากลำบากฉินเย่ว์เหมยจ้องหงอิงอย่างโหดเหี้ยม“อยากจะหัวเราะเจ้าก็หัวเราะออกมาเถอะ ข้าเห็นหน้าแดงเป็นลูกตำลึงของเจ้าคงทรมานน่าดู”“ฝ่าบาท ท่านอยากไปดูใต้เท้าเฉินก็ไปดูสิ มิต้องเอาความโมโหมาลงที่ข้าน้อย”น้อยครั้งที่หงอิงจะต่อปากต่อคำ จู่ ๆ ก็ใจกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉินฝาน ขอเพียงแค่เกี่ยวกับเฉินฝาน หงอิงก็จะกล้าพูดเสมอ และแม้ฉินเย่ว์เหมยจะบอกว่ามิยอมยกโทษให้ง่ายๆมาโดยตลอด แต่พอเอาเข้าจริงแล้วนางก็มิได้ทำอันใด“เขาจะหลับดีหรือไม่ ใครอยากจะไปดูเขากัน”ฉินเย่ว์เหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ทว่านางมิทางรู้ได้ว่าท่าทีตอนนี้ของนางเหมือนกับสาวน้อยที่กำลังหาเรื่องชวนทะเลาะกับแฟนหนุ่มของตัวเอง“หากฝ่าบาทมิไป ข้าน้อยจะไปเอง”กล่าวจบ
“......”ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งจะรู้ตัวว่า ตอนนี้ตัวเองจะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังมิขึ้นแล้วฉินเย่ว์เหมยถลึงตามองเฉินฝานที่กำลังหลับอย่างสบายใจเฉิบอย่างโหดเหี้ยมล้วนเป็นเพราะตาทึ่มคนนี้แท้ๆโมโหก็ส่วนโมโห เสียเปรียบก็ส่วนเสียเปรียบ อายก็ส่วนอาย ฉินเย่ว์เหมยยังตัดใจปลุกเฉินฝานมิลงมิเพียงแต่มิปลุกให้ตื่นเท่านั้น และยังมิลุกจากไปไหนอีกด้วย เพราะตอนนี้เฉินฝานกำลังนอนหนุนตักของนางอยู่ หากนางลุกขึ้นยืนเฉินฝานจะต้องตื่นเป็นแน่ต่อให้เป็นโอรสสวรรค์ของต้าชิ่ง ต่อให้เวลาปกติต้องทำท่าทีเย่อหยิ่งเย็นชาอยู่ตลอด ทว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเปลือกนอกของฉินเย่ว์เหมย ที่จริงแล้วนางเป็นเพียงแค่หญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆที่ยังมิได้ออกเรือนเท่านั้นมีชายคนหนึ่งมานอนหลับบนตัก จึงเป็นเรื่องยากที่นางจะทำจิตใจให้สงบได้ระหว่างนี้หากมิใช่ใบหน้าขึ้นสีก็หัวใจเต้นมิเป็นจังหวะ-เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ นี่เป็นการนอนที่สบายใจและเคลิบเคลิ้มที่สุดครั้งหนึ่งของเฉินฝานเฉินฝานรู้สึกว่าหมอนใบนี้ช่างนุ่มนวล กลิ่นหอมและยังอบอุ่นอีกด้วยบนโลกหล้านี้จะมีหมอนที่หอมและนุ่มนิ่มปานนั้นได้อย่างไร ทำให้เขาติดใจมิอยากวางลง ยิ่งกอดรัดแ
เฉินฝานมิขอโทษมิยอมรับผิดยังจะดีเสียกว่า เมื่อเขาปริปากพูดเช่นนี้ ทำให้ฉินเย่ว์เหมยยากที่จะทำใจให้สงบได้ จึงเริ่มทำตัวลนลานอีกครั้งปลายจมูกขึ้นสีอีกครั้ง แสงตกกระทบทำให้สีแดงบนใบหน้าเปล่งประกายชวนให้คนหลงไหล“ขุนนางเฉินที่รัก เจ้ารายงานเรียบแล้วก็กลับไปเถอะ”แม้ฉินเย่ว์เหมยจะคงรักษาความเยือกเย็นในน้ำเสียงไว้ได้ ทว่ากลับมิกล้ามองเฉินฝาน นางรีบไปนั่งที่โต๊ะทำงานหยิบสาสน์กราบทูลขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ทำท่าทีว่ายุ่งมากเฉินฝานลูบจมูกเล็กน้อย เดินมาด้านหน้าฉินเย่ว์เหมย ลังเลไปครู่หนึ่งจึงพูดเสียงนุ่มนวลออกมา “ฝ่าบาท ท่านถือสาสน์กราบทูลกลับด้าน”มือที่ฉินเย่ว์เหมยถือสาสน์กราบทูลสั่นเทาเล็กน้อย“ข้าชอบอ่านสาสน์กราบทูลเช่นนี้”“......” ช่างเป็นสาวน้อยที่ปากแข็งยิ่งนัก ต่อให้จิตใจว้าวุ่น หรือเขินอาย ให้ตายก็มิยอมรับอยู่ดีช่างเถอะ เรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายทำผิดก่อน อย่าทำให้นางลำบากใจเลย“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน”“อืม” ฉินเย่ว์เหมยจานรับเบา ๆ ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่“ฝ่าบาท เสื้อซับในของท่านช่างพิเศษยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าด้านบนปักเป็ดแมนดารินคู่หนึ่งไว้ งดงามมาก การปักช่างประณีต” ตอนที่เดิน
ตอนที่จวนจะเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้ว เฉินฝานพบว่าตัวของเขามีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเขาหันหน้ากลับไปมองห้องบรรทมของฉินเย่ว์เหมย ยกยิ้มขึ้นทันที กลิ่นตัวเขาแรงปานนั้น ฉินเย่ว์เหมยยังมิรังเกียจให้เขานอนบนเตียงยังจะพูดว่ามิมีทางชอบเขาอีก ช่างเป็นสาวน้อยที่ปากแข็งยิ่งนัก!“หลี่เต๋อฉวน!”เฉินฝานตะโกนไปทางห้องของฉินเย่ว์เหมย“เสิ่นหมิงหยวนยังมีที่พักอาศัย แต่ข้าที่เป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายกลับมิมีงั้นรึ?”เฉินฝานพูดยังมิทันจบดี หลี่เต๋อฉวนก็วิ่งออกมาจากห้องฉินเย่ว์เหมย หลี่เต๋อฉวนทั้งอ้วนและเตี้ย เมื่อออกวิ่งก็เหมือนก้อนเนื้อกลมๆก้อนหนึ่ง ท่าทางน่าขันยิ่งนัก“โถ่ ๆ ใต้เท้า ท่านจะประหารข้าน้อยงั้นรึ ท่านจะมิมีที่พักได้อย่างไร ห้องของท่านข้าน้อยได้ตระเตรียมไว้ให้นานแล้วขอรับ”หลี่เต๋อฉวนวิ่งไปพลางส่งสายตาให้ขันทีน้อยข้างกายไปพลาง ขันทีที่รับทราบสัญญาณรีบวิ่งออกไปทันที“โถ่ ๆ ใต้เท้า ท่านร่างกายกำยำบึกบึน ร่างกายไร้ประโยชน์ของข้ามิมีทางเทียบได้ ใต้เท้า ท่านโปรดรอข้าน้อยประเดี๋ยวหนึ่งเถิด” หลี่เต๋อฉวนวิ่งตามหลังเฉินฝาน พูดอย่างกระหืดกระหอบ“หัวหน้าหลี่ ร่างเจ้าเนื้อของเจ้า ขาวๆนุ่มนิ่ม มองแ
ยังมิทันถึงเวลาเข้าท้องพระโรงยามเช้าในวันถัดมา วังหลวงก็ส่งคนมาเรียกตัวเฉินฝานเข้าไปแม้ว่าจะนำเหล่าบุรุษมารวมตัวกันแล้ว แม้ว่าจะมีการคุ้มครองของเหล่าทหาร นักฆ่าหญิงเหล่านั้นก็ยังสามารถลงมือได้อยู่ดีเมื่อคืนมีจุดรวมพลแห่งหนึ่งในเมืองเซียนตูที่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด มีชายสิบห้าคนที่ถูกสังหารและทั้งหมดล้วนเป็นทหารคุ้มกันโชคดีที่มือปืนอยู่ มิเช่นนั้นคงจะทหารถูกสังหารไปมากกว่านี้สังหารเพียงทหาร มิสังหารชายธรรมดา นี่เป็นการยั่วยุราชสำนักอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่คำกล่าวรายงานจบ ฉินเย่ว์เหมยโมโหเดือดดาลทันที“ทหารของพวกเราต้าชิ่งเป็นพวกไร้น้ำยากันหมดหรือกระไร ถึงปล่อยให้สตรีสังหารได้อย่างง่ายดายปานนั้น?”เลขาธิการกรมกลาโหมฟางซินฮุ่ยเหงื่อท่วมทั้งตัว มิกล้าหายใจดัง“ทำไมล่ะ ข้ามิเรียกชื่อ ก็แกล้งเป็นใบ้ไปแล้วหรือกระไร?” สายตาเดือดดาลเย็นยะเยือกของฉินเย่ว์เหมยจ้องปีที่ฟางซินฮุ่ย“ฝ่าบาท!” ฟางซินฮุ่ยคุกเข่าด้วยความรีบร้อน “กระหม่อมส่งหัวหน้าแม่ทัพไปตรวจสอบกองกำลังแต่ละเมืองทุกเดือน ให้กองกำลังแต่ละที่เพิ่มความเข้มงวดในการฝึกซ้อม กระหม่อมไปตระเวนตรวจทั่วแคว้นเดือนเว้นเดือน นายกองทุกเ
“นายท่าน ท่านนี่จริง ๆ เลย ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ควรให้น้องหวั่นเอ๋อร์กลับบ้านมาเสียก่อนสิ”ฉินเย่ว์โหรวเริ่มต่อว่าเฉินฝานเหมือนแต่ก่อนอีกแล้วทว่า แม้กำลังต่อว่าอยู่ ท่าทีของฉินเย่ว์โหรวก็ยังคงสง่างามดังเดิม นี่ก็เป็นสาเหตุที่เฉินฝานวางใจมอบอำนาจให้นางจัดการเรื่องในบ้าน“พี่ผิดไปแล้ว ต่อจากนี้จะมิทำแล้ว”เฉินฝานรีบยอมรับผิด ฉินเย่ว์โหรวก็มิได้ซักไซ้อีก“นายท่าน เหน็ดเหนื่อยจากด้านนอกมามากแล้ว กลับเข้ามาพักผ่อนก่อนเถอะ”เฉินฝานตามฉินเย่ว์โหรวไปที่โถงหลัก เพิ่งจะนั่งได้มินาน เขาก็พบว่าในครอบครัวมีเด็กทารกเพิ่มมาอีกสองคนเด็กทารกสองคนนี้ดูแล้วคงจะมีอายุประมาณห้าหกเดือนเด็กทารกคนหนึ่งคงจะเป็นของคนใดคนหนึ่งระหว่างท่านหญิงสองคนนั้น เฉินฝานมิได้รู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนที่เขาออกจากเมืองหลวง ก็มีท่านหญิงคนหนึ่งที่ตั้งครรภ์ได้สองสามเดือนแล้วอีกคนหนึ่ง...“เหอเสียนเฟยงั้นรึ?”การปรากฏตัวของเหอวอวี่ถง ทำให้เฉินฝานตื่นตกใจอย่างมาก ทว่าหลังจากที่ฉินเย่ว์โหรวอธิบายแล้วเฉินฝานก็เข้าใจได้ในทันทีฉินเย่ว์เหมยขึ้นเป็นจักรพรรดินีแล้ว วังหลังต้องถูกยุบอย่างแน่นอนโชคดีที่ตอนเหออว
หลังจากที่ออกจากวังมาแล้ว เฉินฝานก็รีบมุ่งหน้ากลับบ้านทันทีเฉินฝานออกจากบ้านในเมืองหลวงไปแคว้นเหลียง ต่อมาไปช่วยโอวหยางน่าหลันจัดการเหตุไฟไหม้ทำให้แผ่นดินกลับมาเป็นปึกแผ่น จากนั้นก็ไปแก้ไขวิกฤตประหารพ่อลูกตระกูลเสิ่นที่เมืองลู่ตู ท้ายที่สุดคือไปสำรวจทั่วต้าชิ่งเป็นเพื่อนหวงหวั่นเอ๋อร์การออกจากบ้านครั้งนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเขารีบกลับบ้านด้วยความคิดถึงใจจะขาดเขากลับเมืองหลวงมาแล้วก็ให้เลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน และแม่ทัพใหญ่ผู้คุ้มกันแคว้นเหอจื่อหลินที่ตำแหน่งเป็นรองเพ่ยจี้เท่านั้นเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมกับเขา ขบวนทัพค่อนข้างยิ่งใหญ่ ดังนั้นคงจะทราบเรื่องที่เขากลับมามืองหลวงโดยทั่วกันแล้วหลังจากที่ออกจากประตูวังมาแล้ว เจอราษฎรที่อยู่ตามท้องถนนจำนวนมากเห็นสายตาของราษฎรทั้งสองฝั่งถนนที่มองตนเองด้วยความแค้นเคือง และสีหน้าลักษณะหน้าชื่นอกตรม เฉินฝานก็เข้าใจได้ทันทีว่ายังมีคำเล่าลือที่มิดีของราษฎรเหล่านั้นเกี่ยวกับเขาอีกมากมายที่ไป่เผยหรานมิยอมบอกจวนพำนักของเฉินฝานอยู่ห่างจากวังหลวงมิไกลนัก เดินข้ามถนนสามสายก็ถึงแล้วระหว่างทางกลับ คนที่ต้อนรับเฉินฝานอย่างแท้จริงก็เพียงแค่เห
“เฮ้อ!”ฉินเย่ว์เหมยถอนหายใจออกมา “ข้าก็มิได้อยากกระวนกระวายใจหรอก หลังจากที่รู้ว่าเย่ว์ฉินอยู่ที่ตำหนักเซียวเหยาแล้ว ข้าก็พยายามให้คนป่าวประกาศชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้ากับน้องสาวสามคนอย่างสุดความสามารถ และปล่อยข่าวไปอีกว่า ขอเพียงตำหนักเซียวเหยาปล่อยวางความแค้นที่มีต่อบุรุษได้ จะมิเอาผิดเรื่องที่เคยทำก่อนหน้านี้ เพื่อรอให้เย่ว์ฉินหนีเอาตัวรอดออกมาจากตำหนักเซียวเหยา ทว่ารอมาเนิ่นนานแล้ว ก็ยังมิเห็นวี่แววของนางอยู่ดี”เฉินฝานพูดด้วยสีหน้าเหยเก “นางอาจจะมิอยากปักใจเชื่อ อย่างไรเสียเมื่อก่อนกระหม่อมเป็นคนสารเลวปานนั้น ข่าวลือที่ฝ่าบาทปล่อยออกไป นางอาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททำให้นางหลงกล ล่อให้นางออกมา จากนั้นก็จะถอนรากถอนโคนตำหนักเซียวเหยาให้สิ้นซาก”ฉินเย่ว์เหมยส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้ายังมิได้ครองตำแหน่งปกครองโดยสมบูรณ์ นางจะมิเชื่อข้าก็เข้าใจได้ ทว่าตอนนี้ข้าเป็นจักพรรดินีเต็มตัวแล้ว เย่ว์เจียวเย่ว์โหรวเย่ว์ฉู่น้องสาวทั้งสามคนล้วนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นองค์หยิง คำสั่งที่เลื่อนขั้นน้องสาวเป็นองค์หญิง ข้าก็ป่าวประกาศไปทั่วแคว้น เป็นไปมิได้ที่เย่ว์ฉินจะมิรู้ ขอเพียงนางกลับมา ข้าจะมอบตำแห
“ลงโทษเจ้างั้นรึ เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นงั้นรึ?”“อะไรนะขอรับ?” เฉินฝานที่ถูกถามรู้สึกงงงวยทันที “ฝ่าบาทท่านเป็นคนแบบใดขอรับ?”“อุ๊บ!”ไป่เผยหรานและเหอจื่อหลินกลั้นขำไว้ได้ ทว่าหงอิงกลับกลั้นขำไว้มิอยู่“ฝ่าบาท วันนี้ข้าน้อยกินกระเทียมมากเกินไป มักจะชอบผายลมออกมาเสมอ ข้าน้อยขอตัวไปรอด้านนอกนะเจ้าคะ”หงอิงรีบหาข้ออ้างหนีไปทันทีไป่เผยหรานและเหอจื่อหลินลอบอิจฉาหงอิงในใจสุดขีด พวกเขาก็อยากออกไปเช่นกัน ทว่าพวกเขาหาข้ออ้างมิได้ และมิกล้าหาข้ออ้างเช่นกัน เพราะเฉินฝานเป็นคนให้พวกเขาเข้ามาในวังฉินเย่ว์เหมยก็สังเกตได้ว่าตนเองขาดสติ จึงปรับอารมณ์ของตนเองเล็กน้อย “ขุนนางเฉินที่รักเพิ่งจะได้ภรรยาใหม่มินาน หยุดพักไปสองสามเดือนก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อครู่หลี่เต๋อฉวนมารายงานว่าพวกเจ้ามีเรื่องจะกราบทูลข้า”“พวกเจ้า จงจัดที่นั่ง!”ขันทีสองสามคนยกเก้าอี้สามตัวมาจากด้านนอก หลังจากที่วางไว้แล้วก็รีบออกไปทันทีเฉินฝาน: “ฝ่าบาท เรื่องที่กระหม่อมต้องการกราบทูลวันนี้ ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก”ฉินเย่ว์เหมยโบกมือไล่สาวใช้ขันทีในพระตำหนักออกไปทั้งหมดอย่างรู้ใจไป่เผยหรานเป็นเลขาธิการกรมยุติธ
ตอนที่รถม้าของเฉินฝานห่างจากประตูทางเข้าวังหลวงยี่สิบกว่าเมตร ไป่เผยหรานและเหอจื่อหลินก็รุดหน้าขึ้นต้อนรับทันที“ส่งคนไปกราบทูลฝ่าบาทแล้วใช่หรือไม่?”เฉินฝานลงรถม้าพลางกล่าวถามไป่เผยหรานและเหอจื่อหลินยังมิทันได้ตอบกลับคำพูดของเฉินฝาน ก็มีขันทีคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากด้านในวังหลวงด้วยความรีบร้อนหลังจากที่ขันทีคนนั้นคารวะเฉินฝานแล้วจึงรีบกล่าว “ใต้เท้าเฉิน ฝ่าบาทกำลังรอท่านอยู่ขอรับ”กล่าวจบ ขันทีจึงรีบนำทางให้เฉินฝานทันที-ณ พระตำหนักไท่เหอ“ฝ่าบาท ท่านอัครเสนาบดีขอเข้าพบขอรับ!”“รีบให้เขาเข้ามา !”ฉินเย่ว์เหมยที่กำลังอ่านสานส์กราบทูล โยนสานส์กราบทูลทิ้งไปรีบลุกขึ้นเดินไปต้อนรับทันทีหงอิงเดินขนาบข้างตามไปเงียบ ๆ นางพบว่าฉินเย่ว์เหมยแตกต่างไปอย่างเดิมอย่างมาก มิเพียงแต่สาวเท้าด้วยความรวดเร็วเท่านั้น สีหน้าก็มีความลิงโลดและกังวลเช่นกันเหมือนกับ...หงอิงเอียงศีรษะคิดใคร่ครวญเหมือนกับสามีออกเดินทางไกล ภรรยาที่รอคอยอยู่บ้านด้วยความระทมทุกข์อย่างยาวนาน ในที่สุดสามีก็กลับมาแล้วตอนที่หงอิงกำลังลอบขำฉินเย่ว์เหมย จู่ ๆ ฉินเย่ว์เหมยก็หยุดฝีเท้าเสียอย่างนั้นฉินเย่ว์เหมยรู้ตัวว่า
“ตำหนักเซียวเหยา คำเล่าขานที่กล่าวต่อกันมาล้วนเป็นสตรีของตำหนักเซียวเหยางั้นรึ?”“ถูกต้อง”“นายท่าน ท่านอยากให้ข้าไปค้นหาตำหนักเซียวเหยาใช่หรือไม่? ท่านพูดออกมาตรง ๆก็ได้ ไฉนต้องพูดถึงชายชราชาติชั่วผู้นั้นด้วย” หวงหวั่นเอ๋อร์พูดอย่างมิสบอารมณ์อย่างมาก ตั้งแต่ที่นางจำความได้ แม่มักจะก่นด่าพ่ออย่างรุนแรงเสมอ นางซึมซับเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก หวงหวั่นเอ๋อร์จึงเกลียดชังเจี้ยนหวงเป็นธรรมดาเฉินฝาน: “ตำหนักเซียวเหยาพิศวงคาดเดาได้ยาก มิมีที่อยู่ตายตัว หากเจ้าให้พ่อเจ้าช่วย โอกาสในการหาตำหนักเซียวเหยาเจอก็จะสูงขึ้น”“เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่าหากหาชายชราชาติชั่วผู้นั้นเจอก็ทำให้โอกาสหาตำหนักเซียวเหยาพบมีสูงขึ้น”มิรอให้เฉินฝานตอบกลับ หวงหวั่นเอ๋อร์ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้แล้ว นายท่าน ท่านรอฟังข่าวจากข้าแล้วกัน”รวมเรื่องราวที่เฉินฝานเพิ่งจะพูดว่าพ่อของตนเจ้าชู้จนเป็นนิสัยแล้ว หวงหวั่นเอ๋อร์ก็เข้าใจได้ในทันที พ่อของตนและสตรีในตำหนักเซียวเหยาจะต้องมีเรื่องชู้สาวกันอย่างแน่นอน เช่นนั้นเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าตอนนี้องค์หญิงของตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดพูดจบ หวงหวั่นเอ๋อร์ก็เปิดผ้าม่าน ทะยานตัวพุ่
ทว่าก็มิสมเหตุสมผลอย่างมากเคลื่อนไหวเอิกเกริกปานนั้น และสร้างข่าวลือส่งผลกระทบตำแหน่งปกครองฉินเย่ว์เหมย นางย่อมพยายามที่จะล้อมปราบอย่างสุดกำลังเป็นแน่ต่อให้เป็นกลุ่มที่ลึกลับเพียงใด ก็ต้องมีสถานที่ให้พำนัก มิว่าอย่างไรก็สามารถหาเจอได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลามากกว่าปกติเท่านั้นเฉินฝานคิดมาถึงตรงนี้ ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างต่อเนื่องวิธีการสู้สุดตัวเช่นนี้ ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก คงจะมิใช่กลุ่มที่เขาคิดไว้ในใจทว่า ก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกหากมิใช่กลุ่มนั้น ในต้าชิ่งจะมีกลุ่มใดที่สามารถมีนักฆ่าหญิงจำนวนมหาศาลปานนั้นได้อีกมีแคว้นอื่นเข้ามาเกี่ยวพันงั้นรึ?ฉวยโอกาสตอนที่ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งขึ้นปกครองได้มินาน อำนาจรากฐานยังมิมั่งคง แคว้นอื่นใช้ประโยชน์จากแนวคิดที่ต้าชิ่งให้ความสำคัญบุรุษด้อยค่าสตรีทำให้ต้าชิ่งตกอยู่ในความโกลาหลงั้นรึ?ตอนนี้ปัญหาชายน้อยหญิงเยอะยังมิทันได้รับการแก้ไข จักรพรรดินีเพิ่งขึ้นปกครองมินาน พิธีราชาภิเษกก็ยังมิได้จัดเสียด้วยซ้ำ มิว่าจะเป็นในราชสำนักหรือในกลุ่มราษฎร ล้วนมีชายจำนวนมากที่ยังมิยอมรับบัดนี้ ให้นักฆ่าหญิงไล่ล่าสังหารบุรุษจำนวนมหาศาล สามารถสร้างความโกลาหลภาย
กลุ่มนักฆ่าหญิงเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน พวกนางทุกคนล้วนมีวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ไล่ล่าสังหารบุรุษเพียงอย่างเดียวตั้งเมืองลู่ตูจนมาถึงเมืองหลวง “กลุ่มหนึ่งงั้นรึ?” เฉินฝานรู้สึกตกใจเล็กน้อย เดิมทีเขาหลงคิดไปมีเพียงสองสามคนที่ต่อสู้กับหวงหวั่นเอ๋อร์เท่านั้น “ใช่ขอรับ ใต้เท้า”“สามารถประมาณออกได้หรือไม่ว่ามีกี่คน?”“ใต้เท้า ข้าน้อยวิเคราะห์เบื้องต้นแล้วอาจจะมีประมาณหนึ่งร้อยถึงหนึ่งพันคนขอรับ”“เท่าใดนะ?” เฉินฝานมองไป่เผยหรานด้วยสายตามิสู้ดีอย่างมากระหว่างหนึ่งร้อยถึงหนึ่งพัน ระยะห่างตัวเลขสองจำนวนห่างปานนั้น นี่เรียกว่าประมาณการ? เรียกว่าการวิเคราะห์งั้นรึ?“ใต้เท้า!” ไป่เผยหรานรีบโค้งตัวก้มหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจและโทษตนเอง “เสื้อผ้าและท่าทางของนักฆ่าหญิงเหล่านั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก และมักเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ไร้หนทางที่จะนับจำนวนได้อย่างแม่นยำจริง ๆ ขอรับ”จำนวนหนึ่งร้อยถึงหนึ่งพัน เป็นจำนวนคนที่ลูกน้องเก่งกาจที่สุดภายใต้การบัญชากรมยุติธรรมของไป่เผยหราน วิเคราะห์ยาวนานมาหนึ่งเดือน จึงได้ตัวเลขนี้ออกมาอย่างยากลำบาก“ตกลงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่?”ตอนที่พูดอีกรอบ