“... อื้อ เดี๋ยว!”
“ข้าหลงใหลเจ้าเหลือเกิน เจ้าที่บริสุทธิ์งดงามถึงเพียงนี้ ข้าจักมิทำร้ายเจ้าดอก” สิ้นคำนั้น ร่างกำยำก็เบียดชิดริมฝีปาก โลมเล้ามธุรสด้วยการรุกรานกลีบปากบาง เขาแค่แตะเบาๆ พอให้ใจของมธุรสกระสันต้องการมากกว่านี้
สัมผัสอุ่นวาบจากริมฝีปากบุรุษเพศนั้นทำให้สาวเจ้าอ่อนเคลิ้มตาม มธุรสนั้นในชาติก่อนยังอ่อนต่อโลกกับเรื่องเพศ ในขณะที่สุวรรณราพณ์นั้นมีหลายเมียจนช่ำชอง สนมหลายๆ คนของเขาเป็นงานยิ่งกว่าเธอนัก
แต่สุวรรณราพณ์กลับไม่ขัดข้องหมองใจกับความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ผุดผ่องของแม่นกน้อยของเขาเลยแม้แต่เพียงนิด นั้นเพราะมันเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ
เธอที่มีเขาเป็นผู้ชายคนแรก กับร้อยกว่าปีที่เขารอคอย มันวิเศษสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ
“อื้ม... คุณ เดี๋ยว อะ” เสียงหวานกังวานราวกับนกที่ร้องเรียกตัวผู้ในยามเช้า เสียงหวานใสเสียจนอยากเย้าหยอก สุวรรณราพณ์กดเรียวลิ้นลงไปเมื่อเธอเผลออ้าปากเรียกชื่อเขา และทำตราประทับร่างกายเธอผ่านรสจูบอันดุเดือด
รสชาติจูบของเขาทำให้มธุรสคิดอะไรมิออก ในสมองของเธอขาวโพลน เป็นความฝันที่สมจริงเหลือเกิน สัมผัสได้ถึงน้ำลายและปลายลิ้นหยอกเย้าในปาก พร้อมกับมือใหญ่ที่ค่อยๆ ปลดสไบของเธอออกอย่างแนบเนียน
“ดะ... เดี๋ยวค่ะ” เธอผลักแผงอกกำยำนั่นออกเมื่อเขาตั้งท่าจะปลดเกาะอกด้านในออกด้วย มือเล็กสัมผัสกับความแข็งแกร่งราวกับกำแพงยักษ์ของเขา ทำให้มือถึงกับสั่น “ฉะ... ฉันยังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมกระไรหรือ ในเมื่อสีหน้าของเจ้าช่างยวนใจข้าถึงเพียงนี้” คนตัวเล็กใต้ร่างใหญ่หน้าแดงก่ำเมื่อถูกบุรุษที่ชำนาญการกว่าเธอเย้า เธอเม้มริมฝีปากแน่น เพราะถึงจะเป็นความฝัน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้จูบกับผู้ชาย (แถมเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วย)
มันรู้สึกดีซซะจนมิอยากหยุด แต่เธอก็เป็นกังวลกับอะไรหลายๆ อย่าง
“ยะ... อย่างน้อย” มธุรสเอ่ยเสียงแกว่งๆ
“...”
“อย่างน้อยก่อนทำ ก็สวมถุงยางอนามัยก่อนได้มั้ยคะ?”
สุวรรณราพณ์ถึงกับอึ้งตะลึงงันเมื่อได้ยินภาษาถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ถุงยางอนามัยนั้นคืออะไร ไม่เคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาก่อนเลย
“เจ้าหมายถึงกระไรรึ” ถามด้วยสีหน้าสงสัย จะว่าไปเจ้าจันทร์ตั้งแต่ฟื้นพิษไข้ประหลาดก็ดูแปลกพิกลขึ้น พูดภาษาถิ่นเมืองเกิดของตนออกมาบ่อยๆ ทำให้รู้สึกสับสน
จริงด้วยสิ ถึงจะเป็นความฝันแต่ฉากก็เซ็ตมาอยู่ในยุควรรณคดี ถุงยางอนามัยในยุคนั้นคงยังไม่ผลิตหรอกมั้ง
มธุรสคิดในใจแล้วยิ้มอ่อน
“ท่านมีมาตราการป้องกันการมีเซ็กซ์จากอะไรบ้างเหรอคะ” หลังจากนั้นก็ถามคำถามเป็นทางการออกไป ถ้าให้สดไม่ป้องกันใดๆ มันอาจจะเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อตัวเธอมากกว่าเขา เผลอๆ อาจจะตั้งครรภ์เด็กตัวยักษ์เหมือนอีกฝ่าย จนเบ่งออกมาไม่ไหวโจ๊ะโม๊ะฉีกขาดจนตาย หรือไม่อย่างร้ายแรงที่สุดก็ติดเชื้อ
ก็ดูเขานุ่งลมห่มฟ้าสิ ไม่น่าจะมีกางเกงในกันความชื้นหรอก ท่าทางกลับจากสงครามตีเมือง (เพื่อล่อหญิง) ก็คงจะถอยทัพกลับมาเลย เนื้อตัวก็ยังไม่ได้อาบไม่ได้ทำความสะอาดอะไร คงมอมแมมไปด้วยฝุ่นดิน
ได้ยินมาว่าช่องคลอดของหญิงสาวนั้นบอบบางและติดเชื้อง่ายมาก ทางที่ดีที่สุดควรยืดอกพกถุงก่อนทุกครั้ง
“มาตราการ? เซ็กซ์? มันคือกระไร ข้ามิรู้จัก” คนตัวใหญ่เลิกคิ้วสงสัย มธุรสถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ช่างเถอะค่ะ” ก่อนจะหลับก็ไม่ได้พกถุงยางอนามัยวางไว้ใต้หมอนบนเตียงคนไข้ซะด้วย ถึงจะเป็นความฝันแต่ก็น่าเสียดาย คิดว่าจะได้ลิ้มรสชาติสุขสมฟีโรโมนคลั่งเป็นครั้งแรกแล้วเชียว “เรานอนกันเถอะค่ะ หรือยังไงถ้ามีเรือนเล็กๆ ให้ฉันนอนคนเดียวได้ก็ดี”
สุวรรณราพณ์ขมวดคิ้วตีสีหน้าดุดันทันที อุตส่าล่าถอยไม่ยอมเสพสังวาสกับสนมคนใหม่อีกคนเพื่อตรงมาหาเธอแต่เพียงผู้เดียว ใยจึงตัดรอนสัมพันธ์สวาทกันอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้
“แต่ข้าปรารถนาเจ้าเหลือแสน เจ้าจันทร์ยอดรัก” แน่นอนว่ายักษ์หนุ่มไม่ยอมแพ้ เอื้อมมือหนาพลิกหลังมือไล้ไปตามเรียวแขนเปลือยของสาวเจ้าอย่างเว้าวอนกลายๆ “คืนนี้ถ้าไม่ได้ร่วมรักกับเจ้า ข้าคงแทบมอดมลาย”
อะไรจะเว่อร์ปานนั้น เจ้าจันทร์เบ้ปากคิดในใจแล้วชักไหล่หลบเพราะสยิวจนขนลุกซู่
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันง่วงจริงๆ เดินทางมาก็ไกล เหนื่อยไม่ไหวจริงๆ ค่ะ” พูดพลางปิดปากแสร้งหาวหวอดไปหนึ่งกรุบ การอ้างว่าง่วงเป็นการกระทำที่สิ้นคิดอย่างมาก แต่เธอก็แอบคิดว่าดูอีกฝ่ายจะหลงใหลคนที่เธออยู่ในร่างถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็คงยินยอมไม่แตะต้องได้เพราะว่าสาวเจ้าง่วงหงาวหาวนอนไร้เรี่ยวแรงจะสานต่ออยู่แล้วละน่า
แต่มธุรสนั้นยังอ่อนประสบการณ์ที่จะเดาเชิงบุรุษเพศมากนัก โดยเฉพาะกับคนที่เลือดร้อนและเอาแต่ใจดั่งสุวรรณราพณ์ตนนี้
มิเคยมีหญิงสาวผู้ใดปฏิเสษยักษ์หนุ่มรูปงามเช่นเขา สนมที่ผ่านมา แค่เพียงโอ้โลมแค่นิดหน่อยก็ยินยอมเสียแล้ว แต่เจ้าจันทร์ที่เขารอคอยมาตลอดหลายปีกลับไม่มีทีท่าจะสมยอมเขาเลยแม้แต่นิด
“เจ้ามิควรปฏิเสธข้าตั้งแต่หนแรกแล้วเจ้าจันทร์ เจ้ามิมีสิทธิ์นั้น” สุ้มเสียงดุกร้าวเมื่อยักษ์หนุ่มหมดความอดทน เขาคว้าต้นแขนขาวแล้วบีบแน่นจนมธุรสต้องเบ้หน้า ขยายร่างใหญ่ขึ้นอีกพร้อมกับเคี้ยวโค้งงอ หวังข่มขู่อีกฝ่ายให้ร่วมเสพสวาทกับตน “เจ้าเป็นเพียงแค่เชลยของเมืองที่เจ้าจากมา บิดาของเจ้าขายเจ้าให้เป็นเมียข้า”
“...!!”
“เจ้ามีแต่สิ่งเดียวที่จะเปิดปากเอ่ยได้ นั่นคือเพรียกหาข้ายามที่อยู่ใต้เรือนกายของข้าเท่านั้น”
นี่มันไม่ต่างอะไรกับคำพูดก่อนจะเยเย้มารูโจ้ของพระเอกนิยาย SM เลยสักนิด!
“ว้าย!” สิ้นคำพูดนั้น ร่างกายที่เล็กและบอบบางอ้อนแอ้นก็ถูกยกขึ้นนั่งบนตักแกร่งของสุวรรณราพณ์ทันควัน สไบถูกถอดออกไปแล้ว พร้อมกับผ้ารัดอกที่ถูกถอดเป็นอย่างที่สอง หน้าอกขาวผ่องสล้างออกมาสัมผัสอากาศและกลิ่นอบอวลของเทียนหอม
เสียงจิ้งหรีดเรไรเป็นเสียงเดียวที่ดังอื้ออึงข้างกกหูของมธุรสในเพลานี้
ทรวงและปทุมถันคู่นั้น เป็นสีชมพูอ่อนงดงาม สุวรรณราพณ์สางผมสีดำขลับยาวตรงและนุ่มละมุนของเธออย่างอ้อยอิ่ง รั้งมาชิดปลายจมูกโด่งเป็นสันอย่างหลงใหลในเธอ จิตใจที่เดือดพล่านนั้นเย็นลงเมื่อได้เห็นของสวยงาม ริมฝีปากหยักได้รูปกดจูบข้างซอกคอใกล้สันกรามสวย
ส่วนมือใหญ่นั้นก็กอบกุมทรวงอกของเธอไว้ แล้วคลึงด้วยความปรารถนา
มธุรสหน้าแดงแจ๋ ทั้งที่เป็นความฝันแต่ทุกอย่างกลับชัดเจนตรงหน้าเธอ สัมผัสที่ทรวงอกนั้นก็รู้สึกได้เต็มอิ่มเหมือนกับว่านี่คือความจริง นิ้วมือใหญ่คลึงเคล้าเธออย่างละมุนละม่อมเพราะกลัวว่าถ้าบีบไปเต็มแรง อกนิ่มของเธออาจจะเละคาอุ้งมือเสียได้
นุ่มนวล กลิ่นกายหอมหวาน แทบจะทานทนมิไหว
สุวรรณราพณ์แลบลิ้นฉกชิมรสหวานจากซอกคอขาวและหอมกลิ่นดอกมะลิ มธุรสครางเสียงหวาน ปลายนิ้วยักษ์จึงบดบี้เม็ดบัวสีสวยเป็นอย่างถัดไป ความนุ่มละมุนในเรือนร่างแน่งน้อยเนื้อนิ่ม ทำให้เขาอยากลิ้มชิมใจแทบขาด
ตัวเล็กน่าพะเน้าพะนอ ใบหน้าสวยหวานดูเป็นกุลสตรี ผิวขาวจัดอมชมพู และผมยาวตรงสลวย
งดงามถึงเพียงนี้ ข้าถึงได้หมายปองเจ้ามานับร้อยปี
“อื้อ... ตรงนั้นมัน” เธอเปล่งเสียงครวญครางน่าเย้าใจ เพราะความรู้สึกทั้งมวลนั้นเต็มอิ่ม สยิวจนหายใจแทบมิทัน แก้มที่แดงระเรื่อถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากหยัก ก่อนที่กลีบปากและเรียวลิ้นเล็กของมธุรสจะถูกช่วงชิงเป็นอย่างถัดไปมธุรสถูกยักษ์หนุ่มกำราบได้เพราะเพียงรสจูบครั้งที่สอง ดูดดื่มและมัวเมา ตัวเล็กๆ ของเธออ่อนปวกเปียกแทบละลายคาอกหนา ทรวงถูกหยอกเย้าจนแดงแจ๋ ทั้งบี้ทั้งคลึงเสียจนเธอเสร็จสมคาตักแกร่ง จึงได้เวลาที่ยักษ์หนุ่มต้องรุกรานสรีระด้านล่างเสียบ้างมธุรสกัดกลีบปากของตนแน่น ร่างกายมิเป็นดั่งใจเอาเสียเลย ราวกับว่าเมื่อบุรุษตรงหน้าสัมผัสเธอที่ตรงใด ก็จะร้อนผ่าวและทิ้งความกรุ่นร้อนอยู่ตามผิวส่วนนั้น มือหนาใหญ่ที่อบอุ่น จับนั่นแตะนี่เพียงพึงใจ เลื่อนลงมาที่เอวคอดและสะดือสวย ลูบไล้ไปตามกายาที่เป็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างสตรีของนางจนปลดผ้าซิ่นสีหมากสุกของเธอได้ ผ้าผ่อนสีสดหล่นตุบไปกองลงกับพื้น มธุรสหน้าแดงก่ำ เปิดเปลือยอวดดอกไม้งามที่มีน้ำหวานชุ่มฉ่ำเล็กน้อยตรงเกสร เชิญชวนให้ภมรตัวยักษ์อย่างสุวรรณราพณ์ได้เชยชมแม้นี่จะมิใช่ร่างกายของเธอก็จริง แต่เพราะวิญญาณจุติมาเกิดในร่างนี้แล้ว เลยรู้สึกเหมือนกับ
เสียงทุ้มน่ากังขากังวานมาตามลม มธุรสพยายามหันรีหันขวางเพื่อมองหาต้นตอของสุรเสียงดังกล่าว แต่หาได้พบเจอใคร มีเพียงความมืดโอบรอบกาย ตรงหน้าเป็นเพียงภาพจอมอนิเตอร์อันสว่างโร่เท่านั้นภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพของหญิงสาวนามว่าเจ้าจันทร์ที่เธออยู่ในร่างของนาง สวมสไบงดงาม แต่นางท้องโตโยเย และลูบท้องกลมอย่างรักใคร่นั่นคืออะไร...!“เฮือก!”สิ้นภาพนั้น มธุรสก็ลืมตาตื่นขึ้นในห้องบรรทมห้องเดิมกับครั้งที่เธอเสร็จสมใจกับยักษ์ที่มีนามว่าสุวรรณราพณ์ตนนั้น ดวงตากลมโตกวาดตามองไปรอบๆ ห้องแปลว่าเมื่อสักครู่นี้คือฝัน แต่เป็นฝันที่ซ้อนฝันอีกที เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนยังอยู่ในความฝันก่อนจะสลบไสลไป แสดงว่านี่ก็คือความจริงว่าแล้วก็ก้มลงมองร่างกายของตัวเองที่บัดนี้เปลือยเปล่าล้อนจ้อน“คุณพระ!” ยกมือทาบอก ฮะหรือ ฮะหรือ ฮะหรือว่าเธอจะเสร็จสมดั่งใจหมายกับยักษ์ตนนั้นเสียแล้ว!“มิต้องหวั่นเกรงไปดอก เจ้ายังมิได้ตกเป็นเมียข้า” สุ้มเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินครั้งแรกก็ไม่รู้ลืมว่าเป็นใครดังขึ้นแกมรู้ทัน สาวเจ้ารีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกาย หันไปป้องสายตาเข้ากับแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยอักขระขอมโบราณ มัดกล้ามที่แค่มองเพียงด้านหลั
รุ่งสางของวันถัดมา นางสนมทั้งสิบเอ็ดนางนั่งอยู่ขนาบข้างบัลลังก์ทอง กษัตริย์อสุรานั่งมองความสวยความงามของหญิงสาวทั้งสิบเอ็ดนางที่เขาลงทุนลงแรงไปชิงมาด้วยการรุกรานเมืองของกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์จนแตกพ่ายไปหลายเมือง เนื่องด้วยพละกำลังวังชา รวมถึงคาถาอาคมแก่กล้าไม่เท่ายักษาที่ดำรงอยู่มาถึงร้อยปีเช่นเขาช่วยไม่ได้... ถึงแม้จะหลงใหลเจ้าจันทร์สักเพียงใด แต่สำหรับบุรุษเพศ เมียเดียวนั้นไซร้คงจะไม่พอ“ท่านสุวรรณราพณ์เพคะ มิพาสนมมาอีกได้หรือไม่เพคะ”ตองนวล หญิงสาวที่งดงามรองลงมาจากเจ้าจันทร์ ซึ่งในระหว่างที่รอคอยจะชิงใจเจ้าจันทร์นั้น นางเคยเป็นสนมที่งามและเป็นที่โปรดปราณที่สุด เป็นที่เลื่องลือในกรุงยักษาว่ามินานจะต้องได้ขึ้นเป็นชายาเคียงคู่ท่านเป็นแน่ ตองนวลหลงใหลในตัวสุวรรณราพณ์นัก เธอเอื้อนเอ่ยสุ้มเสียงกังวานใสเว้าวอนผู้เป็นสามีของตนไม่ชอบใจนักที่พานังเด็กสาวนั่นมาแถมหมางเมินนางซึ่งเป็นคู่เคียงหลับนอนประจำของท่าน ดวงใจดวงน้อยเต็มไปด้วยความริษยาชิงชัง นังเด็กนั่นหน้าตาสะสวยจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ตรงกับสตรีที่ท่านสุวรรณราพณ์ชื่นชมเมื่อคืนก็ชิงสนมมาอีกหนึ่ง แต่มิได้แวะเวียนไปร่วมลงหอกับนาง ปกติถ้าวันไ
“ก็จักชำระกายร่วมกับเมีย ผิดด้วยรึ?” สาวเจ้ามุ่ยหน้า ชีกอ ขี้โชว์ไม่พอ ยังเก่งเรื่องการคิดเองเออเองอีกต่างหาก ครบสูตรหลัวชั่วแห่งราชอาณาจักรเสียจริง“หนูยังไม่ได้เป็นเมียคุณสักหน่อย” โฉมตรูสะบัดหน้า ขัดใจนักเชียวพ่อยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ ถึงจะเป็นสาวเวอร์จิ้น แต่ก็เลือกนะยะ“เรื่องนั้นพี่มิสนใจ” บุรุษตัวใหญ่กว่าเอื้อมฝ่ามือหนามาไล้แก้มเธอ “อยู่ในเมืองของพี่ ในเรือนของพี่ สักวันก็จักได้เป็นอยู่ดี”แหม! ช่างพูดช่างจา เกี้ยวพาราสีสาวได้คล่องแคล่วเชียวนะแก“หนูไม่อาบน้ำกับคุณหรอกค่ะ เชิญอาบไปคนเดียวเลย หนูจะกลับไปนอนที่เรือน” สาวเจ้าพูดพลางเชิดหน้าหนีอุ้งมือใหญ่ ไม่ต้องมาโชว์กล้ามเนื้อตรงนี้จะได้หรือปะ ถึงชาติที่เป็นมธุรสจะบ้ากล้ามหน้าท้องผู้ชายและบ้าหนุ่มกล้ามปูสักเพียงใด แต่จะมิหลงกลพ่อยักษ์กะล่อนนี่เด็ดขาด ความหล่อเหลามันทานไม่ได้! “แล้วเรือนอยู่ทางไหนคะ หนูจำทางกลับเรือนไม่ได้”โว้ย น่าสมเพชจริงอีนังมธุรส เรื่องหลงๆ ลืมๆ เส้นทางของหล่อนนี่ยังเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าจริงๆสาวเจ้าบ่นอุบใส่ตนเอง ไม่มีทางเลือกต้องหมุนตัวพลิกลิ้นกลับไปพึ่งพาเจ้าของบ้านอย่างเขาอย่างเสียมิได้อสุราหนุ่มแย้มยิ้มพราย
“มิมีปากมีเสียงเช่นนี้ สำแดงว่าที่ตัวพี่เอ่ยเป็นอันถูกต้อง” ยักษ์ว่าเช่นนั้น เข้าใจว่านางคงอายหากมีใครมาเห็นเขาและนางล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้ จะว่าพิกลไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั่นเองคิดได้เช่นนั้น อสุราหนุ่มจึงร่ายคาถา สร้างต้นไม้ใหญ่รกครึ้มรอบๆ สระบัวในทันทีมธุรสอ้าปากค้าง เมื่ออยู่ดีๆ รอบสระบัวก็ปรากฎต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นรอบๆ กลายเป็นป่าละม่อมขนาดย่อมเธองเหลียวกลับไปจ้องหน้าอสุราหนุ่มอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยรู้เลยว่ายักษ์จะร่างเวทมนตร์คาถาเสกต้นไม้ได้ด้วย นี่เหมือนหล่อนกำลังอ่านแฮรี่ พ็อตเตอร์ของเจ. เค. โรว์ลิ่งอยู่เลยอ่ะ“เท่านี้ก็มิมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่” ยังมิวายก้มหน้าลงมาถามหล่อนด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์นั่นอีก“มะ... มันก็ดีอยู่หรอกค่ะ” ก็ทหารของเขายืนอยู่ตรงนู้นนี่หว่า เมื่อเกิดป่ารกทึบรอบสระบัวแบบนี้ ก็คงไม่มีชายคนไหนได้เห็นเรือนร่างของเธออีก “แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”ท้ายประโยคสาวเจ้าบ่นอุบอิบ น่าพิกลจริงที่สุวรรณราพณ์ตามใจเธอแบบนี้“พี่ตามใจเมียทุกคนของพี่นั่นแล” หากแต่คำตอบก็พอทำให้หญิงสาวรู้ว่าทำไม ได้แต่มุ่ยหน้าตามประสาเด็กสาวที่หมั
“พระสนมเจ้าคะ ข้าว่ากลับเรือนเถอะเจ้าค่ะ แดดเริ่มแรง เดี๋ยวพระสนมจักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน” สาวรับใช้ประจำตนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง รู้ดีว่าพระสนมของตนนั้นหลงใหลท่านผู้นั้น ยอมตกเป็นของท่านหลายคราเพียงเพื่อได้หัวใจของท่าน แม้เพียงแค่ชายตาแลก็ยังดีแต่ในขณะเดียวกันสาวรับใช้นางนั้นก็รู้ดีเพราะว่ารับใช้กษัตริย์กรุงยักษามามากกว่าสองร้อยปี ว่าท่านผู้นั้นเฝ้ารอคู่ชะตามานานเพียงใด แม้ท่านจะมีเมียมากตามประสากษัตริย์ แต่ทว่ากลับไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่พร่ำบ่นคิดถึงคู่ชะตาถึงร้อยกว่าปีนั่นเลยสักคราเมื่อได้คู่ชะตามาอยู่ในกำมือของตน จึงไม่แปลกหากท่านจะเอาแต่สนใจท่านหญิงผู้นั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา“เมื่อใดกันสูรย์ตรี เมื่อใดกันที่ข้าจักได้อยู่ในพระเนตรของท่านบ้าง” ตองนวลเอ่ยกับสาวรับใช้ของตนอย่างแสนเศร้า เนื่องจากสุวรรณราพณ์ไม่คิดเชื่อใจผู้ใดนอกจากคนของตน จึงออกคำสั่งให้สูรย์ตรีมาเป็นสาวรับใช้ของตองนวลแทนสาวรับใช้ในเมืองเก่าที่นางจากมา เพราะฉะนั้นสาวรับใช้ของสนมทุกคนของท่านจึงเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ทั้งสิ้น“พระสนม...” สาวรับใช้ร่างใหญ่เอื้อนเอ่ยเรียกชื่อพระสนมของตนเสียงอ่อน เอื้อมมือไปคว้าฝ่ามือนวลมากุมไ
สุวรรณราพณ์ยักษาเคลื่อนกายปราศจากอาภรณ์เข้ามาภายในเรือนใหญ่ของตนอย่างไม่นึกอายบ่าวรับใช้ที่หมอบกราบหน้าสลอนกันแม้แต่เพียงนิด แต่สาวร่างใหญ่เหล่านั้นคุ้นชินกับอุปนิสัยนายของตนเสียแล้ว จึงตบแต่งกายาอาภรณ์ให้ท่านแต่โดยง่าย สูรย์เกล้าที่เป็นบ่าวประจำท่านยกสังวาลและทับทรวงให้สูรย์มนตราซึ่งเป็นบ่าวรับใช้อีกนาง หล่อนแต่งโฉมให้กษัตริย์กรุงยักษาได้ดั่งเช่นทุกวันสุวรรณราพณ์ตรวจทานตนในคันฉ่อง รูปโฉมเขาในชาตินี้งดงาม ไม่แปลกที่จักมีสนมถึงสิบสองคน แม้สนมคนที่สิบเอ็ดจักไม่ได้ต้องใจเขาเช่นสนมคนอื่นๆ ก็ตามจะว่าไป บุศยาสนมคนที่สิบสองที่ไปชิงมาจากเมืองหัสดีเมื่อคืนวาน ยังไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยกันเลยดอกหนา“บุศยาอยู่ที่ใด” ท่านเหลียวไปถามสูรย์เกล้าด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ นางหมอบกราบท่าน แล้วตอบคำถามโดยง่าย“เรือนหอนอนประจำของนางทางปีกซ้ายเพคะ”“ข้าจักไปหานาง เร่งไปบอกสูรย์เสียงให้ตบแต่งนางให้พึงใจข้าโดยเร็ว”“เพคะท่านผู้มากศักดา” นางยกท่านขึ้นเหนือศีรษะ คำยกย่องนั้นเป็นปกติของกรุงยักษาแห่งนี้ที่มักใช้เยินยอกษัตริย์หรือพระมเหสีผู้ทรงศักดิ์ สูรย์เกล้าย่อเท้าเกือบชิดพื้นออกไปจากห้องหับของเขาอย่างยำเกรงส
บุศยานิ่งอึ้งอย่างตกตะลึง ตั้งแต่จำความได้ หล่อนเกิดมาพร้อมกับคำสาป ลายสักที่กลางหลังจักปรากฎขึ้นเมื่อมีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้าเปิดเผยมัน พระโหราธิบดีทำนายทายทักว่าจักมีอมนุษย์รูปงามช่วยนางให้พ้นจากคุณไสยที่ตามหลอกหลอน พระบิดาจึงส่งหล่อนให้ตกเป็นเมียของท่านผู้นี้ตั้งแต่อายุยังมิครบจักออกเรือนมินึกรู้ว่าท่านจักไหว้วานยักษาตนนี้ให้รักษาหล่อน“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นกับท่านหรือเพคะ” บุศยากุมทรวงเล็ก ซ่อนไว้ใต้ผ้ารัดอกที่ถูกดึงออก ท้วงถามด้วยความฉงนใจ“ตามที่ข้าพูดนั่นแล” สุวรรณราพณ์ให้คำตอบ นางจึงระบายยิ้มบางออกมา อย่างน้อยเสด็จพ่อผู้เย็นชาผู้นั้นก็ยังห่วงหาอาทรในตัวนาง แม้นตั้งแต่จำความได้ ท่านจักมิเคยแลเห็นหรือให้ความสำคัญในตัวพระธิดาคนสุดท้องเช่นนางเลยก็ตาม“... เช่นนั้น” สุ้มเสียงเล็กผุดคำถามขึ้นมาอีกครา “ท่านจักมิทำอันใดข้าแล้วใช่หรือไม่”“เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก ข้ามินิยมชมชอบสมสู่กับผู้เยาว์ดอกหนา”แม้นจักเป็นคำพูดที่แสบสันในทรวงนัก แต่เจ้าหล่อนกลับระบายยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม“ขอบพระทัยในความใจบุญของท่านนักเพคะ” หล่อนประนมมือจรดอก และก้มลงกราบอสุราหนุ่มที่ทรงเมตตากับนาง ที่นอกจากจั
อ้อมกอดแห่งครุฑสีชาตินั้นทำให้นางยากจักถอนกายออก ความอบอุ่นที่ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เลือกนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด กรรณิกาอัปสรไม่คิดหวังให้ท้าวไกรสิงห์ใฝ่รักใฝ่หานาง หล่อนหมดหวังไปตั้งแต่พระสวามีคนก่อนแล้วสุวรรณราพณ์มองกรรณิกาที่อยู่ในร่างของเจ้าจันทร์เป็นเพียงแค่ตัวแทนหญิงที่ห่างกายเขาไปเมื่อนานมาแล้ว เขามักตัดพ้อรำพันทุกค่ำคืนว่าหญิงในอดีตชาตินั้นร้างรักเขาเนื่องจากเป็นอสูรรูปชั่ว แม้นมียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจนางได้หารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้นคือบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญ ฝ่ายท้าวไกรสิงห์นั้นไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้ แต่เขามีสะพานกรรมที่ต้องวนเวียนชดใช้ อดีตชาติของท้าวไกรสิงห์ก่อนจักมาเกิดเป็นครุฑนั้น คืออดีตพรานบุญที่หลงรักมธุรสวดี อัปสราสาวที่ลงมาล้อเล่นน้ำอาบแสงจันทร์กลางป่าหิมพานต์ในสระอโนดาต แลเสพสมกับหล่อนกลางสระงาม โดยที่หล่อนเมามายรสน้ำเงาจันทร์ ทำให้หลงลืมคิดว่าพรานบุญนั้นคือสามีของตนเฉกเช่นทศกุมภัณฑ์เมื่อทศกุมภัณฑ์มาพบการก่อกบถเข้า จึงทำการฆ่าพรานบุญคนนั้นจนตายในชาติก่อน ชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก พรานบุญนั้นสาปแช่งก่อนตายตกว่าชาติ
ก่อนพบรักกับอัปสรมธุรสวดี ทศกุมภัณฑ์เคยมีภรรยาเป็นยักษีรูปร่างงดงามสะสวย นางเสวยทิพย์มิกินเนื้อคนต่างจากเขาผู้เป็นสวามี นางถูกตบแต่งกับเขาเพียงเพื่อสานไมตรี ทศกุมภัณฑ์อัปลักษณ์หากแต่มียศศักดิ์บริวารมาก ตระกูลยักษ์ฝั่งนั้นจึงส่งนางปารตีเป็นเมียกำนัล การตบแต่งที่มิได้เริ่มต้นด้วยความรัก สุดท้ายทศกุมภัณฑ์กลับหลงรูปโฉมอัปสราจนทิ้งนางน้ำตาตกในตลอดมานางยักษ์ปารตีเองก็มิได้เหลียวแลเนื่องจากสวามีนั้นโหดเหี้ยมทานแต่เนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อสัตว์เนื้อมนุษย์ไม่ขาดปาก นางที่เป็นยักษ์เสวยทิพย์ชั้นสูง จึงตีตนออกห่าง จนเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายนั้นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย อยู่ของนางดีๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสวามีของตนนั้นได้ลิ้มรสเชยชมนางอัปสรชั้นสูง พร้อมกับเอานางอัปสรมธุรสวดีเข้ามากกกอดถึงในรังนอนนิมมานเทพเองต้องการดวงตาของนางยักษ์ปารตี เนื่องจากดวงตาของนางเป็นดวงตาที่สาม สามารถเปิดโลกแห่งความตายทั้งปวงได้ การมีดวงตาของนางเอาไว้ในครอบครอง มิว่าจักเป็นนรกภูมิหรือสรวงสวรรค์ เขาจักเป็นชายผู้มากศักดาจนมีแต่คนอยากคบหาพาที เขาจึงส่งนางอัปสรมธุรสวดีเข้าหาทศกุมภัณฑ์หวังยั่วยวนหาโอกาสฆ่าชิงดวงตาที่สามของนางปารตี แต่นางอั
“เมื่อเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ พ่อจักบอกทุกอย่าง อดทนรอแล้วทำตามที่พ่อเอ่ยได้หรือไม่” แน่นอนว่าพระสุวรรณราพณ์รู้ดีถึงพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของบุตรแฝด แต่เนื่องจากอินมุกแลจันทร์ดายังมิมีวุฒิภาวะหรือการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวในอดีตชาติของตน เขาจึงอยากรอให้ลูกทั้งสองเติบโตมากกว่านี้ก่อน“ไม่! ท่านควักดวงตาแม่แท้ๆ ของข้า แลยังขับไสไล่ส่งแม่ที่แท้จริงของพวกเราไปไกลบ้านไกลเมือง หากมิรักใคร่เนื่องจากพวกเราเป็นสายเลือดมนุษย์ ท่านพ่อก็บอกข้ามาตามตรงเถิด!” จันทร์ดาได้ฟังพี่ชายว่าเช่นนั้นก็ใจตกไปอยู่แทบตาตุ่ม ยืนร่ำไห้กอดอินมุกที่หยัดยืนสู้ตัวน้อยๆ ประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองยักษ์ที่ถือเป็นบิดาแท้ๆ ของตน ตั้งแต่เกิดมาบิดาไม่เคยพูดดีด้วยนอกเสียจากมองเขาเป็นตัวปัญหา แม้นจักเป็นลูกของสตรีที่มิได้รัก แต่ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน“ควักดวงตา? หมายความว่าเช่นไร” สีหน้าของพระสุวรรณราพณ์นั้นสับสน ชวนให้สองเด็กแฝดชะงักไป“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว
“ไสหัวไปเสีย ก่อนที่กูจักบั่นคอมึงให้ดับดิ้นอยู่ตรงนี้” พอได้ยินอีกฝ่ายตีฝีปากกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นอสุราหนุ่มยิ่งพิโรธเหลือ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างที่หล่อนลงมาแลแปลงกายเป็นอัปสรเพื่อเข้ามาเป็นสนมคนที่สิบสาม แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงช่วงที่นางดำรงอยู่บนสรวงสวรรค์กับนิมมานเทพ มิอาจรู้ได้ว่ามันได้เป่าหูกระไรนางไว้บ้าง“อย่าลืมเสีย สุวรรณราพณ์... ไม่สิ ไอ้ทศกุมภัณฑ์เอ๋ย”“...!”“มธุรสวดีจักไม่มีวันตกเป็นของมึง แม้นชาตินี้หรือชาติไหน กูจักตามราวีมึงทุกชาติไป เพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงที่กูหมายครอง”ไวกว่าความคิด พระสุวรรณราพณ์เขวี้ยงดาบทมิฬตรงไปยังร่างตรงหน้าหวังฟาดฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธสุดกำลัง แต่ร่างนั้นกลับสลายหายไปเป็นเพียงไอหมอกเย็นเยียบโอบล้อมรอบดาบดำมืดก่อนที่จักถึงตัว พระสุวรรณราพณ์เรียกดาบทมิฬกลับมาสู่ฝ่ามือใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางขบฟันกรอดอย่างขัดเคืองมาทั้งที ก็ทิ้งเพลิงกัลป์ไว้เลยสิหนา“ทะ... ท่านพ่อ ข้า...” อินมุกมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นพ่อหมุนตัวใหญ่โตหันกลับมา ดวงตาสีชาดหรี่ลงมองบุตรชายที่ยืนตัวสั่น พระสุวรรณราพณ์ทำได้เพียงเดินนำหน้าลูกไปเท่านั้น“ตามพ่อมา อิ
“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว่ากรรณิกา”“!!!” ทั้งอินมุกแลจันทร์ดาเบิกตากว้าง เป็นจริงดั่งสัญชาตญาณที่ว่ามารดาของตนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ตัวจริงนั้นอยู่เมืองจันทร์ ส่วนตัวปลอมที่แปลงเป็นมารดาของพวกเขานั้นคือหนึ่งในสนมที่เป็นนางสวรรค์แต่ยิ่งหดหู่ใจไปกว่านั้น... คือเรื่องที่บิดาเลือกที่จะควักลูกตาของพระมารดาไป เนื่องจากไม่เป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นสนมที่เป็นนางอัปสร มันช่างน่าเศร้านัก นี่ท่านพ่อไม่มีความรักต่อแม่เราเลยหรือ“... ว่าต่อได้หรือไม่” ท้ายที่สุดเด็กชายก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยความอยากรู้เรื่องราวของแม่ที่แท้จริงจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่“จงมอบความเชื่อใจให้แก่ข้าเสียก่อน จึงจักเล่าต่อได้” นิมมานเทพถือโอกาสออกกลอุบายดึงบุตรของพระสุวรรณราพณ์มาเป็นพวกด้วยค่าของเรื่องราวของหญิงที่เขามินึกใส่ใจอย่างธิดาเจ้าจันทร์“ข้าแลน้องสาวจักเชื่อใจเจ้า”“อินมุก... เจ้ามิรักพระบิดาหรือ เจ้าเชื่อใจข้ามากกว่าพระบิดาหรือ ทั้งๆ ที่มันอาจจักเป็นคำโก
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์
“มิมีสาส์นตอบรับส่งมาจากเมืองครุฑเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท... จนบัดนี้แล้ว”เหล่าทหารกราบทูลกับพระสุวรรณราพณ์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่มหึมา ได้ความว่าสาส์นท้ารบนั้นอาจส่งไปถึงเมืองครุฑ แต่ฝ่ายไอ้ท้าวไกรสิงห์อาจยังเล่นตุกติกมิยอมส่งสาส์นกลับมา ทำตัวยั่วโมโหเก่งจริงๆพระสุวรรณราพณ์เข้าใจว่ามันนึกแค้นเคืองที่ในอดีตชาติต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ยักษ์เช่นทศกุมภัณฑ์ (ซึ่งก็คือตัวเขาเองนั่นแล) นั้นเข่นฆ่าฉีกเนื้อเทือหนังครุฑอย่างโหดร้ายเพียงเพื่อชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก แม้นจักมาเจอเมียในร่างไร้วิญญาณก็ตาม แถมในอดีตก่อนเจอคู่ชะตา สังวรีราพณ์ก็ได้ไปบุกเมืองครุฑด้วยความหิวกระหายเนื้อสดหลังจากจำศีลไม่กินเนื้อมาเกือบห้าสิบปีจนตบะแตกด้วยดวงจิตทมิฬที่สอง สุดท้ายก็ฆ่าพวกครุฑแลครุฑีไปเกินครึ่ง แถมยังกินจนเหลือแต่กองกระดูกนกให้ดูต่างหน้าอีกด้วยเรียกได้ว่าเขาเองก็เป็นตัวการที่ทำให้ฝั่งไอ้ท้าวครุฑนั้นมีความอาฆาตแค้นจนต้องชิงสิ่งสำคัญออกไปอย่างเช่นภาชนะอย่างธิดาเมืองจันทร์ที่มีดวงจิตมธุรสวดีอยู่ในนั้น แม้นสุดท้ายจะสู้พลังวังชาของพระสุวรรณราพณ์ไม่ได้ก็ตามที่ส่งสาส์นท้ารบไป เพื่อจักให้มันจบมันสิ้นไป ให้มันได้ระบายอาร
แต่พระมเหสีเจ้าจันทร์กลับต่างออกไป ตลอดสามวันหลังคลอดเด็ก นางแวะมาแอบดูเด็กทั้งสองแลพยายามเข้าหาอยู่หลายครา แต่เด็กแฝดปฏิเสธการเข้าหาของแม่ สูรย์วันคิดว่าวันเดียวเธอคงล้มเลิกแล้ว เพราะคงมิมีใครอยากมีลูกกับยักษ์ สนมทุกคนที่ท่านนำพา ก็ล้วนแต่มิเต็มใจตกเป็นเมียทั้งสิ้นแต่นางกลับไม่เคยยอมแพ้ ยังแวะมาขอกอดขออุ้มอยู่ทุกวันแม้จักรู้ว่าเด็กทั้งสองจักต้องกระจองอแงแลผลักไสนางด้วยเดียดฉันท์เลือดมนุษย์“พระมเหสีทรงอยากอุ้มบุตรธิดาหรือเพคะ”“อะ... อื้อ” สาวเจ้าพยักหน้าหงึกหงัก ดวงหน้าซีดเซียว อาจเพราะยังป่วยอยู่“ท่านอินมุกแลท่านจันทร์ดายังมิคุ้นชินนัก แต่สักวันคงจักคุ้นได้แน่” นางว่าด้วยความหวังดี ฝ่ายกรรณิกาเองก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่จากทุกวันที่โดนลูกปฏิเสธ มันออกจักฝังใจมิน้อยแต่อย่าหวังว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอจักมีเพียงแค่นี้หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กหัวจุกทั้งสอง ค่อยๆ ยกจันทร์ดาขึ้นมาก่อนเพราะลูกหญิงมักอ่อนโยนกว่าคนพี่เล็กน้อย พร้อมกับยกบุตรสาวที่ทำตาโตมาแนบอกอิ่ม“จันทร์ดา... นี่แม่เองนะ”“...”“จันทร์ดา แม่รักหนู... แม้จักเป็นช่วงเพลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม”หมับ!“อึก...!” แต่ยั
ทำเป็นไม่รู้ต่อไป เพื่อรักษานางไว้ รวมถึงรักษาสัมพันต่อสรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นทุกอย่างจักยากขึ้นเกือบเท่าตน ทั้งการสัญจร รวมถึงพันธะสงบศึกที่มีมาตั้งแต่อดีตชาติระหว่างสรวงสวรรค์แลโลกอสูรเป็นเพียงอสูร มีอำนาจมากมายเพียงไหน สุดท้ายยังถูกชิงไปได้ด้วยเทวดาอยู่ดีส่วนเด็กสาวผู้มิรู้ประสากระไรทั้งนั้น ได้แต่สั่นสะเทือนอยู่บนกายใหญ่เนื่องจากร่างกายเล็กจ้อยแสนเปราะบาง นางครางครวญเสียงสะท้านหวามไหว กอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ท่าทางนี้มองเห็นดวงหน้าของยักษาได้ถนัด เขากำลังจ้องมองหล่อนอย่างเปรมปรีดิ์ รบกวนจิตใจเหลือเกินทำมาเป็นจ้องมองเหมือนรักเหมือนหลงยิ่งนัก จักทำให้ร่างน้อยๆ นี่เป็นของโปรดของเจ้าให้ได้เลยเชียวว่าพลางก็พยายามขยับบั้นเอวน้อยเพื่อคลึงความใหญ่โต แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ถึงร่างกายจะแปลงตนเป็นอัปสร แต่ก็รับความรู้สึกได้ทุกอณูไม่ต่างกับร่างกายมนุษย์จนเริ่มชักไม่แน่ใจ ว่าตนเองเป็นอัปสร หรือมนุษย์กันแน่หรือนางหลอมรวมกับร่างเจ้าจันทร์ไปแล้ว?คิดเพ้อฝันพลางส่ายหัว ร่างนั้นจำแลงเป็นการเวกกลับสู่เมืองจันทร์ไปแล้ว สุวรรณราพณ์ตกเป็นของนางแทนที่เจ้าจันทร์แล้ว นี่ล่ะค