รุ่งสางของวันถัดมา นางสนมทั้งสิบเอ็ดนางนั่งอยู่ขนาบข้างบัลลังก์ทอง กษัตริย์อสุรานั่งมองความสวยความงามของหญิงสาวทั้งสิบเอ็ดนางที่เขาลงทุนลงแรงไปชิงมาด้วยการรุกรานเมืองของกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์จนแตกพ่ายไปหลายเมือง เนื่องด้วยพละกำลังวังชา รวมถึงคาถาอาคมแก่กล้าไม่เท่ายักษาที่ดำรงอยู่มาถึงร้อยปีเช่นเขา
ช่วยไม่ได้... ถึงแม้จะหลงใหลเจ้าจันทร์สักเพียงใด แต่สำหรับบุรุษเพศ เมียเดียวนั้นไซร้คงจะไม่พอ
“ท่านสุวรรณราพณ์เพคะ มิพาสนมมาอีกได้หรือไม่เพคะ”
ตองนวล หญิงสาวที่งดงามรองลงมาจากเจ้าจันทร์ ซึ่งในระหว่างที่รอคอยจะชิงใจเจ้าจันทร์นั้น นางเคยเป็นสนมที่งามและเป็นที่โปรดปราณที่สุด เป็นที่เลื่องลือในกรุงยักษาว่ามินานจะต้องได้ขึ้นเป็นชายาเคียงคู่ท่านเป็นแน่ ตองนวลหลงใหลในตัวสุวรรณราพณ์นัก เธอเอื้อนเอ่ยสุ้มเสียงกังวานใสเว้าวอนผู้เป็นสามีของตน
ไม่ชอบใจนักที่พานังเด็กสาวนั่นมาแถมหมางเมินนางซึ่งเป็นคู่เคียงหลับนอนประจำของท่าน ดวงใจดวงน้อยเต็มไปด้วยความริษยาชิงชัง นังเด็กนั่นหน้าตาสะสวยจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ตรงกับสตรีที่ท่านสุวรรณราพณ์ชื่นชม
เมื่อคืนก็ชิงสนมมาอีกหนึ่ง แต่มิได้แวะเวียนไปร่วมลงหอกับนาง ปกติถ้าวันไหนชิงสนมมาเกินหนึ่งคนจะต้องร่วมหลับนอนกันทั้งสี่ รวมทั้งนางด้วย ท่านส่งนางเข้าหอทุกคราเพื่อให้สอนเด็กสาวเหล่านั้นปรนเปรอสามีอย่างที่สุวรรณราพณ์ต้องการอย่างถูกต้องถึงพระทัย
แต่เมื่อค่ำคืนนี้ หาได้เรียกหาข้าไม่
“เจ้ามิพึงใจรึ ที่เมื่อค่ำนี้ข้ามิได้เรียกเจ้ามาร่วมหลับนอนร่วมกับเจ้าจันทร์และบุศยา?” สุวรรณราพณ์ท้าวคางกับพนักบัลลังก์ถาม รู้ดีว่าสนมของตนแต่ละคนมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไร
“มิบังอาจมิพึงใจท่านดอกเพคะ แต่ข้าแค่เพียงอ้อนวอนดูเท่านั้น” เสียงหวานแผ่วลง นี่คือมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียณที่ชิงใจชายมานักต่อนักของนาง แสร้งเบือนหน้าใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาอย่างอ่อนไหว
“มิต้องใจน้อยดอกตองนวล เจ้าจักได้มีพี่มีน้องเยอะๆ” ผู้เป็นสามีเอ่ยคำที่ขัดใจนางขึ้นมาอย่างไม่สนพระทัย สีหน้าเรียบเฉยดูดุดันจนสาวเจ้าไม่อาจสำแดงกิริยาใจน้อยได้อีก
ปกติสามีของนางจะไม่หมางเมินเช่นนี้ ราวกับเบื่อน้ำพริกถ้วยเก่าถ้วยนี้ไปแล้วหรือไร
จนร่างแน่งน้อยก้าวเข้ามาด้านใน สนมทั้งสิบเอ็ดเหลือบขึ้นมองนางพร้อมเพรียงกัน ด้วยว่าอยากรู้ถึงโฉมกายของสนมคนใหม่
หญิงสาวตัวเล็ก ผิวขาวอมชมพู ผมยาวสลวยที่ถูกแปรงอย่างดี ก้าวเข้ามาพร้อมกับเครื่องแต่งกายสีหมากสุกทั้งกายา อันเป็นสีโปรดของนาง กำไลข้อเท้าที่ทำจากเพชรนิลจินดาเปล่งประกายสุกใส
ความงดงามนั้นทำให้สนมทั้งสิบเอ็ดคนขบฟัน บ้างก็นึกริษยาความงาม บ้างก็นึกตะลึงชื่นชมในตัวเด็กสาว
ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็มิปาน
“มาหาข้าสิ เจ้าจันทร์” สุ้มเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยท่ามกลางห้องโอ่โถงที่เต็มไปด้วยสาวงามทั้งสิบเอ็ดที่นั่งรายล้อมสงบเสงี่ยม พร้อมกับตบหน้าตักหนาดังปึ่กๆ ดูดีๆ ก็เหมือนฮาเร็มในมังฮวาเกาหลีไม่หยอก
มธุรสหน้าบูดบึ้ง ไม่ชมชอบเลยนะ ผู้ชายหลายใจ แถมยังชีกออีก
สาวเจ้าไม่สนใจในคำสั่งของสุวรรณราพณ์ผู้เป็นกษัตริย์ครองเมืองนี้ เธอเดินอย่างสงบนิ่งแต่งดงามไปกระแทกตัวลงนั่งใกล้ๆ สาวน้อยที่ดูจะเยาว์วัยที่สุดในโถงใหญ่นี้
สนมทั้งสิบหน้าได้แต่หน้าซีดเผือด ไม่เคยมีสนมนางใดขัดใจท่านมาก่อน สนมนางที่มาใหม่นี่เป็นใครกัน ถึงบังอาจหมางเมินคำสั่งที่ราวกับอสุนีบาตลั่นกลางหุบเหวของสุวรรณราพณ์ได้เช่นนี้
“ไม่นั่งค่ะ” เสียงหวานกังวานใสหนักแน่น เธอคือสาวไทยสมัยใหม่หัวใจ ๒o๒๒ ผู้ซึ่งล้มเลิกวิถีชายเป็นใหญ่ไปตั้งนมตั้งนานแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ในเมื่อเคยเกือบตายมาก็หลายหน แถมชีวิตก็ล้มลุกคลุกคลาน ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองตั้งแต่เด็ก
กับคนที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง มีพ่อแม่คอยป้อนทรัพย์สมบัติมรดกที่ดินให้ แถมยังเกิดมาด้วยกายที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังเหนือมนุษย์มนานั่นน่ะ มันคนละระดับกันค่ะ
ว่ากันตามตรง สุวรรณราพณ์เองก็ขัดเคืองใจมิใช่น้อย ที่สาวเจ้าซึ่งเขารอคอยทบมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีนั้นไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับตัวเขา แตกต่างจากสนมคนอื่นๆ ที่ชิงมา ที่เมื่อผ่านพ้นคืนร่วมหอก็จะหลงใหลในตนอย่างหัวปักหัวปำ รวมถึงคำสั่งจากสุรเสียงทรงอำนาจ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องกระทำตามทันที
แต่ว่ากันว่า... ของที่ได้มายากแค่ไหน มักจะเป็นของดีเลิศทั้งนั้น
ช่างดื้อดึงไม่เข็ดหลาบ แต่ก็น่าเอ็นดูเหลือคณา
ยักษาหนุ่มกระทำการโต้ตอบสาวเจ้าเพียงแค่กระตุกยิ้มบาง ไม่ได้แสดงอาการเกรี้ยวกราดใดๆ กับสนมหน้าใหม่ จนสนมหน้าเก่าหลายๆ คนก็พาตกตะลึงไปตามๆ กัน
เป็นไปได้อย่างไร ที่ท่านสุวรรณราพณ์อารมณ์ร้ายตนนั้น ไม่ฟาดงวงฟาดงากับสนมคนใหม่ที่ไม่ยอมเอาใจท่านอย่างเด็กสาวคนนี้
โฉมตรูไม่ยอมแพ้ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาแกร่งที่ทอดพระเนตรมายังนางอยู่ตลอดเพลานั้น หญิงสาวตัวจ้อยจึงได้ทอดสายตาสู้ พร้อมกับสำรวจอีกฝ่ายไปด้วยพร้อมๆ กัน
กายาใหญ่โตสวมสังวาลย์ทอง มีมัดกล้ามเป็นลอนสวย ผิวขาวหากแต่สมบุกสมบันอย่างผู้สูงศักดิ์ รวมถึงใบหน้าคมกร้าวดุดัน แต่ทว่ากลับรูปงาม ทรงผมยาวหยักศกเกล้ามวยแบบมิเรียบร้อยนัก เมื่อสวมอาภรณ์ที่งดงามเหล่านั้น รวมเป็นชายหนุ่มแบดบอยผู้พราวเสน่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่นึกแปลกใจเลยที่มีเมียเยอะถึงขนาดนี้
มือหนาท้าวคางมองหญิงสาวที่สำรวจตน เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเธอจดจ้องอย่างสนใจใคร่รู้ ยักษ์หนุ่มจึงหลับตาลง ยินดีให้เจ้าจันทร์สำรวจความรูปงามของตนได้ตามใจชอบ
มีเพียงเจ้ากับบุศยาสนมที่ไปชิงเมืองหลังจากรับเจ้ามาเท่านั้น ที่ข้ายังมิได้ร่วมเสพสวาทด้วย
ตองนวลที่นั่งอยู่ซีกขวามือของสุวรรณราพณ์และใกล้เคียงกับบัลลังก์ของเขาที่สุดแอบชายตาแลมองเด็กสาวนงเยาว์ที่นั่งกระฟัดกระเฟียดใส่สามีของนาง ท่าทางมิดูชมแถมยังมิน่าเอ็นดูเอาเสียเลย ไร้เสน่ห์อย่างที่อิสตรีควรจะเป็น
สาวเจ้าเบ้ปาก เหตุใดกันสุวรรณราพณ์ถึงตามอกตามใจนางเช่นนั้น
หรือว่าในเรือนหอเมื่อคืนวาน นางจักบำเร็จบำเรอท่านได้ถึงพระทัยยิ่งกว่าข้า?
คิดได้เช่นนั้นก็นั่งอยู่มิสุขเสียทีเดียว จนสาวรับใช้ที่คอยพัดวีให้ต้องรีบโบกพัดอย่างสุดตัวเนื่องจากกลัวว่าพระสนมของตนจะร้อนรุ่มจนจับไข้ อากาศวันนี้ก็ร้อนอบอ้าวใช้ได้เลยทีเดียว
นั่งกระวนกระวายไม่ทันไร สามีก็หยัดกายใหญ่โตลุกขึ้นสุดความสูง สนมทั้งสิบเอ็ดไม่กล้าแม้แต่จะสบตาสามีของตนเอง ด้วยอำนาจและท่าทางอันน่ายำเกรงของสุวรรณราพณ์ แถมยังเป็นอมนุษย์อีกต่างหาก นั่นแปลว่าหากกระทำสิ่งใดไม่ถูกใจท่าน อาจจะโดนฆ่าเอาได้
มีแต่เจ้าจันทร์เท่านั้น ที่จ้องตาสู้กับเขาที่เดินมาหยุดตรงหน้าอย่างสงสัย
อสุราหนุ่มคว้าข้อมือของหญิงสาวฉุดให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพียงร้อยห้าสิบเซนติเมตร ตัวกะจ้อยร่อยราวกับหนูน้อย ยังริอ่านกล้ามาจ้องตาสู้กับเขา ช่างเป็นหญิงสาวที่หาญกล้าเสียจริงๆ
“อะ...! อะไรคะ” คนตัวเล็กยื้อแขนกลับ แม้จกรู้ว่าสู้แรงคนตัวยักษ์อย่างอีกฝ่ายไม่ได้ก็ตาม หากแต่เขาก็ไม่ได้ลงแรงใส่นางไปเต็มแรงเช่นกัน
“เมื่อคืนสลบไสลเนื้อตัวสกปรกไปด้วยน้ำหวานจากเกสรของเจ้า ควรไปชำระกายาเสียหน่อยเป็นดี” อสุราหนุ่มเอ่ยเสียงดังฟังชัดจนสาวเจ้าหน้าแดงแจ๋ปัดป้องมือไปมาพัลวัน เพราะนอกจากสนมทั้งสิบเอ็ดของเขาจะอยู่ในห้องโอ่โถงนี้แล้ว ยังมีทหารอารักขา และสาวรับใช้ร่างใหญ่ของสนมแต่ละท่านด้วย
พูดจาสัปดนต่อหน้าคนหมู่มาก นอกจากจะหลายใจ หลายเมีย ชีกอ แล้วยังชอบโชว์อีกด้วย
ค่าความประทับใจของมธุรสที่มีต่อสุวรรณราพณ์ติดลบอย่างไม่ต้องสงสัย
โฉมงามตัวจ้อยถูกกึ่งลากกึ่งจูงมาที่สระบัวที่อยู่นอกวังไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เป็นสระบัวที่ใหญ่โตและงดงาม น้ำใสแจ๋วจนเห็นตัวปลาที่แหวกว่ายไปมา ดอกบัวสีหวานและใบบัวดูใหญ่โตอุดมสมบูรณ์ คอสะพานสิ้นสุดแค่ตรงต้นน้ำเพียงเท่านั้น
มธุรสยืนตะลึงกับความงดงามและกว้างใหญ่ของกรุงยักษา น่านน้ำรวมถึงธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ดี บ่งบอกว่าเมืองแห่งนี้ร่ำรวยเพียงใด จนมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อสุราที่ปล่อยข้อมือเล็กของเธอทำท่าจะปลดผ้าผ่อน ปลดทับทรวง รวมถึงสังวาลย์ทองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ว้ายตาเถรหลุดตกกะได!” มธุรสหวีดร้องเสียงหลง ตั้งแต่เกิดมายี่สิบห้าปี ไม่เคยได้เห็นสรีระของผู้ชายอกสามศอกออกเจ้าชู้มาก่อน นอกซะจากในเว็บพอร์นฮับ “มาถอดผ้าผ่อนอะไรตรงนี้วะคะ!”
“ก็จักชำระกายร่วมกับเมีย ผิดด้วยรึ?” สาวเจ้ามุ่ยหน้า ชีกอ ขี้โชว์ไม่พอ ยังเก่งเรื่องการคิดเองเออเองอีกต่างหาก ครบสูตรหลัวชั่วแห่งราชอาณาจักรเสียจริง“หนูยังไม่ได้เป็นเมียคุณสักหน่อย” โฉมตรูสะบัดหน้า ขัดใจนักเชียวพ่อยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ ถึงจะเป็นสาวเวอร์จิ้น แต่ก็เลือกนะยะ“เรื่องนั้นพี่มิสนใจ” บุรุษตัวใหญ่กว่าเอื้อมฝ่ามือหนามาไล้แก้มเธอ “อยู่ในเมืองของพี่ ในเรือนของพี่ สักวันก็จักได้เป็นอยู่ดี”แหม! ช่างพูดช่างจา เกี้ยวพาราสีสาวได้คล่องแคล่วเชียวนะแก“หนูไม่อาบน้ำกับคุณหรอกค่ะ เชิญอาบไปคนเดียวเลย หนูจะกลับไปนอนที่เรือน” สาวเจ้าพูดพลางเชิดหน้าหนีอุ้งมือใหญ่ ไม่ต้องมาโชว์กล้ามเนื้อตรงนี้จะได้หรือปะ ถึงชาติที่เป็นมธุรสจะบ้ากล้ามหน้าท้องผู้ชายและบ้าหนุ่มกล้ามปูสักเพียงใด แต่จะมิหลงกลพ่อยักษ์กะล่อนนี่เด็ดขาด ความหล่อเหลามันทานไม่ได้! “แล้วเรือนอยู่ทางไหนคะ หนูจำทางกลับเรือนไม่ได้”โว้ย น่าสมเพชจริงอีนังมธุรส เรื่องหลงๆ ลืมๆ เส้นทางของหล่อนนี่ยังเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าจริงๆสาวเจ้าบ่นอุบใส่ตนเอง ไม่มีทางเลือกต้องหมุนตัวพลิกลิ้นกลับไปพึ่งพาเจ้าของบ้านอย่างเขาอย่างเสียมิได้อสุราหนุ่มแย้มยิ้มพราย
“มิมีปากมีเสียงเช่นนี้ สำแดงว่าที่ตัวพี่เอ่ยเป็นอันถูกต้อง” ยักษ์ว่าเช่นนั้น เข้าใจว่านางคงอายหากมีใครมาเห็นเขาและนางล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้ จะว่าพิกลไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั่นเองคิดได้เช่นนั้น อสุราหนุ่มจึงร่ายคาถา สร้างต้นไม้ใหญ่รกครึ้มรอบๆ สระบัวในทันทีมธุรสอ้าปากค้าง เมื่ออยู่ดีๆ รอบสระบัวก็ปรากฎต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นรอบๆ กลายเป็นป่าละม่อมขนาดย่อมเธองเหลียวกลับไปจ้องหน้าอสุราหนุ่มอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยรู้เลยว่ายักษ์จะร่างเวทมนตร์คาถาเสกต้นไม้ได้ด้วย นี่เหมือนหล่อนกำลังอ่านแฮรี่ พ็อตเตอร์ของเจ. เค. โรว์ลิ่งอยู่เลยอ่ะ“เท่านี้ก็มิมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่” ยังมิวายก้มหน้าลงมาถามหล่อนด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์นั่นอีก“มะ... มันก็ดีอยู่หรอกค่ะ” ก็ทหารของเขายืนอยู่ตรงนู้นนี่หว่า เมื่อเกิดป่ารกทึบรอบสระบัวแบบนี้ ก็คงไม่มีชายคนไหนได้เห็นเรือนร่างของเธออีก “แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”ท้ายประโยคสาวเจ้าบ่นอุบอิบ น่าพิกลจริงที่สุวรรณราพณ์ตามใจเธอแบบนี้“พี่ตามใจเมียทุกคนของพี่นั่นแล” หากแต่คำตอบก็พอทำให้หญิงสาวรู้ว่าทำไม ได้แต่มุ่ยหน้าตามประสาเด็กสาวที่หมั
“พระสนมเจ้าคะ ข้าว่ากลับเรือนเถอะเจ้าค่ะ แดดเริ่มแรง เดี๋ยวพระสนมจักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน” สาวรับใช้ประจำตนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง รู้ดีว่าพระสนมของตนนั้นหลงใหลท่านผู้นั้น ยอมตกเป็นของท่านหลายคราเพียงเพื่อได้หัวใจของท่าน แม้เพียงแค่ชายตาแลก็ยังดีแต่ในขณะเดียวกันสาวรับใช้นางนั้นก็รู้ดีเพราะว่ารับใช้กษัตริย์กรุงยักษามามากกว่าสองร้อยปี ว่าท่านผู้นั้นเฝ้ารอคู่ชะตามานานเพียงใด แม้ท่านจะมีเมียมากตามประสากษัตริย์ แต่ทว่ากลับไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่พร่ำบ่นคิดถึงคู่ชะตาถึงร้อยกว่าปีนั่นเลยสักคราเมื่อได้คู่ชะตามาอยู่ในกำมือของตน จึงไม่แปลกหากท่านจะเอาแต่สนใจท่านหญิงผู้นั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา“เมื่อใดกันสูรย์ตรี เมื่อใดกันที่ข้าจักได้อยู่ในพระเนตรของท่านบ้าง” ตองนวลเอ่ยกับสาวรับใช้ของตนอย่างแสนเศร้า เนื่องจากสุวรรณราพณ์ไม่คิดเชื่อใจผู้ใดนอกจากคนของตน จึงออกคำสั่งให้สูรย์ตรีมาเป็นสาวรับใช้ของตองนวลแทนสาวรับใช้ในเมืองเก่าที่นางจากมา เพราะฉะนั้นสาวรับใช้ของสนมทุกคนของท่านจึงเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ทั้งสิ้น“พระสนม...” สาวรับใช้ร่างใหญ่เอื้อนเอ่ยเรียกชื่อพระสนมของตนเสียงอ่อน เอื้อมมือไปคว้าฝ่ามือนวลมากุมไ
สุวรรณราพณ์ยักษาเคลื่อนกายปราศจากอาภรณ์เข้ามาภายในเรือนใหญ่ของตนอย่างไม่นึกอายบ่าวรับใช้ที่หมอบกราบหน้าสลอนกันแม้แต่เพียงนิด แต่สาวร่างใหญ่เหล่านั้นคุ้นชินกับอุปนิสัยนายของตนเสียแล้ว จึงตบแต่งกายาอาภรณ์ให้ท่านแต่โดยง่าย สูรย์เกล้าที่เป็นบ่าวประจำท่านยกสังวาลและทับทรวงให้สูรย์มนตราซึ่งเป็นบ่าวรับใช้อีกนาง หล่อนแต่งโฉมให้กษัตริย์กรุงยักษาได้ดั่งเช่นทุกวันสุวรรณราพณ์ตรวจทานตนในคันฉ่อง รูปโฉมเขาในชาตินี้งดงาม ไม่แปลกที่จักมีสนมถึงสิบสองคน แม้สนมคนที่สิบเอ็ดจักไม่ได้ต้องใจเขาเช่นสนมคนอื่นๆ ก็ตามจะว่าไป บุศยาสนมคนที่สิบสองที่ไปชิงมาจากเมืองหัสดีเมื่อคืนวาน ยังไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยกันเลยดอกหนา“บุศยาอยู่ที่ใด” ท่านเหลียวไปถามสูรย์เกล้าด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ นางหมอบกราบท่าน แล้วตอบคำถามโดยง่าย“เรือนหอนอนประจำของนางทางปีกซ้ายเพคะ”“ข้าจักไปหานาง เร่งไปบอกสูรย์เสียงให้ตบแต่งนางให้พึงใจข้าโดยเร็ว”“เพคะท่านผู้มากศักดา” นางยกท่านขึ้นเหนือศีรษะ คำยกย่องนั้นเป็นปกติของกรุงยักษาแห่งนี้ที่มักใช้เยินยอกษัตริย์หรือพระมเหสีผู้ทรงศักดิ์ สูรย์เกล้าย่อเท้าเกือบชิดพื้นออกไปจากห้องหับของเขาอย่างยำเกรงส
บุศยานิ่งอึ้งอย่างตกตะลึง ตั้งแต่จำความได้ หล่อนเกิดมาพร้อมกับคำสาป ลายสักที่กลางหลังจักปรากฎขึ้นเมื่อมีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้าเปิดเผยมัน พระโหราธิบดีทำนายทายทักว่าจักมีอมนุษย์รูปงามช่วยนางให้พ้นจากคุณไสยที่ตามหลอกหลอน พระบิดาจึงส่งหล่อนให้ตกเป็นเมียของท่านผู้นี้ตั้งแต่อายุยังมิครบจักออกเรือนมินึกรู้ว่าท่านจักไหว้วานยักษาตนนี้ให้รักษาหล่อน“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นกับท่านหรือเพคะ” บุศยากุมทรวงเล็ก ซ่อนไว้ใต้ผ้ารัดอกที่ถูกดึงออก ท้วงถามด้วยความฉงนใจ“ตามที่ข้าพูดนั่นแล” สุวรรณราพณ์ให้คำตอบ นางจึงระบายยิ้มบางออกมา อย่างน้อยเสด็จพ่อผู้เย็นชาผู้นั้นก็ยังห่วงหาอาทรในตัวนาง แม้นตั้งแต่จำความได้ ท่านจักมิเคยแลเห็นหรือให้ความสำคัญในตัวพระธิดาคนสุดท้องเช่นนางเลยก็ตาม“... เช่นนั้น” สุ้มเสียงเล็กผุดคำถามขึ้นมาอีกครา “ท่านจักมิทำอันใดข้าแล้วใช่หรือไม่”“เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก ข้ามินิยมชมชอบสมสู่กับผู้เยาว์ดอกหนา”แม้นจักเป็นคำพูดที่แสบสันในทรวงนัก แต่เจ้าหล่อนกลับระบายยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม“ขอบพระทัยในความใจบุญของท่านนักเพคะ” หล่อนประนมมือจรดอก และก้มลงกราบอสุราหนุ่มที่ทรงเมตตากับนาง ที่นอกจากจั
แม้รู้ดีว่ามันช่างน่าละอาย ไม่เหมาะไม่ควรจักเป็นกิริยางามของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ แต่ขอเพียงแค่ได้แนบชิดกับกายแกร่งนั้นอีกสักคราเป็นพอ ให้ท่านรับรู้กับความรักเปี่ยมล้นจากกายาของนางทุกอณู“กลับเรือนเจ้าไปเถิด” อสุราหนุ่มปฏิเสธอย่างมิใยดี ใบหน้านงคราญชาดิกเสียจนมิรู้สึกอะไร “ข้ามิมีธุระจักร่วมรักกับเจ้า”“แล้วท่านจักต้องเสียพระทัยที่ทำกับข้าเช่นนี้” หญิงสาวพูดปนสะอื้นไห้ หลบหลีกออกไปจากหอนอนของท่านอย่างเสียหน้าในทันใดดวงหน้าคมคายเหลียวไปมองยังประตูที่นางหลีกออกไป ก่อนจะหันไปส่องตนในคันฉ่อง มิได้จะนึกอยากชมเชยรูปร่างของตนเสียทีเดียว แต่ในชาตินี้เขารูปงามถึงขนาดมีสนมถึงสิบคนไม่มีกระไรที่ขาดพร่องเหมือนชาติก่อนอีก“อีขวัญยอดรักของพี่... พี่จักช่วยเจ้าเอง”ความเจ็บปวดพระทัยที่มิอาจช่วยนางให้รอดพ้นจากความตายในชาติก่อนได้ ทำให้ชาตินี้เขาจำเป็นต้องมีนางอยู่ในกำมือตัดไปที่ด้านมธุรสแน่งน้อย นางสัมผัสได้ถึงสายตาด้านนอกหน้าต่างมาสักพัก เหมือนจักโดนสตอล์กเกอร์แต่ก็ไม่มีใครในหอนอนนี้นอกจากนางเลยหันขวับไปมองหลังจากที่นั่งๆ นอนๆ ในหอนอนนี้อยู่นานสองนาน ด้านนอกมีเพียงต้นสักที่แผ่กิ่งก้านสาขา ไร้ผู้ใดน
หนุมานเองก็เลี่ยงคำถามของเธอด้วยการถามกลับเช่นกัน สาวเจ้าชะงักกึก เพราะถ้าหากเป็นเมืองลับแลอย่างกรุงยักษาเช่นนี้ การที่จะมีหญิงสาวสักคนรู้จักพระรามพระลักษณ์ที่ในขณะนั้นไม่ได้เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองอโยธยาเนื่องจากโดนเนรเทศไปอยู่ป่าเป็นเวลาสิบสี่ปี ก็ค่อนข้างแปลกพิกลอยู่ไม่อยากให้ใครในโลกยุคนี้มารู้หรอกนะว่าเป็นสาวยุคดิจิตอลที่อ่านวรรณคดียุคอโยธยาผ่านตาเป็นสิบเรื่องในตำราเรียนมาเกิดใหม่ (ถึงสุดท้ายจะอ่านไม่จบเพราะทนตรรกะในเรื่องไม่ได้ก็ตาม)แต่เอ้ะ ถ้าหนุมานมาเป็นพรรคพวกของพระรามพระลักษณ์ได้ ก็แปลว่าเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงช่วงที่เริ่มทำศึกกับทศกัณฐ์แล้วสิเจ้าหล่อนคิดในดวงจิต เนื่องจากมิได้อ่านรามายณะอย่างละเอียดจึงไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในเนื้อเรื่องจุดไหนกันแน่เปลี่ยนเรื่องเอาละกันวะ คิดมากปวดหัวตาย“แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” หนุมานเอียงคอ ส่ายหางยาวๆ ไปมาเมื่อเห็นว่าสาวเจ้าท่าทางล่กๆ เลิ่นๆ ไม่เป็นผู้เป็นคน ท่าทางจะมีอะไรในใจแต่คงไม่กล้าพูดออกมา แต่เอาเถอะ เขาไม่ใช่คนที่ใจร้ายใจดำที่จะเค้นคออีกฝ่ายให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากรู้อยู่แล้วยิ่งฝ่ายนู้นเป็นแม่สาวโฉมสะคราญ ยิ่งทำใจร้ายไม่ลง“ข้าเพีย
หากแต่อาการสำแดงการปกป้องอีกฝ่ายของนางทำให้อีกฝ่ายยิ่งโกรธเกรี้ยว อสุราหนุ่มหันมาปรามาสหล่อนถึงกลิ่นกายที่หอมหวนราวกับกลิ่นบุปผาสวรรค์“ก็ทำลายไปเลยสิคะ ไม่ได้อยากเกิดมาตัวหอมจนมีผู้ชายมาหาอยู่แล้ว!” นางท้าทายผู้เป็นสามี (ไม่จริง) ของตนอย่างเดือดดาล ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยพ่อ หึงหวงหน้ามืดไม่เข้าท่า ทำเหมือนเพราะกลิ่นกายหล่อนไปยั่วอารมณ์ชายอื่นเอาซะได้ แบบนี้มันแพ้แล้วพาลชัดๆสุวรรณราพณ์ขบกรามแน่นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าท้าทายเขาอย่างมิมีท่าทางจักกลัวเกรง มิสำนึกผิดเลยสักนิดว่าเพราะความหอมยั่วยวนของหล่อนจักทำให้อมนุษย์มิว่าหน้าไหนหลงใหลแค่เพียงได้กลิ่นกายของนางเท่านั้นเจ้าจันทร์เกิดมามีกลิ่นพิเศษที่จักทำให้อมนุษย์หรืออสุรกายเข้าหาเธอแค่เพียงได้กลิ่น นั่นคือที่มาของคำว่า ‘กลิ่นบุปผาคลั่ง’ ที่ไอ้หนุมานมันว่าเพราะกลิ่นนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ทุกคราที่อยู่ใกล้ เขามักจักอดใจมิให้สัมผัสนางไม่เคยไหวก็แค่ดับกลิ่นมันไป เท่านี้ก็จักมิมีอมนุษย์เพศผู้ตนใดมาเข้าใกล้ผกากรองเช่นนางอีกแล้ว“งั้นรึ ก็ดี งั้นข้าจักทำให้เจ้าเหม็นโฉ่เสียจนมิมีผู้ได้กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว” ไม่ว่าเปล่า อสุราหนุ่มบริกรรมคาถาในดวงจิ
เช้าตรู่วันต่อมา มธุรสตื่นขึ้นมาพร้อมกับคราบน้ำตานางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ผิวเนียนนุ่มมีแต่กลิ่นสมุนไพรฉุนจมูก เจ้าตัวจ้อยค่อยๆ ใช้หลังมือนวลปาดน้ำตาของตนเอง พลางค่อยๆ วางเท้าลงบนพื้นกระดาน หยัดยืนขึ้นเต็มความสูง“... พี่สูรย์จันทร์” เธอเรียกชื่อของบ่าวอสุรีประจำกายตน เมื่อคืนพอหัวถึงหมอนก็ร้องไห้จนหลับไปเลย โดยมีพี่สูรย์จันทร์ค่อยลูบเนื้อลูบตัว ทำแผลหายาทาให้อยู่ไม่ห่างในยุคนี้ คนที่ใจดีไปมากกว่าพี่สูรย์จันทร์... คงไม่มีอีกแล้วแม้แต่เจ้ายักษ์นั่นที่เกือบจะไว้ใจ ก็ทำร้ายเราจนเจ็บใจ เจ็บกายไปหมด“... ต้องหนี” มธุรสพึมพำกับตนเองใช่ ต้องหนีไปจากที่นี่ เพราะเธอไม่สามารถทนอยู่เพื่อประสบพบหน้ากับชายผู้นั้นได้อีกแล้วมธุรสคิดพลางห่มกายที่เปลือยเปล่ากับผ้าแพรยาวคลุมได้ทั้งตัว พลางค่อยๆ ลับๆ ล่อๆ เดินกะเผลกๆ ลงไปตามกระไดเรือน มองซ้ายมองขวา เลือกไปในที่ที่ทหารอารักขามองไม่เห็นพอเข้าไปในป่าละม่อมนางก็วิ่ง วิ่งจนสุดชีวิต วิ่งโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลัง จนเข้ามาในเขตป่าใหญ่ที่ติดกับป่าละม่อมรอบสระบัว นางมองไปด้านหลังเห็นวังมรกตอยู่ลิบๆคนตัวเล็กหอบแฮ่ก พลางล้มตัวลงนั่งกลางป่า เสียงนกและเสีย
มธุรสพยายามดิ้นรนทั้งที่บัดนี้กายสาวเปลือยเปล่า ผิวขาวผ่องสะท้อนแสงจันทร์เปล่งประกายสุกใส ผิดแผกจากสาวงามที่สังวรีราพณ์เคยลิ้มรสผ่านกายาของไอ้สุวรรณราพณ์ เนื้อนวลเปล่งสีทองประกาย สาวงามเช่นหล่อน เมื่อชาติก่อนคงทำบุญมามาก ชาตินี้จึงเกิดมาด้วยรูปโฉมงดงามราวกับนางอัปสรเช่นนี้“อยากรู้เสียจริงว่าไฉนไอ้สุวรรณราพณ์ถึงหวงแหนเจ้านัก ข้าจักลิ้มรสเจ้ามิให้เหลือ ให้มันได้รู้ซึ้งว่าข้านี่แหละที่ควรจักครองร่างนี้”สุวรรณราพณ์พร่ำพูดคำที่มธุรสไม่สามารถทำความเข้าใจได้ กายาใหญ่ยามสะท้อนแสงจันทร์ พร้อมกับดวงตาสีชาดที่แลดูหมายมั่นว่าจักเอาหล่อนมารวบหัวรวบหางให้ได้ทำให้มธุรสหวีดร้องในลำคอ นางพลิกตัวเพื่อคลานลงจากเตียง หากแต่ก็ถูกรั้งข้อเท้าเอาไว้ แลถูกลากให้นอนราบคว่ำหน้าบนเตียงสังวรีราพณ์คว้าสะโพกนางให้ยกเชยขึ้น สำรวจความงามของบั้นท้ายขาวผ่อง ตรงใจกลางกลีบดอกลำดวนนั้นช่างงดงาม เป็นสีชมพูอ่อนแลสั่นระริกจากเนื้อตัวของนางปลายตชฺชะนี (นิ้วชี้) แลมชฺฌิมา (นิ้วกลาง) แหวกกลีบเนื้อนวลที่ปิดสนิทแนบชิดกันออก เผยโพรงแคบแน่นขนัดที่เต้นตุบๆ ด้านในเป็นสีชมพูเข้ม งดงามเมื่อได้เชยชมดวงหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้บั้นท้า
“คุณพี่เรียกข้าหรือ”เสียงกังวานใสของตองนวลดังภายในหอนอนปีกขวาในยามราตรีกาล นางกำลังนั่งผัดหน้า แต้มนิดแต้มหน่อยอย่างพึงใจสูรย์ตรีแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าพระสนมดูสุขีดี พลางหมอบกราบอย่างนอบน้อม“เจ้าค่ะพระสนม ดูองค์เหนือหัวต้องการท่านมากทีเดียว”“ข้าควรจักทำสีหน้าเช่นไรดีล่ะ” วันเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม หลังจากที่รับนางเด็กเจ้าจันทร์นั้นมา คุณพี่ก็มีรับสั่งเรียกเธอจนได้ แม้นว่าก่อนหน้าจักเห็นตามติดเจ้าจันทร์อยู่เสียหลายวัน รู้มั้ยว่านางต้องทนหนาวเหน็บกายายามค่ำคืน ไร้อ้อมกอดอบอุ่นของท่านมานานเพียงไหน“พระสนมเพียงทำสีหน้าปรกติ ก็งามเกินกว่าใครมาเปรียบแล้วเจ้าค่ะ”“ปากหวานเหลือเกินหนา” นางผินหน้าสะเทิ้นอายรับคำชม ตองนวลเม้มปากกับกระดาษสีชาด ริมฝีปากเต่งตึงฉาบด้วยสีสัน นางแต้มมือกับกลีบปากให้เนื้อสีดูนวลชวนเย้ายวนตาขึ้นเพียงนิด จึงค่อยๆ หยัดกายลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง“ข้าจักรีบไปหาคุณพี่ประเดี๋ยวนี้”ในหอนอน เรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่าปรากฏเป็นวังมรกตที่สวยงาม ร่างสะโอดสะองในชุดไทยโบราณงามวิจิตรค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปภายใน ประตูไม้ถูกแง้มไว้แต่พอดี นางจึงค่อยๆ แอบมองลอดดูด้านในอย่างตื่นเต้น“เข้ามาสิตองนว
‘น้องจันทร์แจ้งว่านางมิพร้อมจักร่วมหลับนอนกับข้า อดทนรอได้ฤาไม่’ถ้ากูมิได้เสพสมกับหญิงสาวตนใดในเพลานี้ กูจักอาละวาดและยึดร่างกายเจ้า จับสนมทุกนางกินให้หมดเสีย!‘มิได้ เจ้าจำต้องรับฟังคำขอของข้าด้วย’เสียงดื้อดึงในหัวของเขาเงียบลงไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะหัวเราะขบขันได้สิ หากแต่... มึงต้องเรียกตองนวลมาให้กูเสพสังวาสกับนางในคืนนี้ มึงทำเพื่อแลกกับชีวิตของสนมทุกคนได้หรือไม่?เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่หน้าผากของบุรุษยักษา เขาคืออสุราผู้บำเพ็ญตบะและสั่งสมอาคมอันแก่กล้ามานานหลายร้อยปี และถือพรหมจารีย์ เพื่อจักได้มีชีวิตรักเคียงข้างคู่ชะตาของเขาเพียงเท่านั้นแต่ถ้าเป็นความบ้าคลั่งในกายเขา ที่ถูกเพรียกชื่อว่า ‘สังวรีราพณ์’ นั้น เขามิแน่พระทัยนักเขามีชีวิตและห่วงหาแต่เจ้าจันทร์เพียงเท่านั้น หญิงอื่นเขาหาได้สนใจไม่‘ข้าจักเรียกนางมาให้เจ้า ในคืนนี้’สังวรีราพณ์ นั้นคือยักษาที่เร้นกายในความมืดมิดภายใต้ดวงจิตของสุวรรณราพณ์มาตลอดร้อยปีที่เขาถือกำเนิดขึ้น ดวงจิตอันมืดมิด เผยเป็นยักษาขนาดมหึมา กายาสีทมิฬกับห้าสิบหัตถ์ รอยอักขระสีทองคำเต็มทั่วกายา ไฟสุมกายมันท่ามกลางบัลลังก์กองกระดูกมนุษย์แลความมืดมิดที่ย
“คิกๆ ดูท่านจักอยากได้เจ้าเป็นเมียนักเชียว ถึงได้มาบ่นรำพึงกับข้าที่บึงอยู่บ่อยๆ แถมครานี้ยังมอบคาถาให้ข้าพูดคุยโต้ตอบได้เสียด้วย” บุรุษปลาบู่หัวเราะคิกคักท่าทางมีเลศนัย “ไยเจ้าไม่ไปถามท่านผู้นั้นเองเล่า ว่าเจ้าควรทำเช่นไร”“เอ้ะ คุณปู่ปลา ก็หนูมาถามคุณปู่เพราะหนูเองก็ไม่กล้าไปถามเขาตรงๆ ยังไงล่ะคะ” อีกฝ่ายยกมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ค้ำสะพานไม้ขึ้นมาท้าวสะเอว “แล้วเขามาแอบดูเราอย่างนี้ หนูจะต้องทำอย่างไรต่อดี”“เผชิญหน้าไปตรงๆ ซิ ท่านน่าจักอยากพูดคุยบางอย่างกับเจ้านะ”“แต่หนู...”“ไยมานั่งหมอบตรงนี้อยู่คนเดียวหรือน้อง?”“ว้ายตาเถร!” มธุรสสะดุ้งโหยง ตกใจเสียงทุ้มต่ำที่มาประชิดด้านหลังราวกับว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาเฉียดใกล้เมื่อไหร่มิอาจทราบได้ และเพราะตนกำลังชะเง้อคอลงไปชิดกับผิวน้ำอยู่นั่นเอง นางจึงเผลอหกคะเมนหัวทิ่มหัวตำลงไปในสระบัวตามที่อุทานไว้จริงๆบุ๋งๆเสียงนางหายใจเป็นฟองอากาศใต้น้ำ เพราะหัวทิ่มลงมาในท่าที่ไม่ถูกต้องนัก เส้นเลยยึดตรงหัวเข่า ทำให้นางปวดขามิสามารถตีขาในน้ำว่ายขึ้นไปรับอากาศได้ ทำได้แค่เพียงค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่ก้นบึงอย่างน่าอนาถแต่ทว่าดวงตาที่พร่ามัวมองเห็นกายาใหญ่โตกำลั
เขารำพันออกมาถึงเรื่องราวของตน มิได้อยากสัปดนจนโดนสาวเจ้ารังเกียจรังงอน หากแต่นี่คือประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาของต้นตระกูลยักษ์ เนื่องจากว่าขนาดอันใหญ่โตที่จักทำให้อีกฝ่ายเจ็บร้าวเอาได้ จึงจำต้องมีน้ำอมฤตไว้ผ่อนคลายจิตใจ พิศดูดีๆ ก็อาจคล้ายกับยาเสียสาวนั่นแลฝ่ายบุรุษมัจฉาก็นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา“ข้าเป็นเพียงแค่ปลาในสระบัวของท่าน มิรู้เรื่องกระไรเช่นนี้ดอก”“ข้าจักต้องทำเช่นไร ให้นางยอมรับสิ่งที่เป็นข้า”“...”“หรือเพราะนางเป็นมนุษย์ที่ยังถือพรหมจารีย์ ถึงยังมิคุ้นชินกับประเพณีเช่นนี้?”“ข้าคิดว่าเช่นนั้นนายเหนือหัว ท่านควรเข้าหานางด้วยความเยือกเย็น มิจำเป็นต้องวู่วาม”“เช่นนั้นเองหรือ” สุวรรณราพณ์ยักษาทอดมองภาพกายาอันใหญ่โตและใบหน้ารูปงามของตนเองที่ปรากฎบนผิวน้ำ มันบิดเบี้ยวบึ้งบูดพอๆ กับในฤทัยของเขา รวบรวมความกล้าเหลือเกินกว่าที่จักแปลงกายไปดูนางสีฟันกับกิ่งข่อย จนเห็นนางอ้างว้างหนาวเหน็บจึงเข้าไปโอบกอดอย่างทนดูมิได้ภักดีรอนางมาร้อยกว่าปี จนเกิดใหม่เป็นยักษารูปงามชน ก็อยากจักครองราชย์ สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างเมืองให้อุดมสมบูรณ์ หากแต่พันธะสัญญาที่ท่านมอบไว้กับฤาษีต
“ได้สิ จักให้พิศดูจนพอใจเลยเชียว”อสุราหนุ่มว่า หย่อนท่อนขาแกร่งลงนั่งขัดสมาธิแบบไม่เรียบร้อยนัก เปิดเผยส่วนที่ผงาดแข็งขืนราวกับท่อนซุงจะจะตรงหน้าหล่อนตอนที่สระบัวที่เคยเห็น ช่วงบนบกก่อนที่จะถูกพาลงน้ำที่เขาถอดจนชีเปลือยล่อนจ้อนมันยังหดตัวอยู่ แต่แค่นั้นก็ใหญ่โตมโหฬารเหลือคณา สาวเจ้ากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ พลิกตัวกลับไปนั่งคุกเข่าอย่างเกร็งตัว ประจันหน้ากับสิ่งมหัศจรรย์อย่างมิหวั่นเกรงที่ไหนกัน หล่อนตัวสั่นริกๆ ยามเมื่อแสงจันทร์ต้องกับส่วนปลายหัวที่โค้งมน มันเงาวับและมีเส้นเลือดเป็นปล้อง ส่วนปลายบานเหมือนดอกบัวตูมสีออกชมพูหม่นเล็กๆ ขนาดส่วนท่อนแข็งนั้นราวกับท่อนซุงสีเนื้อที่ผงาดชูชันอยู่ตรงหน้าเธออีแบบนี้... จักเข้าไปได้หรือ ไม่ทะลวงไส้ทะลวงพุงหล่อนหรือไร“ใหญ่โตใช่หรือไม่” อีกฝ่ายเองก็ยืดอกผาย ภาคภูมิใจในขนาดของตนเอง “อย่าได้กลัวไป ธุลีในน้ำของพี่ช่วยให้น้องผ่อนคลายได้ ดื่มมันก่อนแล้วน้องจะครอบครองพี่ได้ทั้งหมด”“ประเดี๋ยวก่อนค่ะ” เธอยังปะติดปะต่อกระไรมิได้ความสักเท่าใดนัก เลยนั่งเรียบเรียงอยู่ “ธุลีใต้น้ำ... อสุจิ”หรือว่า“นี่คุณพี่จะต้องทำเรื่องวิตถารต่อหน้าเด็ก แล้วหนูต้องกินน้ำค
หากแต่อสุราหนุ่มกลับระบายยิ้มบางข้างมุมปาก เกลี่ยเส้นผมสีดำสลวยงดงามของเจ้าหล่อนไปทัดยังใบหูเล็ก ฝ่ามือใหญ่เกลี่ยพวงแก้มใสของนางเบาบาง“หนูจะรู้อะไรล่ะคะ” หากแต่เจ้าตัวเล็กยังย้อนสู้“สาเหตุที่ข้าชมชอบเจ้ายิ่งกว่าสนมอื่นใด”“แต่หนูไม่ได้ชอบคุณ” มธุรสนั้นจำเป็นต้องพูดออกมาตามตรง เธอไม่ได้รู้จักเขาดี ตามที่เคยบอกกับตองนวลว่าไม่ชอบชายที่รุกรานคุกคามร่างกายในวันแรกที่เจอกัน มธุรสเป็นสาวสมัยใหม่ ไม่ได้นึกคล้อยตามโดยง่ายตามสาวในยุคก่อนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นตัวละครจากวรรณคดีเรื่องไหน ไม่ได้รู้จักกันพอที่จพตกลงปลงใจ เพิ่งเจอะเจอกันได้สองสามวัน จะหวังให้นางมาหลงมารักมาชอบเขา คงยาก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีในแบบฉบับอมนุษย์ก็ตามอย่างน้อย... ก็ต้องเข้าหาอย่างถูกต้อง และรู้จักมักจี่กันให้มากกว่านี้ซะก่อนสิ“ข้ารู้ ข้ามิบังคับขู่ใจเจ้าดอก” บุรุษยักษายังคงป้องแก้มเล็กมาชิดใกล้ เขามิได้หมายใจจักทำกระไรไปมากกว่าการขอโอบกอดร่างกายเล็กจ้อยนี้ไว้เพื่อให้นางปลอดความหนาว ถึงจักเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่งที่ว่านางมิได้ชมชอบเขาอย่างที่ลั่นวาจาออกมา เนื่องจากเขาค่อนข้างมั่นพระทัยในตน ว่ารูปงามยิ่งกว่า
ไม่อยากเชื่อสายตา ว่าจะทำกันได้ลงขนาดนี้มธุรสนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในหอนอนของนาง เอนกายพิงกับโต๊ะเครื่องแป้งราวกับว่าจิตวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้วเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ได้เห็นมารยายั่วสวาทจากสาวในยุคก่อนเต็มๆ สองตา ตองนวลทั้งสอนตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แถมเป็นเรือรบที่ทำให้นวลนางแทบแดดิ้น เมื่ออีกฝ่ายพรรณนาถึงการมีเสก (?) กับคุณพี่ของนาง ไม่ว่าจะเป็นท่าไหน ก็แทบทำให้มธุรสอายจนแทบแทรกแผ่นดินถึงสมัยเป็นมธุรสที่ไร้เสน่ห์ นางจะเคยอ่านโดจินหรือนิยายยาโอยมาบ้างก็ตาม แต่อะไรที่สุดจัดปลัดบอกแถมเอ็กซ์คลูสซีฟที่เมดอินจากสมัยอโยธยามาร่ายบทอัศจรรย์ตรงหน้าแบบนี้ ก็ถึงกับระบบสมองรวนจนรับข้อมูลต่อไม่ได้ไม่ได้สันทัดอะไรด้านนี้ รู้แค่ทฤษฎีไม่เคยปฏิบัติ มาเจอแบบนี้ไปต่อไม่เป็นเลยแต่จะให้เปลือยเปล่าแล้วขย่มขยี้ต่อหน้าชายชีกอคนนั้น เธอทำไม่ลงคิดแล้วก็นับถือใจตองนวลจัง แม้ว่าหล่อนจะดูหน้าเฉี่ยวตามแบบฉบับนางร้ายตามท้องเรื่อง ขี้เหวี่ยง แถมดูจะขี้หึงขี้หวงพ่อสุวรรณราพณ์เหลือเกิน แต่ก็ยังยอมสอนให้เธอปรนเปรอเขาได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องจะว่าไปก็น่าเอ็นดูนะเนี่ย เทียบกับมธุรสในอายุขัยจริงๆ ตองนวลก็ถื