“มิมีปากมีเสียงเช่นนี้ สำแดงว่าที่ตัวพี่เอ่ยเป็นอันถูกต้อง” ยักษ์ว่าเช่นนั้น เข้าใจว่านางคงอายหากมีใครมาเห็นเขาและนางล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้ จะว่าพิกลไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั่นเอง
คิดได้เช่นนั้น อสุราหนุ่มจึงร่ายคาถา สร้างต้นไม้ใหญ่รกครึ้มรอบๆ สระบัวในทันที
มธุรสอ้าปากค้าง เมื่ออยู่ดีๆ รอบสระบัวก็ปรากฎต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นรอบๆ กลายเป็นป่าละม่อมขนาดย่อม
เธองเหลียวกลับไปจ้องหน้าอสุราหนุ่มอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยรู้เลยว่ายักษ์จะร่างเวทมนตร์คาถาเสกต้นไม้ได้ด้วย นี่เหมือนหล่อนกำลังอ่านแฮรี่ พ็อตเตอร์ของเจ. เค. โรว์ลิ่งอยู่เลยอ่ะ
“เท่านี้ก็มิมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่” ยังมิวายก้มหน้าลงมาถามหล่อนด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์นั่นอีก
“มะ... มันก็ดีอยู่หรอกค่ะ” ก็ทหารของเขายืนอยู่ตรงนู้นนี่หว่า เมื่อเกิดป่ารกทึบรอบสระบัวแบบนี้ ก็คงไม่มีชายคนไหนได้เห็นเรือนร่างของเธออีก “แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”
ท้ายประโยคสาวเจ้าบ่นอุบอิบ น่าพิกลจริงที่สุวรรณราพณ์ตามใจเธอแบบนี้
“พี่ตามใจเมียทุกคนของพี่นั่นแล” หากแต่คำตอบก็พอทำให้หญิงสาวรู้ว่าทำไม ได้แต่มุ่ยหน้าตามประสาเด็กสาวที่หมั่นไส้ในบุรุษเพศหลายใจเป็นเหลือล้น “แต่จักตามใจเมียที่พี่โปรดปราณที่สุด... มากกว่าคนอื่น”
ท้ายประโยคมิวายเอนมากระซิบข้างริมหูเจ้าหล่อนอีกครา หยอกเย้าให้อีกฝ่ายหน้าแดงแจ๋อีกครั้ง
“... อึก”
“ถ้าอยากให้ตามใจ... ก็ทำให้พึงใจเป็นพอ”
ว่าพลางใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งโอบรัดเอวคอดของสาวเจ้า อีกมือก็เลื่อนขึ้นมาป้องแก้มนวล ดวงหน้างามถูกรั้งให้แหงนขึ้นสบสายตาต่อกัน สุวรรณราพณ์จ้องมองนางอย่างต้องใจ ไล้ปลายนิ้วตั้งแต่ดวงตากลมโตสุกใสดั่งลูกแก้ว ไล้มาที่ปลายจมูกเล็กโด่งรั้นอย่างเด็กสาวแรกแย้ม ลงมาถึงริมฝีปากบางที่เผยอขึ้นอย่างน่ารัก
หลงใหลเหลือเกิน ตั้งแต่ที่ชิงนางมา ก็มิอยากชิดใกล้เมียคนไหนเท่านางอีกเลย
มธุรสใจเต้นรัวเร็ว ทำไมถึงได้จ้องมองอย่างลึกซึ้งเช่นนั้น สัมผัสอย่างตรึงใจ ในสภาพที่ร่างกายล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้
“ขะ... ขอโทษค่ะ หนูว่าหนูแตะขาถึงแล้ว” การใกล้ชิดกับบุรุษเพศนั้นช่างอันตรายต่อหัวใจ เด็กสาวเบือนหน้านี้เอ่ยถ้อยคำแทรก สะบัดดวงหน้างามจากฝ่ามือใหญ่ หลบเลื่อนสายตา พลิกตนหนีหันแผ่นหลังเล็กที่ขาวนวลให้อสุราหนุ่ม
พระพักตร์ดุดันนั้นขมวดคิ้ว นึกพิกลนักที่สาวเจ้าไม่นึกหวั่นไหวกับเขาเลยแม้แต่นิด โดยเฉพาะกับบุรุษที่รูปงามเช่นท่าน กายใหญ่โตองอาจยิ่งกว่าชายชาตรีคนไหนๆ รวมถึงการเกี้ยวพาราสีที่ไม่เป็นรองใคร (แม้จักบอกนางไปว่าไม่ถนัดการเกี้ยวพาราสีใครสักเท่าไหร่ก็ตาม)
ไม่ว่าเมียคนไหนๆ แค่ได้อยู่ใกล้ก็ต้องไหวหวั่น หากแต่นางกลับใจแข็งยิ่ง
ทางด้านมธุรสเองก็กุมทรวงด้านซ้าย สะกดดวงใจที่สั่นรัวยิ่งกว่ากลองชุดให้สงบลง เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นเป็นชายเจ้าชู้มากรัก การเผลอไปหวั่นใจนั่นถือเป็นการพลาดพลั้งอย่างร้ายแรง
พยายามมองลงไปใต้ธารน้ำใส ทอดมองดอกบัวบานสีชมพู และใบบัวที่แผ่ใบใหญ่อยู่ชิดใกล้
หมู่มัจฉาลวดลายสวยงามแหวกว่ายมาชิดใกล้กับแน่งน้อยใต้น้ำของหล่อน ตอดต้นขาขาวนวลเล่นอย่างน่าเอ็นดู สาวเจ้าหัวเราะคิกคัก ล้วงมือเล็กลงไปใต้น้ำ พยายามจะแตะปลาตัวน้อย หากแต่เมื่อมือของเธอชิดตัวนุ่มนิ่ม เจ้าตัวเล็กก็ผุดน้ำหนีโดยพลัน
“โถ่” เสียงใสครางอ่อนอย่างผิดหวัง
สุวรรณราพณ์ที่ประคองสาวเจ้าและเห็นปฏิกิริยาทั้งมวลจึงท่องคาถาในจิต ดลใจให้ฝูงปลาแหวกว่ายเข้ามาหานางทั้งฝูง เพียงเพื่อให้หญิงสาวลูบไล้พวกมันตามแต่จะพึงใจ
“โอ้ะ ทำไมอยู่ๆ ก็” สาวเจ้าอุทานเสียงแหวว แต่ต่อมาเมื่อถูกรุมตอดเท้าก็จั๊กจี้จนหัวเราะเสียงหวาน เธอหยอกล้อกับฝูงปลาน้อยเหล่านั้น ราวกับกิริยาของเด็กสาวที่ยังไม่รู้จักโต
ไม่เคยได้ใกล้ชิดปลาแบบนี้มาก่อน อีกอย่างพวกมันยังน่ารัก ไม่เหมือนปลาดุกที่วัดดอนปลาหวายใกล้บ้าน ที่พอฉีกขนมปังแข็งปาไปกลางวง ก็รุมทึ้งเหมือนฝูงซอมบี้ดูน่ากลัวโคตรๆ
แม้จักเป็นกิริยาที่ไม่ว่าชายใดในโลกมนุษย์อาจไม่ชอบใจนัก ท่าทางกระโดกกระเดก บางครั้งก็หยิ่งผยอง คับคล้ายคับคลากับลูกเสือปลาตัวจ้อยที่พยายามขู่ฟ่อใส่พญาเสือโคร่งไม่ปาน
แต่ด้านพญาเสือโคร่งตนนั้นก็คือเขานั่นเอง มันกลับจ้องมองลูกเสือปลาตนนั้นอย่างพึงใจ
แม้จะพยศหนักหนา... แต่ก็น่ารักซะจริงเชียว
ในเมื่อเมียอยากหยอกล้อกับฝูงปลา แม้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเพียงใด ก็จะสนองให้โดยที่ไม่หยุดคิดก่อนเลยเชียว
“คุณพระ ทำไมถึงได้ตามอกตามใจนางเช่นนั้น คุณพี่มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย...”
หากแต่ในหมู่แมกไม้ไม่ลึกจากสระบัวนัก ปรากฎเป็นร่างเล็กในชุดไทยวิจิตรของตองนวลที่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แอบทอดสายตามองกายล่อนจ้อนของทั้งสามีอมนุษย์ของนางและแม่เด็กสาวที่มาใหม่คนนั้น พร้อมกับขบฟันขาวอย่างเจ็บใจ
ถึงจะบอกว่าเป็นคนโปรด แต่ท่านสุวรรณราพณ์นั้นมิเคยมีพระพักตร์อันอ่อนโยนรักใคร่ให้กับสนมนางใดแม้แต่คนโปรดอย่างนาง ท่านคืออสุรากษัตริย์ผู้เยือกเย็น คาดเดาอารมณ์ไม่เคยได้ บางครั้งก็เหมือนจะมองพวกเหล่าสนมเป็นเพียงวัตถุบำบัดราคะก็เท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะพระบิดาของนางก็ไม่เคยปฏิบัติกับเหล่าสนมของท่านเหมือนเป็นเมียเอกเลยสักนิด กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ สูงส่งจนไม่อาจหรี่ตาลงมามองสตรีที่เป็นเพียงช้างเท้าหลังอย่างพวกนาง ยามเมื่อโดนสุวรรณราพณ์ตีเมือง ก็ยกนางให้เขาโดยง่าย
แม้ว่าเธอจะเตรียมใจมาดีแล้วหากจะหลงใจไปรักท่านผู้นั้น แต่ทว่าเมื่อสนมผู้มาใหม่กลับได้ความรักไปมากกว่า ไม่ว่าใครก็ต้องริษยาเป็นธรรมดา
แค่หวังอยากให้หันพระพักตร์มามองกันสักนิด มองข้าอย่างหญิงธรรมดาบ้าง มิใช่เป็นเพียงเชลยศึกที่ตกเป็นเมีย
แค่เพียงนี้... ข้าขอมากไปหรือ
“พระสนมเจ้าคะ ข้าว่ากลับเรือนเถอะเจ้าค่ะ แดดเริ่มแรง เดี๋ยวพระสนมจักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน” สาวรับใช้ประจำตนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง รู้ดีว่าพระสนมของตนนั้นหลงใหลท่านผู้นั้น ยอมตกเป็นของท่านหลายคราเพียงเพื่อได้หัวใจของท่าน แม้เพียงแค่ชายตาแลก็ยังดีแต่ในขณะเดียวกันสาวรับใช้นางนั้นก็รู้ดีเพราะว่ารับใช้กษัตริย์กรุงยักษามามากกว่าสองร้อยปี ว่าท่านผู้นั้นเฝ้ารอคู่ชะตามานานเพียงใด แม้ท่านจะมีเมียมากตามประสากษัตริย์ แต่ทว่ากลับไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่พร่ำบ่นคิดถึงคู่ชะตาถึงร้อยกว่าปีนั่นเลยสักคราเมื่อได้คู่ชะตามาอยู่ในกำมือของตน จึงไม่แปลกหากท่านจะเอาแต่สนใจท่านหญิงผู้นั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา“เมื่อใดกันสูรย์ตรี เมื่อใดกันที่ข้าจักได้อยู่ในพระเนตรของท่านบ้าง” ตองนวลเอ่ยกับสาวรับใช้ของตนอย่างแสนเศร้า เนื่องจากสุวรรณราพณ์ไม่คิดเชื่อใจผู้ใดนอกจากคนของตน จึงออกคำสั่งให้สูรย์ตรีมาเป็นสาวรับใช้ของตองนวลแทนสาวรับใช้ในเมืองเก่าที่นางจากมา เพราะฉะนั้นสาวรับใช้ของสนมทุกคนของท่านจึงเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ทั้งสิ้น“พระสนม...” สาวรับใช้ร่างใหญ่เอื้อนเอ่ยเรียกชื่อพระสนมของตนเสียงอ่อน เอื้อมมือไปคว้าฝ่ามือนวลมากุมไ
สุวรรณราพณ์ยักษาเคลื่อนกายปราศจากอาภรณ์เข้ามาภายในเรือนใหญ่ของตนอย่างไม่นึกอายบ่าวรับใช้ที่หมอบกราบหน้าสลอนกันแม้แต่เพียงนิด แต่สาวร่างใหญ่เหล่านั้นคุ้นชินกับอุปนิสัยนายของตนเสียแล้ว จึงตบแต่งกายาอาภรณ์ให้ท่านแต่โดยง่าย สูรย์เกล้าที่เป็นบ่าวประจำท่านยกสังวาลและทับทรวงให้สูรย์มนตราซึ่งเป็นบ่าวรับใช้อีกนาง หล่อนแต่งโฉมให้กษัตริย์กรุงยักษาได้ดั่งเช่นทุกวันสุวรรณราพณ์ตรวจทานตนในคันฉ่อง รูปโฉมเขาในชาตินี้งดงาม ไม่แปลกที่จักมีสนมถึงสิบสองคน แม้สนมคนที่สิบเอ็ดจักไม่ได้ต้องใจเขาเช่นสนมคนอื่นๆ ก็ตามจะว่าไป บุศยาสนมคนที่สิบสองที่ไปชิงมาจากเมืองหัสดีเมื่อคืนวาน ยังไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยกันเลยดอกหนา“บุศยาอยู่ที่ใด” ท่านเหลียวไปถามสูรย์เกล้าด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ นางหมอบกราบท่าน แล้วตอบคำถามโดยง่าย“เรือนหอนอนประจำของนางทางปีกซ้ายเพคะ”“ข้าจักไปหานาง เร่งไปบอกสูรย์เสียงให้ตบแต่งนางให้พึงใจข้าโดยเร็ว”“เพคะท่านผู้มากศักดา” นางยกท่านขึ้นเหนือศีรษะ คำยกย่องนั้นเป็นปกติของกรุงยักษาแห่งนี้ที่มักใช้เยินยอกษัตริย์หรือพระมเหสีผู้ทรงศักดิ์ สูรย์เกล้าย่อเท้าเกือบชิดพื้นออกไปจากห้องหับของเขาอย่างยำเกรงส
บุศยานิ่งอึ้งอย่างตกตะลึง ตั้งแต่จำความได้ หล่อนเกิดมาพร้อมกับคำสาป ลายสักที่กลางหลังจักปรากฎขึ้นเมื่อมีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้าเปิดเผยมัน พระโหราธิบดีทำนายทายทักว่าจักมีอมนุษย์รูปงามช่วยนางให้พ้นจากคุณไสยที่ตามหลอกหลอน พระบิดาจึงส่งหล่อนให้ตกเป็นเมียของท่านผู้นี้ตั้งแต่อายุยังมิครบจักออกเรือนมินึกรู้ว่าท่านจักไหว้วานยักษาตนนี้ให้รักษาหล่อน“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นกับท่านหรือเพคะ” บุศยากุมทรวงเล็ก ซ่อนไว้ใต้ผ้ารัดอกที่ถูกดึงออก ท้วงถามด้วยความฉงนใจ“ตามที่ข้าพูดนั่นแล” สุวรรณราพณ์ให้คำตอบ นางจึงระบายยิ้มบางออกมา อย่างน้อยเสด็จพ่อผู้เย็นชาผู้นั้นก็ยังห่วงหาอาทรในตัวนาง แม้นตั้งแต่จำความได้ ท่านจักมิเคยแลเห็นหรือให้ความสำคัญในตัวพระธิดาคนสุดท้องเช่นนางเลยก็ตาม“... เช่นนั้น” สุ้มเสียงเล็กผุดคำถามขึ้นมาอีกครา “ท่านจักมิทำอันใดข้าแล้วใช่หรือไม่”“เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก ข้ามินิยมชมชอบสมสู่กับผู้เยาว์ดอกหนา”แม้นจักเป็นคำพูดที่แสบสันในทรวงนัก แต่เจ้าหล่อนกลับระบายยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม“ขอบพระทัยในความใจบุญของท่านนักเพคะ” หล่อนประนมมือจรดอก และก้มลงกราบอสุราหนุ่มที่ทรงเมตตากับนาง ที่นอกจากจั
แม้รู้ดีว่ามันช่างน่าละอาย ไม่เหมาะไม่ควรจักเป็นกิริยางามของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ แต่ขอเพียงแค่ได้แนบชิดกับกายแกร่งนั้นอีกสักคราเป็นพอ ให้ท่านรับรู้กับความรักเปี่ยมล้นจากกายาของนางทุกอณู“กลับเรือนเจ้าไปเถิด” อสุราหนุ่มปฏิเสธอย่างมิใยดี ใบหน้านงคราญชาดิกเสียจนมิรู้สึกอะไร “ข้ามิมีธุระจักร่วมรักกับเจ้า”“แล้วท่านจักต้องเสียพระทัยที่ทำกับข้าเช่นนี้” หญิงสาวพูดปนสะอื้นไห้ หลบหลีกออกไปจากหอนอนของท่านอย่างเสียหน้าในทันใดดวงหน้าคมคายเหลียวไปมองยังประตูที่นางหลีกออกไป ก่อนจะหันไปส่องตนในคันฉ่อง มิได้จะนึกอยากชมเชยรูปร่างของตนเสียทีเดียว แต่ในชาตินี้เขารูปงามถึงขนาดมีสนมถึงสิบคนไม่มีกระไรที่ขาดพร่องเหมือนชาติก่อนอีก“อีขวัญยอดรักของพี่... พี่จักช่วยเจ้าเอง”ความเจ็บปวดพระทัยที่มิอาจช่วยนางให้รอดพ้นจากความตายในชาติก่อนได้ ทำให้ชาตินี้เขาจำเป็นต้องมีนางอยู่ในกำมือตัดไปที่ด้านมธุรสแน่งน้อย นางสัมผัสได้ถึงสายตาด้านนอกหน้าต่างมาสักพัก เหมือนจักโดนสตอล์กเกอร์แต่ก็ไม่มีใครในหอนอนนี้นอกจากนางเลยหันขวับไปมองหลังจากที่นั่งๆ นอนๆ ในหอนอนนี้อยู่นานสองนาน ด้านนอกมีเพียงต้นสักที่แผ่กิ่งก้านสาขา ไร้ผู้ใดน
หนุมานเองก็เลี่ยงคำถามของเธอด้วยการถามกลับเช่นกัน สาวเจ้าชะงักกึก เพราะถ้าหากเป็นเมืองลับแลอย่างกรุงยักษาเช่นนี้ การที่จะมีหญิงสาวสักคนรู้จักพระรามพระลักษณ์ที่ในขณะนั้นไม่ได้เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองอโยธยาเนื่องจากโดนเนรเทศไปอยู่ป่าเป็นเวลาสิบสี่ปี ก็ค่อนข้างแปลกพิกลอยู่ไม่อยากให้ใครในโลกยุคนี้มารู้หรอกนะว่าเป็นสาวยุคดิจิตอลที่อ่านวรรณคดียุคอโยธยาผ่านตาเป็นสิบเรื่องในตำราเรียนมาเกิดใหม่ (ถึงสุดท้ายจะอ่านไม่จบเพราะทนตรรกะในเรื่องไม่ได้ก็ตาม)แต่เอ้ะ ถ้าหนุมานมาเป็นพรรคพวกของพระรามพระลักษณ์ได้ ก็แปลว่าเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงช่วงที่เริ่มทำศึกกับทศกัณฐ์แล้วสิเจ้าหล่อนคิดในดวงจิต เนื่องจากมิได้อ่านรามายณะอย่างละเอียดจึงไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในเนื้อเรื่องจุดไหนกันแน่เปลี่ยนเรื่องเอาละกันวะ คิดมากปวดหัวตาย“แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” หนุมานเอียงคอ ส่ายหางยาวๆ ไปมาเมื่อเห็นว่าสาวเจ้าท่าทางล่กๆ เลิ่นๆ ไม่เป็นผู้เป็นคน ท่าทางจะมีอะไรในใจแต่คงไม่กล้าพูดออกมา แต่เอาเถอะ เขาไม่ใช่คนที่ใจร้ายใจดำที่จะเค้นคออีกฝ่ายให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากรู้อยู่แล้วยิ่งฝ่ายนู้นเป็นแม่สาวโฉมสะคราญ ยิ่งทำใจร้ายไม่ลง“ข้าเพีย
หากแต่อาการสำแดงการปกป้องอีกฝ่ายของนางทำให้อีกฝ่ายยิ่งโกรธเกรี้ยว อสุราหนุ่มหันมาปรามาสหล่อนถึงกลิ่นกายที่หอมหวนราวกับกลิ่นบุปผาสวรรค์“ก็ทำลายไปเลยสิคะ ไม่ได้อยากเกิดมาตัวหอมจนมีผู้ชายมาหาอยู่แล้ว!” นางท้าทายผู้เป็นสามี (ไม่จริง) ของตนอย่างเดือดดาล ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยพ่อ หึงหวงหน้ามืดไม่เข้าท่า ทำเหมือนเพราะกลิ่นกายหล่อนไปยั่วอารมณ์ชายอื่นเอาซะได้ แบบนี้มันแพ้แล้วพาลชัดๆสุวรรณราพณ์ขบกรามแน่นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าท้าทายเขาอย่างมิมีท่าทางจักกลัวเกรง มิสำนึกผิดเลยสักนิดว่าเพราะความหอมยั่วยวนของหล่อนจักทำให้อมนุษย์มิว่าหน้าไหนหลงใหลแค่เพียงได้กลิ่นกายของนางเท่านั้นเจ้าจันทร์เกิดมามีกลิ่นพิเศษที่จักทำให้อมนุษย์หรืออสุรกายเข้าหาเธอแค่เพียงได้กลิ่น นั่นคือที่มาของคำว่า ‘กลิ่นบุปผาคลั่ง’ ที่ไอ้หนุมานมันว่าเพราะกลิ่นนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ทุกคราที่อยู่ใกล้ เขามักจักอดใจมิให้สัมผัสนางไม่เคยไหวก็แค่ดับกลิ่นมันไป เท่านี้ก็จักมิมีอมนุษย์เพศผู้ตนใดมาเข้าใกล้ผกากรองเช่นนางอีกแล้ว“งั้นรึ ก็ดี งั้นข้าจักทำให้เจ้าเหม็นโฉ่เสียจนมิมีผู้ได้กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว” ไม่ว่าเปล่า อสุราหนุ่มบริกรรมคาถาในดวงจิ
ทำไมคำพูดคำจามันไม่เหมือนเมื่อคืนเลยวะ แต่ช่างเถอะ“หนูรู้ดี แต่คุณพี่ไม่ควรโกรธแล้วมาพาลที่หนูแบบเมื่อวานนะคะ” ถึงมธุรสจะคิดว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากพ่อยักษ์ผู้ดุดันเมื่อคืน แต่ได้โอกาสแล้วเลยเอ็ดเขาไปเสียดอกหนึ่ง ชายในฝัน อย่างแรกเลยคือต้องมีเหตุมีผล เมื่อวานอาจจักเพราะเป็นหนุมานด้วย เขาเลยโกรธซะขนาดนั้น (เพราะอีกฝ่ายก็ขึ้นชื่อเรื่องได้เมียไปเรื่อยด้วย)แต่ไม่ได้นึกพิศวาสใดๆ พ่อยักษ์ตนนี้หรอก แค่เพียงอยากให้เขาประพฤติตนในแบบเจนเทิลแมนที่ฮอตฮิตติดชาร์ทในยุคปัจจุบันที่เธอจากมาก็เท่านั้นเพราะยังไงฝ่ายนี้ก็เจ้าชู้ประตูดินไม่ต่างกัน มีเมียเป็นสิบเลย ถึงจะน้อยกว่าหนุมานแค่เพียงเศษเสี้ยว แต่ก็ถือว่าไม่ได้รักเดียวใจเดียวอยู่ดียอมรับว่าหมั่นไส้ และไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ด้วย“ที่พี่เปลี่ยนกลิ่นน้อง แค่เพียงยื้อเวลาให้พวกอมนุษย์ตนใดไม่มากล้ำกราย เจ้าอยากกลายเป็นเมียอมนุษย์ครบทุกประเภทหรือไร” สุวรรณราพณ์ปากไม่ดีใส่เธอเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่ากลิ่นสาปบุปผาคลั่งของนางสร้างความลาภปากอยากรสสาวจากอสูรด้วยกันมากเพียงใดมธุรสเอียงคอสงสัย“ก็แค่กลิ่นตัว คงไม่ขนาดนั้นรึเปล่าคะ” เธอพูดไปตามความรู
“ข้าจักเริ่มสอนจากการกระพุ่มไหว้สามีของเราก่อน!”เสียงหวานแว้ดๆ ฟังน่ารำคาญหู มธุรสที่นั่งอยู่บนฐานรองนั่งตรงหน้าหล่อนท่ามกลางสวนดอกแก้วหาวหวอดใหญ่ ทันทีที่มีรับสั่ง ก็ดูเหมือนว่าตองนวลจะยอมทำตามทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งลากทั้งทึ้งตัวเล็กๆ ของเธอมาที่สวน แล้วปั้นหน้าบึ้งตึงใส่ ทำท่าทางราวกับเป็นครูบาอาจารย์สอนนาฏศิลป์ไทยสมัยเรียนเป้ะๆดูท่าทางหล่อนก็ดูจะเนี๊ยบจัด เชื่อฟังอีตายักษ์นั่นจนเหมือนเมียหลวงตามละครน้ำเน่าเลย“ต้องไหว้อีตายักษ์ชีกอนั่นด้วยหรือคะ” คนตัวเล็กถามตาโต ตองนวลจึงชะงักไป ทำไมนังเด็กนี่ถึงเรียกคุณพี่ว่าอีตายักษ์ชีกอล่ะ“ก็ใช่น่ะสิ ท่านเป็นสามีของเรา ตามปรกติภรรยาต้องกราบไหว้สามีอยู่แล้ว เจ้ามิรู้หรือไร”“ไหว้ทำไมอ่ะคะ พระสงฆ์ก็ไม่ใช่ พระพุทธรูปก็ยิ่งไม่ใช่อีกต่างหาก”“เอ้ะ ทำไมถึงมีท่าทางต่อคุณพี่เช่นนั้น” นางเอาพัดมาทาบอก เนื่องจากเท่าที่เคยรู้มา มิเคยมีสนมผู้ใดแสดงอาการมิพึงใจสามีของเราอย่างโจ่งแจ้งเช่นนาง ยิ่งได้ผ่านคืนร่วมหอกับคุณพี่ น่าจักยิ่งหลงใหลท่านมิใช่หรือ “หรือว่าเจ้ายังมิมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณพี่งั้นฤา?”ถามหว่านเมล็ดไปเช่นนั้นเอง แต่อีกฝ่ายกลับพยักหน้าร
เช้าตรู่วันต่อมา มธุรสตื่นขึ้นมาพร้อมกับคราบน้ำตานางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ผิวเนียนนุ่มมีแต่กลิ่นสมุนไพรฉุนจมูก เจ้าตัวจ้อยค่อยๆ ใช้หลังมือนวลปาดน้ำตาของตนเอง พลางค่อยๆ วางเท้าลงบนพื้นกระดาน หยัดยืนขึ้นเต็มความสูง“... พี่สูรย์จันทร์” เธอเรียกชื่อของบ่าวอสุรีประจำกายตน เมื่อคืนพอหัวถึงหมอนก็ร้องไห้จนหลับไปเลย โดยมีพี่สูรย์จันทร์ค่อยลูบเนื้อลูบตัว ทำแผลหายาทาให้อยู่ไม่ห่างในยุคนี้ คนที่ใจดีไปมากกว่าพี่สูรย์จันทร์... คงไม่มีอีกแล้วแม้แต่เจ้ายักษ์นั่นที่เกือบจะไว้ใจ ก็ทำร้ายเราจนเจ็บใจ เจ็บกายไปหมด“... ต้องหนี” มธุรสพึมพำกับตนเองใช่ ต้องหนีไปจากที่นี่ เพราะเธอไม่สามารถทนอยู่เพื่อประสบพบหน้ากับชายผู้นั้นได้อีกแล้วมธุรสคิดพลางห่มกายที่เปลือยเปล่ากับผ้าแพรยาวคลุมได้ทั้งตัว พลางค่อยๆ ลับๆ ล่อๆ เดินกะเผลกๆ ลงไปตามกระไดเรือน มองซ้ายมองขวา เลือกไปในที่ที่ทหารอารักขามองไม่เห็นพอเข้าไปในป่าละม่อมนางก็วิ่ง วิ่งจนสุดชีวิต วิ่งโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลัง จนเข้ามาในเขตป่าใหญ่ที่ติดกับป่าละม่อมรอบสระบัว นางมองไปด้านหลังเห็นวังมรกตอยู่ลิบๆคนตัวเล็กหอบแฮ่ก พลางล้มตัวลงนั่งกลางป่า เสียงนกและเสีย
มธุรสพยายามดิ้นรนทั้งที่บัดนี้กายสาวเปลือยเปล่า ผิวขาวผ่องสะท้อนแสงจันทร์เปล่งประกายสุกใส ผิดแผกจากสาวงามที่สังวรีราพณ์เคยลิ้มรสผ่านกายาของไอ้สุวรรณราพณ์ เนื้อนวลเปล่งสีทองประกาย สาวงามเช่นหล่อน เมื่อชาติก่อนคงทำบุญมามาก ชาตินี้จึงเกิดมาด้วยรูปโฉมงดงามราวกับนางอัปสรเช่นนี้“อยากรู้เสียจริงว่าไฉนไอ้สุวรรณราพณ์ถึงหวงแหนเจ้านัก ข้าจักลิ้มรสเจ้ามิให้เหลือ ให้มันได้รู้ซึ้งว่าข้านี่แหละที่ควรจักครองร่างนี้”สุวรรณราพณ์พร่ำพูดคำที่มธุรสไม่สามารถทำความเข้าใจได้ กายาใหญ่ยามสะท้อนแสงจันทร์ พร้อมกับดวงตาสีชาดที่แลดูหมายมั่นว่าจักเอาหล่อนมารวบหัวรวบหางให้ได้ทำให้มธุรสหวีดร้องในลำคอ นางพลิกตัวเพื่อคลานลงจากเตียง หากแต่ก็ถูกรั้งข้อเท้าเอาไว้ แลถูกลากให้นอนราบคว่ำหน้าบนเตียงสังวรีราพณ์คว้าสะโพกนางให้ยกเชยขึ้น สำรวจความงามของบั้นท้ายขาวผ่อง ตรงใจกลางกลีบดอกลำดวนนั้นช่างงดงาม เป็นสีชมพูอ่อนแลสั่นระริกจากเนื้อตัวของนางปลายตชฺชะนี (นิ้วชี้) แลมชฺฌิมา (นิ้วกลาง) แหวกกลีบเนื้อนวลที่ปิดสนิทแนบชิดกันออก เผยโพรงแคบแน่นขนัดที่เต้นตุบๆ ด้านในเป็นสีชมพูเข้ม งดงามเมื่อได้เชยชมดวงหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้บั้นท้า
“คุณพี่เรียกข้าหรือ”เสียงกังวานใสของตองนวลดังภายในหอนอนปีกขวาในยามราตรีกาล นางกำลังนั่งผัดหน้า แต้มนิดแต้มหน่อยอย่างพึงใจสูรย์ตรีแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าพระสนมดูสุขีดี พลางหมอบกราบอย่างนอบน้อม“เจ้าค่ะพระสนม ดูองค์เหนือหัวต้องการท่านมากทีเดียว”“ข้าควรจักทำสีหน้าเช่นไรดีล่ะ” วันเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม หลังจากที่รับนางเด็กเจ้าจันทร์นั้นมา คุณพี่ก็มีรับสั่งเรียกเธอจนได้ แม้นว่าก่อนหน้าจักเห็นตามติดเจ้าจันทร์อยู่เสียหลายวัน รู้มั้ยว่านางต้องทนหนาวเหน็บกายายามค่ำคืน ไร้อ้อมกอดอบอุ่นของท่านมานานเพียงไหน“พระสนมเพียงทำสีหน้าปรกติ ก็งามเกินกว่าใครมาเปรียบแล้วเจ้าค่ะ”“ปากหวานเหลือเกินหนา” นางผินหน้าสะเทิ้นอายรับคำชม ตองนวลเม้มปากกับกระดาษสีชาด ริมฝีปากเต่งตึงฉาบด้วยสีสัน นางแต้มมือกับกลีบปากให้เนื้อสีดูนวลชวนเย้ายวนตาขึ้นเพียงนิด จึงค่อยๆ หยัดกายลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง“ข้าจักรีบไปหาคุณพี่ประเดี๋ยวนี้”ในหอนอน เรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่าปรากฏเป็นวังมรกตที่สวยงาม ร่างสะโอดสะองในชุดไทยโบราณงามวิจิตรค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปภายใน ประตูไม้ถูกแง้มไว้แต่พอดี นางจึงค่อยๆ แอบมองลอดดูด้านในอย่างตื่นเต้น“เข้ามาสิตองนว
‘น้องจันทร์แจ้งว่านางมิพร้อมจักร่วมหลับนอนกับข้า อดทนรอได้ฤาไม่’ถ้ากูมิได้เสพสมกับหญิงสาวตนใดในเพลานี้ กูจักอาละวาดและยึดร่างกายเจ้า จับสนมทุกนางกินให้หมดเสีย!‘มิได้ เจ้าจำต้องรับฟังคำขอของข้าด้วย’เสียงดื้อดึงในหัวของเขาเงียบลงไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะหัวเราะขบขันได้สิ หากแต่... มึงต้องเรียกตองนวลมาให้กูเสพสังวาสกับนางในคืนนี้ มึงทำเพื่อแลกกับชีวิตของสนมทุกคนได้หรือไม่?เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่หน้าผากของบุรุษยักษา เขาคืออสุราผู้บำเพ็ญตบะและสั่งสมอาคมอันแก่กล้ามานานหลายร้อยปี และถือพรหมจารีย์ เพื่อจักได้มีชีวิตรักเคียงข้างคู่ชะตาของเขาเพียงเท่านั้นแต่ถ้าเป็นความบ้าคลั่งในกายเขา ที่ถูกเพรียกชื่อว่า ‘สังวรีราพณ์’ นั้น เขามิแน่พระทัยนักเขามีชีวิตและห่วงหาแต่เจ้าจันทร์เพียงเท่านั้น หญิงอื่นเขาหาได้สนใจไม่‘ข้าจักเรียกนางมาให้เจ้า ในคืนนี้’สังวรีราพณ์ นั้นคือยักษาที่เร้นกายในความมืดมิดภายใต้ดวงจิตของสุวรรณราพณ์มาตลอดร้อยปีที่เขาถือกำเนิดขึ้น ดวงจิตอันมืดมิด เผยเป็นยักษาขนาดมหึมา กายาสีทมิฬกับห้าสิบหัตถ์ รอยอักขระสีทองคำเต็มทั่วกายา ไฟสุมกายมันท่ามกลางบัลลังก์กองกระดูกมนุษย์แลความมืดมิดที่ย
“คิกๆ ดูท่านจักอยากได้เจ้าเป็นเมียนักเชียว ถึงได้มาบ่นรำพึงกับข้าที่บึงอยู่บ่อยๆ แถมครานี้ยังมอบคาถาให้ข้าพูดคุยโต้ตอบได้เสียด้วย” บุรุษปลาบู่หัวเราะคิกคักท่าทางมีเลศนัย “ไยเจ้าไม่ไปถามท่านผู้นั้นเองเล่า ว่าเจ้าควรทำเช่นไร”“เอ้ะ คุณปู่ปลา ก็หนูมาถามคุณปู่เพราะหนูเองก็ไม่กล้าไปถามเขาตรงๆ ยังไงล่ะคะ” อีกฝ่ายยกมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ค้ำสะพานไม้ขึ้นมาท้าวสะเอว “แล้วเขามาแอบดูเราอย่างนี้ หนูจะต้องทำอย่างไรต่อดี”“เผชิญหน้าไปตรงๆ ซิ ท่านน่าจักอยากพูดคุยบางอย่างกับเจ้านะ”“แต่หนู...”“ไยมานั่งหมอบตรงนี้อยู่คนเดียวหรือน้อง?”“ว้ายตาเถร!” มธุรสสะดุ้งโหยง ตกใจเสียงทุ้มต่ำที่มาประชิดด้านหลังราวกับว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาเฉียดใกล้เมื่อไหร่มิอาจทราบได้ และเพราะตนกำลังชะเง้อคอลงไปชิดกับผิวน้ำอยู่นั่นเอง นางจึงเผลอหกคะเมนหัวทิ่มหัวตำลงไปในสระบัวตามที่อุทานไว้จริงๆบุ๋งๆเสียงนางหายใจเป็นฟองอากาศใต้น้ำ เพราะหัวทิ่มลงมาในท่าที่ไม่ถูกต้องนัก เส้นเลยยึดตรงหัวเข่า ทำให้นางปวดขามิสามารถตีขาในน้ำว่ายขึ้นไปรับอากาศได้ ทำได้แค่เพียงค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่ก้นบึงอย่างน่าอนาถแต่ทว่าดวงตาที่พร่ามัวมองเห็นกายาใหญ่โตกำลั
เขารำพันออกมาถึงเรื่องราวของตน มิได้อยากสัปดนจนโดนสาวเจ้ารังเกียจรังงอน หากแต่นี่คือประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาของต้นตระกูลยักษ์ เนื่องจากว่าขนาดอันใหญ่โตที่จักทำให้อีกฝ่ายเจ็บร้าวเอาได้ จึงจำต้องมีน้ำอมฤตไว้ผ่อนคลายจิตใจ พิศดูดีๆ ก็อาจคล้ายกับยาเสียสาวนั่นแลฝ่ายบุรุษมัจฉาก็นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา“ข้าเป็นเพียงแค่ปลาในสระบัวของท่าน มิรู้เรื่องกระไรเช่นนี้ดอก”“ข้าจักต้องทำเช่นไร ให้นางยอมรับสิ่งที่เป็นข้า”“...”“หรือเพราะนางเป็นมนุษย์ที่ยังถือพรหมจารีย์ ถึงยังมิคุ้นชินกับประเพณีเช่นนี้?”“ข้าคิดว่าเช่นนั้นนายเหนือหัว ท่านควรเข้าหานางด้วยความเยือกเย็น มิจำเป็นต้องวู่วาม”“เช่นนั้นเองหรือ” สุวรรณราพณ์ยักษาทอดมองภาพกายาอันใหญ่โตและใบหน้ารูปงามของตนเองที่ปรากฎบนผิวน้ำ มันบิดเบี้ยวบึ้งบูดพอๆ กับในฤทัยของเขา รวบรวมความกล้าเหลือเกินกว่าที่จักแปลงกายไปดูนางสีฟันกับกิ่งข่อย จนเห็นนางอ้างว้างหนาวเหน็บจึงเข้าไปโอบกอดอย่างทนดูมิได้ภักดีรอนางมาร้อยกว่าปี จนเกิดใหม่เป็นยักษารูปงามชน ก็อยากจักครองราชย์ สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างเมืองให้อุดมสมบูรณ์ หากแต่พันธะสัญญาที่ท่านมอบไว้กับฤาษีต
“ได้สิ จักให้พิศดูจนพอใจเลยเชียว”อสุราหนุ่มว่า หย่อนท่อนขาแกร่งลงนั่งขัดสมาธิแบบไม่เรียบร้อยนัก เปิดเผยส่วนที่ผงาดแข็งขืนราวกับท่อนซุงจะจะตรงหน้าหล่อนตอนที่สระบัวที่เคยเห็น ช่วงบนบกก่อนที่จะถูกพาลงน้ำที่เขาถอดจนชีเปลือยล่อนจ้อนมันยังหดตัวอยู่ แต่แค่นั้นก็ใหญ่โตมโหฬารเหลือคณา สาวเจ้ากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ พลิกตัวกลับไปนั่งคุกเข่าอย่างเกร็งตัว ประจันหน้ากับสิ่งมหัศจรรย์อย่างมิหวั่นเกรงที่ไหนกัน หล่อนตัวสั่นริกๆ ยามเมื่อแสงจันทร์ต้องกับส่วนปลายหัวที่โค้งมน มันเงาวับและมีเส้นเลือดเป็นปล้อง ส่วนปลายบานเหมือนดอกบัวตูมสีออกชมพูหม่นเล็กๆ ขนาดส่วนท่อนแข็งนั้นราวกับท่อนซุงสีเนื้อที่ผงาดชูชันอยู่ตรงหน้าเธออีแบบนี้... จักเข้าไปได้หรือ ไม่ทะลวงไส้ทะลวงพุงหล่อนหรือไร“ใหญ่โตใช่หรือไม่” อีกฝ่ายเองก็ยืดอกผาย ภาคภูมิใจในขนาดของตนเอง “อย่าได้กลัวไป ธุลีในน้ำของพี่ช่วยให้น้องผ่อนคลายได้ ดื่มมันก่อนแล้วน้องจะครอบครองพี่ได้ทั้งหมด”“ประเดี๋ยวก่อนค่ะ” เธอยังปะติดปะต่อกระไรมิได้ความสักเท่าใดนัก เลยนั่งเรียบเรียงอยู่ “ธุลีใต้น้ำ... อสุจิ”หรือว่า“นี่คุณพี่จะต้องทำเรื่องวิตถารต่อหน้าเด็ก แล้วหนูต้องกินน้ำค
หากแต่อสุราหนุ่มกลับระบายยิ้มบางข้างมุมปาก เกลี่ยเส้นผมสีดำสลวยงดงามของเจ้าหล่อนไปทัดยังใบหูเล็ก ฝ่ามือใหญ่เกลี่ยพวงแก้มใสของนางเบาบาง“หนูจะรู้อะไรล่ะคะ” หากแต่เจ้าตัวเล็กยังย้อนสู้“สาเหตุที่ข้าชมชอบเจ้ายิ่งกว่าสนมอื่นใด”“แต่หนูไม่ได้ชอบคุณ” มธุรสนั้นจำเป็นต้องพูดออกมาตามตรง เธอไม่ได้รู้จักเขาดี ตามที่เคยบอกกับตองนวลว่าไม่ชอบชายที่รุกรานคุกคามร่างกายในวันแรกที่เจอกัน มธุรสเป็นสาวสมัยใหม่ ไม่ได้นึกคล้อยตามโดยง่ายตามสาวในยุคก่อนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นตัวละครจากวรรณคดีเรื่องไหน ไม่ได้รู้จักกันพอที่จพตกลงปลงใจ เพิ่งเจอะเจอกันได้สองสามวัน จะหวังให้นางมาหลงมารักมาชอบเขา คงยาก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีในแบบฉบับอมนุษย์ก็ตามอย่างน้อย... ก็ต้องเข้าหาอย่างถูกต้อง และรู้จักมักจี่กันให้มากกว่านี้ซะก่อนสิ“ข้ารู้ ข้ามิบังคับขู่ใจเจ้าดอก” บุรุษยักษายังคงป้องแก้มเล็กมาชิดใกล้ เขามิได้หมายใจจักทำกระไรไปมากกว่าการขอโอบกอดร่างกายเล็กจ้อยนี้ไว้เพื่อให้นางปลอดความหนาว ถึงจักเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่งที่ว่านางมิได้ชมชอบเขาอย่างที่ลั่นวาจาออกมา เนื่องจากเขาค่อนข้างมั่นพระทัยในตน ว่ารูปงามยิ่งกว่า
ไม่อยากเชื่อสายตา ว่าจะทำกันได้ลงขนาดนี้มธุรสนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในหอนอนของนาง เอนกายพิงกับโต๊ะเครื่องแป้งราวกับว่าจิตวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้วเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ได้เห็นมารยายั่วสวาทจากสาวในยุคก่อนเต็มๆ สองตา ตองนวลทั้งสอนตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แถมเป็นเรือรบที่ทำให้นวลนางแทบแดดิ้น เมื่ออีกฝ่ายพรรณนาถึงการมีเสก (?) กับคุณพี่ของนาง ไม่ว่าจะเป็นท่าไหน ก็แทบทำให้มธุรสอายจนแทบแทรกแผ่นดินถึงสมัยเป็นมธุรสที่ไร้เสน่ห์ นางจะเคยอ่านโดจินหรือนิยายยาโอยมาบ้างก็ตาม แต่อะไรที่สุดจัดปลัดบอกแถมเอ็กซ์คลูสซีฟที่เมดอินจากสมัยอโยธยามาร่ายบทอัศจรรย์ตรงหน้าแบบนี้ ก็ถึงกับระบบสมองรวนจนรับข้อมูลต่อไม่ได้ไม่ได้สันทัดอะไรด้านนี้ รู้แค่ทฤษฎีไม่เคยปฏิบัติ มาเจอแบบนี้ไปต่อไม่เป็นเลยแต่จะให้เปลือยเปล่าแล้วขย่มขยี้ต่อหน้าชายชีกอคนนั้น เธอทำไม่ลงคิดแล้วก็นับถือใจตองนวลจัง แม้ว่าหล่อนจะดูหน้าเฉี่ยวตามแบบฉบับนางร้ายตามท้องเรื่อง ขี้เหวี่ยง แถมดูจะขี้หึงขี้หวงพ่อสุวรรณราพณ์เหลือเกิน แต่ก็ยังยอมสอนให้เธอปรนเปรอเขาได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องจะว่าไปก็น่าเอ็นดูนะเนี่ย เทียบกับมธุรสในอายุขัยจริงๆ ตองนวลก็ถื