สุวรรณราพณ์ยักษาเคลื่อนกายปราศจากอาภรณ์เข้ามาภายในเรือนใหญ่ของตนอย่างไม่นึกอายบ่าวรับใช้ที่หมอบกราบหน้าสลอนกันแม้แต่เพียงนิด แต่สาวร่างใหญ่เหล่านั้นคุ้นชินกับอุปนิสัยนายของตนเสียแล้ว จึงตบแต่งกายาอาภรณ์ให้ท่านแต่โดยง่าย สูรย์เกล้าที่เป็นบ่าวประจำท่านยกสังวาลและทับทรวงให้สูรย์มนตราซึ่งเป็นบ่าวรับใช้อีกนาง หล่อนแต่งโฉมให้กษัตริย์กรุงยักษาได้ดั่งเช่นทุกวันสุวรรณราพณ์ตรวจทานตนในคันฉ่อง รูปโฉมเขาในชาตินี้งดงาม ไม่แปลกที่จักมีสนมถึงสิบสองคน แม้สนมคนที่สิบเอ็ดจักไม่ได้ต้องใจเขาเช่นสนมคนอื่นๆ ก็ตามจะว่าไป บุศยาสนมคนที่สิบสองที่ไปชิงมาจากเมืองหัสดีเมื่อคืนวาน ยังไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยกันเลยดอกหนา“บุศยาอยู่ที่ใด” ท่านเหลียวไปถามสูรย์เกล้าด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ นางหมอบกราบท่าน แล้วตอบคำถามโดยง่าย“เรือนหอนอนประจำของนางทางปีกซ้ายเพคะ”“ข้าจักไปหานาง เร่งไปบอกสูรย์เสียงให้ตบแต่งนางให้พึงใจข้าโดยเร็ว”“เพคะท่านผู้มากศักดา” นางยกท่านขึ้นเหนือศีรษะ คำยกย่องนั้นเป็นปกติของกรุงยักษาแห่งนี้ที่มักใช้เยินยอกษัตริย์หรือพระมเหสีผู้ทรงศักดิ์ สูรย์เกล้าย่อเท้าเกือบชิดพื้นออกไปจากห้องหับของเขาอย่างยำเกรงส
บุศยานิ่งอึ้งอย่างตกตะลึง ตั้งแต่จำความได้ หล่อนเกิดมาพร้อมกับคำสาป ลายสักที่กลางหลังจักปรากฎขึ้นเมื่อมีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้าเปิดเผยมัน พระโหราธิบดีทำนายทายทักว่าจักมีอมนุษย์รูปงามช่วยนางให้พ้นจากคุณไสยที่ตามหลอกหลอน พระบิดาจึงส่งหล่อนให้ตกเป็นเมียของท่านผู้นี้ตั้งแต่อายุยังมิครบจักออกเรือนมินึกรู้ว่าท่านจักไหว้วานยักษาตนนี้ให้รักษาหล่อน“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นกับท่านหรือเพคะ” บุศยากุมทรวงเล็ก ซ่อนไว้ใต้ผ้ารัดอกที่ถูกดึงออก ท้วงถามด้วยความฉงนใจ“ตามที่ข้าพูดนั่นแล” สุวรรณราพณ์ให้คำตอบ นางจึงระบายยิ้มบางออกมา อย่างน้อยเสด็จพ่อผู้เย็นชาผู้นั้นก็ยังห่วงหาอาทรในตัวนาง แม้นตั้งแต่จำความได้ ท่านจักมิเคยแลเห็นหรือให้ความสำคัญในตัวพระธิดาคนสุดท้องเช่นนางเลยก็ตาม“... เช่นนั้น” สุ้มเสียงเล็กผุดคำถามขึ้นมาอีกครา “ท่านจักมิทำอันใดข้าแล้วใช่หรือไม่”“เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก ข้ามินิยมชมชอบสมสู่กับผู้เยาว์ดอกหนา”แม้นจักเป็นคำพูดที่แสบสันในทรวงนัก แต่เจ้าหล่อนกลับระบายยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม“ขอบพระทัยในความใจบุญของท่านนักเพคะ” หล่อนประนมมือจรดอก และก้มลงกราบอสุราหนุ่มที่ทรงเมตตากับนาง ที่นอกจากจั
แม้รู้ดีว่ามันช่างน่าละอาย ไม่เหมาะไม่ควรจักเป็นกิริยางามของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ แต่ขอเพียงแค่ได้แนบชิดกับกายแกร่งนั้นอีกสักคราเป็นพอ ให้ท่านรับรู้กับความรักเปี่ยมล้นจากกายาของนางทุกอณู“กลับเรือนเจ้าไปเถิด” อสุราหนุ่มปฏิเสธอย่างมิใยดี ใบหน้านงคราญชาดิกเสียจนมิรู้สึกอะไร “ข้ามิมีธุระจักร่วมรักกับเจ้า”“แล้วท่านจักต้องเสียพระทัยที่ทำกับข้าเช่นนี้” หญิงสาวพูดปนสะอื้นไห้ หลบหลีกออกไปจากหอนอนของท่านอย่างเสียหน้าในทันใดดวงหน้าคมคายเหลียวไปมองยังประตูที่นางหลีกออกไป ก่อนจะหันไปส่องตนในคันฉ่อง มิได้จะนึกอยากชมเชยรูปร่างของตนเสียทีเดียว แต่ในชาตินี้เขารูปงามถึงขนาดมีสนมถึงสิบคนไม่มีกระไรที่ขาดพร่องเหมือนชาติก่อนอีก“อีขวัญยอดรักของพี่... พี่จักช่วยเจ้าเอง”ความเจ็บปวดพระทัยที่มิอาจช่วยนางให้รอดพ้นจากความตายในชาติก่อนได้ ทำให้ชาตินี้เขาจำเป็นต้องมีนางอยู่ในกำมือตัดไปที่ด้านมธุรสแน่งน้อย นางสัมผัสได้ถึงสายตาด้านนอกหน้าต่างมาสักพัก เหมือนจักโดนสตอล์กเกอร์แต่ก็ไม่มีใครในหอนอนนี้นอกจากนางเลยหันขวับไปมองหลังจากที่นั่งๆ นอนๆ ในหอนอนนี้อยู่นานสองนาน ด้านนอกมีเพียงต้นสักที่แผ่กิ่งก้านสาขา ไร้ผู้ใดน
หนุมานเองก็เลี่ยงคำถามของเธอด้วยการถามกลับเช่นกัน สาวเจ้าชะงักกึก เพราะถ้าหากเป็นเมืองลับแลอย่างกรุงยักษาเช่นนี้ การที่จะมีหญิงสาวสักคนรู้จักพระรามพระลักษณ์ที่ในขณะนั้นไม่ได้เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองอโยธยาเนื่องจากโดนเนรเทศไปอยู่ป่าเป็นเวลาสิบสี่ปี ก็ค่อนข้างแปลกพิกลอยู่ไม่อยากให้ใครในโลกยุคนี้มารู้หรอกนะว่าเป็นสาวยุคดิจิตอลที่อ่านวรรณคดียุคอโยธยาผ่านตาเป็นสิบเรื่องในตำราเรียนมาเกิดใหม่ (ถึงสุดท้ายจะอ่านไม่จบเพราะทนตรรกะในเรื่องไม่ได้ก็ตาม)แต่เอ้ะ ถ้าหนุมานมาเป็นพรรคพวกของพระรามพระลักษณ์ได้ ก็แปลว่าเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงช่วงที่เริ่มทำศึกกับทศกัณฐ์แล้วสิเจ้าหล่อนคิดในดวงจิต เนื่องจากมิได้อ่านรามายณะอย่างละเอียดจึงไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในเนื้อเรื่องจุดไหนกันแน่เปลี่ยนเรื่องเอาละกันวะ คิดมากปวดหัวตาย“แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” หนุมานเอียงคอ ส่ายหางยาวๆ ไปมาเมื่อเห็นว่าสาวเจ้าท่าทางล่กๆ เลิ่นๆ ไม่เป็นผู้เป็นคน ท่าทางจะมีอะไรในใจแต่คงไม่กล้าพูดออกมา แต่เอาเถอะ เขาไม่ใช่คนที่ใจร้ายใจดำที่จะเค้นคออีกฝ่ายให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากรู้อยู่แล้วยิ่งฝ่ายนู้นเป็นแม่สาวโฉมสะคราญ ยิ่งทำใจร้ายไม่ลง“ข้าเพีย
หากแต่อาการสำแดงการปกป้องอีกฝ่ายของนางทำให้อีกฝ่ายยิ่งโกรธเกรี้ยว อสุราหนุ่มหันมาปรามาสหล่อนถึงกลิ่นกายที่หอมหวนราวกับกลิ่นบุปผาสวรรค์“ก็ทำลายไปเลยสิคะ ไม่ได้อยากเกิดมาตัวหอมจนมีผู้ชายมาหาอยู่แล้ว!” นางท้าทายผู้เป็นสามี (ไม่จริง) ของตนอย่างเดือดดาล ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยพ่อ หึงหวงหน้ามืดไม่เข้าท่า ทำเหมือนเพราะกลิ่นกายหล่อนไปยั่วอารมณ์ชายอื่นเอาซะได้ แบบนี้มันแพ้แล้วพาลชัดๆสุวรรณราพณ์ขบกรามแน่นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าท้าทายเขาอย่างมิมีท่าทางจักกลัวเกรง มิสำนึกผิดเลยสักนิดว่าเพราะความหอมยั่วยวนของหล่อนจักทำให้อมนุษย์มิว่าหน้าไหนหลงใหลแค่เพียงได้กลิ่นกายของนางเท่านั้นเจ้าจันทร์เกิดมามีกลิ่นพิเศษที่จักทำให้อมนุษย์หรืออสุรกายเข้าหาเธอแค่เพียงได้กลิ่น นั่นคือที่มาของคำว่า ‘กลิ่นบุปผาคลั่ง’ ที่ไอ้หนุมานมันว่าเพราะกลิ่นนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ทุกคราที่อยู่ใกล้ เขามักจักอดใจมิให้สัมผัสนางไม่เคยไหวก็แค่ดับกลิ่นมันไป เท่านี้ก็จักมิมีอมนุษย์เพศผู้ตนใดมาเข้าใกล้ผกากรองเช่นนางอีกแล้ว“งั้นรึ ก็ดี งั้นข้าจักทำให้เจ้าเหม็นโฉ่เสียจนมิมีผู้ได้กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว” ไม่ว่าเปล่า อสุราหนุ่มบริกรรมคาถาในดวงจิ
ทำไมคำพูดคำจามันไม่เหมือนเมื่อคืนเลยวะ แต่ช่างเถอะ“หนูรู้ดี แต่คุณพี่ไม่ควรโกรธแล้วมาพาลที่หนูแบบเมื่อวานนะคะ” ถึงมธุรสจะคิดว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากพ่อยักษ์ผู้ดุดันเมื่อคืน แต่ได้โอกาสแล้วเลยเอ็ดเขาไปเสียดอกหนึ่ง ชายในฝัน อย่างแรกเลยคือต้องมีเหตุมีผล เมื่อวานอาจจักเพราะเป็นหนุมานด้วย เขาเลยโกรธซะขนาดนั้น (เพราะอีกฝ่ายก็ขึ้นชื่อเรื่องได้เมียไปเรื่อยด้วย)แต่ไม่ได้นึกพิศวาสใดๆ พ่อยักษ์ตนนี้หรอก แค่เพียงอยากให้เขาประพฤติตนในแบบเจนเทิลแมนที่ฮอตฮิตติดชาร์ทในยุคปัจจุบันที่เธอจากมาก็เท่านั้นเพราะยังไงฝ่ายนี้ก็เจ้าชู้ประตูดินไม่ต่างกัน มีเมียเป็นสิบเลย ถึงจะน้อยกว่าหนุมานแค่เพียงเศษเสี้ยว แต่ก็ถือว่าไม่ได้รักเดียวใจเดียวอยู่ดียอมรับว่าหมั่นไส้ และไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ด้วย“ที่พี่เปลี่ยนกลิ่นน้อง แค่เพียงยื้อเวลาให้พวกอมนุษย์ตนใดไม่มากล้ำกราย เจ้าอยากกลายเป็นเมียอมนุษย์ครบทุกประเภทหรือไร” สุวรรณราพณ์ปากไม่ดีใส่เธอเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่ากลิ่นสาปบุปผาคลั่งของนางสร้างความลาภปากอยากรสสาวจากอสูรด้วยกันมากเพียงใดมธุรสเอียงคอสงสัย“ก็แค่กลิ่นตัว คงไม่ขนาดนั้นรึเปล่าคะ” เธอพูดไปตามความรู
“ข้าจักเริ่มสอนจากการกระพุ่มไหว้สามีของเราก่อน!”เสียงหวานแว้ดๆ ฟังน่ารำคาญหู มธุรสที่นั่งอยู่บนฐานรองนั่งตรงหน้าหล่อนท่ามกลางสวนดอกแก้วหาวหวอดใหญ่ ทันทีที่มีรับสั่ง ก็ดูเหมือนว่าตองนวลจะยอมทำตามทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งลากทั้งทึ้งตัวเล็กๆ ของเธอมาที่สวน แล้วปั้นหน้าบึ้งตึงใส่ ทำท่าทางราวกับเป็นครูบาอาจารย์สอนนาฏศิลป์ไทยสมัยเรียนเป้ะๆดูท่าทางหล่อนก็ดูจะเนี๊ยบจัด เชื่อฟังอีตายักษ์นั่นจนเหมือนเมียหลวงตามละครน้ำเน่าเลย“ต้องไหว้อีตายักษ์ชีกอนั่นด้วยหรือคะ” คนตัวเล็กถามตาโต ตองนวลจึงชะงักไป ทำไมนังเด็กนี่ถึงเรียกคุณพี่ว่าอีตายักษ์ชีกอล่ะ“ก็ใช่น่ะสิ ท่านเป็นสามีของเรา ตามปรกติภรรยาต้องกราบไหว้สามีอยู่แล้ว เจ้ามิรู้หรือไร”“ไหว้ทำไมอ่ะคะ พระสงฆ์ก็ไม่ใช่ พระพุทธรูปก็ยิ่งไม่ใช่อีกต่างหาก”“เอ้ะ ทำไมถึงมีท่าทางต่อคุณพี่เช่นนั้น” นางเอาพัดมาทาบอก เนื่องจากเท่าที่เคยรู้มา มิเคยมีสนมผู้ใดแสดงอาการมิพึงใจสามีของเราอย่างโจ่งแจ้งเช่นนาง ยิ่งได้ผ่านคืนร่วมหอกับคุณพี่ น่าจักยิ่งหลงใหลท่านมิใช่หรือ “หรือว่าเจ้ายังมิมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณพี่งั้นฤา?”ถามหว่านเมล็ดไปเช่นนั้นเอง แต่อีกฝ่ายกลับพยักหน้าร
ไม่อยากเชื่อสายตา ว่าจะทำกันได้ลงขนาดนี้มธุรสนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในหอนอนของนาง เอนกายพิงกับโต๊ะเครื่องแป้งราวกับว่าจิตวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้วเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ได้เห็นมารยายั่วสวาทจากสาวในยุคก่อนเต็มๆ สองตา ตองนวลทั้งสอนตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แถมเป็นเรือรบที่ทำให้นวลนางแทบแดดิ้น เมื่ออีกฝ่ายพรรณนาถึงการมีเสก (?) กับคุณพี่ของนาง ไม่ว่าจะเป็นท่าไหน ก็แทบทำให้มธุรสอายจนแทบแทรกแผ่นดินถึงสมัยเป็นมธุรสที่ไร้เสน่ห์ นางจะเคยอ่านโดจินหรือนิยายยาโอยมาบ้างก็ตาม แต่อะไรที่สุดจัดปลัดบอกแถมเอ็กซ์คลูสซีฟที่เมดอินจากสมัยอโยธยามาร่ายบทอัศจรรย์ตรงหน้าแบบนี้ ก็ถึงกับระบบสมองรวนจนรับข้อมูลต่อไม่ได้ไม่ได้สันทัดอะไรด้านนี้ รู้แค่ทฤษฎีไม่เคยปฏิบัติ มาเจอแบบนี้ไปต่อไม่เป็นเลยแต่จะให้เปลือยเปล่าแล้วขย่มขยี้ต่อหน้าชายชีกอคนนั้น เธอทำไม่ลงคิดแล้วก็นับถือใจตองนวลจัง แม้ว่าหล่อนจะดูหน้าเฉี่ยวตามแบบฉบับนางร้ายตามท้องเรื่อง ขี้เหวี่ยง แถมดูจะขี้หึงขี้หวงพ่อสุวรรณราพณ์เหลือเกิน แต่ก็ยังยอมสอนให้เธอปรนเปรอเขาได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่องจะว่าไปก็น่าเอ็นดูนะเนี่ย เทียบกับมธุรสในอายุขัยจริงๆ ตองนวลก็ถื
อ้อมกอดแห่งครุฑสีชาตินั้นทำให้นางยากจักถอนกายออก ความอบอุ่นที่ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เลือกนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด กรรณิกาอัปสรไม่คิดหวังให้ท้าวไกรสิงห์ใฝ่รักใฝ่หานาง หล่อนหมดหวังไปตั้งแต่พระสวามีคนก่อนแล้วสุวรรณราพณ์มองกรรณิกาที่อยู่ในร่างของเจ้าจันทร์เป็นเพียงแค่ตัวแทนหญิงที่ห่างกายเขาไปเมื่อนานมาแล้ว เขามักตัดพ้อรำพันทุกค่ำคืนว่าหญิงในอดีตชาตินั้นร้างรักเขาเนื่องจากเป็นอสูรรูปชั่ว แม้นมียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจนางได้หารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้นคือบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญ ฝ่ายท้าวไกรสิงห์นั้นไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้ แต่เขามีสะพานกรรมที่ต้องวนเวียนชดใช้ อดีตชาติของท้าวไกรสิงห์ก่อนจักมาเกิดเป็นครุฑนั้น คืออดีตพรานบุญที่หลงรักมธุรสวดี อัปสราสาวที่ลงมาล้อเล่นน้ำอาบแสงจันทร์กลางป่าหิมพานต์ในสระอโนดาต แลเสพสมกับหล่อนกลางสระงาม โดยที่หล่อนเมามายรสน้ำเงาจันทร์ ทำให้หลงลืมคิดว่าพรานบุญนั้นคือสามีของตนเฉกเช่นทศกุมภัณฑ์เมื่อทศกุมภัณฑ์มาพบการก่อกบถเข้า จึงทำการฆ่าพรานบุญคนนั้นจนตายในชาติก่อน ชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก พรานบุญนั้นสาปแช่งก่อนตายตกว่าชาติ
ก่อนพบรักกับอัปสรมธุรสวดี ทศกุมภัณฑ์เคยมีภรรยาเป็นยักษีรูปร่างงดงามสะสวย นางเสวยทิพย์มิกินเนื้อคนต่างจากเขาผู้เป็นสวามี นางถูกตบแต่งกับเขาเพียงเพื่อสานไมตรี ทศกุมภัณฑ์อัปลักษณ์หากแต่มียศศักดิ์บริวารมาก ตระกูลยักษ์ฝั่งนั้นจึงส่งนางปารตีเป็นเมียกำนัล การตบแต่งที่มิได้เริ่มต้นด้วยความรัก สุดท้ายทศกุมภัณฑ์กลับหลงรูปโฉมอัปสราจนทิ้งนางน้ำตาตกในตลอดมานางยักษ์ปารตีเองก็มิได้เหลียวแลเนื่องจากสวามีนั้นโหดเหี้ยมทานแต่เนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อสัตว์เนื้อมนุษย์ไม่ขาดปาก นางที่เป็นยักษ์เสวยทิพย์ชั้นสูง จึงตีตนออกห่าง จนเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายนั้นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย อยู่ของนางดีๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสวามีของตนนั้นได้ลิ้มรสเชยชมนางอัปสรชั้นสูง พร้อมกับเอานางอัปสรมธุรสวดีเข้ามากกกอดถึงในรังนอนนิมมานเทพเองต้องการดวงตาของนางยักษ์ปารตี เนื่องจากดวงตาของนางเป็นดวงตาที่สาม สามารถเปิดโลกแห่งความตายทั้งปวงได้ การมีดวงตาของนางเอาไว้ในครอบครอง มิว่าจักเป็นนรกภูมิหรือสรวงสวรรค์ เขาจักเป็นชายผู้มากศักดาจนมีแต่คนอยากคบหาพาที เขาจึงส่งนางอัปสรมธุรสวดีเข้าหาทศกุมภัณฑ์หวังยั่วยวนหาโอกาสฆ่าชิงดวงตาที่สามของนางปารตี แต่นางอั
“เมื่อเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ พ่อจักบอกทุกอย่าง อดทนรอแล้วทำตามที่พ่อเอ่ยได้หรือไม่” แน่นอนว่าพระสุวรรณราพณ์รู้ดีถึงพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของบุตรแฝด แต่เนื่องจากอินมุกแลจันทร์ดายังมิมีวุฒิภาวะหรือการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวในอดีตชาติของตน เขาจึงอยากรอให้ลูกทั้งสองเติบโตมากกว่านี้ก่อน“ไม่! ท่านควักดวงตาแม่แท้ๆ ของข้า แลยังขับไสไล่ส่งแม่ที่แท้จริงของพวกเราไปไกลบ้านไกลเมือง หากมิรักใคร่เนื่องจากพวกเราเป็นสายเลือดมนุษย์ ท่านพ่อก็บอกข้ามาตามตรงเถิด!” จันทร์ดาได้ฟังพี่ชายว่าเช่นนั้นก็ใจตกไปอยู่แทบตาตุ่ม ยืนร่ำไห้กอดอินมุกที่หยัดยืนสู้ตัวน้อยๆ ประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองยักษ์ที่ถือเป็นบิดาแท้ๆ ของตน ตั้งแต่เกิดมาบิดาไม่เคยพูดดีด้วยนอกเสียจากมองเขาเป็นตัวปัญหา แม้นจักเป็นลูกของสตรีที่มิได้รัก แต่ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน“ควักดวงตา? หมายความว่าเช่นไร” สีหน้าของพระสุวรรณราพณ์นั้นสับสน ชวนให้สองเด็กแฝดชะงักไป“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว
“ไสหัวไปเสีย ก่อนที่กูจักบั่นคอมึงให้ดับดิ้นอยู่ตรงนี้” พอได้ยินอีกฝ่ายตีฝีปากกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นอสุราหนุ่มยิ่งพิโรธเหลือ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างที่หล่อนลงมาแลแปลงกายเป็นอัปสรเพื่อเข้ามาเป็นสนมคนที่สิบสาม แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงช่วงที่นางดำรงอยู่บนสรวงสวรรค์กับนิมมานเทพ มิอาจรู้ได้ว่ามันได้เป่าหูกระไรนางไว้บ้าง“อย่าลืมเสีย สุวรรณราพณ์... ไม่สิ ไอ้ทศกุมภัณฑ์เอ๋ย”“...!”“มธุรสวดีจักไม่มีวันตกเป็นของมึง แม้นชาตินี้หรือชาติไหน กูจักตามราวีมึงทุกชาติไป เพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงที่กูหมายครอง”ไวกว่าความคิด พระสุวรรณราพณ์เขวี้ยงดาบทมิฬตรงไปยังร่างตรงหน้าหวังฟาดฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธสุดกำลัง แต่ร่างนั้นกลับสลายหายไปเป็นเพียงไอหมอกเย็นเยียบโอบล้อมรอบดาบดำมืดก่อนที่จักถึงตัว พระสุวรรณราพณ์เรียกดาบทมิฬกลับมาสู่ฝ่ามือใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางขบฟันกรอดอย่างขัดเคืองมาทั้งที ก็ทิ้งเพลิงกัลป์ไว้เลยสิหนา“ทะ... ท่านพ่อ ข้า...” อินมุกมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นพ่อหมุนตัวใหญ่โตหันกลับมา ดวงตาสีชาดหรี่ลงมองบุตรชายที่ยืนตัวสั่น พระสุวรรณราพณ์ทำได้เพียงเดินนำหน้าลูกไปเท่านั้น“ตามพ่อมา อิ
“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว่ากรรณิกา”“!!!” ทั้งอินมุกแลจันทร์ดาเบิกตากว้าง เป็นจริงดั่งสัญชาตญาณที่ว่ามารดาของตนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ตัวจริงนั้นอยู่เมืองจันทร์ ส่วนตัวปลอมที่แปลงเป็นมารดาของพวกเขานั้นคือหนึ่งในสนมที่เป็นนางสวรรค์แต่ยิ่งหดหู่ใจไปกว่านั้น... คือเรื่องที่บิดาเลือกที่จะควักลูกตาของพระมารดาไป เนื่องจากไม่เป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นสนมที่เป็นนางอัปสร มันช่างน่าเศร้านัก นี่ท่านพ่อไม่มีความรักต่อแม่เราเลยหรือ“... ว่าต่อได้หรือไม่” ท้ายที่สุดเด็กชายก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยความอยากรู้เรื่องราวของแม่ที่แท้จริงจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่“จงมอบความเชื่อใจให้แก่ข้าเสียก่อน จึงจักเล่าต่อได้” นิมมานเทพถือโอกาสออกกลอุบายดึงบุตรของพระสุวรรณราพณ์มาเป็นพวกด้วยค่าของเรื่องราวของหญิงที่เขามินึกใส่ใจอย่างธิดาเจ้าจันทร์“ข้าแลน้องสาวจักเชื่อใจเจ้า”“อินมุก... เจ้ามิรักพระบิดาหรือ เจ้าเชื่อใจข้ามากกว่าพระบิดาหรือ ทั้งๆ ที่มันอาจจักเป็นคำโก
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์
“มิมีสาส์นตอบรับส่งมาจากเมืองครุฑเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท... จนบัดนี้แล้ว”เหล่าทหารกราบทูลกับพระสุวรรณราพณ์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่มหึมา ได้ความว่าสาส์นท้ารบนั้นอาจส่งไปถึงเมืองครุฑ แต่ฝ่ายไอ้ท้าวไกรสิงห์อาจยังเล่นตุกติกมิยอมส่งสาส์นกลับมา ทำตัวยั่วโมโหเก่งจริงๆพระสุวรรณราพณ์เข้าใจว่ามันนึกแค้นเคืองที่ในอดีตชาติต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ยักษ์เช่นทศกุมภัณฑ์ (ซึ่งก็คือตัวเขาเองนั่นแล) นั้นเข่นฆ่าฉีกเนื้อเทือหนังครุฑอย่างโหดร้ายเพียงเพื่อชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก แม้นจักมาเจอเมียในร่างไร้วิญญาณก็ตาม แถมในอดีตก่อนเจอคู่ชะตา สังวรีราพณ์ก็ได้ไปบุกเมืองครุฑด้วยความหิวกระหายเนื้อสดหลังจากจำศีลไม่กินเนื้อมาเกือบห้าสิบปีจนตบะแตกด้วยดวงจิตทมิฬที่สอง สุดท้ายก็ฆ่าพวกครุฑแลครุฑีไปเกินครึ่ง แถมยังกินจนเหลือแต่กองกระดูกนกให้ดูต่างหน้าอีกด้วยเรียกได้ว่าเขาเองก็เป็นตัวการที่ทำให้ฝั่งไอ้ท้าวครุฑนั้นมีความอาฆาตแค้นจนต้องชิงสิ่งสำคัญออกไปอย่างเช่นภาชนะอย่างธิดาเมืองจันทร์ที่มีดวงจิตมธุรสวดีอยู่ในนั้น แม้นสุดท้ายจะสู้พลังวังชาของพระสุวรรณราพณ์ไม่ได้ก็ตามที่ส่งสาส์นท้ารบไป เพื่อจักให้มันจบมันสิ้นไป ให้มันได้ระบายอาร
แต่พระมเหสีเจ้าจันทร์กลับต่างออกไป ตลอดสามวันหลังคลอดเด็ก นางแวะมาแอบดูเด็กทั้งสองแลพยายามเข้าหาอยู่หลายครา แต่เด็กแฝดปฏิเสธการเข้าหาของแม่ สูรย์วันคิดว่าวันเดียวเธอคงล้มเลิกแล้ว เพราะคงมิมีใครอยากมีลูกกับยักษ์ สนมทุกคนที่ท่านนำพา ก็ล้วนแต่มิเต็มใจตกเป็นเมียทั้งสิ้นแต่นางกลับไม่เคยยอมแพ้ ยังแวะมาขอกอดขออุ้มอยู่ทุกวันแม้จักรู้ว่าเด็กทั้งสองจักต้องกระจองอแงแลผลักไสนางด้วยเดียดฉันท์เลือดมนุษย์“พระมเหสีทรงอยากอุ้มบุตรธิดาหรือเพคะ”“อะ... อื้อ” สาวเจ้าพยักหน้าหงึกหงัก ดวงหน้าซีดเซียว อาจเพราะยังป่วยอยู่“ท่านอินมุกแลท่านจันทร์ดายังมิคุ้นชินนัก แต่สักวันคงจักคุ้นได้แน่” นางว่าด้วยความหวังดี ฝ่ายกรรณิกาเองก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่จากทุกวันที่โดนลูกปฏิเสธ มันออกจักฝังใจมิน้อยแต่อย่าหวังว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอจักมีเพียงแค่นี้หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กหัวจุกทั้งสอง ค่อยๆ ยกจันทร์ดาขึ้นมาก่อนเพราะลูกหญิงมักอ่อนโยนกว่าคนพี่เล็กน้อย พร้อมกับยกบุตรสาวที่ทำตาโตมาแนบอกอิ่ม“จันทร์ดา... นี่แม่เองนะ”“...”“จันทร์ดา แม่รักหนู... แม้จักเป็นช่วงเพลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม”หมับ!“อึก...!” แต่ยั
ทำเป็นไม่รู้ต่อไป เพื่อรักษานางไว้ รวมถึงรักษาสัมพันต่อสรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นทุกอย่างจักยากขึ้นเกือบเท่าตน ทั้งการสัญจร รวมถึงพันธะสงบศึกที่มีมาตั้งแต่อดีตชาติระหว่างสรวงสวรรค์แลโลกอสูรเป็นเพียงอสูร มีอำนาจมากมายเพียงไหน สุดท้ายยังถูกชิงไปได้ด้วยเทวดาอยู่ดีส่วนเด็กสาวผู้มิรู้ประสากระไรทั้งนั้น ได้แต่สั่นสะเทือนอยู่บนกายใหญ่เนื่องจากร่างกายเล็กจ้อยแสนเปราะบาง นางครางครวญเสียงสะท้านหวามไหว กอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ท่าทางนี้มองเห็นดวงหน้าของยักษาได้ถนัด เขากำลังจ้องมองหล่อนอย่างเปรมปรีดิ์ รบกวนจิตใจเหลือเกินทำมาเป็นจ้องมองเหมือนรักเหมือนหลงยิ่งนัก จักทำให้ร่างน้อยๆ นี่เป็นของโปรดของเจ้าให้ได้เลยเชียวว่าพลางก็พยายามขยับบั้นเอวน้อยเพื่อคลึงความใหญ่โต แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ถึงร่างกายจะแปลงตนเป็นอัปสร แต่ก็รับความรู้สึกได้ทุกอณูไม่ต่างกับร่างกายมนุษย์จนเริ่มชักไม่แน่ใจ ว่าตนเองเป็นอัปสร หรือมนุษย์กันแน่หรือนางหลอมรวมกับร่างเจ้าจันทร์ไปแล้ว?คิดเพ้อฝันพลางส่ายหัว ร่างนั้นจำแลงเป็นการเวกกลับสู่เมืองจันทร์ไปแล้ว สุวรรณราพณ์ตกเป็นของนางแทนที่เจ้าจันทร์แล้ว นี่ล่ะค