“ก็จักชำระกายร่วมกับเมีย ผิดด้วยรึ?” สาวเจ้ามุ่ยหน้า ชีกอ ขี้โชว์ไม่พอ ยังเก่งเรื่องการคิดเองเออเองอีกต่างหาก ครบสูตรหลัวชั่วแห่งราชอาณาจักรเสียจริง
“หนูยังไม่ได้เป็นเมียคุณสักหน่อย” โฉมตรูสะบัดหน้า ขัดใจนักเชียวพ่อยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ ถึงจะเป็นสาวเวอร์จิ้น แต่ก็เลือกนะยะ
“เรื่องนั้นพี่มิสนใจ” บุรุษตัวใหญ่กว่าเอื้อมฝ่ามือหนามาไล้แก้มเธอ “อยู่ในเมืองของพี่ ในเรือนของพี่ สักวันก็จักได้เป็นอยู่ดี”
แหม! ช่างพูดช่างจา เกี้ยวพาราสีสาวได้คล่องแคล่วเชียวนะแก
“หนูไม่อาบน้ำกับคุณหรอกค่ะ เชิญอาบไปคนเดียวเลย หนูจะกลับไปนอนที่เรือน” สาวเจ้าพูดพลางเชิดหน้าหนีอุ้งมือใหญ่ ไม่ต้องมาโชว์กล้ามเนื้อตรงนี้จะได้หรือปะ ถึงชาติที่เป็นมธุรสจะบ้ากล้ามหน้าท้องผู้ชายและบ้าหนุ่มกล้ามปูสักเพียงใด แต่จะมิหลงกลพ่อยักษ์กะล่อนนี่เด็ดขาด ความหล่อเหลามันทานไม่ได้! “แล้วเรือนอยู่ทางไหนคะ หนูจำทางกลับเรือนไม่ได้”
โว้ย น่าสมเพชจริงอีนังมธุรส เรื่องหลงๆ ลืมๆ เส้นทางของหล่อนนี่ยังเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ
สาวเจ้าบ่นอุบใส่ตนเอง ไม่มีทางเลือกต้องหมุนตัวพลิกลิ้นกลับไปพึ่งพาเจ้าของบ้านอย่างเขาอย่างเสียมิได้
อสุราหนุ่มแย้มยิ้มพราย “พี่มิบอกน้องดอก”
“เอ้ะ ทำไมคะ!”
“ชำระกายในสระบัวร่วมกันกับพี่สิ เดี๋ยวขึ้นจากท่าแล้วค่อยกลับไปด้วยกัน” มธุรสเผยอปากค้าง หนอยแน่ ไอ้ยักษ์จอมเจ้าเล่ห์ เขาใช้ประโยชน์จากการจำทางของหล่อนไม่ได้เพื่อมัดตัวให้เธอสมยอมอาบน้ำด้วย
อย่างนี้ก็แปลว่า... ต้องเปลือยเปล่าเคียงใกล้กับผู้ชายในสระบัวน่ะสิ!
มธุรสจะเป็นลม
“มะ... ไม่ถอดเสื้อได้มั้ยอ่ะ?” เธอป้องตัวอย่างหวงแหนเมื่อถูกยักษ์รูปงามจดจ้องร่างกายราวกับกำลังสแกนสัดส่วนใต้อาภรณ์นั่นก็ไม่ปาน ที่สำคัญตอนนี้เหลือแค่เพียงผ้าด้านล่างที่กำลังจะหลุดไม่หลุดแหล่รอบเอวสอบของเขาเท่านั้น มธุรสแอบเห็นไรขนแสนทระนงนั่งด้วย เส้นเลือดพาดตรงใต้สะดือต่ำลงไปเรื่อยๆ นั่นอีก! “มะ ไม่เอาอ่ะ ไม่ถอดอาบน้ำได้มั้ยคะ นุ่งกระโจมอกก็ได้”
“เช่นนั้นจักสะอาดได้เยี่ยงไร” สุวรรณราพณ์ใช้อุบายล่อลวงหญิงสาว รั้งเอวคอดกิ่วเข้าชิดใกล้ ปลดสไบและสังวาลย์ของเธอด้วยตนเองเสียเลย
“คุณสุวรรณราพณ์!” เธอไม่สามารถขัดขืนผู้ชายอกสามศอกแถมยังเป็นยักษ์เช่นเขาได้ ผลักอกหนาราวกับภูผานั่นยังไงก็ไม่ต่างกับเอาแรงลมเอื่อยๆ ไปสู้ อีกฝ่ายใช้แรงถอด ถอด ถอดไม่กี่ครั้ง ผ้าผ่อนผ้าซิ่นทุกชิ้นรวมถึงของมีค่าก็ลงไปกองกับพื้นหญ้าซะแล้ว
มธุรสในร่างเจ้าจันทร์ล่อนจ้อนอย่างสมบูรณ์
นี่มันอีกครั้งแล้วนะ อีกครั้งแล้วที่สุวรรณราพณ์เห็นนางในสภาพน่าอับอายเช่นนี้
มธุรสอยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขาดังๆ
แต่นั่นยังคงสร้างความอับอายให้นางไม่พอ ยังคงไม่พอใจเขา เพราะต่อมาอสุราหนุ่มก็ปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของตัวเองลงต่อหน้านางนี่เอง
พรึ่บ!
ล่อนจ้อนด้วยกันโดยสมบูรณ์
โอ้ บร๊ะ เจ้า
ภาพตรงหน้าช่างแปลกใหม่ ถึงจะโคตรสัปดนแต่ก็ชวนมองอย่างปฏิเสธไม่ได้ มธุรสอ้าปากค้างทาบอกอยู่ตรงหน้าบุรุษผู้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดบังกาย อวดโฉมความองอาจตรงนั้นเอง
ก้นแน่น ขาวดี แถมยัง... ตาเถร!! นั่นลึงค์หรือปลัดขิกกันแน่คะเนี่ย
รู้สึกเหมือนเลือดลมจะไหลเวียนขึ้นมาที่หน้าซะแล้วสิ
เพราะเป็นหน่วยพิสูจน์อักษรมาก่อน จึงรู้ลึกถึงคำว่าลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) นั้นว่าคืออะไร หากแต่ลึงค์ของอีกฝ่ายนั้นไซร้... ดูแปลกตากว่าชายฝรั่งมังค่าในเว็บพอร์นฮับที่เคยดูนักหนา
เพราะมันใหญ่มาก ขนาดยักษ์สมกับตัวใหญ่ๆ นั่น จะพูดว่าคล้ายๆ ศิวลึงค์ที่บูชากันก็ไม่เกินจริง
“ทะ... ทำไมมันชี้หน้าหนูแบบนี้ล่ะ!” สาวเจ้ารีบเอามือน้อยๆ ปิดตาตนเองอย่างไวว่องเมื่อหรี่ตาไปเห็นว่าท่อนลึงค์ยักษ์นั่นกำลังตั้งจรวดพร้อมรบใส่หน้าเธอ บุรุษที่เปลือยเปล่าพร้อมๆ กับมธุรสนั้นหน้าด้านหน้าทนจริงๆ มีอย่างที่ไหนจับสาวถอดผ้าถอดผ่อน แล้วก็ปลดอาภรณ์ตนเองเช่นนี้ นี่มันกลางแจ้งนะ ไม่อับอายบ้างเลยหรือ
“ปกติของมัน น้องมิจำเป็นต้องปิดตาดอก” สุ้มเสียงดุดันพูดแกมขบขัน สุวรรณราพณ์สนุกสนานนักที่เห็นว่าเจ้าหล่อนหน้าแดงปิดหน้าปิดตาสะเทิ้นอายกับกายาล่อนจ้อนของเขา “อีกมินาน มันก็จักได้เข้าไปอยู่ในกายเจ้า”
อสุราหนุ่มเอ่ยประโยคสองแง่สองง่าม หวังเย้าสาวเจ้าให้อับอายยิ่งขึ้น
“คุณสุวรรณราพณ์ทะลึ่งโคตร!” มธุรสปรามาสบุรุษตรงหน้า หากแต่ก็อดไม่ได้ต้องแหวกแง่งนิ้วน้อยๆ แอบลอบดูสรีระชวนใจสั่นของอีกฝ่ายไปด้วยอย่างย้อนแย้งในตนเอง
ไม่เคยพบไม่เคยเจอ ลึงค์ที่พี่เจนว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง
จนมารู้สึกตัวอีกที บุรุษหนุ่มก็ค่อยๆ ก้าวขาลงไปในน้ำใสเย็นๆ กลางแจ้ง กายาด้านล่างค่อยๆ จมหายไปจนเกือบครึ่งเอวสอบ เรียกได้ว่าตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าลงน้ำไปแล้วได้ถึงขนาดนี้ คงลึกอยู่พอตัว
อสุราเอื้อมมือหนาให้เธอที่ยืนลดละมือมาปกป้องทรวงอกของตนที่กำลังเปิดเผยสู่ผู้ชายเป็นคราที่สอง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ร่างกายของเธอ แต่เป็นร่างของโฉมตรูในอดีตชาติที่มธุรสมาสิงร่างอยู่ก็ตาม หากแต่ก็หวงแหนราวกับเป็นร่างกายของตัวเอง
สาวเจ้าส่ายหน้าหวือ ลึกขนาดนั้นจะให้ลงไปทั้งตัวได้ยังไง
“พี่จักประคองน้องไว้เอง มิต้องเป็นกังวล” บุรุษยักษ์ใหญ่เอ่ยคำมั่น เด็กสาวเม้มริมฝีปากแน่น จะให้ทำเช่นไรก็ไม่รู้วิธีสวมใส่อาภรณ์ในสมัยโบราณซะด้วย แต่จะให้เดินกลับเรือนทั้งที่ยังเปลือยเปล่าล่อนจ้อนแบบนี้ คงได้ลือกันไปถึงไหนต่อไหน
ถึงจะไม่หวั่นกลัว แต่ก็ไม่อยากถูกครหาว่าเป็นชีเปลือยล่อนจ้อนเดินโทงเทงท่ามกลางยุคโบราณแบบนี้หรอกนะ
ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เธอเคยอยู่ ดังนั้นการทำตามเจ้าของบ้านคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แน่งน้อยค่อยๆ ก้าวขาที่สั่นเทาไปชิดขอบสระบัว ยื่นฝ่ามือเล็กจ้อยไปจับมือของสุวรรณราพณ์อย่างกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งต่อมาก็ถูกรั้งลงไปในสระบัวด้วยกัน น้ำเย็นเฉียบจนนงคราญสั่นระริก ผวากอดกายใหญ่โตของอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวว่าจะจมลงไป
ฝูงปลาสีเผือกแหวกว่ายมาตอดปลายเท้าของเจ้าหล่อน จั๊กจี้เหลือทนจนต้องหัวเราะคิกคักออกมา ท่ามกลางอ้อมแขนหนาของยักษ์หนุ่ม สาวเจ้าแหงนหน้าขึ้นมองเขาที่ทอดสายตาลงมาที่ร่างกายเปลือยเปล่าของนางใต้อกหนา รีบเบือนหน้าหนีทันที
“พี่จักลูบตัวให้” บุรุษหนุ่มฉีกยิ้มพราย ค่อยๆ วักน้ำเย็นเข้ามือใหญ่ ปาดลูบเนื้อลูบตัวเนียนนวลขาวลออของสาวเจ้าอย่างพึงใจ
“นะ... หนูลูบเองได้น่ะ คุณแค่อุ้มหนูไว้ก็พอ” เธอใช้ฝ่ามือเล็กจ้อยดันมือใหญ่ของเขาออก หน้าแดงก่ำราวกับผลมะเดื่อสุก นำมาซึ่งรอยยิ้มยวนของอีกฝ่ายที่เหนือกว่าเธอ
“อายงั้นหรือ” พระพักตร์ใหญ่เอียงไปกระซิบข้างริมหูของหญิงสาว พร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดเอวคอดของนางแน่นถนัดขึ้น “เพราะที่นี่เป็นกลางแจ้งงั้นหรือ จึงป้องตนไว้เช่นนั้น”
มธุรสฟังแล้วก็เลยได้แต่ก้มลงมองตนเอง เพราะตั้งแต่ที่ถูกดึงลงมาในสระบัว เจ้าหล่อนก็ใช้แขนปกป้องกายาเพื่อมิให้แนบชิดเขาเกินจำเป็นมาโดยตลอด
จะว่าใช่มันก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
ไหนๆ ก็ไม่ใช่ตัวมธุรสจริงๆ อยู่แล้วนี่
“มิมีปากมีเสียงเช่นนี้ สำแดงว่าที่ตัวพี่เอ่ยเป็นอันถูกต้อง” ยักษ์ว่าเช่นนั้น เข้าใจว่านางคงอายหากมีใครมาเห็นเขาและนางล่อนจ้อนกอดกันในสระบัวเช่นนี้ จะว่าพิกลไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั่นเองคิดได้เช่นนั้น อสุราหนุ่มจึงร่ายคาถา สร้างต้นไม้ใหญ่รกครึ้มรอบๆ สระบัวในทันทีมธุรสอ้าปากค้าง เมื่ออยู่ดีๆ รอบสระบัวก็ปรากฎต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นรอบๆ กลายเป็นป่าละม่อมขนาดย่อมเธองเหลียวกลับไปจ้องหน้าอสุราหนุ่มอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยรู้เลยว่ายักษ์จะร่างเวทมนตร์คาถาเสกต้นไม้ได้ด้วย นี่เหมือนหล่อนกำลังอ่านแฮรี่ พ็อตเตอร์ของเจ. เค. โรว์ลิ่งอยู่เลยอ่ะ“เท่านี้ก็มิมีปัญหาแล้วใช่หรือไม่” ยังมิวายก้มหน้าลงมาถามหล่อนด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์นั่นอีก“มะ... มันก็ดีอยู่หรอกค่ะ” ก็ทหารของเขายืนอยู่ตรงนู้นนี่หว่า เมื่อเกิดป่ารกทึบรอบสระบัวแบบนี้ ก็คงไม่มีชายคนไหนได้เห็นเรือนร่างของเธออีก “แต่ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย”ท้ายประโยคสาวเจ้าบ่นอุบอิบ น่าพิกลจริงที่สุวรรณราพณ์ตามใจเธอแบบนี้“พี่ตามใจเมียทุกคนของพี่นั่นแล” หากแต่คำตอบก็พอทำให้หญิงสาวรู้ว่าทำไม ได้แต่มุ่ยหน้าตามประสาเด็กสาวที่หมั
“พระสนมเจ้าคะ ข้าว่ากลับเรือนเถอะเจ้าค่ะ แดดเริ่มแรง เดี๋ยวพระสนมจักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน” สาวรับใช้ประจำตนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง รู้ดีว่าพระสนมของตนนั้นหลงใหลท่านผู้นั้น ยอมตกเป็นของท่านหลายคราเพียงเพื่อได้หัวใจของท่าน แม้เพียงแค่ชายตาแลก็ยังดีแต่ในขณะเดียวกันสาวรับใช้นางนั้นก็รู้ดีเพราะว่ารับใช้กษัตริย์กรุงยักษามามากกว่าสองร้อยปี ว่าท่านผู้นั้นเฝ้ารอคู่ชะตามานานเพียงใด แม้ท่านจะมีเมียมากตามประสากษัตริย์ แต่ทว่ากลับไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่พร่ำบ่นคิดถึงคู่ชะตาถึงร้อยกว่าปีนั่นเลยสักคราเมื่อได้คู่ชะตามาอยู่ในกำมือของตน จึงไม่แปลกหากท่านจะเอาแต่สนใจท่านหญิงผู้นั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา“เมื่อใดกันสูรย์ตรี เมื่อใดกันที่ข้าจักได้อยู่ในพระเนตรของท่านบ้าง” ตองนวลเอ่ยกับสาวรับใช้ของตนอย่างแสนเศร้า เนื่องจากสุวรรณราพณ์ไม่คิดเชื่อใจผู้ใดนอกจากคนของตน จึงออกคำสั่งให้สูรย์ตรีมาเป็นสาวรับใช้ของตองนวลแทนสาวรับใช้ในเมืองเก่าที่นางจากมา เพราะฉะนั้นสาวรับใช้ของสนมทุกคนของท่านจึงเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ทั้งสิ้น“พระสนม...” สาวรับใช้ร่างใหญ่เอื้อนเอ่ยเรียกชื่อพระสนมของตนเสียงอ่อน เอื้อมมือไปคว้าฝ่ามือนวลมากุมไ
สุวรรณราพณ์ยักษาเคลื่อนกายปราศจากอาภรณ์เข้ามาภายในเรือนใหญ่ของตนอย่างไม่นึกอายบ่าวรับใช้ที่หมอบกราบหน้าสลอนกันแม้แต่เพียงนิด แต่สาวร่างใหญ่เหล่านั้นคุ้นชินกับอุปนิสัยนายของตนเสียแล้ว จึงตบแต่งกายาอาภรณ์ให้ท่านแต่โดยง่าย สูรย์เกล้าที่เป็นบ่าวประจำท่านยกสังวาลและทับทรวงให้สูรย์มนตราซึ่งเป็นบ่าวรับใช้อีกนาง หล่อนแต่งโฉมให้กษัตริย์กรุงยักษาได้ดั่งเช่นทุกวันสุวรรณราพณ์ตรวจทานตนในคันฉ่อง รูปโฉมเขาในชาตินี้งดงาม ไม่แปลกที่จักมีสนมถึงสิบสองคน แม้สนมคนที่สิบเอ็ดจักไม่ได้ต้องใจเขาเช่นสนมคนอื่นๆ ก็ตามจะว่าไป บุศยาสนมคนที่สิบสองที่ไปชิงมาจากเมืองหัสดีเมื่อคืนวาน ยังไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยกันเลยดอกหนา“บุศยาอยู่ที่ใด” ท่านเหลียวไปถามสูรย์เกล้าด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ นางหมอบกราบท่าน แล้วตอบคำถามโดยง่าย“เรือนหอนอนประจำของนางทางปีกซ้ายเพคะ”“ข้าจักไปหานาง เร่งไปบอกสูรย์เสียงให้ตบแต่งนางให้พึงใจข้าโดยเร็ว”“เพคะท่านผู้มากศักดา” นางยกท่านขึ้นเหนือศีรษะ คำยกย่องนั้นเป็นปกติของกรุงยักษาแห่งนี้ที่มักใช้เยินยอกษัตริย์หรือพระมเหสีผู้ทรงศักดิ์ สูรย์เกล้าย่อเท้าเกือบชิดพื้นออกไปจากห้องหับของเขาอย่างยำเกรงส
บุศยานิ่งอึ้งอย่างตกตะลึง ตั้งแต่จำความได้ หล่อนเกิดมาพร้อมกับคำสาป ลายสักที่กลางหลังจักปรากฎขึ้นเมื่อมีผู้มีคาถาอาคมแก่กล้าเปิดเผยมัน พระโหราธิบดีทำนายทายทักว่าจักมีอมนุษย์รูปงามช่วยนางให้พ้นจากคุณไสยที่ตามหลอกหลอน พระบิดาจึงส่งหล่อนให้ตกเป็นเมียของท่านผู้นี้ตั้งแต่อายุยังมิครบจักออกเรือนมินึกรู้ว่าท่านจักไหว้วานยักษาตนนี้ให้รักษาหล่อน“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นกับท่านหรือเพคะ” บุศยากุมทรวงเล็ก ซ่อนไว้ใต้ผ้ารัดอกที่ถูกดึงออก ท้วงถามด้วยความฉงนใจ“ตามที่ข้าพูดนั่นแล” สุวรรณราพณ์ให้คำตอบ นางจึงระบายยิ้มบางออกมา อย่างน้อยเสด็จพ่อผู้เย็นชาผู้นั้นก็ยังห่วงหาอาทรในตัวนาง แม้นตั้งแต่จำความได้ ท่านจักมิเคยแลเห็นหรือให้ความสำคัญในตัวพระธิดาคนสุดท้องเช่นนางเลยก็ตาม“... เช่นนั้น” สุ้มเสียงเล็กผุดคำถามขึ้นมาอีกครา “ท่านจักมิทำอันใดข้าแล้วใช่หรือไม่”“เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก ข้ามินิยมชมชอบสมสู่กับผู้เยาว์ดอกหนา”แม้นจักเป็นคำพูดที่แสบสันในทรวงนัก แต่เจ้าหล่อนกลับระบายยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม“ขอบพระทัยในความใจบุญของท่านนักเพคะ” หล่อนประนมมือจรดอก และก้มลงกราบอสุราหนุ่มที่ทรงเมตตากับนาง ที่นอกจากจั
แม้รู้ดีว่ามันช่างน่าละอาย ไม่เหมาะไม่ควรจักเป็นกิริยางามของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ แต่ขอเพียงแค่ได้แนบชิดกับกายแกร่งนั้นอีกสักคราเป็นพอ ให้ท่านรับรู้กับความรักเปี่ยมล้นจากกายาของนางทุกอณู“กลับเรือนเจ้าไปเถิด” อสุราหนุ่มปฏิเสธอย่างมิใยดี ใบหน้านงคราญชาดิกเสียจนมิรู้สึกอะไร “ข้ามิมีธุระจักร่วมรักกับเจ้า”“แล้วท่านจักต้องเสียพระทัยที่ทำกับข้าเช่นนี้” หญิงสาวพูดปนสะอื้นไห้ หลบหลีกออกไปจากหอนอนของท่านอย่างเสียหน้าในทันใดดวงหน้าคมคายเหลียวไปมองยังประตูที่นางหลีกออกไป ก่อนจะหันไปส่องตนในคันฉ่อง มิได้จะนึกอยากชมเชยรูปร่างของตนเสียทีเดียว แต่ในชาตินี้เขารูปงามถึงขนาดมีสนมถึงสิบคนไม่มีกระไรที่ขาดพร่องเหมือนชาติก่อนอีก“อีขวัญยอดรักของพี่... พี่จักช่วยเจ้าเอง”ความเจ็บปวดพระทัยที่มิอาจช่วยนางให้รอดพ้นจากความตายในชาติก่อนได้ ทำให้ชาตินี้เขาจำเป็นต้องมีนางอยู่ในกำมือตัดไปที่ด้านมธุรสแน่งน้อย นางสัมผัสได้ถึงสายตาด้านนอกหน้าต่างมาสักพัก เหมือนจักโดนสตอล์กเกอร์แต่ก็ไม่มีใครในหอนอนนี้นอกจากนางเลยหันขวับไปมองหลังจากที่นั่งๆ นอนๆ ในหอนอนนี้อยู่นานสองนาน ด้านนอกมีเพียงต้นสักที่แผ่กิ่งก้านสาขา ไร้ผู้ใดน
หนุมานเองก็เลี่ยงคำถามของเธอด้วยการถามกลับเช่นกัน สาวเจ้าชะงักกึก เพราะถ้าหากเป็นเมืองลับแลอย่างกรุงยักษาเช่นนี้ การที่จะมีหญิงสาวสักคนรู้จักพระรามพระลักษณ์ที่ในขณะนั้นไม่ได้เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองอโยธยาเนื่องจากโดนเนรเทศไปอยู่ป่าเป็นเวลาสิบสี่ปี ก็ค่อนข้างแปลกพิกลอยู่ไม่อยากให้ใครในโลกยุคนี้มารู้หรอกนะว่าเป็นสาวยุคดิจิตอลที่อ่านวรรณคดียุคอโยธยาผ่านตาเป็นสิบเรื่องในตำราเรียนมาเกิดใหม่ (ถึงสุดท้ายจะอ่านไม่จบเพราะทนตรรกะในเรื่องไม่ได้ก็ตาม)แต่เอ้ะ ถ้าหนุมานมาเป็นพรรคพวกของพระรามพระลักษณ์ได้ ก็แปลว่าเนื้อเรื่องดำเนินมาถึงช่วงที่เริ่มทำศึกกับทศกัณฐ์แล้วสิเจ้าหล่อนคิดในดวงจิต เนื่องจากมิได้อ่านรามายณะอย่างละเอียดจึงไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในเนื้อเรื่องจุดไหนกันแน่เปลี่ยนเรื่องเอาละกันวะ คิดมากปวดหัวตาย“แล้วมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” หนุมานเอียงคอ ส่ายหางยาวๆ ไปมาเมื่อเห็นว่าสาวเจ้าท่าทางล่กๆ เลิ่นๆ ไม่เป็นผู้เป็นคน ท่าทางจะมีอะไรในใจแต่คงไม่กล้าพูดออกมา แต่เอาเถอะ เขาไม่ใช่คนที่ใจร้ายใจดำที่จะเค้นคออีกฝ่ายให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากรู้อยู่แล้วยิ่งฝ่ายนู้นเป็นแม่สาวโฉมสะคราญ ยิ่งทำใจร้ายไม่ลง“ข้าเพีย
หากแต่อาการสำแดงการปกป้องอีกฝ่ายของนางทำให้อีกฝ่ายยิ่งโกรธเกรี้ยว อสุราหนุ่มหันมาปรามาสหล่อนถึงกลิ่นกายที่หอมหวนราวกับกลิ่นบุปผาสวรรค์“ก็ทำลายไปเลยสิคะ ไม่ได้อยากเกิดมาตัวหอมจนมีผู้ชายมาหาอยู่แล้ว!” นางท้าทายผู้เป็นสามี (ไม่จริง) ของตนอย่างเดือดดาล ไม่มีเหตุผลเอาซะเลยพ่อ หึงหวงหน้ามืดไม่เข้าท่า ทำเหมือนเพราะกลิ่นกายหล่อนไปยั่วอารมณ์ชายอื่นเอาซะได้ แบบนี้มันแพ้แล้วพาลชัดๆสุวรรณราพณ์ขบกรามแน่นเมื่อหญิงสาวตรงหน้าท้าทายเขาอย่างมิมีท่าทางจักกลัวเกรง มิสำนึกผิดเลยสักนิดว่าเพราะความหอมยั่วยวนของหล่อนจักทำให้อมนุษย์มิว่าหน้าไหนหลงใหลแค่เพียงได้กลิ่นกายของนางเท่านั้นเจ้าจันทร์เกิดมามีกลิ่นพิเศษที่จักทำให้อมนุษย์หรืออสุรกายเข้าหาเธอแค่เพียงได้กลิ่น นั่นคือที่มาของคำว่า ‘กลิ่นบุปผาคลั่ง’ ที่ไอ้หนุมานมันว่าเพราะกลิ่นนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ทุกคราที่อยู่ใกล้ เขามักจักอดใจมิให้สัมผัสนางไม่เคยไหวก็แค่ดับกลิ่นมันไป เท่านี้ก็จักมิมีอมนุษย์เพศผู้ตนใดมาเข้าใกล้ผกากรองเช่นนางอีกแล้ว“งั้นรึ ก็ดี งั้นข้าจักทำให้เจ้าเหม็นโฉ่เสียจนมิมีผู้ได้กล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว” ไม่ว่าเปล่า อสุราหนุ่มบริกรรมคาถาในดวงจิ
ทำไมคำพูดคำจามันไม่เหมือนเมื่อคืนเลยวะ แต่ช่างเถอะ“หนูรู้ดี แต่คุณพี่ไม่ควรโกรธแล้วมาพาลที่หนูแบบเมื่อวานนะคะ” ถึงมธุรสจะคิดว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากพ่อยักษ์ผู้ดุดันเมื่อคืน แต่ได้โอกาสแล้วเลยเอ็ดเขาไปเสียดอกหนึ่ง ชายในฝัน อย่างแรกเลยคือต้องมีเหตุมีผล เมื่อวานอาจจักเพราะเป็นหนุมานด้วย เขาเลยโกรธซะขนาดนั้น (เพราะอีกฝ่ายก็ขึ้นชื่อเรื่องได้เมียไปเรื่อยด้วย)แต่ไม่ได้นึกพิศวาสใดๆ พ่อยักษ์ตนนี้หรอก แค่เพียงอยากให้เขาประพฤติตนในแบบเจนเทิลแมนที่ฮอตฮิตติดชาร์ทในยุคปัจจุบันที่เธอจากมาก็เท่านั้นเพราะยังไงฝ่ายนี้ก็เจ้าชู้ประตูดินไม่ต่างกัน มีเมียเป็นสิบเลย ถึงจะน้อยกว่าหนุมานแค่เพียงเศษเสี้ยว แต่ก็ถือว่าไม่ได้รักเดียวใจเดียวอยู่ดียอมรับว่าหมั่นไส้ และไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ด้วย“ที่พี่เปลี่ยนกลิ่นน้อง แค่เพียงยื้อเวลาให้พวกอมนุษย์ตนใดไม่มากล้ำกราย เจ้าอยากกลายเป็นเมียอมนุษย์ครบทุกประเภทหรือไร” สุวรรณราพณ์ปากไม่ดีใส่เธอเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่ากลิ่นสาปบุปผาคลั่งของนางสร้างความลาภปากอยากรสสาวจากอสูรด้วยกันมากเพียงใดมธุรสเอียงคอสงสัย“ก็แค่กลิ่นตัว คงไม่ขนาดนั้นรึเปล่าคะ” เธอพูดไปตามความรู
อ้อมกอดแห่งครุฑสีชาตินั้นทำให้นางยากจักถอนกายออก ความอบอุ่นที่ไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้เลือกนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด กรรณิกาอัปสรไม่คิดหวังให้ท้าวไกรสิงห์ใฝ่รักใฝ่หานาง หล่อนหมดหวังไปตั้งแต่พระสวามีคนก่อนแล้วสุวรรณราพณ์มองกรรณิกาที่อยู่ในร่างของเจ้าจันทร์เป็นเพียงแค่ตัวแทนหญิงที่ห่างกายเขาไปเมื่อนานมาแล้ว เขามักตัดพ้อรำพันทุกค่ำคืนว่าหญิงในอดีตชาตินั้นร้างรักเขาเนื่องจากเป็นอสูรรูปชั่ว แม้นมียศถาบรรดาศักดิ์มากมาย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจนางได้หารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้นคือบ่วงกรรมที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องเผชิญ ฝ่ายท้าวไกรสิงห์นั้นไม่สามารถระลึกชาติก่อนได้ แต่เขามีสะพานกรรมที่ต้องวนเวียนชดใช้ อดีตชาติของท้าวไกรสิงห์ก่อนจักมาเกิดเป็นครุฑนั้น คืออดีตพรานบุญที่หลงรักมธุรสวดี อัปสราสาวที่ลงมาล้อเล่นน้ำอาบแสงจันทร์กลางป่าหิมพานต์ในสระอโนดาต แลเสพสมกับหล่อนกลางสระงาม โดยที่หล่อนเมามายรสน้ำเงาจันทร์ ทำให้หลงลืมคิดว่าพรานบุญนั้นคือสามีของตนเฉกเช่นทศกุมภัณฑ์เมื่อทศกุมภัณฑ์มาพบการก่อกบถเข้า จึงทำการฆ่าพรานบุญคนนั้นจนตายในชาติก่อน ชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก พรานบุญนั้นสาปแช่งก่อนตายตกว่าชาติ
ก่อนพบรักกับอัปสรมธุรสวดี ทศกุมภัณฑ์เคยมีภรรยาเป็นยักษีรูปร่างงดงามสะสวย นางเสวยทิพย์มิกินเนื้อคนต่างจากเขาผู้เป็นสวามี นางถูกตบแต่งกับเขาเพียงเพื่อสานไมตรี ทศกุมภัณฑ์อัปลักษณ์หากแต่มียศศักดิ์บริวารมาก ตระกูลยักษ์ฝั่งนั้นจึงส่งนางปารตีเป็นเมียกำนัล การตบแต่งที่มิได้เริ่มต้นด้วยความรัก สุดท้ายทศกุมภัณฑ์กลับหลงรูปโฉมอัปสราจนทิ้งนางน้ำตาตกในตลอดมานางยักษ์ปารตีเองก็มิได้เหลียวแลเนื่องจากสวามีนั้นโหดเหี้ยมทานแต่เนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อสัตว์เนื้อมนุษย์ไม่ขาดปาก นางที่เป็นยักษ์เสวยทิพย์ชั้นสูง จึงตีตนออกห่าง จนเป็นช่องโหว่ให้อีกฝ่ายนั้นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย อยู่ของนางดีๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสวามีของตนนั้นได้ลิ้มรสเชยชมนางอัปสรชั้นสูง พร้อมกับเอานางอัปสรมธุรสวดีเข้ามากกกอดถึงในรังนอนนิมมานเทพเองต้องการดวงตาของนางยักษ์ปารตี เนื่องจากดวงตาของนางเป็นดวงตาที่สาม สามารถเปิดโลกแห่งความตายทั้งปวงได้ การมีดวงตาของนางเอาไว้ในครอบครอง มิว่าจักเป็นนรกภูมิหรือสรวงสวรรค์ เขาจักเป็นชายผู้มากศักดาจนมีแต่คนอยากคบหาพาที เขาจึงส่งนางอัปสรมธุรสวดีเข้าหาทศกุมภัณฑ์หวังยั่วยวนหาโอกาสฆ่าชิงดวงตาที่สามของนางปารตี แต่นางอั
“เมื่อเจ้าเติบใหญ่กว่านี้ พ่อจักบอกทุกอย่าง อดทนรอแล้วทำตามที่พ่อเอ่ยได้หรือไม่” แน่นอนว่าพระสุวรรณราพณ์รู้ดีถึงพลังที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของบุตรแฝด แต่เนื่องจากอินมุกแลจันทร์ดายังมิมีวุฒิภาวะหรือการเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมากพอที่จะเข้าใจเรื่องราวในอดีตชาติของตน เขาจึงอยากรอให้ลูกทั้งสองเติบโตมากกว่านี้ก่อน“ไม่! ท่านควักดวงตาแม่แท้ๆ ของข้า แลยังขับไสไล่ส่งแม่ที่แท้จริงของพวกเราไปไกลบ้านไกลเมือง หากมิรักใคร่เนื่องจากพวกเราเป็นสายเลือดมนุษย์ ท่านพ่อก็บอกข้ามาตามตรงเถิด!” จันทร์ดาได้ฟังพี่ชายว่าเช่นนั้นก็ใจตกไปอยู่แทบตาตุ่ม ยืนร่ำไห้กอดอินมุกที่หยัดยืนสู้ตัวน้อยๆ ประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองยักษ์ที่ถือเป็นบิดาแท้ๆ ของตน ตั้งแต่เกิดมาบิดาไม่เคยพูดดีด้วยนอกเสียจากมองเขาเป็นตัวปัญหา แม้นจักเป็นลูกของสตรีที่มิได้รัก แต่ก็มีหัวจิตหัวใจเช่นกัน“ควักดวงตา? หมายความว่าเช่นไร” สีหน้าของพระสุวรรณราพณ์นั้นสับสน ชวนให้สองเด็กแฝดชะงักไป“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว
“ไสหัวไปเสีย ก่อนที่กูจักบั่นคอมึงให้ดับดิ้นอยู่ตรงนี้” พอได้ยินอีกฝ่ายตีฝีปากกลับอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้นอสุราหนุ่มยิ่งพิโรธเหลือ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างที่หล่อนลงมาแลแปลงกายเป็นอัปสรเพื่อเข้ามาเป็นสนมคนที่สิบสาม แต่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงช่วงที่นางดำรงอยู่บนสรวงสวรรค์กับนิมมานเทพ มิอาจรู้ได้ว่ามันได้เป่าหูกระไรนางไว้บ้าง“อย่าลืมเสีย สุวรรณราพณ์... ไม่สิ ไอ้ทศกุมภัณฑ์เอ๋ย”“...!”“มธุรสวดีจักไม่มีวันตกเป็นของมึง แม้นชาตินี้หรือชาติไหน กูจักตามราวีมึงทุกชาติไป เพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงที่กูหมายครอง”ไวกว่าความคิด พระสุวรรณราพณ์เขวี้ยงดาบทมิฬตรงไปยังร่างตรงหน้าหวังฟาดฟันด้วยความเกรี้ยวโกรธสุดกำลัง แต่ร่างนั้นกลับสลายหายไปเป็นเพียงไอหมอกเย็นเยียบโอบล้อมรอบดาบดำมืดก่อนที่จักถึงตัว พระสุวรรณราพณ์เรียกดาบทมิฬกลับมาสู่ฝ่ามือใหญ่ กวาดสายตามองไปรอบๆ พลางขบฟันกรอดอย่างขัดเคืองมาทั้งที ก็ทิ้งเพลิงกัลป์ไว้เลยสิหนา“ทะ... ท่านพ่อ ข้า...” อินมุกมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อผู้เป็นพ่อหมุนตัวใหญ่โตหันกลับมา ดวงตาสีชาดหรี่ลงมองบุตรชายที่ยืนตัวสั่น พระสุวรรณราพณ์ทำได้เพียงเดินนำหน้าลูกไปเท่านั้น“ตามพ่อมา อิ
“พระมารดาของเจ้านั้นอยู่ที่เมืองจันทร์ นางตาบอดเพราะถูกควักลูกตาไปด้วยฝีมือของพระบิดาของพวกเจ้า เนื่องด้วยนางมิเป็นที่โปรดปรานเท่ากับสนมคนที่สิบสองอย่างนางอัปสรที่นามว่ากรรณิกา”“!!!” ทั้งอินมุกแลจันทร์ดาเบิกตากว้าง เป็นจริงดั่งสัญชาตญาณที่ว่ามารดาของตนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ตัวจริงนั้นอยู่เมืองจันทร์ ส่วนตัวปลอมที่แปลงเป็นมารดาของพวกเขานั้นคือหนึ่งในสนมที่เป็นนางสวรรค์แต่ยิ่งหดหู่ใจไปกว่านั้น... คือเรื่องที่บิดาเลือกที่จะควักลูกตาของพระมารดาไป เนื่องจากไม่เป็นที่โปรดปรานดั่งเช่นสนมที่เป็นนางอัปสร มันช่างน่าเศร้านัก นี่ท่านพ่อไม่มีความรักต่อแม่เราเลยหรือ“... ว่าต่อได้หรือไม่” ท้ายที่สุดเด็กชายก็อดรนทนไม่ได้ ด้วยความอยากรู้เรื่องราวของแม่ที่แท้จริงจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจากเมื่อครู่“จงมอบความเชื่อใจให้แก่ข้าเสียก่อน จึงจักเล่าต่อได้” นิมมานเทพถือโอกาสออกกลอุบายดึงบุตรของพระสุวรรณราพณ์มาเป็นพวกด้วยค่าของเรื่องราวของหญิงที่เขามินึกใส่ใจอย่างธิดาเจ้าจันทร์“ข้าแลน้องสาวจักเชื่อใจเจ้า”“อินมุก... เจ้ามิรักพระบิดาหรือ เจ้าเชื่อใจข้ามากกว่าพระบิดาหรือ ทั้งๆ ที่มันอาจจักเป็นคำโก
มิรู้ดอกว่าแปลงกายมาหลอกพ่อด้วยเหตุอันใด แต่จักมิยอมญาติดีกับแม่อัปสรสวรรค์นั่นเด็ดขาด“ข้ามิพูดคุยหรือทำดีต่อนาง ยัยนั่นมิใช่แม่ของข้า แม่ของข้าชื่อเจ้าจันทร์ ข้าจำกลิ่นไอของแม่ข้าได้ดี!”“อินมุก จริงๆ แล้วแม่ของเจ้า...”“เลิกพยายามจักโป้ปดข้า หาความดีความชอบมาสู่นังอัปสรนั่นเสียที ท่านพ่อรักหลงนางจนมิเห็นหัวข้าแลน้องจันทร์ดาเลยด้วยซ้ำ!” ว่าพลางก็กัดฟันข่มความรู้สึกโกรธแค้นนางอัปสรนั่น ฉุดแขนจันทร์ดาที่ยืนมองท่านพ่อกับพี่ชายต่อล้อต่อเถียงกันและวิ่งตามแรงจับจูงของพระเชษฐาไปอย่างว่าง่ายอินมุกวิ่งมาจนถึงบึงบัว กำหมัดแน่นในข้างที่ไม่ได้จูงฝ่ามือเล็กของน้องสาว จันทร์ดาเอียงคอมองพี่ชายฝาแฝดที่บัดนี้น้ำตาหยดลงสู่ผิวแก้มสุกปลั่ง“พี่อินมุก โอ๋ โอ๋ พี่อินมุกอย่าร่ำไห้เลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานปลอบประโลมพี่ชายเพียงแผ่วเบา ตระกองกอดพี่ชายแนบแน่นเท่าที่จำความได้ อินมุกกับจันทร์ดามีสูรย์วันบ่าวยักษีตนหนึ่งคอยดูแลเป็นแม่นมให้ตั้งแต่เล็ก สายใยอบอุ่นระหว่างพวกเขาและพระมารดาแน่นแฟ้น อินมุกและจันทร์ดาเชื่อว่ามารดาคลอดตนด้วยความรักใคร่ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ถามถึงแม่ของตนที่มีนามว่าเจ้าจันทร์นางสูรย์
“มิมีสาส์นตอบรับส่งมาจากเมืองครุฑเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท... จนบัดนี้แล้ว”เหล่าทหารกราบทูลกับพระสุวรรณราพณ์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่มหึมา ได้ความว่าสาส์นท้ารบนั้นอาจส่งไปถึงเมืองครุฑ แต่ฝ่ายไอ้ท้าวไกรสิงห์อาจยังเล่นตุกติกมิยอมส่งสาส์นกลับมา ทำตัวยั่วโมโหเก่งจริงๆพระสุวรรณราพณ์เข้าใจว่ามันนึกแค้นเคืองที่ในอดีตชาติต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์ยักษ์เช่นทศกุมภัณฑ์ (ซึ่งก็คือตัวเขาเองนั่นแล) นั้นเข่นฆ่าฉีกเนื้อเทือหนังครุฑอย่างโหดร้ายเพียงเพื่อชิงเมียรักกลับมาสู่อ้อมอก แม้นจักมาเจอเมียในร่างไร้วิญญาณก็ตาม แถมในอดีตก่อนเจอคู่ชะตา สังวรีราพณ์ก็ได้ไปบุกเมืองครุฑด้วยความหิวกระหายเนื้อสดหลังจากจำศีลไม่กินเนื้อมาเกือบห้าสิบปีจนตบะแตกด้วยดวงจิตทมิฬที่สอง สุดท้ายก็ฆ่าพวกครุฑแลครุฑีไปเกินครึ่ง แถมยังกินจนเหลือแต่กองกระดูกนกให้ดูต่างหน้าอีกด้วยเรียกได้ว่าเขาเองก็เป็นตัวการที่ทำให้ฝั่งไอ้ท้าวครุฑนั้นมีความอาฆาตแค้นจนต้องชิงสิ่งสำคัญออกไปอย่างเช่นภาชนะอย่างธิดาเมืองจันทร์ที่มีดวงจิตมธุรสวดีอยู่ในนั้น แม้นสุดท้ายจะสู้พลังวังชาของพระสุวรรณราพณ์ไม่ได้ก็ตามที่ส่งสาส์นท้ารบไป เพื่อจักให้มันจบมันสิ้นไป ให้มันได้ระบายอาร
แต่พระมเหสีเจ้าจันทร์กลับต่างออกไป ตลอดสามวันหลังคลอดเด็ก นางแวะมาแอบดูเด็กทั้งสองแลพยายามเข้าหาอยู่หลายครา แต่เด็กแฝดปฏิเสธการเข้าหาของแม่ สูรย์วันคิดว่าวันเดียวเธอคงล้มเลิกแล้ว เพราะคงมิมีใครอยากมีลูกกับยักษ์ สนมทุกคนที่ท่านนำพา ก็ล้วนแต่มิเต็มใจตกเป็นเมียทั้งสิ้นแต่นางกลับไม่เคยยอมแพ้ ยังแวะมาขอกอดขออุ้มอยู่ทุกวันแม้จักรู้ว่าเด็กทั้งสองจักต้องกระจองอแงแลผลักไสนางด้วยเดียดฉันท์เลือดมนุษย์“พระมเหสีทรงอยากอุ้มบุตรธิดาหรือเพคะ”“อะ... อื้อ” สาวเจ้าพยักหน้าหงึกหงัก ดวงหน้าซีดเซียว อาจเพราะยังป่วยอยู่“ท่านอินมุกแลท่านจันทร์ดายังมิคุ้นชินนัก แต่สักวันคงจักคุ้นได้แน่” นางว่าด้วยความหวังดี ฝ่ายกรรณิกาเองก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่จากทุกวันที่โดนลูกปฏิเสธ มันออกจักฝังใจมิน้อยแต่อย่าหวังว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอจักมีเพียงแค่นี้หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กหัวจุกทั้งสอง ค่อยๆ ยกจันทร์ดาขึ้นมาก่อนเพราะลูกหญิงมักอ่อนโยนกว่าคนพี่เล็กน้อย พร้อมกับยกบุตรสาวที่ทำตาโตมาแนบอกอิ่ม“จันทร์ดา... นี่แม่เองนะ”“...”“จันทร์ดา แม่รักหนู... แม้จักเป็นช่วงเพลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม”หมับ!“อึก...!” แต่ยั
ทำเป็นไม่รู้ต่อไป เพื่อรักษานางไว้ รวมถึงรักษาสัมพันต่อสรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นทุกอย่างจักยากขึ้นเกือบเท่าตน ทั้งการสัญจร รวมถึงพันธะสงบศึกที่มีมาตั้งแต่อดีตชาติระหว่างสรวงสวรรค์แลโลกอสูรเป็นเพียงอสูร มีอำนาจมากมายเพียงไหน สุดท้ายยังถูกชิงไปได้ด้วยเทวดาอยู่ดีส่วนเด็กสาวผู้มิรู้ประสากระไรทั้งนั้น ได้แต่สั่นสะเทือนอยู่บนกายใหญ่เนื่องจากร่างกายเล็กจ้อยแสนเปราะบาง นางครางครวญเสียงสะท้านหวามไหว กอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ท่าทางนี้มองเห็นดวงหน้าของยักษาได้ถนัด เขากำลังจ้องมองหล่อนอย่างเปรมปรีดิ์ รบกวนจิตใจเหลือเกินทำมาเป็นจ้องมองเหมือนรักเหมือนหลงยิ่งนัก จักทำให้ร่างน้อยๆ นี่เป็นของโปรดของเจ้าให้ได้เลยเชียวว่าพลางก็พยายามขยับบั้นเอวน้อยเพื่อคลึงความใหญ่โต แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ถึงร่างกายจะแปลงตนเป็นอัปสร แต่ก็รับความรู้สึกได้ทุกอณูไม่ต่างกับร่างกายมนุษย์จนเริ่มชักไม่แน่ใจ ว่าตนเองเป็นอัปสร หรือมนุษย์กันแน่หรือนางหลอมรวมกับร่างเจ้าจันทร์ไปแล้ว?คิดเพ้อฝันพลางส่ายหัว ร่างนั้นจำแลงเป็นการเวกกลับสู่เมืองจันทร์ไปแล้ว สุวรรณราพณ์ตกเป็นของนางแทนที่เจ้าจันทร์แล้ว นี่ล่ะค