ทั้งสองคนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของใหม่ที่ไม่มีรอยปะรอยขาด เป็นเรื่องปกติที่ใครก็ควรได้รับแท้ ๆ แต่เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้รับของเหล่านี้ ทั้งสองรู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้าจนน้ำตาไหลออกมา ชิวย่าหนานเปลี่ยนชุดใหม่ให้บุตรชาย เห็นเขาได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ก็ยิ่งร้องหนัก แต่ไม่ได้สะอื้นให้บุตรชายได้ยิน
หากนางมีความสามารถพอที่จะทำได้แบบนี้ก่อนหน้านี้ก็คงดีฉินหลิวซีนำตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงยื่นไปให้ผู้เป็นอาจารย์ นางเก็บเอาไว้ไม่ถึงร้อยตำลึง เพราะให้บิดาไปบ้างและยังซื้อข้าวของไปไม่น้อย
“สิ่งนี้คือ?”“เงินที่ท่านอาจารย์ออกหน้าช่วยไว้ ข้าขอคืนให้เจ้าค่ะ”นี่ก็ทำให้เขาอึ้งอีกแล้ว ตั้งแต่ตอนที่บอกว่าจะซื้อที่ดินสร้างบ้าน นี่ยังนำเงินมาคืนเขาอีก เด็กคนนี้มีเงินติดตัวอยู่เท่าไรกันแน่แต่ถามไปก็คงไม่บอกสินะ“ข้าไม่อยากรู้สึกว่า ตนเองติดหนี้บุญคุณใคร อาจารย์โปรดรับไว้ด้วย”“ก็ได้ ตามใจเจ้า” เขารับตั๋วเงินใบนั้นเก็บเข้าไปในอกเสื้ออย่างว่าง่าย เพียงเจอนางไม่กี่ครั้งก็พอจะคาดเดานิสัยนางได้แล้ว เขาต้องกา“ก่อเกิดลมปราณแบ่งได้เป็นระดับขั้นใหญ่ ๆ แปดขั้น สามขั้นแรกต้องผ่านขั้นย่อยเก้าขั้นจึงจะไปสู่ขั้นถัดไปได้ เมื่อไปถึงปฐพีลมปราณที่เป็นขั้นที่สี่ ต้องผ่านขั้นย่อยทั้งสิ้นห้าขั้น จึงจะไปถึงก่อกำเนิดเซียนที่เป็นขั้นห้า พวกขั้นน้อยใหญ่เหล่านี้ บางคนฝึกทั้งชีวิตก็ไม่อาจไปถึงได้ เจ้าอายุเพียงเท่านี้ แต่มาถึงขั้นห้าได้นับว่ามีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์”นอกจากขั้นของผู้ฝึกตนเหล่านี้แล้ว ยังมีขั้นของสัตว์อสูรและผู้ปรุงโอสถที่นางต้องจดจำ ธาตุหลักทั้งสี่ส่งผลต่อกันอย่างไรนางก็ต้องรู้ ต่อต้านกันอย่างไรนางก็ต้องเข้าใจให้ชัดแจ้ง หากสามารถเข้าใจศาสตร์เหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ นางอาจสามารถผสานธาตุต่าง ๆ เพื่อใช้งานได้สัตว์อสูรมีเจ็ดขั้นใหญ่ ๆ ความสามารถของมันเพราะบ่งบอกถึงความยากในการจับและเอาชนะ ก่อเกิด ก่อกำเนิด จักรพรรดิ เซียน บรรพกาล เทพ และเทวะ ในเจ็ดขั้นนี้มีเพียงสามขั้นแรกที่สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีกสิบระดับสายผู้ปรุงโอสถที่อาจารย์ของนางชำนาญก็มีความชำนาญแบ่งตามระดับขั้นเช่นกัน แต่อาจารย์บอกให้นางเรียนรู้ไปก่อน เรื่องขั้นลำดับยังไม่ต้องไปจำนักก็ได้ฉินหลิวซีเห็นด้วย บางอย่างต่อให้จำไปก็เท่านั
“เรื่องนี้ข้าก็คิดว่าจะหาเวลาไปคุยกับท่านอยู่พอดี อาจารย์ของข้าไม่ปักหลักอยู่ที่เมืองใดนาน อีกไม่นานก็จะเดินทางไปจากเมืองนี้ และข้าก็จะติดตามไปด้วย หากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้บ้านเสร็จก่อนออกเดินทาง”“ข้าพอรู้อยู่ว่าสกุลฉินเป็นอย่างไร เห็นด้วยอย่างที่เจ้าว่า ข้าจะเร่งมือให้”“ขอบคุณท่านลุงที่ช่วยเหลือ” นางประสานมือก้มหน้าลงแสดงการขอบคุณ ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องแบบบ้านที่นางต้องการเพิ่มเติมจากคราวก่อน ไม่นานหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปโดยเข้าไปพบหมอเทวดาครั้งหนึ่งเพื่อทักทาย“ตัดสินใจแน่แล้วหรือว่าจะไปกับข้า” ซุนเป่ยฉีได้ยินเรื่องที่คุยกันทั้งหมด แต่เขายังไม่ได้บอกนางว่ากำหนดจะออกเดินทางเมื่อใด ไม่คิดว่านางจะคาดการณ์ล่วงหน้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านเป็นอาจารย์ของข้า ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนรู้จากท่าน ย่อมต้องติดตามท่านไปแน่นอน” ฉินหลิวซีตอบรับอย่างหนักแน่น นางอยากท่องโลกกว้างใบนี้ นางเชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีอะไรน่าสนใจรออยู่มากมาย เพราะที่นางอยู่เป็นเพียงแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น “ท่านพี่จะไปหรือ” ฉินซือหยวนเดินเกาะชายกางเกงผู้เป็นอาจารย์ของพี่สาวออกมา ดวงตาปรือปรอยเหมือนพึ่งตื่นจ
หลังจากได้ปรึกษาซุนเป่ยฉี อาจารย์ของนางจะอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน และเดินทางไปยังเมืองอื่นถึงห้าเดือน รวมเวลาเกือบครึ่งปีจึงจะวนกลับมารับฉินหลิวซีเพื่อไปศึกษาในฐานะลูกศิษย์เต็มตัว ระหว่างนั้นนางต้องเป็นผู้ฝึกสอนการใช้ปราณให้คนในบ้าน ทว่าเรื่องนี้นางยังไม่แน่ใจนักว่า พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ หากปฏิเสธนางคงต้องเกลี้ยกล่อมหนักหน่อย เพราะไม่อยากให้ครอบครัวถูกผู้อื่นรังแกตอนที่นางไม่อยู่วันนั้นหลังจากกลับมาบ้าน ฉินหลิวซีก็ขอคุยกับพ่อแม่อย่างจริงจังหลังอาหารมื้อเย็น เห็นบุตรสาวทำหน้าจริงจังพวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจ จะถามก่อนก็ไม่กล้าจึงได้แต่รอให้ฉินหลิวซีเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน“ข้ารู้สึกเป็นห่วงคนข้างหลัง การติดตามอาจารย์นั้นไม่มีทางจบในวันสองวัน นอกจากนี้อาจารย์เป็นหมอเทวดา ต้องออกเดินทางรักษาผู้คนไปตามเมืองต่าง ๆ ลูกผู้เป็นศิษย์ย่อมต้องติดตามไปดูแลปรนนิบัติท่านด้วย การไปศึกษาสถานการณ์จริงย่อมต้องเพิ่มประสบการณ์ให้ข้า ทว่าการจะให้ทิ้งพวกท่านไปก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง” การเดินทางแต่ละครั้งอย่างเร็วสุดก็คงครึ่งปีถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านได้ อย่างที่อาจารย์ของนางเล่าว่าที่เดินทางออกไปนั้นกินเวล
“วันนี้ขอรบกวนด้วยนะเจ้าคะ” ชิวย่าหนานกับสามีโค้งลงให้อาจารย์ของบุตรสาว นางมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือมาเป็นมารยาทซุนเป่ยฉีหันไปถามเรื่องราว จนได้ความว่าทั้งสองรู้เรื่องเพียงคร่าว ๆ หมอเทวดาพาทั้งคู่มานั่งด้านในเรือน นำน้ำชามารับรอง ทั้งสองมองดูบุตรสาวปรนนิบัติผู้เป็นอาจารย์อย่างคล่องมือ“พวกท่านตัดสินใจอย่างใดหลังจากได้ฟังเรื่องที่นางพูด”“ข้ายังลังเล เพราะเงินที่เสียไปนั้นเหมือนว่าชาตินี้ข้าก็ไม่มีทางหาได้ การต้องแลกเปลี่ยนดูเป็นน้ำหนักที่มากมาย” ชิวย่าหนานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ“การแลกเปลี่ยนย่อมต้องเท่าเทียม ผู้ใหญ่อย่างพวกท่านนั้นมีอยู่มากมายที่รู้สึกเสียดายกับการฝึกตน แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เป็นผู้รู้สึกเสียดาย ก็ต้องถามความสมัครใจ สำหรับผู้อยากย้อนเวลาแต่ทำไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร จึงได้คิดค้นยาเม็ดนี้ขึ้นมา ซึ่งวัตถุดิบของมันก็ไม่ใช่ว่าหาง่าย”“นั่นละขอรับ มันต้องมากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินก่วงก็รู้สึกลำบากใจไม่แพ้ภรรยา หากพวกเขาหาเงินจำนวนนั้นไม่ได้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องรอไปจนสิ้นอายุขัยหรือ“นางจะเป็นห่วงพวกท่านนั้นก็ไม่แปลก เพราะนางรู้ดีว่าคนที่มีวิชากั
หมอเทวดาให้ยืมห้องพักด้านใน เด็กหญิงเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว บิดามารดานอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้ด้วยหัวใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งกังวล และคาดหวังในเวลาเดียวกัน“ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ขออย่ายอมแพ้และถอดใจจนกว่าจะถึงที่สุดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยย้ำอีกครั้งแล้วยื่นถ้วยยาให้ทั้งสองคนชิวย่าหนานกับฉินก่วงมองยาในถ้วยก่อนจะหันมองหน้ากัน ตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็กลืนยาลงไปในอึกเดียวเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังออกมาจากห้องด้านในสุด ฉินหลิวซีถือกระบวยใบหนึ่งคอยตักน้ำพุวิญญาณกรอกปากทั้งสองคนที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่งผลอย่างเห็นได้ชัด ปราณในกายที่ถูกบีบและรีดเค้นให้ออกมากำลังเดือดพล่านอย่างมากซุนเป่ยฉีกางเขตแดนเอาไว้ระหว่างตัวบ้านกับภายนอก ทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงที่ดังลั่นออกมา พร้อมช่วยส่งปราณเข้าไปในร่างของทั้งคู่เพื่อนำทางให้ปราณกรุยเส้นลมปราณได้ง่ายขึ้น และสอนวิธีให้ขับเคลื่อนลมปราณไปพร้อมกันเวลาผ่านไปยาวนานร่วมห้าชั่วยาม ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาจนล่วงเข้ายามสายเสียงกรีดร้องนั้นจึงค่อยสงบลงสามีภรรยาตระกูลรองนอนหลับสนิททั้งที่เหงื่อโซมกาย ฉินหลิ
หลังจากหมอเทวดาจากไปได้สองเดือน นางเหลือเวลาอีกไม่นานในการเตรียมบิดามารดาให้พร้อม ฉินหลิวซีพาบิดาเข้าป่าล่าสัตว์และฝึกฝีมือไปด้วย ฝีมือการล่าสัตว์ของบิดาดีกว่าฉินหลิวซีมาก เขาล่าได้มากกว่าสามเท่าที่ฉินหลิวซีเคยล่าสัตว์ได้เด็กหญิงยิ้มกว้างจนเห็นฟันด้วยความพอใจ คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่ให้พวกเขาเลือกปลุกพลัง คนเรามีความสามารถ แค่อยู่ที่จะถูกค้นพบและจุดประกายเมื่อไหร่“ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าฝีมือของท่านจะหาตัวจับได้ยาก แต่ก็อย่าเพลินเกินไปจนล่าสัตว์หมดป่านะเจ้าคะ” นางเอ่ยเตือนทั้งรอยยิ้ม หัวเราะเสียงใสด้วยความชอบใจ“พ่อจะระวังก็แล้วกัน” ผู้เป็นบิดายิ้มตอบ ดูเหมือนว่าการที่เขาเลือกทางนี้จะถูกต้องแล้ว เพราะบุตรทั้งสองมีสีหน้าแจ่มใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเห็นในฝีมือการล่าสัตว์อันล้ำเลิศของบิดาน้องชายก็ตื่นเต้นมากจนขอร่วมฝึกด้วย ฉินหลิวซีให้น้องชายไปฝึกเรื่องการแกะรอยและล่าสัตว์กับผู้เป็นพ่อ ส่วนนางก็มาฝึกเพลงหมัดและการเดินปราณให้แม่หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนทั้งครอบครัว พวกเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่า“ท่านพ่อ
“เจ้าตัวดี เดี๋ยวนี้ร้ายกาจขึ้นทุกวันนะ” นางบีบแก้มหลานสาวเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ฉินซือหยวนเห็นพี่สาวทำแล้วท่านน้าชอบใจก็เลียนแบบ กลายเป็นหลานทั้งสองติดน้าหญิงเล็กแจเสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้พวกที่ได้ยินรู้สึกพองฟูในหัวใจตามไปด้วยชีวิตประจำวันดำเนินไปเช่นนี้ไม่แตกต่าง เวลาผันผ่านจากวันที่อาจารย์จากไป รวมแล้วห้าเดือนอย่างที่เคยบอก ในที่สุดหมอเทวดาก็หวนกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง“คารวะท่านอาจารย์ เดินทางครั้งนี้คงเหนื่อยแย่สินะเจ้าคะ”บ้านหลังเดิมที่เขาเคยเช่าอยู่ ตอนนี้ปัดฝุ่นไว้จนสะอาดด้วยฝีมือของลูกศิษย์ตัวน้อยก่อนเขาจะมาถึงด้วยซ้ำ ซุนเป่ยฉีเห็นดังนั้นก็รู้สึกชอบใจมาก หัวเราะและเอ่ยชมนางออกมาเสียงดัง“ข้าไม่อยู่เพียงไม่นานก็เลื่อนขั้นได้ด้วยตัวเองแล้วหรือ ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้” เขาหรี่ตามอง ใช้ปราณเพ่งสำรวจ ระยะเวลาไม่กี่เดือนลูกศิษย์ของเขาก็เลื่อนขั้นไปอีกสองขั้นแล้ว ก้าวหน้าเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหรือผู้มีพรสวรรค์ก็ได้ทั้งนั้น“พ่อแม่กับน้องชายเจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เรื่องไร้สาระ ท่านอาจารย์อย่าได้ใส่ใจ”“เตรียมของพร้อมหรือยัง”นางพยักหน้าและกลับไปเอาของที่วางไว้ทั้งหมดใส่ย่าม เดินกลับออกมาพร้อมจูงมือน้องชายมาด้วย ฉินก่วงกับชิวย่าหนานเดินออกมาส่งบุตรทั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์ กล่าวกำชับนางหลายเรื่อง ทั้งเป็นห่วงทั้งอยากจะรั้งไว้ แต่ก็หักห้ามตนเอง“เดี๋ยวข้ากับน้องจะกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”“ลาก่อนขอรับ” ฉินซือหยวนกอดท่านพ่อท่านแม่เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะไม่ได้เจอทั้งสองคนอีกนาน“เดินทางปลอดภัยนะ”พวกเขามาส่งลูก ๆ ถึงหน้าประตูเมือง ยืนมองจนกระทั่งแผ่นหลังของทั้งสามคนหายลับไปจากสายตาสองสามีภรรยากลับมาบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว คิดว่าพวกตนต้องเหงาแน่ ฉินก่วงโอบไหล่ภรรยาด้วยต้องการจะปลอบประโลมนาง เขายังอยู่ตรงนี้ จะไม่ทำให้นางต้องเหงาจนเกินไปแน่ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ความสงบที่ตั้งใจไว้ว่าจะได้พบเจอกลับมลายหายไป“กลับมาแล้วหรือเจ้าพวกตัวดี! ข้าหรืออุตส่าห์กำชับไว้แล้ว ทำไมเด็กพวกนั้นไม่พาอาสี่ของตนไปด้วยฉินซือหยวนก็ไม่อย
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ