“เมียพี่มันมีน้องหมาเป็นทาสชายที่ชื่อกล้า และน่าจะเคยมีอะไรกันมาแล้ว แถมยัง... นอนกับน้องชายต่างแม่ของตัวเองอีก!” “...” “แถมไอ้น้องเวรนั่นยังบอกว่าลูกในท้องนางบัวงามน่าจะเป็นลูกมันอ่ะ! ฉันจะทำไงดีวะพี่ กลัวชิบหายเลย นี่ขนาดเริ่มต้นนะเนี่ย” ว่าพลางตัวสั่นน้ำตาคลอตาแดงก่ำ ก็ไม่คิดว่าเจ้าของร่างจะสันดานงามไส้แบบนี้ รู้งี้ยอมตายไปเป็นผีอีกรอบดีกว่า “เรื่องนั้นกูรู้ดี” “!!!” แต่เมื่อผีชายหนุ่มเหนือร่างเล็กโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น นางสาวบีถึงกับผงกหัวขึ้นไปมองเขาอย่างแปลกใจ ขุนแสนคำที่อยู่เบื้องบนมีสีหน้าร้าวราน เขาทั้งแค้น และทั้งเสียใจกับการกระทำของเมียตนเอง “กูถึงอาฆาตมันมากอย่างไร ไอ้ขุนเสือนั้นอยู่ทัพหน้าเช่นเดียวกันในสงครามที่ปะทะกับอาณาจักรอังวะ กูคิดในครานั้นว่ามันต้องมีกระไรพิกลในตัวมัน” “...” “มันอาจจักเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กูถึงแก่ความตายก็เป็นได้” เมื่อขุนแสนคำสันนิษฐานออกมาแบบนั้น โดยไม่มีวี่แววเหี้ยมโหดเหมือนคราแรกที่พบกัน นางสาวบีค่อยๆ ขยับตัวลงนั่งพับเพียบเพราะคุกเข่าจนเมื่อยน่อง ยอมรับว่าตกใจเหมือนกัน แต่ไม่แปลกใจถ้าขุนเสือจะวางแผนฆ่าพี่เขยของตนเอง เพราะหล่อน
“หนองน้ำเนี่ย... หนองสมชื่อเลยเนอะ ปลาตายเกลื่อนเลย” หล่อนวิพากษ์วิจารณ์ออกมาโดยไม่สนใจสายตาดุดันของขุนแสนคำที่ปราดมองมา แต่ที่แบบนี้จะให้ไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเนี่ย “งั้นวันนี้ขอพัก ไม่ทำแล้วได้ไหมพี่ผี” “อย่าทำเหมือนมึงมีทางเลือกมากนัก” เสียงนั้นแข็งกร้าวพร้อมชนเสมอ ขุนแสนคำไม่ชอบผู้หญิงที่ขัดใจตัวเอง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ในสายตาของเขาเป็นได้แค่เพียงทาส ในสมัยที่ยังมีชีวิต ผู้หญิงที่เขาจะทำดีด้วยมีเพียงสี่คนเท่านั้น คือมารดา น้องสาว เมีย และแม่เมียเท่านั้น ส่วนทาสหญิงที่พยายามเข้าหาหรือแม้แต่กระทำตัวเลินเล่อขัดอกน่ะหรือ มันพวกนั้นจะถูกใช้งานอย่างหนัก และมีบทลงโทษทุกครั้งที่ทำให้ขัดใจ เขาน่ะมันไม่เคยปราณีใครตั้งแต่มีชีวิตอยู่แล้ว ด้วยนิสัยที่ติดมาจากการเป็นนักรบที่อ่อนข้อไม่เป็น และวิญญาณที่สิงสู่ร่างนางบัวงามมันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? เหตุใดถึงต้องสนใจว่าต้องคิดเห็นเช่นไร อย่างไรก็เป็นแค่เพียงดวงจิตที่ไร้เพศอยู่ดี “แต่มัน...” “ก็เลือกเสีย ว่ามึงอยากจักตายด้วยเงื้อมมือกู หรือจักลงไปในหนองน้ำ” ดุจริงพ่อคุณ คราวก่อนยังใจดียอมแปลงร่างเปลี่ยนบรรยากาศให้อยู่เลย นางสาวบีนึกขุ่นเคือง ก็คงเพ
“คือหมายความว่านายเหล็กอะไรนี่ก็เป็นชู้ฉันหรือ!” “กระผมมิแน่ใจ เขามิได้บอกกระไรไปมากกว่าฝากข้อความผ่านกระผมว่า... อยากให้คุณบัวงามไปเจอเขาในวันพรุ่ง ช่วงย่ำค่ำ ที่โรงตีเหล็กท่าม่อย แลฝากขอลุแก่โทษที่มิสามารถเขียนจดหมายเป็นลายลักษณ์มาเชิญท่านได้” ไม่ทราบ ก็เหมือนทราบ เล่นนัดเจอขนาดนี้ แถมเป็นช่วงราตรี ต้องชู้ไม่ผิดแหง เอาล่ะ ในที่สุดก็จะได้ทำความรู้จักกับชู้คนที่สามของนังหญิงใจทรามนี่สักที “ฉันเข้าใจ ว่าแต่โรงตีเหล็กท่าม่อยมันอยู่ตรงไหนกัน?” นางสาวบีพยักหน้ารับรู้แต่ก็ต้องเหงื่อตก เพราะหล่อนแทบไม่รู้ที่ทางของบ้านเมืองในสมัยนี้เลย นายกล้าที่คุกเข่าจ้องหน้าหล่อนอยู่เบื้องล่างจึงชี้ไปที่ตนเอง “กระผมจักพายเรือพาท่านไปส่งเองขอรับ... โรงตีเหล็กท่าม่อยตั้งอยู่ติดท่า กระผมรู้ที่ทางเป็นอย่างดี” “ขอบใจนะนายกล้า” “แต่...” เมื่อนางสาวบีเอ่ยคำขอบคุณทาสหนุ่มที่แทบอุทิศชีวิตถวายตัวรับใช้นางบัวงามแล้ว นายกล้าจึงหลุดโพล่งขึ้นมา สีหน้าของเขาดูมีเลศนัย รอยยิ้มใสซื่อแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความกระหาย ราวกับกำลังรอของรางวัลแสนสำคัญ “กระผมทำตามที่คุณบัวงามสั่งทุกอย่าง... ครานี้ รางวัลของก
“ว่าเช่นไรนะ?”ขุนเสือที่ได้ยินประโยคนั้นถึงกับยืนชะงักค้าง เขาย้อนถามหล่อนอีกครั้ง นางบัวงามจึงจัดผมเผ้าของตนเอง พร้อมกับหย่อนปลายเท้างามลงบนพื้นกระดานเรือน หยัดยืนเต็มความสูง“อ๋อ สมัยนี้คงไม่รู้จักคำนี้ใช่ไหม เอาเป็นว่า อย่าแส่ ขอร้อง เป็นแค่น้องไม่ต้องทำอยากมีบทบาทในตัวฉันมากได้ไหม” หล่อนพูดได้ตรงไปตรงมา และหยาบคายเกินกุลสตรี นางบัวงามในแบบปรกติแทบไม่อยากมีปากเสียงกับเขาเพราะกลัวเรื่องราวคาวๆ ของตนเองหลุดออกไปถึงหูเจ้าคุณพ่อ แต่หลังจากที่ฟื้นพิษไข้หนัก นางเปลี่ยนไปมาก“นี่กล้าพูดกับกูเช่นนี้เชียวหรือ!”“ก็จะพูด ทำไมเหรอ ฉันจะร่าน ฉันจะร่าน จบไหม” ชายหนุ่มตัวใหญ่โกรธเกรี้ยวจนตัวสั่นเมื่อนอกจากหล่อนจะไม่กลัวเสียงตะเบ็งของเขาแล้ว นางบัวงามยังเชิดหน้ามองเขาอย่างอวดดี “แล้วไม่ต้องจับนายกล้าไปเฆี่ยนนะ เราแค่หยอกล้อกันตามประสานายกับทาสเท่านั้น”หมับ!“นี่มึงบ้าไปแล้วหรือไรบัวงาม รู้ใช่หรือไม่ว่ากูสามารถทำกระไรได้บ้าง?” ฝ่ามือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก กำแน่นจนหญิงสาวเบ้หน้า หมอนี่เป็นผู้ชายจะแรงมากก็ไม่แปลก แต่นางสาวบีไม่ชอบที่คนเป็นผู้ชายจะมาข่มเหงผู้หญิงแบบนี้ถึงนางบัวงามจะส่ำส่อนน่
“อย่ามาเข้าใกล้กู!” เสือในวัยเด็กที่เดินตามพี่สาวต่างแม่ต้อยๆ ไปจนถึงกลางสวนดอกจำปีจำปาข้างสระบัว เมื่อขยับมือเล็กไปคว้าชายสไบได้ กลับถูกพี่สาวที่งดงามยิ่งกว่าใครสะบัดมือทิ้งพร้อมกับผลักเขาล้มลงไปกับพื้น พลั่ก! “ฉะ... ฉันแค่เพียงอยากสนิทสนมกับพี่เท่านั้น!” เสียงเล็กโอดครวญทั้งน้ำตา พี่บัวงามในวัยสิบสองปีเชิดหน้าขึ้น หล่อนที่เป็นที่เลื่องลือตั้งแต่เด็กว่าหน้าตางดงามราวกับนางสวรรค์ ผมยาวสลวยสีดำขลับเป็นลอนเงางาม ดวงตากลมโตสีรวงข้าวที่สดใส ผิวขาวผ่องอมชมพู ที่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์แบบไหนก็งดงามเกินวัย “มิจำเป็นต้องสนิทสนมอันใด มึงเป็นเพียงลูกบ่าว อย่าคิดมาเทียบเคียงกู!” เสือนั้นนึกชื่นชมพี่สาวของตนเองอยู่เสมอ เขามองเธอเป็นเทพธิดาที่เกินจะเอื้อมถึง ด้วยความเป็นเด็ก เขาคิดว่านั่นเพราะว่าเธอสูงส่งเกินไป เธอช่างงดงาม จนแม้แต่เขาที่เป็นน้องชายต่างแม่ยังไม่สามารถแตะต้องหรือพูดคุยได้ แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น เสือก็ได้เข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น เขาคือลูกของบ่าวหญิงที่หลวงศรีจันทร์หลับนอนด้วยจนมีบุตรชาย จึงได้แต่งตั้งขึ้นมาเป็นเมียคนที่สอง แต่ที่สองอย่างไรก็คือที่สอง... สุดท้ายเขาก็ไม่ต่างอะไรกับล
แต่เอาไงดีล่ะ นายกล้าก็ถือว่ายังใช้ประโยชน์ได้มากโขอยู่ จะปล่อยให้โดนเฆี่ยนตีต่อไปเดี๋ยวแผนตามหาชู้ทั้งหมดของนางบัวงามก็พังครืนกันพอดี “หยุดเฆี่ยนนายกล้าเดี๋ยวนี้นะ!” มีแต่ต้องเอาตัวไปขวางให้งามหน้าใครต่อใครเท่านั้น ร่างเล็กของนางบัวงามผลุนผลันมาขวางหน้าบ่าวชายที่เงื้อมือจะฟาดหวายลงหลังนายกล้า ท่ามกลางธารกำนัล และบิดาบังเกิดเกล้าของเธอ “ไม่ว่าใครก็ห้ามเฆี่ยนหวายใส่บ่าวของฉัน!” ดูส่อสองแง่สองง่ามชะมัด เอาเป็นว่าหาทางช่วยไอ้หมอนี่ไปก่อน ถึงมันเกือบจะปลุกปล้ำเธอไปแล้วก็ตามที “บัวงาม! ลูกเป็นบ้าไปแล้วหรือไร ออกโรงปกป้องบ่าวที่ทำให้ลูกเสียชื่อได้อย่างไรกัน!” แม้แต่หลวงศรีจันทร์เองก็ไม่เข้าใจ บัวงามไม่เคยมีกิริยาออกตัวรับแทนทาสชายคนไหนที่ทำผิด ทุกคราก็ทำเหมือนพวกมันเป็นเพียงแค่สัตว์สี่ขาเท่านั้น พวกมันเป็นไพร่ มีค่าได้แค่นั้น แต่เมื่อนางบัวงามเอาตัวที่มีแต่เสื้อนอนมาขวางแทนทาสชายที่โดนเฆี่ยนจนสะบักสะบอม สีหน้าของบ่าวชายที่อยู่รอบๆ ก็เกิดเปลี่ยนไป ชุดที่มีเพียงผ้ารัดอกจนเผยให้เห็นร่องอกขาวผ่องใต้ผ้าผ่อน รวมถึงซิ่นงามที่ฉีกขาดข้างเรียวขาจนเห็นน่องขาวอมชมพู เหล่าบ่าวชายต่างพากันกลืนน้ำลาย
“แต่ลูกตั้งครรภ์ เขาจะยอมรับได้หรือเจ้าคะคุณพ่อ?” เริ่มแรกด้วยการลองเอาน้ำมันเทราดบนแผ่นหินเผาไฟให้สาดซ่า โพล่งบอกพ่อของนางบัวงามไปตามตรงว่าหล่อนในตอนนี้กำลังตั้งท้องอ่อนๆ อยู่ อย่างน้อยโดนตั้งแง่ลงโทษ อาจยังดีกว่าไปสวมบทหมั้นหมายกับใครหน้าไหนก็ไม่รู้ หลวงศรีจันทร์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมาจะแสยะยิ้มกริ่ม “งั้นก็ยิ่งดี! รีบพูดคุยจัดวันหมั้นหมายกับพระยาสิงขรให้ถูกต้อง แลสวมรอยลูกในครรภ์เป็นของท่านเสียเลยเป็นไร” เข้าใจแล้ว ทั้งพ่อทั้งลูก กู่ไม่กลับพอกันทั้งคู่ ทำไมพอลองหยั่งเชิงไปตรงๆ สิ่งที่ได้กลับมามีแต่อะไรที่รู้สึกว่าจะเสียเปรียบเปล่าๆ ล่ะเนี่ย อีกอย่างดูเหมือนหลวงศรีจันทร์จะรู้เรื่องที่นางบัวงามตั้งครรภ์ด้วย “งั้นก็ตามแต่คุณพ่อจะพึงใจเจ้าค่ะ ลูกยินดี” ยินดีกับผีอ่ะดิ แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้ก็เดาทางหลวงศรีจันทร์ไม่ออกเหมือนกัน อาจเพราะนางบัวงามคงทำตามที่พ่อสั่งเสียทุกอย่างจนเก็บกดใช่ไหม เพราะไม่มีความคิดเป็นของตนเองจึงใช้ราคะเข้าครอบงำเพื่อสร้างความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ที่อาจจะเป็นช่วงเวลาเล็กๆ ที่ได้มีความคิดและเป็นตัวของตัวเองได้บ้าง อันนี้เดาเอาเองนะ เพราะดูทรงหลวงศรีจันทร
ตกดึกสงัดในวันนั้น นางสาวบีผุดลุกขึ้นจากที่นอนหลังจากเตรียมตัวมาอย่างดี เนื่องจากนายกล้าในวันนี้ไม่ได้มีความผิดแถมยังช่วยชีวิตไว้อีกด้วย หลวงศรีจันทร์จึงไม่ได้ให้มีการตรวจตรานอกเรือนบุตรสาวแบบรัดกุมอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก จึงเป็นทางสะดวกที่นายกล้าที่ฟื้นจากบาดแผลจะปีนเรือนขึ้นมารับเธอโดยไม่มีใครที่สามารถจับผิดได้ แต่ท่าทางเขาดูหนักหนาเอาการ สีหน้าอิดโรยนั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจับไข้เนื่องจากบาดแผล “นายไหวแน่นะ?” นางสาวบีทวนถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ไม่ได้สนใจมากนักแต่ถ้าตายไปหล่อนคงไม่มีหนทางให้ไปสืบหาเบาะแสต่อ นายกล้าที่หมอบตรงพื้นเรือนพยักหน้าน้อยๆ ไม่รอช้าหล่อนกับเขาจึงได้เดินทางไปยังท่าเรือใกล้ๆ ที่ใช้สัญจรแต่บัดนี้เงียบสงัด ดูเหมือนว่านายกล้าจะเลือกเส้นทางที่ติดกับป่าช้าแห่งหนึ่ง เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องครวญระงม ท่ามกลางป่ามืดมิดและวังเวง มีเรือเล็กๆ จอดอยู่เทียบท่าเก่าๆ นายกล้าเดินนำหน้าหล่อนพร้อมตะเกียงไฟ ในขณะที่สายตาของนางสาวบีสอดส่องไปรอบๆ เพื่อสแกนหาดวงวิญญาณแถวนั้นตามความเคยชินในภพเก่า ลืมไป ว่าร่างนี้ไม่มีเซ้นส์อย่างที่เธอเคยมี คิดแล้วจึงกำชับผ้าคลุมดวงหน้าแน่นขนัด ไม่ว
หล่อนควรว่านอนสอนง่ายกับเขา จึงจะเหมาะเจาะที่สุด“เมื่อวานหล่อนยั่วยวนพี่ชายฉัน อย่าคิดว่ามิรู้มิเห็นเชียวล่ะ”“...”“ทำเอาตาเเก่นั่นโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนไฟ ดูเหมือนจักประมาทพ่อฉันเกินไป หล่อนมิอาจล่วงรู้ว่าพ่อฉันทำอันใดได้บ้าง”“... คุณยอดหล้าเขาเป็นคนใจดี เเถมยังพึ่งพาได้อีกต่างหาก” เเต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้กระทบกระเทือนทางใจใดๆ เธออยากยอมรับด้วยซ้ำว่าเธอกำลังจะ ‘ยั่ว’ พี่ชายของเขา เพราะยังไงพี่ผีก็ไฟเขียวแล้วนี่ “หน้าตาก็ดี ยศศักดิ์ก็สูง หากจักมีใครตกบ่วงรักคุณเขา ก็ไม่น่าเเปลก”“เเต่หล่อนไม่มีสิทธิ์นั้น เพราะหล่อนเป็นเมียของพ่อฉัน! นั่นไม่ต่างกับมีศักดิ์เป็นเเม่อีกคนของไอ้… ยอดหล้า”“หากคนละสายเลือดเเล้ว ฉันไม่นับว่าเป็นญาติกันหรอก ดูพี่ชายเจ้ามิ่งเองก็สนใจฉันอยู่นะ”“เหอะ” มิ่งขวัญเเค่นหัวเราะ “หล่อนมิรู้หรือว่าพี่ชายข้ามีฉายาในพระนครเช่นไร เเต่มิเเปลกนัก ถึงรู้ หญิงเช่นหล่อนก็ยังคงคิดวิ่งโร่เข้าหามัน เเต่ฉันจักขอเตือนไว้”“...”“พี่ชายฉัน มันมิเหมือนพ่อที่จักตกหลุมพรางหล่อน มันไม่อ่อนโยนกับหล่อนดอก หากได้หล่อนครานึง หล่อนจักเป็นทาสรองบ่อนมันทุกคราไป เพราะมันน่ะคบค้าผู้หญิงมากเสียยิ่งกว่า
นางสาวบีนึกโล่งอก ถ้าเกิดเขายังทำเหมือนหล่อนเป็นตัวเเทนของเมียเก่าต่อไป มองเธอด้วยสายตาเว้าวอนอาลัยอาวรณ์ต่อไป อาจจะมีสักวันที่บีหลงรักขุนเเสนคำเข้าจริงๆ เพราะความสัมพันธ์ทางกายของเธอมีเเค่เขาเท่านั้น เเม้จะใช้ร่างกายของชายอีกคนก็ตามเเม้ว่าเขาจะโพล่งออกมาราวกับเรื่องที่เคยหวงเเหนร่างกายนี้ของนางบัวงามเมื่อก่อนที่เราตกลงสัญญาใจกันครั้งเเรกนั้นมันไม่ต่างกับคำโป้ปดก็ตามหากเเต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอก็ลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าท่ามกลางฟูกนอนที่ไร้คนเคียงกาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องเเปลกเพราะอีกฝ่ายนั้นเพียงเเค่เล่นบทผัวด้วยความจำใจ นางสาวบีทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ เธอตื่นขึ้นมาขัดถูคราบเหงื่อโดยมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติในช่วงเช้า เเต่งหน้าทำผมเหมือนวันนี้คือวันทั่วๆ ไปของหล่อนหญิงสาวสะคราญนั้นเคลื่อนตัวเปิดบานประตูออก ในเช้าอันสดใสนั้นเหมือนกับโลกใบใหม่ นางสาวบียอมรับว่าเธอเองก็มีความรู้สึกเล็กๆ กับการขีดเส้นให้ชัดเจนในวันนี้ เเต่เพื่อชีวิตเเละหัวใจของเธอ การอกหักมันเจ็บ ยิ่งอกหักจากผู้ชายที่ไม่ลืมรักเก่ายิ่งเจ็บไปอีกสองเท่าที่บอกว่าไม่มีวัน… นั่นมันเพราะเขาไม่มีวันที่จะมาหลงชอบวิญญาณที่ไม่
บีที่ผล็อยหลับไปนั้นจมลงสู่ห้วงนิทราลึกลับในแบบที่ตนเองไม่เคยใฝ่ฝันจะนึกถึง พื้นที่ที่คุ้นเคย เศษความแห้งแล้งจากเพลิงสงคราม เลือดและซากศพของเหล่าทหาร กลุ่มควันไฟดำมืดล้อมรอบพื้นที่กว้างขวาง กลิ่นคาวคละคลุ้งชวนอยากอาเจียน รวมถึงร่างใหญ่ทะมึนที่ไม่พบเจอมาเสียนาน ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยคมดาบบาดเลือดเนื้อ แผ่นหลังกว้างในชุดเกราะเต็มยศนั้นทำให้นางสาวบีที่ยังคงอยู่ในร่างของนางบัวงามค่อยๆ ก้าวเดินไปใกล้เขาแม้ภาพลักษณ์ของเขาจะดูน่ากลัวเหมือนที่เคยพบเจอ แต่เชื่อหรือไม่ว่าบีไม่แม้แต่จะรู้สึกหวาดกลัวเหมือนในคราวแรกแล้ว อาจเพราะหล่อนรู้ดีที่สุดว่าคนๆ นี้เป็นผู้ชายที่น่าสงสารและน่าหดหู่แค่ไหน การตายของเขามันทรมานเทียบเท่าไม่ได้กับการทรยศหักหลังของผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ“เรียกฉันมาในนิมิตนี่มีอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงหวานนั้นเอ่ยถามอย่างเหินห่าง ที่เขาทิ้งหล่อนนอนคนเดียวและจากไป เพื่อรอให้หลับสนิทจนดึงมาในนิมิตแห่งความตายใช่หรือเปล่า ดูเหมือนเขาเองก็รู้ตัวดีแล้วสินะว่าที่เธอพูดออกไปนั้นหมายความว่ายังไง หากเราสองคนจะขีดเส้นกันใต้ระหว่างกันชัดกว่านี้อีกนิด เพราะว่าเป้าหมายของเขามันย่อมไม่ได้มาโด
หมอนั่นก็แค่เด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัวไม่ใช่เหรอ? ดูจากกิตติมาศักดิ์ลูกรักของคุณหญิง ไอ้หมอนี่คงจะคิดว่าทุกอย่างที่อยากได้ก็จะได้มาโดยง่ายสินะ เหมือนอย่างไอ้บอสพี่ชายแท้ๆ ของเธอไง พอรู้ตัวว่าเป็นลูกคนโปรดเลยคิดว่าขออะไรแม่ก็คงจะให้ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆแต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดจะไปเอาจากยอดหล้านั้นจะเพราะเธอต้องการข้อมูลส่วนตัวของบ้านนี้จริงๆ หรือเพราะว่าผูกใจเจ็บเรื่องเก่าๆ ของพี่ชายกันแน่แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะพอเดาความคิดความอ่านของเธอได้ เพราะหล่อนประมาท เขาถึงต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือแม้จะไม่เต็มใจ การที่เข้าสิงท่านพระยาก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน เพราะความมุทะลุของวิญญาณแฝงในร่างนั้น กำลังจะพาปัญหาย้อนเข้าตัวแน่นอนว่าเขาชอบความกล้าของหล่อน ก็เลยปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ อย่างไรนี่ก็ร่างของบัวงาม ร่างกายของหญิงที่เขารอคอยให้นางกลับมาอธิบายทุกๆ อย่างว่าเพราะเหตุใดจึงทรยศหักหลังเขาเช่นนี้“หึ สิ่งที่มึงกำลังคิดอยู่นั่นแลที่อันตราย” ฝ่ามือที่ผละออกเปลี่ยนมาบีบข้อแขนของหล่อนที่เม้มปากคิดขัดแย้งในห้วงอารมณ์ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ถึงได้กระตุกยิ้มอย่างระอาใจเหลือทน กระตุกมือหนาแค่ทีเด
ปึง!หากแต่มีคนที่เก็บอารมณ์ไม่ได้ยิ่งกว่าใครที่เริ่มออกอาการหนัก พระยาสิงขรทุบโต๊ะเสียงดังจนจานชามกระจัดกระจายไปตามแรงเหวี่ยงของเขา พาลให้ทั้งโต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกสายตาตรึงอยู่ที่ชายวัยกลางคนที่กำมือที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารแน่นเสียจนสั่น แม้แต่นางสาวบีก็ยังตกใจที่เขาเป็นไปได้ขนาดนั้น จนร่างกายใหญ่โตนั้นหยัดกายลุกขึ้น ทิ้งประโยคเย็นเยียบทิ้งท้ายเอาไว้“ข้าอิ่ม จักขึ้นเรือน”สุรเสียงที่ทุ้มต่ำไม่ได้กระแทกกระทั้น หากแต่กดต่ำเสียจนพาให้ขนหัวตั้ง ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งโต๊ะอาหารไว้ด้านหลังด้วยบรรยากาศที่อื้ออึงยอดหล้ายังคงฉีกยิ้มอยู่ ในขณะที่คุณหญิงนิ่งสงบพอๆ กับบ่าวรับใช้ที่ค่อนข้างตกใจกับท่าทีในวันนี้ของพระยาสิงขร ปรกติท่านไม่เคยมีปัญหากับยอดหล้าไม่ว่าเขาจะทำตัวต่อหน้าเช่นไร ขอเพียงไม่ล่วงเกินแม่ของตนเป็นอันดี เหตุผลที่แท้จริงเพราะว่าเขาเป็นลูกคนโตของผู้หญิงที่เขารัก รวมถึงเป็นลูกที่เก่งกาจมีพรสวรรค์ แต่ทว่าคราวนี้ท่านเปลี่ยนไปแค่เพียงเพราะเห็นลูกชายคนโตพูดจาสนิทสนมกับเมียใหม่เท่านั้นเมื่อคล้อยแผ่นหลังของชายวัยกลางคนไปแล้ว รอยยิ้มของยอดหล้าที่คงอยู่นั้นเปลี่ยนเ
การกลับมาที่บ้านในรอบปีของยอดหล้านั้นสร้างความยินดีให้แก่คุณผู้หญิงและบรรดาบ่าวรับใช้เพศหญิงเป็นอย่างมาก แน่นอน... เพราะเขานั้นมีวาจาคารมเป็นอาวุธ รวมถึงรูปโฉมที่แทบจะถอดแบบจากพ่อสมัยยังหนุ่มมาเต็มๆ การใช้คารมหลอกล่อผู้หญิงทั้งน้อยใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถของยอดหล้าคนนี้ตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็ไปหยอกเอินแม่ครัว ไม่เคยแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายว่าคนไหนเป็นบ่าวในเรือนเบี้ยหรือคนไหนเป็นเมียขุนนางชั้นสูง ขอแค่เป็นผู้หญิงสะสวยพร้อมใช้คำเยินยอเสมอ บ่าวไพร่ในเรือนล้วนรักใคร่เอ็นดู ยิ่งได้รับแต่งตั้งยศขุนหลวงแล้วมีข่าวดีว่าจักกลับมาเยี่ยมบ้าน หญิงสาวน้อยใหญ่ในบ้านก็ดีใจจนเป็นลมใครจะรู้ว่าด้านมืดของบุตรชายคนโตผู้นี้น่ากลัวถึงเพียงไหน และคงไม่มีใครรับรู้ได้ดีเท่าพี่น้องร่วมสายเลือด โดยเฉพาะมิ่งขวัญที่ไม่ต่างจากสิ่งที่รอรับแรงระบายอารมณ์จากพี่ชายทั้งของคาวหวานถูกตระเตรียมมาเป็นการดีเสียจนเต็มโต๊ะ อาหารที่ดูหรูหราและพิเศษกว่าทุกมื้ออาหารที่ผ่านมา (และน่าจะไม่มีสารพิษจากเงื้อมมือคุณหญิงปะปนอีก) ถูกตั้งตระหง่านรอบโต๊ะ เมนูที่ผ่านปลายจวักจนประณีตบรรจงนั้นไม่ต่างจากอาหารในโรงแรมไทยหรูๆ เสียจนน่าสวาปา
แล้วเจ้าที่พี่ไม่เคยจักสามารถแสดงความอ่อนแอได้เลยสักคราเพราะกลัวเจ้าจักหลุดมือพี่ไป จักกลับมาหาพี่ได้เมื่อไหร่กันพี่กลัวว่าตนเอง... จักแสดงความอ่อนแอกับวิญญาณเร่ร่อนที่สิงสู่ในกายเจ้าไปมากกว่านี้ แลพี่จักมิเป็นตัวพี่อีกต่อไปใครๆ ก็รู้ว่าไอ้แสนคำไม่ใช่บุตรชายที่แท้จริงของเจ้าหมื่นบรมเดชะ เป็นเพียงเด็กชายเก็บมาเลี้ยงในบานะ ‘ทายาท’ เพื่อสืบทอดเชื้อสายต่อไป เนื่องจากลูกของเจ้าหมื่นนั้นมีแต่ผู้หญิง การที่เขาได้ยศขุนนำหน้าจากการทำความดีความชอบในการศึกตอนที่อายุยี่สิบปี ผู้เป็นพ่อนั้นพึงพอใจในตัวลูกยิ่งนัก เพราะแสนคำเติบโตมาอย่างดีในมุมมองของชายชาติทหาร เขาแข็งแกร่ง และสามารถสืบทอดเรื่องการรบได้อย่างดีเยี่ยมไม่ต่างกับบิดาเลี้ยงตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม แม้ว่าตอนนี้ขาข้างขวาจะใช้การไม่ได้จนต้องพึ่งไม่เท้าอยู่เป็นประจำหากแต่ใครจะรู้ถึงความกล้ำกลืนฝืนทนของบุตายที่เลื่องลือว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่าน พ่อแม่ของเขาเป็นใครไม่เคยพบเห็นหน้าค่าตาเลยสักครั้ง เพียงว่าเขาเป็นอดีตลูกทาส ที่เจ้าหมื่นขอซื้อมาเพราะในเรือนมีแต่บุตรหญิงเขามันเป็นเพียงลูกทาสที่ถูกพ่อแม่ขายให้ขุนมูลนายหวังมีพดเบื้ยไว้กินเศษข้าวเท่านั
ขุนแสนคำในร่างพระยาสิงขรล่วงรู้เรื่องราวความผิดปรกติภายในพระราชวังจากข้อความที่ส่งมาจากคนสนิทในวังของท่านดูเหมือนในหมู่พระสนมทั้งห้าสิบคน จะมีพระสนมคนหนึ่งมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างแปลก และเริ่มเอิกเกริก เอาใหญ่ในด้านความสัมพันธ์กับพระราชา จนพระมเหสีผู้เปรียบไม่ต่างมารดาของเมืองรู้สึกไม่พอพระทัย และต้องการกำจัดพระสนมคนนี้อย่างลับๆ จึงมอบหมายงานนี้ให้คนในวังเป็นหูเป็นตาคอยกลั่นแกล้งให้เสียฐานันดรไปแน่นอนว่าฝั่งพระยาสิงขรเป็นปฏิปักษ์กับพระมเหสี เนื่องจากทำงานอยู่ใต้ร่มพระบาทของพระเจ้าอยู่หัว จึงต้องหาวิธีสกัดกั้นความคิดนั้นของพระองค์เสีย อย่างไรในยุคนี้หญิงไม่มีทางเป็นใหญ่ไปมากกว่าชายหรอก การมีสนมถึงห้าสิบคน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดที่พระมเหสีไม่มีวันหนีไปจากความจริงข้อนี้ได้ ในยุคที่กฎมณเฑียรบาลยังไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้หญิงแม้แต่แม่เมือง ทำให้ผู้ชายรวมตัวกันคิดว่าถ้ามีอำนาจจะทำอะไรก็ได้แน่นอนว่าขุนแสนคำนั้นอยู่ในยุคโบราณที่ชายเป็นใหญ่ เขาจึงมีความคิดไปตามสมัย นึกเข้าข้างกษัตริย์ เพราะเป็นหญิงถึงต้องยอมผู้ชายเนื่องจากแข็งแรงกว่า หากพระมเหสีไม่เล่นกลการเมืองดีๆ ก็ไม่มีวันที่จะกำจัดพระส
“วันนี้มื้อกลางวันมิเห็นหล่อนกับคุณพี่มาทานข้าว แต่ฉันเตรียมสำรับไว้เผื่อเธอหิวอยู่แล้ว ถ้าหิวก็บอกฉันนะ จักเรียกบ่าวมาจัดสำรับให้ตรงนี้” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเอาแต่ยืนยิ้มไม่พูดไม่จาอะไร คุณผู้หญิงทองพินจึงถือโอกาสตัดสินใจว่านั่นคือคำอนุญาต รีบกวักมือเรียวเรียกบ่าวนางหนึ่งที่นั่งพับเพียบเฝ้าที่พื้นเรือนข้างๆ พลางกระซิบกระซาบให้ยกถาดสำรับมาวางให้นางบัวงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า บ่าวไพร่มีท่าทีสงบในขณะที่รุดเดินจ้ำก้มหัวนอบน้อมให้เธอและคุณผู้หญิงไปด้านหลัง ซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของห้องครัวประจำเรือน “ขอโทษที่ทำให้คุณผู้หญิงต้องลำบากนะเจ้าคะ” นางสาวบีพูดอย่าง ถ่อมตน นั่นเพราะอีกอย่างข้าวเมื่อวานที่ตกถึงท้องก็มีแค่ข้าวที่จับมือมาไม่กี่ ก้อนกับน้ำพริกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งผ่านศึกรักมาอย่างหนักหน่วงเพราะ ขุนแสนคำโคตรดุก็ยิ่งหิวโหยเป็นพิเศษถึงจะแอบหวั่นเกรงถึงบางสิ่งที่คนเป็นเมียหลวงน่าจะใส่ในอาหารตั้งแต่มื้อก่อนก็เถอะ แต่ดวงตาที่จับจ้องราวกับพร้อมรับชมอากัปกิริยาทุกอย่างของหล่อนทำเอาตัวแข็งไม่กล้าขัดขืนหรือปฏิเสธ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงใจดีกับเธอขนาดนั้น แต่ครั้นจะให้ไปหากับข้าวกับปลากินเองก็ใช่ที่