ชายหนุ่มทุ่มร่างเบาหวิวลงบนเตียงนอนใหญ่ แล้วตะครุบฝ่ามือน้อยๆ ของเธอเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน พลางรวบดึงตัวของแม่จอมสะดีดสะดิ้งเข้ามา และรีบพาดขาแกร่งข้างหนึ่งก่ายตัวของหญิงสาวเสมือนว่าเธอคือหมอนข้างส่วนตัว
"อ๊อยยย! อึดอัดนะทำอะไรของคุณเนี่ย"
"เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าหลินเย่ซี เมื่อตอนเด็กๆ คุณชอบเรียกผมแบบนั้นใช่ไหมพี่สาว"
"ไม่ต้องพี่สงพี่สาวเลย มันเป็นอดีตไปแล้ว อย่าลืมสิว่าเราเกลียดกัน"
"ผมมีค่าลดความเกลียดระหว่างเราให้คุณด้วยนะ"
"ค่าลดความเกลียด!? พูดอะไรไม่เห็นเก็ทสักนิด"
"มาเป็นคนของผม"
ดารินธิราหันหน้าไปมองหน้าเขาเพื่อขอความกระจ่างแจ้งด้วยความตกใจ
"ล้อฉันเล่นปะเนี่ย"
"คิดลึกแบบศิลปินอยู่ล่ะสิท่า....ถึงได้มองผมตาหวานเยิ้มแบบนั้น"
"คิดลกคิดลึกอะไร เปล่าสักหน่อย"
"งั้นผมจะได้สบายใจ ผมจะจ้างคุณให้มาแกะรูปให้ผมหน่อย"
"รูปอะไร"
ชายหนุ่มผมเงินพาคนช่างซักช่างแซะมาอยู่ในคลังกรุสมบัติจำนวนมากและพยักเพยิดใบหน้าคมขาวไปยังแผนที่ลายแท่งที่ขาดวิ่นยับยู่ยี่อยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวใหญ่
"คุณสามารถแกะภาพลายแทงพวกนี้แล้วร่างขึ้นมาใหม่ได้ไหม"
"อืม.....ก็น่าจะได้อยู่ค่ะ แต่มันดูเก่าคร่ำครึไปหน่อย"
"น่าจะอายุหลายร้อยปีแล้ว ไม่เก่าก็แปลก ไม่เหมือนคนบางคนหรอก อายุไม่เท่าไหร่ทำตัวแก่ซะแล้ว"
เหลือบมองตาขาวด้วยความรำคาญ ทำไมเขาชอบกระแหนะกระแหนเธออยู่เรื่อย หรือเพราะไม่เจอกันหลายปี ทำให้เขากลายเป็นคนเก็บกดไปแล้ว
"จะหยุดกวนประสาทสักห้านาทีจะขาดใจตายหรือไงคะ...." บ่นใส่และหันไปลูบๆ คลำๆ แผนที่ คิดสักพักก่อนจะตกปากรับคำเขา
"รับไม่รับล่ะงานนี้ หืม"
"รับก็ได้ แต่ขอฉันกลับไปเคลียร์งานอื่นก่อนนะคะ"
ตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะแผนที่ลายแทงนี้ควรค่าแก่การศึกษาอย่างมาก ใครจะปล่อยให้อัจฉริยะดีแต่ปากอย่างเขาฮุบของดีแบบนี้ไว้ดูคนเดียว
ชายหนุ่มแอบอมยิ้มคนเดียวมาตลอดทางที่เขาขับรถเทสล่าสีน้ำเงินคันงามมาส่งเธอที่บ้านทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วสองชั้นสีดำ ที่ประดับด้วยรูปภาพที่เธอวาดมากมาย
"อยู่คนเดียวเหงาหรือเปล่า"
"ชินแล้วล่ะ คงต้องขอบใจคุณ เพราะคุณทำให้ความเหงากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน"
คำพูดเสียดสีกระแทกแดกดันที่ออกจากปากเธอทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งที่เขาฉีกรูปส่งประกวดของเธอทิ้ง
เป็นเขาเองที่ตัดโอกาสในชีวิตเธอ และเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกทุกคนว่าเธอคือหลานสาวของคนที่เข้าไปเป็นมือที่สามทำลายครอบครัวเขา
หลังจากเพื่อน ๆ หลายคนของเธอรู้ก็ชักชวนกันทำตัวออกห่าง เกิดกลุ่มซุบซิบนินทามากมาย เขาคิดว่าเธอคือลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น
คิดว่าน้าเลวยังไง หลานอย่างเธอก็คงเลวไม่ต่างกัน
ทว่าความจริงเธอไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องของผู้ใหญ่พวกนั้นแม้แต่น้อย เพียงแต่เขายอมไม่ได้เมื่อเห็นพ่อใช้เวลาอยู่กับผู้หญิงนิสัยขยะแบบน้าของเดมี่ แล้วทำให้แม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะตายจากเขาไปเหมือนคนสิ้นหวังในความรัก
ดังนั้นการที่ปัจจุบันเขาทำดีกับเธอ หรือกระทั่งจูบเธอ ก็แค่ชดเชยสิ่งที่ผิดพลาด
"ยังไงคุณก็อย่าให้ความเหงาทำให้อารมณ์ศิลปินของคุณขึ้น ๆ ลง ๆ ล่ะกัน ไม่อย่างนั้นงานผมจะไม่เสร็จ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันแยกแยะเป็น"
พลันใดเสียงบีบแตรของรถคันสีแดงก็ดังขึ้น สาวขายาวผมสีเขียวประกายทองเดินก้าวขาลงมาจากรถเปิดประทุนคันงาน ฟีโอน่า พาร์สัน เหล่ดวงตาเฉี่ยวคมสีน้ำตาลอ่อนมองรถเทสล่าคันงามหน้าตาดูคุ้น ๆ ที่จอดอยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
แต่ก็ไม่เอะใจเพราะคิดว่า ผูัหญิงอย่างดารินธิราไม่น่ามีไฮโซที่ไหนมาติดพัน
หญิงสาวในชุดเดรสคอปกสีเหลืองเข้ามารัวกดกริ่งเสียงดัง ส่วนแม็กนัสก็เดินสำรวจภาพประติมากรรมชิ้นเอกหลายสิบภาพของเธอที่วางเรียงรายอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ เธอจึงปล่อยให้เขาสำรวจต่อไป
"เดมี่อยู่มั้ย"
"มาแล้วค่ะ"
เดมี่รีบเดินไปเปิดประตูต้อนรับพร้อมสวมหน้ากากปกปิดบาดแผล ไม่ให้ผู้มาเยือนขวัญผวากับสภาพใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำของเธอได้
แต่พอเปิดประตูไปเท่านั้นแหละ กล่องม้วนเก็บรูปวาดพลาสติกสีดำก็โดนปาใส่มาที่หน้าอย่างไม่ปราณี
"ให้ศิลปินคนไหนในค่ายของเธอวาดฮะ...แหกตาดูซิ!!!! ว่าใช้มือหรือเท้าเขียน"
เดมี่รีบแกะม้วนกระดาษออกมาดูก็พบว่ารูปสเก็ตเพ้นท์ภาพสีน้ำมันเปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปด้วยคราบสีดำของอุ้งเท้าแมว
"ทีน่าเป็นมือหนึ่งเรื่องภาพสีน้ำมันของเราเลยนะคะ ฉันว่าตอนรูปนี้ถูกส่งไปต้องเกิดอะไรผิดพลาดแน่ ๆ ค่ะ"
ฟีโอน่าเบะปากใส่ ไม่เชื่อคำพูดแถข้างข้างคูคู เธอหัวเราะหึ ๆ ขณะที่แม็กนัสได้แต่แอบยืนดูอยู่เงียบ ๆ ระหว่างบันไดวนที่เห็นการปะทะของสองสาวที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว
"ฉันจะถอนตัวจากการเป็นสปอนเซอร์ให้กับบริษัทออกแบบกระจอก ๆ ของเธอ งานแกลลอรี่ 4d ของเธอต้องล้มไม่เป็นท่า และฉันต้องใช้รูปพวกนี้ประกอบการถ่ายโฆษณาของบริษัทเหมือนกัน ถ้าฉันล้มเธอก็ล้ม...เพราะลูกค้าฉันอยากได้เธอนักหนา แต่ดูงานจริงสิห่วยแตกสิ้นดี! ภายในอาทิตย์นี้ถ้าเธอวาดรูปที่เหลืออีก 5 รูปไม่สร็จ...โดนถอนทุนคืนได้เลย"
นางพญาเจ้าแม่คอนเท้นต์แห่งอเมริกาตะคอกเสียงดังแล้วกระแทกเท้าเดินขึ้นรถแล่นฉิวออกไป
หลังจากรถของคู่ค้าลับตาไปไกล ดารินธิราถึงกับอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทำไมชีวิตเธอถึงมีแต่อุปสรรคหนักหนาสาหัสสากรรจ์เช่นนี้
หญิงสาวเดินถอนหายใจทรุดนั่งลงกับพื้นไม้ เอนหลังพิงกับโซฟาตัวโปรด ชันเข่าขึ้น ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นน้ำตาใสไหลฉาบแก้มที่ยังบวมช้ำอยู่
มือหนากำแน่น สะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เขาเดินมาใกล้ หยุดนิ่ง และยันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น แต่หญิงสาวที่กำลังร่ำไห้พยายามลุกหนี เพื่อหลบสายตาของเขา เขาลุกตามไปเอื้อมคว้าข้อมือเล็กให้หยุดเดิน
และแบมือของตัวเองยื่นออกไปให้เธอ
"คะ....."
เธอถามพลางปาดน้ำตาทิ้ง
"มือคุณ"
"มือฉันทำไม"
"ขอผมหน่อย"
"ฮะ"
เขาทำหน้าดุนิ่งใส่เพราะเธอไม่ยอมส่งมือให้เขาดี ๆ
"เร็วเข้าสิ"
สุดท้ายก็ยอมยื่นมือตัวเองออกไปให้เขา
แม็กนัสมองนิ้วขาวเกลี้ยงที่มีรอยปูดบวมตามข้อเพราะการกดทับจากการวาดรูปเป็นประจำ ชายหนุ่มหมุนแกะแหวนรูปทรงแปลกตาที่คล้ายลูกปัดสีเขียวสวมหัวตะปูออกจากนิ้วของตัวเอง
แล้วปรับขนาดแหวน สวมเข้าไปที่นิ้วชี้ของเธอ หญิงสาวย่นคิ้วมองทำท่าจะดึงมือออก แต่ถูกมือใหญ่ยื้อยุด
"แม็กนัสคุณทำอะไร"
"ทีหลังใครมารังแกคุณก็แค่หมุนหัวแหวนวงนี้ แล้วก็ไม่ต้องถามเยอะ เพราะในฐานะนายจ้างของคุณ ผมก็แค่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของลูกจ้างเฉย ๆ"
"ที่แท้ก็ห่วงเรื่องตัวเอง"เดมี่บ่นงึมงำ
"ยังไงคุณห้ามถอดเด็ดขาด"
กำชับเสียงเข้ม หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปที่เครื่องของเธอ เดมี่รีบควักโทรศัพท์ในกางเกงออกมา
แถมสายเรียกเข้าเป็นหน้าของเขาพร้อมชื่อเรียบร้อย โอ้วโหวนี่เขาแอบบันทึกเบอร์ตัวเองเอาไว้ในโทรศัพท์ของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ สอดแทรกไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ สิน่า
"มีไรก็โทรหาผมได้ทุกเรื่อง"
"ค่ะ....แล้วถ้าฉันโทรไปบอกว่าอยากกินพิซซ่า สตาร์บัค กับซับเวย์ล่ะ"
"ถ้าคุณจะกินอาหารขยะ ผมจะไม่มีทางซื้อให้คุณกินเด็ดขาด รู้ไหมว่ามันเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งถึง 10% เลยนะ ยิ่งถ้าคุณหมดประจำเดือนเมื่อไหร่ ยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปอีก"
"นี่ว่าฉันแก่เหรอ....นายหงอก!"
"แต่คุณก็แก่กว่าผม 4 ปีนะครับอย่าลืม"
สวนตอบอย่างยอกย้อน แล้วเดินออกจากบ้านสามเหลี่ยมทรงเอเฟรมสีดำ ส่งยิ้มจางๆ ให้เธอก่อนจะแล่นรถจากไปอย่างรวดเร็ว
สถาบัน BetheLightหลังจากเทปรายการชื่อดังที่มาสัมภาษณ์เธอที่สตูดิโอของสถาบันออกอากาศ สายโทรศัพท์ก็โทรเข้ามาจนแทบไหม้กุ๊กไก่จึงอาสาคุยแทนเธอขนาดว่าเสียงแหบเสียงแห้งเลยทีเดียว รวมทั้งแฮชแท็กในโลกออนไลน์ที่พุ่งทะยานจนแทบถล่มทลาย ด้วยน้ำมือเหล่าแอนตี้แฟนของแม็กนัสที่พากันดันแท็ก #DemiAthirdperson หรือเดมี่มือที่สามขึ้นมาเป็นเทรนด์โลกทันที "อีพวกแอนตี้บ้าเอ๊ย! พี่เดมี่ของฉันจะไปเป็นมือที่สามระหว่างแม็กนัสกับนังฟิโอน่าปีศาจได้ยังไง หล่อนนั่นแหละที่เป็นมือที่สามของพี่แม็กนัสกับพี่เดมี่ของฉัน พวกเขารู้จักกันมาตั้งเป็นชาติแล้วมั้ง"เลขาสาวพล่ามอย่างหัวเสียพลางพิมพ์ประโยคช่วยดันแฮชแท็ก #SaveDemi เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ชาวเน็ตแต่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก"นี่มันเวลางานนะกุ๊กไก่ ปล่อยคนพวกนั้นไปเถอะ สู้ไปก็ปวดหัวเปล่าๆ" "แต่หนูจะสู้เพื่อพี่ค่ะ ส่วนงานขออู้สักประเดี๋ยว" ขานตอบเจ้านายสาวทีกำลังนั่งสเก็ตรูปภาพสีน้ำมันต่อจากศิลปินวาดภาพในบริษัทของเธอหลังจากทีน่า ศิลปินที่เธอส่งไปช่วยงานนิทรรศการมองสื่อผ่านศิลปะ สารภาพความจริงว่าแมวของเธอเป็นคนประทับตราอุ้งเท้าปุกปุยลงบนภาพของฟีโอน่า พาร์สัน และความเป็นจริ
ดวงตาเรียวไล่อ่านข้อความดุเดือดบนโลกออนไลน์ และแท็กที่ร้อนฉ่าในโลกโซเชียลที่เต็มด้วยเนื้อหาของพวกสู่รู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอดีตเกี่ยวกับ น้าสาวของดารินธิราและหลานสาวของเธอแต่สิ่งที่ทำใหโทสะของเขาระเบิดตู้มออกมาก็คือ เนื้อหาใจความที่กล่าวว่า เดมี่คือมือที่สามที่มาแทรกกลางระหว่างเขากับฟีโอน่า พาร์สัน ฮึ! บ้าเปล่าวะทำไมชาวเน็ตพวกนี้ถึงได้แต่งเรื่องมั่ว ๆ ขึ้นมากันอย่างไม่ละอายใจทั้งที่ตัวของเขาเองก็เพิ่งเจอกับฟีโอน่าอะไรนั่นที่เป็นเจ้าของบริษัทการตลาดคนนั้นเพียงครั้งแรกและครั้งเดียว ที่ลินคอร์นเซ็นเตอร์ "ฮัลค์ ต่อสายหาอีแวน มิตซ์ให้ฉันที""รับทราบครับ"การโทรไปหาพันธมิตรที่มีพระคุณเก่าอย่างซีอีโอผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มชื่อดัง ทำให้การสนทนายืดยาวไปครึ่งชั่วโมง เพราะความสนิทชิดเชื้อดังครอบครัวเดียวกันและบังเอิญที่ว่าสมัยที่เขาลำบากอยู่นั้นก็ได้อีแวนเป็นคนช่วยเหลือไว้หลายครั้ง"ทั้งที่นายเกลียดผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้กลับขอร้องให้ฉันทำเรื่องไร้สาระให้เนี่ยนะ ไม่นึกเลยว่านายจะมีมุมนี้นะไอ้หนู""ผมก็แค่อยากแก้ต่างเรื่องที่ไม่ใช่ความจริงก็เท่านั้นเองครับ ยังไงผมต้องขอบคุณ คุณอีแวนมาก""เออ ฉัน
หญิงสาวสั่งงานที่เหลือกับลูกน้องและศิลปินในสถาบันที่ทำการฝึกสอนคอร์สเรียนต่าง ๆ ก่อนที่เธอจะรีบบึ่งรถเหยียบจนมิดไมล์มาถึงหน้าตึกรูปตัว M ที่คล้ายกับตึกแฝดที่อยู่ขนานกันแต่พอลงจากรถยังก้าวขาเข้าตึกไม่ถึงสิบวิ ฝูงนักข่าวก็เฮโลกันเข้ามาส่งเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จนสติที่เตลิดของเธอตื่นขึ้น "ตายละหว่า" ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำชะเง้อชะแง่งมองหาทางสะดวกที่จะขึ้นไปเคลียร์ประเด็นกับพ่อคนอัจฉริยะหัวเงินทว่าเธอก็ไม่รู้ว่าห้องทำงานของเขาอยูชั้นไหน พลันนึกขึ้นได้ว่าเธอมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาอยู่ จึงรีบกดโทรหาขอความช่วยเหลือ"คุณโทรมาหาผมเพราะแท็กนั้นใช่ไหม" เสียงเข้มเอ่ยราบเรียบ"อันนั้นก็ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ตอนนี้ฉันอยู่บริษัทคุณ""ว่าไงนะ แล้วคุณอยู่ตรงไหน" "อยู่ชั้นแรกค่ะ แต่นักข่าวแห่กันมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด""แล้วคุณจะกลัวอะไรล่ะ" เขาตอบพร้อมกับรีบเดินออกมาจากห้องทำงาน กดลิฟต์ลงมาหาเธอที่ชั้นหนึ่งทันที "ฮัลโหล....แม็กนัส นายหงอก เอ๊ะทำไมเงียบไปแล้วอ่ะ" มือใหญ่รวบดึงเอวเล็กเข้ามาแนบชิดทำให้ขาเรียวถอยหลังเซถลากระแทกกับตัวของคนด้านหลัง หญิงสาวพลิกตัวหันกลับไปหา พลันใดหน้ากากสีดำก็ถูกสวมลงมาที่ใบห
หนุ่มผมสีเงินเป็นฝ่ายเดินนำสับขาตรงไปยังร้านอาหารจีนร้านโปรด ดารินธิราจึงเดินตามไกด์หนุ่มไป เพราะเวลานี้เธอก็หิวเช่นเดียวกับเขา รอยยิ้มสว่างสดใสฉีกกว้างจนเห็นฟันขาวที่ได้มาเดินเที่ยวตรอกไชน่าทาวน์แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทั้งที่อยู่อเมริกามาตั้งแต่สิบขวบ การได้มาเห็นวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมจีนต่างๆ ทำให้เธอเกิดแรงบันดาลใจมากมายที่พลุ่งพล่านขึ้นภายในหัว"กินนี่กันมั้ย" ชายหนุ่มบอกแล้วพุ่งตรงเข้าไปในร้านโดยที่ดารินธิรายังไม่ทันจะตอบตกลง ดารินธิราถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินตามเข้าไปในร้านที่เต็มด้วยลูกค้าชาวต่างชาติจำนวนมาก แม็กนัสใช้นิ้วชี้กระดกเรียกเธอให้มานั่งโต๊ะกลมที่ติดกับผนังวอลเปเปอร์เทพเจ้าจีน "สวัสดีครับคุณเย่ซีไม่เจอกันตั้งนานแหนะ สั่งอะไรดีครับวันนี้""ผมเอากะหล่ำปลีหมูสามชั้นหม้อไฟ เต้าหู้ผัดทรงเครื่อง เสี่ยวหลงเปา ถั่วแขกผัดกระเทียม ไก่ตุ๋นเกาลัดครับ""รอสักครู่นะครับ ว่าแต่นั่น...แฟนคุณเย่ซีหรือเปล่า ปกติผมไม่เคยเห็นคุณเย่ซีพาผู้หญิงที่ไหนมาทานอาหารที่นี่เลย วันนี้เป็นบุญตามากที่ได้เห็น สงสัยวันนี้ลูกค้าต้องจองคิวโต๊ะแน่นอีกเช่นเคยแน่"พนักงานเสริฟ์อายุรุ่นราวคราวพ่อของเขาสนทนากับเขา
มือที่จับปลายพู่กันเริ่มฉวัดเฉวียนวนไปเวียนมาอยู่กับที่ เพราะความเมื่อยล้าที่เข้ามาคลอบคลุมร่างกายไหนจะท้องที่ตึงจัดเพราะกินมากไม่ต่างกับหมูกินลำ นายหงอกหน้าตายต้องการให้เธออ้วนเป็นหมูหรืออย่างไง ถึงได้สั่งของมากินมากมายแถมสุดท้ายก็เห็นเขาเอาแต่นั่งมองเธอกินอยู่ฝ่ายเดียว แต่คนอย่างดารินธิราน่ะเหรอจะยอมรังเกียจมื้ออาหารเลิศรส เพียงเพราะอดีตที่เขาทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ Impoosible! เป็นไปไม่ได้! กินก็ส่วนกิน เกลียดก็ส่วนเกลียด เขาจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ยางอายหรือพื้นผิวหน้าโบกด้วยหินแกรนิตก็เรื่องของเขา แต่เรื่องที่เธอหมกหมุ่นมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่อง 'ความลับของรอยสัก' นั่น ทันทีเมื่อเธอที่ได้รู้จากปากของชายชาวจีน ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาบอกล้วนเหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อในเวลาเดียวกัน คงต้องรอว่าสักวันเขาจะเอ่ยปากพูดเรื่องรอยสักนั่นขึ้นมาเมื่อไหร่เอง น่าจะดีกว่าที่เธอจะออกปากถามเขาไปตรง ๆ เขาได้คิดว่าเธอหลงตัวเองและประสาทหลอนอยู่แหง ๆดารินธิราเอามือตบแก้มซ้ายขวาของตนเพื่อเรียกสติที่เริ่มสะลืมสะลือ ตอนนี้เธอง่วงมากถึงมากที่สุด ยิ่งก้มมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรืองแสงบอกเวลาตีสอง เป็นเวลา
ร่างกายเบาหวิวของเดมี่ถูกหย่อนลงบนเตียงนอนสีขาว กลิ่นในห้องก็หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของลาเวนเดอร์ พอสูดดมเข้าลึก ๆ ก็ช่วยให้สมองที่อ่อนล้ามาทั้งวันผ่อนคลายลงทันที ขณะที่เจ้าของห้องเดินเข้ามาในห้องพร้อมถังน้ำแข็งและกล่องยา"ทำไมคุณไม่พาฉันกลับบ้าน" เอ่ยถามขึ้นขณะที่เอานิ้วมือจิ้มลงบนหน้าผากที่ปูดโปน"ผมคงเหงามั้ง" ตอบลอย ๆ พร้อมกับยื่นผ้าขนหนูที่ห่อน้ำแข็งไว้ด้านในประคบลงมาที่หน้าผากบวม"แล้วพ่อคุณล่ะคะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ" ฝ่ามือของเขาชะงักกลางอากาศ ทำไมเธอต้องถามถึงคนพรรค์นั้น พ่อที่เอาแต่ทำงานไม่สนใจครอบครัว ไปที่ไหนก็มีเมียที่นั่น หนึ่งในนั้นก็มีน้าสาวของดารินธิราอยู่ด้วย นั่นแหละที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจที่สุด "อย่าพูดถึงพ่อผมอีก คนอย่างเขาเห็นแก่เงินงาน อำนาจและผู้หญิงเท่านั้น" "แต่เขาก็ให้กำเนิดคุณมานะแม็กนัส ต่อให้เขาร้ายกาจแค่ไหน พ่อก็คือพ่ออยู่ดี"และแล้วโทสะของเขาก็ปะทุออกมาจนได้ ฝ่ามือที่กำผ้าขนหนูประคบหน้าผากให้เธออยู่นั้นเขวี้ยงมันลงไปที่พื้นอย่างรุนแรงดวงตาของเขาแดงก่ำ กัดฟันกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์ความโกรธ "น้าคุณคือหนึ่งในสมาชิกฮาเร็มของพ่อผม คุณจำไม่ได้แล้วหรือไง ทำไมคุณ
นิ้วเรียวของดารินธิราเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ชุ่มเลอะทั่วใบหน้าของตน วาดขายาวนั่งลงด้านข้างร่างสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาร้องไห้ ฝ่ามือวางลงบนแผ่นหลังกว้าง ปลอบประโลมด้วยการตบเบา ๆ ใบหน้าขาวผงกขึ้นหันมอง เผยให้เห็นสภาพของอัจฉริยะหน้าตายที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของลูกผู้ชายปลายจมูกโด่งคมสันที่แดงอมชมพูนั่นดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ชวนให้มือของเธอรั้งตัวเขาเข้ามา ร่างของเขาเสียหลักลงในอ้อมกอดอุ่นของเธอช่วงเวลานี้เธอจะไม่ผลักไสเขา ขอให้เธอเป็นฝ่ายโอบกอดปลอบใจเขาสักครั้ง แม้ว่ามันอาจจะเป็นครั้งเดียวก็ตามดวงตาแดงของแม็กนัสเบิกกว้าง ยามที่กระพริบน้ำใสก็ไหลรินหยดลงอย่างไม่ขาดสาย เขาตอบรับโดยการโอบกอดแผ่นหลังเล็กแล้วกระชับกอดแน่น ดารินธิราลูบแผ่นหลังของเขาขึ้นลงไปมาดุจดั่งมารดาผู้ปลอบโยนบุตรชาย เพราะผู้ชายคนนี้ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว เขาจึงเป็นเช่นนี้ ปากร้ายใจดี แต่บางทีก็ตรงแรงแต่จริงใจ และบางครั้งก็เถรตรงจนคนฟังรับไม่ไหวคงมีแต่เธอเพียงเท่านั้นที่รับทุกการกระทำและคำพูดของเขาได้เสมอ ชายหนุ่มยอมผละออกจากอ้อมกอดของร่างบอบบาง จังหวะที่เขาเตรียมจะลุกขึ้นเธอก็รั้งข้อมือของเขาเข้ามา แล้ว
ดารินธิราเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืนของ Pier 39 ท่าเรือจำนวนมากที่จอดเทียบท่าส่องแสงสีส้มสว่างไสวยามค่ำคืนชวนให้นึกถึงกลิ่นอายของความวินเทจเก่า ๆ ที่คละคลุ้งอยู่รอบท่าเรือคลาสสิคแห่งนี้ แต่การบันทึกภาพเพื่อเป็นไอเดียก็ต้องจบลง พลันใดเมื่อหยาดฝนเทกระหน่ำลงมา พร้อมกับลมกระโชกที่พัดโบกขึ้นมาจากอ่าวซานฟรานซิสโก ทำให้เรือลำใหญ่น้อยทั้งหลายโคลงเคลงตามคลื่นที่ยกตัวขึ้นมากระทบฝั่งเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาเทสาดบงพื้นทางเดินบดบังทัศนียภาพตรงหน้าให้พร่ามัว ผู้คนและนักท่องเที่ยวที่เดินออกมาชมวิวทิวทัศน์แห่กันวิ่งหลบฝนจ้าละหวั่น รวมทั้งเธอด้วย ทันใดเสียงคำรามก็ดังกึกก้อง ไฟฟ้าบริเวณนี้ดับพรึ่บมืดสนิท จึงแทบมองอะไรไม่เห็นและเพราะความรีบร้อนของหญิงสาวทำให้โทรศัพท์ในมือกระเด็นหลุดจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ดารินธิราจึงก้มลงควานหาจนทั่วแต่พอหยิบขึ้นมา แขนเสื้อกลับคล้องเกี่ยวกับร่องไม้ทางเดิน ติดแน่นจนตึงแขนไปหมด พยายามดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออกตอนนี้เธอทั้งหนาวทั้งสั่น ปากและฟันกระทบกันเสียงดังจนแทบบรรเลงเป็นเพลง ดวงตาสลดหลี่มองหาความช่วยเหลือ และสะดุดเข้ากับแหวนที่ผู้ชายเย็นชาคนนั้นมอบให้ จึงลองกดแหวนหัวลูกปัดดู
หลังจากที่เมื่อวานเขามาส่งเธอที่บ้าน และพูดกับเธอว่า "ดูแลตัวเองให้ดี เพราะอาทิตย์นี้เขาอาจจะไม่มีเวลามาหา" พอได้ยินแบบนั้นใจมันก็แป้วจนบอกไม่ถูก เหมือนมีลางว่าจะเกิดเรื่องโกลาหลอะไรขึ้นทั้งที่เกือบหนึ่่งเดือนมานี้ตอนที่อยู่แอฟริกาใต้เธอตัวติดกับเขาตลอดเวลา ถึงแม้จะมีเรื่องวุ่นวายทั้งหลายเข้ามาแทรกกลางบ้าง แต่เขาก็ตามไปช่วยเธอกลับมาได้ทุกครั้งทว่าเวลานี้.....เธอทำได้แค่ยืนมองดูเขา อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกผ่านหน้าจอทีวีเท่านั้นน่ะเหรอ เธอไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเขาได้เลยพลันใดคำพูดของพี่โมนา ก็สะท้อนดังขึ้นมา ที่บอกว่า "การช่วยใครสักคนไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องจับปืนถือมีด แต่หมายถึงทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อเขา""หนูจะไปทำธุระสักหน่อย ฝากทางนี้ด้วยนะคะคุณเบ็ค"บอกกับพนักงานอาวุโสที่สุดของสถาบันและเดินตรงออกไปจากสถาบันทันที"ได้จ้ะ"รถมินิคูปเปอร์ของหญิงสาวแล่นฉิวออกจากลานจอดรถด้วยความร้อนใจไม่นานนักก็ถึงตึกรูปตัวเอ็มสูงใหญ่ที่มองเห็นไกล ๆ ว่ามีคนหัวดำหัวสีหลายคนยืนมุงอยู่หน้าบริษัทจนมองไม่เห็นชายหนุ่มที่เธอเป็นห่วงไมค์หลายตัวยื่นจ่อปาก บางตัวก็เกือบเขกโดนหัวของเจ้
ไม่นานนักความกระจ่างก็มาตั้งอยู่ตรงหน้าของเธอ หน้าจอทีวีขนาด 24 นิ้วลิงค์เชื่อมต่อกับแท็บเล็ตของเขาทันทีที่ปลายนิ้วสวยจิ้มตรงนั้นทีตรงนี้ที พลันนั้นสรีระโครงสร้างร่างกายของปาตาโกไททันมาโยรัมก็ปรากฏขึ้นในรูปแบบกราฟฟิก พร้อมกับตำแหน่งที่ขึ้นเป็นจุดสีแดง และเส้นกราฟแสดงผลบอกระดับของอารมณ์ ระดับพลังงานของร่างกาย ความเครียดและความผ่อนคลายแม้กระทั่งตำแหน่งแสดงภาพรวมว่าผลของร่างกายเป็นบวกหรือลบ สุดท้ายคือพีระมิดที่แสดงขึ้นด้านข้างเหมือนกับสีออร่า"คุณเขียนโปรแกรมนี้เองเหรอคะ ดูเทพทรูมากเลยอ่ะ"จ๊วบ!เรียวปากกระจับของเขาฝังลงบนแก้มนุ่มออกแรงบดด้วยความหมั่นเขี้ยวจนเจ้าของพวงแก้มถึงกับจิกตาเขียวปัด"เอ๊ะคุณนี่! เสียงดังไปแล้วนะคะ""ในห้องมีแต่เรากับแมวหนึ่งตัวที่ป่วยอยู่ จะอายอะไร" "คุณไม่อายแต่ฉันอาย คุณดูหน้ามันสิ มันดูตะลึงมากเลย" หญิงสาวบอกแล้วชี้ไปที่หน้าของปาตาโกไททันที่นั่งจ้องเขม็งมาที่มนุษย์อย่างไม่สบอารมณ์นัก "แกป่วยก็นอนพักไปสิ มานั่งจ้องจับผิดอะไรอยู่ได้" เขาตวาดใส่มันแล้วก็กลับไปดูที่หน้าจอทีวีเช่นเดิม"คุณยังจะไปดุมันอีก สรุปแล้วเจ้าเหมียวเป็นอะไรคะ" ดารินธิราสงสารเจ้าเหมียวท
แม็กนัส ทำท่าทีเป็นรีบทำเป็นดำน้ำนอนอยู่ใต้อ่างจากุชชี่เพื่อแกล้งแหย่เดมี่หลังจากที่เธอบรรจงถอดเสื้อผ้าที่ทั้งเปียกทั้งหนักออกอย่างทุลักทุเล เหลือเพียงแต่ปราการสองชิ้นน้อย ๆ ที่ปกปิดเรือนร่างบางเย้ายวนเอาไว้หญิงสาวค่อย ๆ หันกลับมาเผชิญกับชายหนุ่มในอ่างเก้ ๆกัง ๆ ทว่าพ่อคนเมายากลับไม่ได้นั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้นแต่เขากลับนอนอยู่ใต้ผิวน้ำใสของอ่างน้ำร้อนนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง "แกล้งฉันอีกแล้วใช่ไหมคะ เชิญนอนใต้น้ำนั่นไปเลย ฉันไม่สนใจคุณหรอก" เธอยืนจ้องดูเขาเท้าสะเอวรอคอยว่าเขาจะหมดลมหายใจใต้น้ำเมื่อไหร่ แต่เวลาก็ผ่านไปพักใหญ่แล้วน่าจะเกือบสองนาทีทำไมเขายังไม่ขยับเขยื้อนตัวอีก หรือว่าเขาจะเป็นลมใจใต้น้ำจริง ๆด้วยความตื่นตระหนกตกใจหญิงสาวจึงพุ่งพรวดลงไปในอ่าง งัดล่างของเขาขึ้นมา พอดึงร่างของเขาขึ้นมาพิงกับขอบอ่างได้ ฝ่ามือก็รีบตบ ๆ เรียกสติของเขาให้ตื่นขึ้น "นี่คุณอย่ามาล้อเล่นนะ....เย่ซี! คุณตื่นสิ ไม่งั้นฉันจะโกรธคุณจริง ๆ แล้วนะคะ" ประชดประชันใส่และเตรียมลุกออกจากอ่างสวบ!ทันใดนั้นร่างบางถูกรวบเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วทำให้เซถลาล้มลงบนหน้าขาแกร่ง"อย่าโกรธผมนะ....ขอร้อง"คนคนเจ้าเล่ห์พูด
ร่างกายของซุนย่าฉงที่กอดก่ายชายหนุ่มในสระว่ายน้ำอยู่นั้นพยายามจะยั่วยวนให้แม็กนัสตบะแตกสายลับแสนเจ้าเล่ห์จึงได้แต่เล่นไปตามบทบาทเพื่อรอจังหวะเหยื่อตายใจ"เวลาคุณเปียกแล้วเซ็กซี่น่าฟัดไปหมด คุณรู้ไหม..เย่ซี" นางนกต่อพร่ำบอกพลางยกฝ่ามือลูบไล้กล้ามหน้าท้องขาวจั๊วะมือหนาจึงรีบเอื้อมมือคว้าแก้วที่มียาหลอนติดลบ 18+ ยาสูตรพิเศษของสมาคมใช้เพื่อทำให้เหยื่อคิดว่าตนกำลังทำกิจกรรมบนเตียงกับคนที่ตนปรารถนา "ดื่มนี่ก่อนสิ"เขายื่นขอบแก้วแตะลงบนริมฝีปากสีเลือดนกของซุนย่าฉง หญิงสาวเหลือบมองอย่างลังเลแต่ก็ยอมรับแก้วดังกล่าวมาดื่มโดยไม่ปฏิเสธ"ก็ได้ค่ะ"ริมฝีปากบางจิบแต่พองาม พลางส่งกลับไปให้แม็กนัสดื่มสายลับหนุ่มจึงต้องจำใจดื่มพราะซุนย่าถิงกำลังคลางแคลงใจในพฤติกรรมของเขาอยู่เช่นเดียวกัน"ครับดื่มก็ได้ คุณว่าไงผมว่าตาม"เหล้าสีใสถูกกรอกผ่านลำคอลงไป ภายในเสี้ยววินาทีความหนาวสะท้านก็แผ่ซ่านเข้ามาปกคลุมผิวกายอย่างเฉียบพลันแม้ยานี้จะแตกต่างกับยาจำพวกเสียสาวตรงที่ให้ความรู้สึกหนาวสั่น แต่สองสามนาทีถัดมายาหลอนติดลบจะสำแดงฤทธิ์ให้เห็นภาพที่เปี่ยมด้วยกิเลสตัณหาภายในจิตใจและตอนนี้มันก็เกิดขึ้นกับเขาจนไม่อา
รถติดฟิลม์อำพรางไม่ให้คนข้างนอกเห็นมาจอดยังชายหาดแซนดี้ใจกลางเมืองเคปทาวน์ตามนัดของซีอีโอผู้ก่อตั้งนิตยสารโมนาลิซ่าชายหาดแห่งนี้ห่างไกลผู้คนเต็มด้วยคลื่นสีครามน้ำใสอันสุขสงบ และโอบล้อมด้วยทิวเขาเขียวขจีเหมาะแก่การใช้เป็นสถานที่ถ่ายแบบมากที่สุด"สวัดสีค่ะพี่โมนา""มาแล้วเหรอจ๊ะ งั้นมาแต่งหน้าทำผมกันเลย เอ้....ปกติเราแต่งตัวแบบนี้เหรอมันดูจะสุภาพไปหน่อยนะพี่ว่า"เจ้าของนิตยสารสาวเอ่ยถามพลางดึงแขนของดารินธิราให้นั่งลงบนเก้าอี้แต่งตัว"คนโน้นค่ะที่อุตริจัดแจงเสื้อผ้าพวกนี้ให้หนูใส่"โมนาเอี้ยวตัวหันไปมองชายหนุ่มด้านหลังที่พกพาบอดี้การ์ดมาคุมกองถ่ายแบบจำนวนหนึ่งคล้ายกับกำลังคุมนักโทษ"โหว.....นี่เป็นขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย""ค่ะ......เป็นเอามาก""โถ ๆ เดมี่ หนูอิศของพี่ก็พอกัน หมอนั่นนะถึงกับประสาทเสียเลยแหละ คิดแล้วก็ขำ เฮ้อ....แล้วถ้าพ่อแฟนอัจฉริยะของเราเห็นชุดถ่ายแบบแต่ละชุดแล้ว จะไม่องค์ลงแย่เลยเหรอ""ช่างเขาเถอะค่ะ จะได้รู้จักมีขันติซะบ้าง แบ่งแยกว่าอะไรคืองานอะไรคือเรื่องส่วนตัว"ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดารินธิราก็ก้าวออกมาจากห้องแต่งตัวเคลื่อนที่ในชุดบีชแวร์สวยสง่าดั่งนางฟ้าที่เดินกรุยกรายอย
ขายาวในเสื้อเชิ้ตสีดำตัวโคร่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้วาดรูป หลังจากตื่นนอนภาพเมื่อคืนก็ผุดพรายขึ้นราวกับสตอรี่ที่แสนร้อนรุ่ม ทำให้ต้องควานหากิจกรรมอย่างอื่นทำเพื่อกลบภาพอันซาบซ่านดารินธิรารีบไปบอกฮัลค์ให้จัดหาอุปกรณ์วาดรูปให้เธอ ไม่น่าเชื่อว่าภายในกี่นาทีเขาก็กลับมาพร้อมกับสิ่งที่เธอต้องการ ศิลปินสาวจดจ้องใบหน้าสว่างที่คว่ำแนบอยู่กับหมอนอิงใบใหญ่ "น่ารักน่าหยิกเหลือเกิน"กรอบหน้านวลสว่างงดงามกว่าผู้หญิงดึงดูดใจให้เธออยากตวัดปลายดินสอเพื่อสเก็ตรูปของเขายามหลับใหลอีกครั้งรูปเมื่อห้าปีก่อนของเธอถูกเขาทำลาย เป็นรูปที่เธอแอบวาดเขาตอนกำลังป่วยอยู่ในคฤหาสน์อาเวนชี่ จำได้ว่าตอนนั้นแม็กนัสมีไข้สูง หน้าขาว ๆ ของเขาก็กลายเป็นสีแดงจัด วันนั้นน้าสาวของเธอไปงานเลี้ยงกับพ่อของเขา ทำให้น้ากำชับว่าให้เธออยู่คฤหาสน์อาเวนชี่คอยช่วยแม่บ้านใหญ่คอยดูแลคุณหนูแถมคุณหนูที่ว่าก็คือเด็กหนุ่มอายุ 18 ที่ป่วยนอนซมอยู่ ตอนนั้นเธอที่อายุ 21 ปีก็เป็นเหมือนพี่เลี้ยงเด็กไปอีกคนโดยปริยาย ช่วงนั้นเธอกำลังส่งรูปภาพเข้าประกวดเพื่อชิงรางวัลศิลปินแห่งซิลิคอนวัลเล่ย์ รวมทั้งต้องเฝ้าเด็กหนุ่มที่ย้อมผมสีเทาเงินประชดชีวิต
ยามที่เรียวปากกระจับลากไล้ต่ำลงมายังชายโครง ระดมจูบที่กล้ามเนื้อแน่นตึงแข็งแรง และดูเร่าร้อนช่วงเวลาที่ใบหน้าอิ่มสุขร่ายมนต์อยู่บนเวทีที่ลินคอร์นเซ็นเตอร์เมื่อห้าปีก่อนก็ผุดพรายขึ้นมาในความทรงจำของแม็กนัส"ผมเป็นสาเหตุทำให้คุณเลิกเต้นหรือเปล่า" คำถามถูกพ่นออกมารดลงมายังหน้าท้องแบนราบ ดวงตาเรียวคมเหลือบมองใบหน้าที่แหงนหงายมองเพดานห้อง นัยน์ตากลมโตหลุบมองสบตาพลางผลักตัวของชายหนุ่มออกเบา ๆ ค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้น ประคองเต้าเปลือยเปล่าอย่างกระดากอาย เรียวขายาวพับเพียบเบียดเข้าหากันเพราะสายตาร้อนที่สำรวจมองอยู่นั้น มันชวนให้กระอักกระอ่วนและเย็นยะเยือก"ไม่ใช่เพราะคุณ แต่....เพราะฉันในเวลานั้นแค่ไม่อยากเป็นเงาของน้า และไม่อยากให้คุณรังเกียจกันไปมากกว่านี้" "โธ่!...เดมี่"ร่างบางสั่นเทาขณะบอกเล่าเรื่องราวเก็บกดมาทั้งชีวิตถูกรวบเข้าไปโอบกอด ฝ่ามือที่ประคองทรวงอกอยู่นั้นเคลื่อนขยับมาโอบกอดแผ่นหลังกว้างนั้นกลับ "คนที่ผมรังเกียจไม่ใช่คุณ แต่เป็นพ่อผมกับน้าของคุณ"พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดันตัวคนที่กำลังสั่นเทาออก ปลายจมูกโด่งฝังลงบนหัวไหล่มนสูดดมความหอมจากเรือนร่าง เคลื่อนมายังไหปลาร้าคู่สวยพ
ใบหน้าซีดนั่งเงียบมาตลอดทางที่นั่งรถกลับมากับเขา ตอนนี้เธอไม่อาจให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเพราะกลัวว่าจะดูเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายในสายตาของเขากระทั่งเสื้อที่เขาถอดคลุมผิวกายที่สั่นระริกของเธอก็ยังไม่สมควรจะอยู่บนเรือนร่างนี้ด้วยซ้ำ ถ้าเกิดว่าเขามาไม่ทัน หรือตัดใจทิ้งเธอไป วินาทีนั้นเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงของเขาอีกต่อไปแล้ว "ทำไมคุณต้องนั่งห่างผมขนาดนั้นเดมี่""มี่รู้สึกตัวเอง.....สกปรก"ช่างเป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังอย่างเขาหดหู่ใจขึ้นมา ทำไมเธอต้องพูดดูแคลนตัวเองขนาดนี้ เขาไม่เคยมองว่าเธอสกปรกเลยสักนิดหรือเธอเห็นว่าเขาเป็นคนที่รักความสมบูรณ์แบบจึงกลัวว่าตนจะไม่สมบูรณ์แบบสำหรับเขาแม็กนัสพาดารินธิรามาที่พักแห่งใหม่ซึ่งอยู่บนยอดเขาห่างไกลจากอันตราย ซึ่งบนนี้มีกำแพงเขื่อนสูงใหญ่และประตูเหล็กนิรภัยอีกสองชั้นสถานที่แห่งนี้จะใช้เป็นเซฟเฮาส์ทุกครั้งเมื่อมาปฏิบัติภารกิจที่แอฟริกาใต้แต่ด้วยสถานการณ์คับขัน เพราะผู้หญิงของเขาตกเป็นเป้าหมายของพวกกลุ่มเฮริฟ์อย่างไม่ทันตั้งตัว เขาจำเป็นต้องพาเธอมาซ่อนตัวสักพักร่างบางที่กอดก่ายเสื้อสูทตัวนอกที่เขาใช้คลุมปกปิดความล่อแหลมบนเรือนร่าง ค่อย ๆ ปลดอ
ปลายหมึกปากกาสีดำที่ลากเส้นบนพื้นผิวกระดาษอยู่นั้นผงะเล็กน้อย เมื่อมีบางอย่างถูกโยนลงมาบนโต๊ะที่เธอบรรจงวาดรูปอยู่ดารินธิรามองชุดตรงหน้าเอื้อมหยิบมากางดูอย่างข้องใจ "คุณลูคัสสั่งให้คุณใส่ชุดนี้แล้วลงไปร่วมงานเลี้ยงของโรงแรมกับเขา" "แต่ชุดนี้มันค่อนข้างจะเซ็กซี่เกินไปหน่อยมั้ยคะ""คุณมีหน้าที่ใส่ก็ใส่ไป" ชายชุดดำกำชับแล้วเดินจากไป "เฮ้อ" ดารินธิราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่นึกถึงคำพูดที่เคยให้สัญญากับเขาไว้ว่าเธอจะใส่ชุดโชว์เนื้อหนังมังสาแบบนี้ให้เขาดูแค่คนเดียวแต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ถ้าเธอเกิดหยิ่งยโสอยู่ ไม่รู้ว่าจะโดนกระสุนปืนเจาะหัวเมื่อไรถ้าต้องผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ก็คงต้องปล่อยไป เพราะเธอทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากยอมรับชะตากรรมงานเลี้ยงหรูที่ทุกคนมาในธีม 'Midnight' แถมบางคนก็ใส่หน้ากากปิดซะเหลือแต่คอบางคนก็แต่งชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้า สรุปแล้วนี่มันงานอะไรกันแน่ดู ๆ ไปก็คล้ายกับงานรวมตัวของเหล่าวายร้ายยังไงยังงั้น"คุณสวยมาก" "ขอบคุณ" หญิงสาวตอบอย่างกล้ำกลืนทว่ายิ่งเธอทำจองหองใส่เขา มือใหญ่ก็รั้งเอวคอดเข้ามาแนบชิดใบหน้าจิ้มลิ้มจึงสะบัดมองมือที่ทาบกดอยู่บนเอวเปลือยเปล่าของเธออ