เดมี่ทำหน้าหงิกงอใส่อีกฝ่าย ปากขมุบขมิบสบถด่าไอ้ลูกครึ่งผมสีเงินในใจ "ไม่สวยแต่รวยด้วยล้ำแข้งก็แล้วกัน ไอ้หัวขาวเอ้ย"
วินาทีที่หญิงสาวคิดจะหลีกเลี่ยงที่ ๆ คนจอแจพลุกพล่าน และหลีกจากสายตาแน่นิ่งของเขา ทว่านักข่าวที่ทยอยสัมภาษณ์คนดังรายอื่น ๆ เสร็จก็ดันยกทัพแห่กันเข้ามาหาเธอแทน
"คุณเดมี่ครับเชิญทางแบล็คดรอปหน่อยครับ ขอสัมภาษณ์หน่อยครับ"
เป็นจังหวะเดียวกับดาราเด็กสองคนวิ่งโร่เข้ามาหา ด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ เด็กทั้งสองจึงได้แต่ยืนดูห่าง ๆ เพราะบรรดานักข่าวที่รุมสัมภาษณ์เจ้าของสถาบันด้านศิลปะและการเต้นรำคนดังผลัดกับรับผลัดกันส่งไมค์กันจ้าละหวั่น
"คุณเดมี่คะช่วยแจ้งกำหนดการแสดงภาพวาด 4D ที่จะผสานการเต้นรำแต่ละแบบเข้าไปด้วยหน่อยได้ไหมคะ"
"อ๋อค่ะ กำหนดการแสดงจะมีเดือนหน้านี้ค่ะ รอชมได้เลย ทีมงานของฉันเต็มที่กับงานนี้มากๆ ค่ะ"
"พวกเราขอให้งานประสบความสำเร็จนะคะ"
"ขอบคุณพี่ๆ นักข่าวทุกท่านมากค่ะ แล้วก็เราสองคนมาทางนี้สิจ๊ะ"
เธอกวักมือเรียกดาราเด็กสองคนที่ยืนจด ๆ จ้อง ๆอยู่นานสองนาน เพราะสังเกตุเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าแฟนคลับตัวน้อยต้องการเข้ามาถ่ายรูปด้วย แต่เพราะคนจำนวนมากที่ล้อมวงเข้ามาทำให้ยากที่จะแหวกฝูงสื่อออกมาหาเด็กทั้งสอง
หลังจากกระหืดกระหอบตอบคำถามนับสิบและถ่ายรูปกับเหล่าแฟน ๆ เรียบร้อยดีแล้วลำคอสวยก็รีบร้อนกรอกค๊อกเทลรสเยี่ยมที่เด็กเสริฟ์เดินมาบริการให้หลายรอบ เดมี่จึงดื่มอักอักลงคอไปหลายแก้วไม่ให้เขาเสียแรงที่เขามีน้ำใจ
แม้ว่าจะรู้สึกคอแห้งเผือด แต่ค่ำนี้ถือว่าเธอโชคดีมากแล้วที่ไม่มีสำนักข่าวไหนเอ่ยถามเรื่องอิตาเด็กหัวหงอกคนนั้นกับเธอเหมือนเมื่อเช้าอีก
"พี่ ๆ พี่เดมี่ เกิดเรื่องแล้วค่ะ"
กุ๊กไก่วิ่งหอบชายกระโปรงยาวกรุยกรายเข้ามาหาเจ้านายสาวพร้อมส่งโทรศัพท์สายด่วนให้กับเดมี่
"มีอะไรกุ๊กไก่...วิ่งมาแบบนี้เดี๋ยวก็สะดุดล้มหน้าคะมำหรอก"
"น้าพี่อ่ะ....น้าดิวโทรมาอาละวาดใหญ่เลย แต่แกวางสายไปแล้ว หนูนี่โดนด่าหูแทบพังเลยพี่"
"อีกแล้วเหรอ"
"พี่จะเอาไงคะงานก็จะเริ่มแล้วนะ"
"เอางี้เธอไปเป็นตัวแทนร่วมงานของพี่นะกุ๊กไก่ พี่จะกลับบ้านก่อน เป็นห่วงแม่อ่ะ"
"หนูเข้าใจค่ะ งั้นพี่รีบไปเถอะ"
"อ้ออีกอย่าง....งานที่นี่น่าจะเลิกดึก ซอยแมนชั่นที่เธออยู่ก็เปลี่ยว พี่ว่าเธอขับรถพี่กลับบ้านก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่นั่งแท็กซี่ไปเอง"
"โอเคค่ะ ยังไงพี่เดมี่ก็ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรแจ้งตำรวจเลยนะพี่"
"อึ้ม"
หญิงสาวโบกมือบ๊ายบายแล้วรีบเดินลงบันไดไปอย่างรีบร้อน โดยมีสายตาของชายหนุ่มชำเลืองมองตามด้วยความสงสัย และเป็นเหตุให้ปล่อยเท้าส้นแหลมสีดำของเขาก้าวตามไปอย่างไม่รู้ตัว
รถแท็กซี่จอดเทียบท่าบ้านสไตล์อเมริกันคันทรี่สีฟ้าสดใสที่เดมี่ซื้อไว้ให้แม่ของเธอเมื่อสองปีที่แล้ว
เพื่อให้แม่มีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้นไม่ต้องเช่าอพาร์ทเม้นต์ขนาดเท่ารูหนูอยู่อีก แต่แม่ก็ดันยังดันทุรังเอาน้าสาวที่ขี้เกียจตัวเป็นขนเที่ยวเก่งสุรุ่ยสุร่ายมาอาศัยอยู่ด้วย
ไหนจะมีคดีที่ทำครอบครัวอาเวนชี่แตกหัก ทว่าข้อครหานี้กลับไม่ส่งผลต่อชีวิตของน้าแม้แต่น้อย แต่ส่งผลกลับตัวเธอผู้เป็นหลานแท้ ๆ เสียมากกว่า
พักหลัง ๆ ธุรกิจร้านอาหารไทยในย่านซิลิคอนวัลเล่ย์ของแม่เริ่มมีลูกค้าเยอะขึ้น แต่ว่าชีวิตหลังเลิกงานของเธอก็คือทาสของน้าอยู่ดี
สองขาที่รีบวิ่งเข้าบ้านไปเพราะได้ยินเสียงปาข้าวของที่มาพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของคนขี้เมาเจ้าเดิม
ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เขม็งมองฝ่ามือของน้าสาวที่ง้างขึ้น ในมือของน้าขี้เมามีรองเท้าบู๊ทเป็นอาวุธ
เมื่อเห็นแบบนั้นร่างกายของเธอก็พุ่งเข้ารับแรงฟาดจากรองเท้าบู๊ทเข้าเต็มๆ
ปั้บ!!!
ใบหน้าฉาบเครื่องสำอางที่อุตส่าห์แต่งแต้มเพื่อร่วมงานที่ลินคอร์นเซ็นเตอร์สะบัดหันไปอีกข้าง
"เดมี่!!!!!"
ดุสิตาแม่ของเธอร้องพลางกระชับกอดลูกสาวเอาไว้ไม่ให้เธอโดนทำร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง
"ปล่อยหนูเถอะค่ะ....หนูไม่เป็นไร แม่ไปอยู่ทางโน้นก่อน"
เธอบอกให้แม่หลบอยู่ที่มุมเสาอีกฟาก ขณะที่ใบหน้าแสดงออกอย่างเหยเก เพราะแรงฟาดจากฝีมือของน้าสาวที่สิ้นสติ ทำให้ใบหน้าเกิดรอยครูดถลอกเป็นทางยาวและค่อย ๆ เห่อเป็นปื้นนูนแดงเด่นชัดขึ้นภายในเสี้ยววินาที
"น้าดิวจะเอาอะไรอีกคะ"
"เงิน ฉันต้องการเงิน รีบส่งมาเซ่"
เดมี่ยอมควักเงินสดในกระเป๋าเท่าที่มีส่งให้ น้าสาวรับมาแล้วนับแบงค์อย่างกระสับกระส่าย
"มันน้อยไปเอามาอีก"
"แต่หนูมีแค่นี้"
"แกโกหก!!!!"
ตวาดแล้วกระชากแขนเธออย่างแรง ใช้หลังมือตบลงมาที่ใบหน้าของเดมี่อีกสองฉาดใหญ่จนหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวล้มกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ
"พอแล้วดิวอย่าทำหลานเลย พี่ขอร้อง"
ปลายนิ้วโป้งปาดเช็ดคราบเลือดที่ฉาบอยู่บนริมฝีปากของตัวเองแล้วพยายามหยัดตัวลุกขึ้นมา
"ถ้าแกไม่มี....ฉันจะฆ่าแกทั้งแม่ทั้งลูกเลย"
เดมี่เหลือบมองแม่ของเธอ แล้วส่ายหน้าบอกแม่ว่าอย่าเข้ามา เพราะครั้งก่อนแม่โดนมีดปอกผลไม้บาดแขนมารอบนึง เธอจะไม่ยอมเห็นแม่เจ็บตัวเพราะน้าเฮงซวยของเธออีกแล้ว
"เอาอย่างงี้นะคะ.....หนูจะไปกดเงินมาให้แต่น้าดิวต้องสงบสติอารมณ์ก่อนนะคะ"
"แกจะตุกติกใช่ไหม!!!"
ตะคอกใส่เสียงดัง คว้าขวดเหล้าที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวเตรียมที่จะฟาดลงที่หัวของเธอ เดมี่ยกแขนขึ้นรับแรงปะทะ ดวงตาปิดสนิด
"แกเป็นใคร!!"
ขวดเหล้าในมือของหญิงขี้เมาถูกแย่งไป เปลือกตาลึกสองชั้นรีบลืมขึ้นดู
สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าช่างน่าตกใจยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก
ทำไมเป็นเขาไปได้ล่ะ ....วินาทีนี้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นจนรู้สึกสับสนและหวิว ๆ พิกล
อาการนี้เป็นเพราะว่ากลัวขวดเหล้าที่น้าเตรียมฟาดลงมาหรือเปล่า หรือเพราะเขา 'แม็กนัส อาเวนชี่' มาช่วยเธอไว้
ไม่นานน้าดิวก็โดนพาต้วไปสถานบำบัดด้วยฝีมือของคนที่เกลียดเธอ"แม่จะให้หนูอยู่เป็นเพื่อนก่อนไหมคะ""ไม่เป็นไรลูก ยัยรุ้งกับยัยปลาเด็กที่ร้านอาหารแม่จะมานอนเป็นเพื่อน หนูกลับไปพักผ่อน และรักษาตัวให้ดีก่อนนะ แล้วแม่จะโทรหา"เดมี่เข้าใจดีที่แม่ไม่อยากให้เธอนอนค้างด้วยเพราะกลัวว่าลูกสาวจะเห็นแม่แอบร้องไห้ร่างไร้เรี่ยวแรงเดินตุปั๊ดตุเป๋ เหมือนคนจิตหลุด ทว่าฝ่ามืออ่อนล้าของเธอกลับโดนแรงฉุดของใครสักคนรั้งไว้ เธอเหลือบมองเจ้าของฝ่ามือนั้นอย่างอ่อนเพลีย และเจ็บร้าวระบมไปทั้งหน้า"จะทำร้ายจิตใจอะไรฉันอีกล่ะฮะ!?"ฟูมฟายด้วยหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา และพยายามสลัดมือของชายหนุ่มออก แต่ยิ่งสลัดและใช้มืออีกข้างแกะออกเขาก็ยิ่งบีบข้อมือของเธอรุนแรงขึ้น"ปล่อยสิ ปล่อยฉัน"รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นพลางสลัดทิ้งข้อมือของเธอออกตามที่เธอต้องการ "ปล่อยแล้วไง"เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่ร่างบางเซถลาไปไกลล้มลงกับพื้นสนามหญ้าที่ชุ่มด้วยน้ำค้างยามค่ำคืน "ไอ้คนจัญไร ฮึก! ฮึก! ฮืออออ....ก็แค่นี้เอง สบายมาก"ใบหน้าที่ก้มต่ำอยู่สะอึกสะอื้นพล่านบ่นอย่างหมดอะไรตายอยากเต็มที พาลทำให้หัวใจของคนที่มองด
ชายหนุ่มทุ่มร่างเบาหวิวลงบนเตียงนอนใหญ่ แล้วตะครุบฝ่ามือน้อยๆ ของเธอเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน พลางรวบดึงตัวของแม่จอมสะดีดสะดิ้งเข้ามา และรีบพาดขาแกร่งข้างหนึ่งก่ายตัวของหญิงสาวเสมือนว่าเธอคือหมอนข้างส่วนตัว"อ๊อยยย! อึดอัดนะทำอะไรของคุณเนี่ย""เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าหลินเย่ซี เมื่อตอนเด็กๆ คุณชอบเรียกผมแบบนั้นใช่ไหมพี่สาว""ไม่ต้องพี่สงพี่สาวเลย มันเป็นอดีตไปแล้ว อย่าลืมสิว่าเราเกลียดกัน""ผมมีค่าลดความเกลียดระหว่างเราให้คุณด้วยนะ""ค่าลดความเกลียด!? พูดอะไรไม่เห็นเก็ทสักนิด""มาเป็นคนของผม"ดารินธิราหันหน้าไปมองหน้าเขาเพื่อขอความกระจ่างแจ้งด้วยความตกใจ"ล้อฉันเล่นปะเนี่ย" "คิดลึกแบบศิลปินอยู่ล่ะสิท่า....ถึงได้มองผมตาหวานเยิ้มแบบนั้น""คิดลกคิดลึกอะไร เปล่าสักหน่อย""งั้นผมจะได้สบายใจ ผมจะจ้างคุณให้มาแกะรูปให้ผมหน่อย""รูปอะไร"ชายหนุ่มผมเงินพาคนช่างซักช่างแซะมาอยู่ในคลังกรุสมบัติจำนวนมากและพยักเพยิดใบหน้าคมขาวไปยังแผนที่ลายแท่งที่ขาดวิ่นยับยู่ยี่อยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวใหญ่"คุณสามารถแกะภาพลายแทงพวกนี้แล้วร่างขึ้นมาใหม่ได้ไหม""อืม.....ก็น่าจะได้อยู่ค่ะ แต่มันดูเก่าคร่ำครึไปหน่อย""น่าจะอาย
สถาบัน BetheLightหลังจากเทปรายการชื่อดังที่มาสัมภาษณ์เธอที่สตูดิโอของสถาบันออกอากาศ สายโทรศัพท์ก็โทรเข้ามาจนแทบไหม้กุ๊กไก่จึงอาสาคุยแทนเธอขนาดว่าเสียงแหบเสียงแห้งเลยทีเดียว รวมทั้งแฮชแท็กในโลกออนไลน์ที่พุ่งทะยานจนแทบถล่มทลาย ด้วยน้ำมือเหล่าแอนตี้แฟนของแม็กนัสที่พากันดันแท็ก #DemiAthirdperson หรือเดมี่มือที่สามขึ้นมาเป็นเทรนด์โลกทันที "อีพวกแอนตี้บ้าเอ๊ย! พี่เดมี่ของฉันจะไปเป็นมือที่สามระหว่างแม็กนัสกับนังฟิโอน่าปีศาจได้ยังไง หล่อนนั่นแหละที่เป็นมือที่สามของพี่แม็กนัสกับพี่เดมี่ของฉัน พวกเขารู้จักกันมาตั้งเป็นชาติแล้วมั้ง"เลขาสาวพล่ามอย่างหัวเสียพลางพิมพ์ประโยคช่วยดันแฮชแท็ก #SaveDemi เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ชาวเน็ตแต่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก"นี่มันเวลางานนะกุ๊กไก่ ปล่อยคนพวกนั้นไปเถอะ สู้ไปก็ปวดหัวเปล่าๆ" "แต่หนูจะสู้เพื่อพี่ค่ะ ส่วนงานขออู้สักประเดี๋ยว" ขานตอบเจ้านายสาวทีกำลังนั่งสเก็ตรูปภาพสีน้ำมันต่อจากศิลปินวาดภาพในบริษัทของเธอหลังจากทีน่า ศิลปินที่เธอส่งไปช่วยงานนิทรรศการมองสื่อผ่านศิลปะ สารภาพความจริงว่าแมวของเธอเป็นคนประทับตราอุ้งเท้าปุกปุยลงบนภาพของฟีโอน่า พาร์สัน และความเป็นจริ
ดวงตาเรียวไล่อ่านข้อความดุเดือดบนโลกออนไลน์ และแท็กที่ร้อนฉ่าในโลกโซเชียลที่เต็มด้วยเนื้อหาของพวกสู่รู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอดีตเกี่ยวกับ น้าสาวของดารินธิราและหลานสาวของเธอแต่สิ่งที่ทำใหโทสะของเขาระเบิดตู้มออกมาก็คือ เนื้อหาใจความที่กล่าวว่า เดมี่คือมือที่สามที่มาแทรกกลางระหว่างเขากับฟีโอน่า พาร์สัน ฮึ! บ้าเปล่าวะทำไมชาวเน็ตพวกนี้ถึงได้แต่งเรื่องมั่ว ๆ ขึ้นมากันอย่างไม่ละอายใจทั้งที่ตัวของเขาเองก็เพิ่งเจอกับฟีโอน่าอะไรนั่นที่เป็นเจ้าของบริษัทการตลาดคนนั้นเพียงครั้งแรกและครั้งเดียว ที่ลินคอร์นเซ็นเตอร์ "ฮัลค์ ต่อสายหาอีแวน มิตซ์ให้ฉันที""รับทราบครับ"การโทรไปหาพันธมิตรที่มีพระคุณเก่าอย่างซีอีโอผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มชื่อดัง ทำให้การสนทนายืดยาวไปครึ่งชั่วโมง เพราะความสนิทชิดเชื้อดังครอบครัวเดียวกันและบังเอิญที่ว่าสมัยที่เขาลำบากอยู่นั้นก็ได้อีแวนเป็นคนช่วยเหลือไว้หลายครั้ง"ทั้งที่นายเกลียดผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้กลับขอร้องให้ฉันทำเรื่องไร้สาระให้เนี่ยนะ ไม่นึกเลยว่านายจะมีมุมนี้นะไอ้หนู""ผมก็แค่อยากแก้ต่างเรื่องที่ไม่ใช่ความจริงก็เท่านั้นเองครับ ยังไงผมต้องขอบคุณ คุณอีแวนมาก""เออ ฉัน
หญิงสาวสั่งงานที่เหลือกับลูกน้องและศิลปินในสถาบันที่ทำการฝึกสอนคอร์สเรียนต่าง ๆ ก่อนที่เธอจะรีบบึ่งรถเหยียบจนมิดไมล์มาถึงหน้าตึกรูปตัว M ที่คล้ายกับตึกแฝดที่อยู่ขนานกันแต่พอลงจากรถยังก้าวขาเข้าตึกไม่ถึงสิบวิ ฝูงนักข่าวก็เฮโลกันเข้ามาส่งเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จนสติที่เตลิดของเธอตื่นขึ้น "ตายละหว่า" ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำชะเง้อชะแง่งมองหาทางสะดวกที่จะขึ้นไปเคลียร์ประเด็นกับพ่อคนอัจฉริยะหัวเงินทว่าเธอก็ไม่รู้ว่าห้องทำงานของเขาอยูชั้นไหน พลันนึกขึ้นได้ว่าเธอมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาอยู่ จึงรีบกดโทรหาขอความช่วยเหลือ"คุณโทรมาหาผมเพราะแท็กนั้นใช่ไหม" เสียงเข้มเอ่ยราบเรียบ"อันนั้นก็ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ตอนนี้ฉันอยู่บริษัทคุณ""ว่าไงนะ แล้วคุณอยู่ตรงไหน" "อยู่ชั้นแรกค่ะ แต่นักข่าวแห่กันมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด""แล้วคุณจะกลัวอะไรล่ะ" เขาตอบพร้อมกับรีบเดินออกมาจากห้องทำงาน กดลิฟต์ลงมาหาเธอที่ชั้นหนึ่งทันที "ฮัลโหล....แม็กนัส นายหงอก เอ๊ะทำไมเงียบไปแล้วอ่ะ" มือใหญ่รวบดึงเอวเล็กเข้ามาแนบชิดทำให้ขาเรียวถอยหลังเซถลากระแทกกับตัวของคนด้านหลัง หญิงสาวพลิกตัวหันกลับไปหา พลันใดหน้ากากสีดำก็ถูกสวมลงมาที่ใบห
หนุ่มผมสีเงินเป็นฝ่ายเดินนำสับขาตรงไปยังร้านอาหารจีนร้านโปรด ดารินธิราจึงเดินตามไกด์หนุ่มไป เพราะเวลานี้เธอก็หิวเช่นเดียวกับเขา รอยยิ้มสว่างสดใสฉีกกว้างจนเห็นฟันขาวที่ได้มาเดินเที่ยวตรอกไชน่าทาวน์แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทั้งที่อยู่อเมริกามาตั้งแต่สิบขวบ การได้มาเห็นวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมจีนต่างๆ ทำให้เธอเกิดแรงบันดาลใจมากมายที่พลุ่งพล่านขึ้นภายในหัว"กินนี่กันมั้ย" ชายหนุ่มบอกแล้วพุ่งตรงเข้าไปในร้านโดยที่ดารินธิรายังไม่ทันจะตอบตกลง ดารินธิราถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินตามเข้าไปในร้านที่เต็มด้วยลูกค้าชาวต่างชาติจำนวนมาก แม็กนัสใช้นิ้วชี้กระดกเรียกเธอให้มานั่งโต๊ะกลมที่ติดกับผนังวอลเปเปอร์เทพเจ้าจีน "สวัสดีครับคุณเย่ซีไม่เจอกันตั้งนานแหนะ สั่งอะไรดีครับวันนี้""ผมเอากะหล่ำปลีหมูสามชั้นหม้อไฟ เต้าหู้ผัดทรงเครื่อง เสี่ยวหลงเปา ถั่วแขกผัดกระเทียม ไก่ตุ๋นเกาลัดครับ""รอสักครู่นะครับ ว่าแต่นั่น...แฟนคุณเย่ซีหรือเปล่า ปกติผมไม่เคยเห็นคุณเย่ซีพาผู้หญิงที่ไหนมาทานอาหารที่นี่เลย วันนี้เป็นบุญตามากที่ได้เห็น สงสัยวันนี้ลูกค้าต้องจองคิวโต๊ะแน่นอีกเช่นเคยแน่"พนักงานเสริฟ์อายุรุ่นราวคราวพ่อของเขาสนทนากับเขา
มือที่จับปลายพู่กันเริ่มฉวัดเฉวียนวนไปเวียนมาอยู่กับที่ เพราะความเมื่อยล้าที่เข้ามาคลอบคลุมร่างกายไหนจะท้องที่ตึงจัดเพราะกินมากไม่ต่างกับหมูกินลำ นายหงอกหน้าตายต้องการให้เธออ้วนเป็นหมูหรืออย่างไง ถึงได้สั่งของมากินมากมายแถมสุดท้ายก็เห็นเขาเอาแต่นั่งมองเธอกินอยู่ฝ่ายเดียว แต่คนอย่างดารินธิราน่ะเหรอจะยอมรังเกียจมื้ออาหารเลิศรส เพียงเพราะอดีตที่เขาทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ Impoosible! เป็นไปไม่ได้! กินก็ส่วนกิน เกลียดก็ส่วนเกลียด เขาจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ยางอายหรือพื้นผิวหน้าโบกด้วยหินแกรนิตก็เรื่องของเขา แต่เรื่องที่เธอหมกหมุ่นมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่อง 'ความลับของรอยสัก' นั่น ทันทีเมื่อเธอที่ได้รู้จากปากของชายชาวจีน ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาบอกล้วนเหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อในเวลาเดียวกัน คงต้องรอว่าสักวันเขาจะเอ่ยปากพูดเรื่องรอยสักนั่นขึ้นมาเมื่อไหร่เอง น่าจะดีกว่าที่เธอจะออกปากถามเขาไปตรง ๆ เขาได้คิดว่าเธอหลงตัวเองและประสาทหลอนอยู่แหง ๆดารินธิราเอามือตบแก้มซ้ายขวาของตนเพื่อเรียกสติที่เริ่มสะลืมสะลือ ตอนนี้เธอง่วงมากถึงมากที่สุด ยิ่งก้มมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรืองแสงบอกเวลาตีสอง เป็นเวลา
ร่างกายเบาหวิวของเดมี่ถูกหย่อนลงบนเตียงนอนสีขาว กลิ่นในห้องก็หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของลาเวนเดอร์ พอสูดดมเข้าลึก ๆ ก็ช่วยให้สมองที่อ่อนล้ามาทั้งวันผ่อนคลายลงทันที ขณะที่เจ้าของห้องเดินเข้ามาในห้องพร้อมถังน้ำแข็งและกล่องยา"ทำไมคุณไม่พาฉันกลับบ้าน" เอ่ยถามขึ้นขณะที่เอานิ้วมือจิ้มลงบนหน้าผากที่ปูดโปน"ผมคงเหงามั้ง" ตอบลอย ๆ พร้อมกับยื่นผ้าขนหนูที่ห่อน้ำแข็งไว้ด้านในประคบลงมาที่หน้าผากบวม"แล้วพ่อคุณล่ะคะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ" ฝ่ามือของเขาชะงักกลางอากาศ ทำไมเธอต้องถามถึงคนพรรค์นั้น พ่อที่เอาแต่ทำงานไม่สนใจครอบครัว ไปที่ไหนก็มีเมียที่นั่น หนึ่งในนั้นก็มีน้าสาวของดารินธิราอยู่ด้วย นั่นแหละที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจที่สุด "อย่าพูดถึงพ่อผมอีก คนอย่างเขาเห็นแก่เงินงาน อำนาจและผู้หญิงเท่านั้น" "แต่เขาก็ให้กำเนิดคุณมานะแม็กนัส ต่อให้เขาร้ายกาจแค่ไหน พ่อก็คือพ่ออยู่ดี"และแล้วโทสะของเขาก็ปะทุออกมาจนได้ ฝ่ามือที่กำผ้าขนหนูประคบหน้าผากให้เธออยู่นั้นเขวี้ยงมันลงไปที่พื้นอย่างรุนแรงดวงตาของเขาแดงก่ำ กัดฟันกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์ความโกรธ "น้าคุณคือหนึ่งในสมาชิกฮาเร็มของพ่อผม คุณจำไม่ได้แล้วหรือไง ทำไมคุณ
เดมี่ได้ยินพวกคิสท์ โอซัลลิแวนคุยกันเรื่องแผนที่ และแผนฆ่าสามีของเธอ ซึ่งความจริงเรื่องแผนที่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปพราะทุกๆ เส้นทางแทบจะปรากฏเด่นชัดอยู่ในรอยหยักสมองเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญกว่าที่เธอต้องกังวลคือจะปกป้องสามียังไงดีในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ผู้หญิงอย่างเธออาจจะไม่ได้ดีพร้อมและเก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็จำเป็นแม้จะไม่เก่งและพร้อมก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขอเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่จะดึงความสนใจของศัตรูสามีมาเป็นเธอแทน เธอไม่ลังเลเลย แต่เลือกด้วยความเด็ดขาด ในชีวิตนี้เธอเคยสูญเสียพ่อไป และก็เคยเสียศูนย์จากการไร้พ่อมานานหลายปี รวมทั้งเสียเวลากับการไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เธอรัก และกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน วินาทีที่เธอก้าวมายังจุดที่อันตรายสุดขีดแล้ว จะถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็คงจะป่วยการเสียแล้ว ถ้าแม็กนัสจะโกรธเธอเพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนและเข้ามายุ่งกับงานของเขา เธอก็จะยอมรับ เพียงแต่ว่าขอให้เธอมีโอกาสช่วยเขาบ้างก็พอ ในห้องพักหรูวีไอพีชั้นสุดของโรงแรมซึ่งห้องของเดมี่อยู่ห่างกับห้องที่แม็กนัสอยู่เพียงสองห้อ
ฮัลค์ผู้ที่กุมความลับทุกอย่างไว้รีบวิ่งตามภรรยาของเจ้านายไปด้วยความเป็นกังวล เพราะเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทางที่ดีเปิดเผยความจริงกับเธอก่อนดีกว่า แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที“พาฉันไปร้านอาหารของแม่หน่อยได้ไหมคะ?”“คือว่า....ก่อนที่คุณเดมี่จะไป ผมขอให้คุณเดมี่ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”หญิงสาวรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เลอะเปื้อนเต็มดวงหน้า แล้วพยักหน้ารับเกือบสี่สิบนาทีบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้พาดารินธิรามาส่งที่บ้านทรงเอเฟรมของเธอ ดารินธิราหันไปมองหน้าเขาอย่างสับสนงุนงง“รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามีหูตาสัปปะรดที่ไหนคอยมองดูพวกเราอยู่หรือเปล่า”“ทำไมล่ะคะ?”เอ่ยถามพลางรีบร้อนลงจากรถก่อนจะยืนมองบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาพักใหญ่ หญิงสาวหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขกุญแจ ทว่าไขเท่าไหร่ก็ไขไม่เข้า“เอ้…..หรือมันจะเสียแล้ว”“มันไม่ได้เสียหรอกครับ”ชายหนุ่มตัวโตยิ้มแล้วหยิบเอากุญแจอีกดอกที่อยู่ใต้กระถางต้นดอกคาเมเลียหน้าบ้านของดารินธิราออกมา แล้วหันซ้ายหันขวาดูท่าทีก่อนจะรีบไขเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหลังจากที่สับคัทเอ
มือที่จับปากกาสไตลัสอยู่นั้นค้างนิ่งกลางอากาศ ใบหน้าเงยขึ้นมองมายังต้นเสียงที่ขัดจังหวะศิลป์ของเธอ ดวงตากลมโตเหล่มองใบหน้าของฮัลค์อย่างคนมีคำถาม"คุณ?""พ่อสิ คุณอะไรเล่า?""อ่อ..ค่ะคุณพ่อ แล้วลมอะไรหอบคุณพ่อมาถึงที่นี่""ก็เธอเป็นลูกสะใภ้ตระกูลอาเวนชี่แล้วไม่ใช่รึไง""ค่ะ....แล้วมีธุระอะไรกับฉัน หรือว่ามาหาคุณแม็กคะ""ไอ้ลูกบ้านั่นฉันไปหามันเรียบร้อยแล้วล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้มาหาเธอ""เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?"เบลค อาเวนชี่ ย่อตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเหนื่อยหน่ายใจต่างกับคนเดิมที่เคยเกรี้ยวกราดใส่เธอ"แม็กนัสได้รู้ความจริงเรื่องแม่ของเขา ความจริงที่ฉันปิดบังมาตลอดหลายสิบกว่าปีมานี้ ที่ว่า.....แม่ของเขาเป็นอาชญากรที่ถูกทางการจีนหมายหัว และฉันเองเป็นคนที่ถูกส่งมาให้จัดการเธอ แต่แล้วฉันก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ เพราะ.....""คุณรักเธอ" ดารินธิราต่อประโยคที่ขาดช่วงไปอย่างนุ่มนวล "ใช่....ฉันรักแม่ของเขามาก จนยอมเป็นคนเลว แต่ฉันไม่อยากให้เจ้าแม็กคิดว่าฉันกับแม่ของเขาให้กำเนิดเขาเพราะเหตุผลอื่น ที่ฉันแต่งงานกับแม่ของเขาเพราะความรักจากใจจริง ไม่ใช่เพราะภารกิจลับจากองค์กรไหนทั้งนั้น ฉันแ
เสียงของเธอถูกคงส่งไปไม่ถึงเขา เพราะโทรศัพท์ถูกตัดสายทิ้งซะก่อน และเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าเธอโทรมา แล้วผู้หญิงที่อยู่ปลายสายนี้ล่ะ เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมสามีของเธอถึงยอมให้หล่อนมาอยู่ด้วยจนมืดค่ำขนาดนี้ ใช่ว่าเธอจะเป็นคนขี้หึงหรอกนะ แต่นี่มันมากเกินไป อยู่ดีๆ นึกจะไปก็ไปไม่บอกไม่กล่าวเมียอย่างเธอเลยสักนิด ต้องให้คนอื่นมาบอก แถมโทรมาหาสักหน่อยก็ไม่มี เอาสิ! นังจิ้งจอกคนนั้นเป็นใครเธอไม่สนหรอก แต่หากคิดจะใช้โอกาสนี้รวบหัวรวบหางสามีของเธอ คงไม่ง่ายนักหรอก ดารินธิราเดินทางมาถึงสถาบันบีเดอะไลท์ตั้งแต่ยามเพิ่งจะเดินทามาถึง แม้สถาบันของเธอจะกลับมาอยู่ในสภาพใหม่ที่ดีและสวยงามกว่าเดิมหลายเท่าเพราะฝีมือของแม็กนัส แต่นั่นกลับไม่ไช่เหตุผลที่ทำให้เธอรีบร้อนมาทำงานเพื่อมาชื่นชมตึกใหม่ แต่เป็นเพราะบทสนทนาเมื่อคืนต่างหากที่ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"อโลฮ่า! พี่เดมี่ วันนี้เราได้งานนออกาไนซ์จัดศิลปะการแสดงประจำปี, จัดนิทรรศการ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน อ้อแถมมีงานเทียบเชิญขอให้พี่เดมี่ไปโชว์เต้นเปิดตัวให้กับองค์กรการกุศลด้วยนะคะ กุ๊กไก่ดีใจมากค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณโมนาจะมีอิทธิพลขนาดนี้""ที่ไหน เมื
Count your age by friends, not years. Count your life by smiles, not tears.นับอายุของคุณด้วยจำนวนเพื่อน และนับชีวิตของคุณด้วยรอยยิ้มไม่ใช่หยดน้ำตา-John Lennon-ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนไล่มองใบหน้าขาวเนียนดุจผิวทารกเพศชาย แม้ตอนนี้นาฬิกาบนผนังห้องจะบอกเวลาแค่ตีสามครึ่งเท่านั้น แต่แสงกระทบของพระจันทร์ที่ส่องสว่างเข้ามาในห้องนี้ กลับทำให้รู้สึกว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้วและเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของเธอกับเขา หลินเย่ซี สามีดีกรีมหาเศรษฐีที่จับผลัดจับพลูไปเป็นสายลับ ทำให้เธอต้องมาพัวพันกับเรื่องล่าอารยธรรมสุดขอบโลกกับเขาไปด้วยโดยไม่คาดคิด "เดมี่..........."เขาปรือตาขึ้นแล้วพลิกตัวตะแคงข้างสบตามาที่เจ้าของรอยยิ้มละมุนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยมองดูเขาอยู่อย่างเงียบๆ "ฉันปลุกคุณตื่นหรือเปล่าคะ?""เปล่าครับ แต่ตอนนี้.....ก็คล้ายว่าจะตาสว่างมากกกกก" เขาพูดจบก็เอาสองมือปิดตาตัวเอง หญิงสาวหลุบต่ำมองดูสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเขาในสภาพไร้บรา คงไม่ต้องเดาแล้วล่ะว่า เขาปิดตาทำไม โมนายัยเบ๊อะเอ้ย! เดี๋ยวเขาก็หาว่าเธอจงใจอ่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางความอายแทบพลิกแผ่นดินทำให
เขาคิดว่าจะดึงแม่แมวน้อยเดมี่จอมยั่วเข้ามาบดจูบ แต่ทว่ากลับโดนอุ้งมือน้อยๆ ตะปปโน้มลำคอลงไปซะดื้อๆยามที่ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบลิปกลอสกลิ่นพีชอ่อนๆจรดกลีบปากของเขาเรียวปากหยักก็ตอบสนองอย่างรุนแรง บดคลึงเรียวปากนุ่มประดุจสูบพลังงานชีวิตทั้งหมดจากเรือนร่างงามนี้ มือหนาป่ายแปะลงบนสะโพกออกแรงยกขึ้นวางร่างบางลงบนโต๊ะที่วางตะกร้าผลไม้ปลอมที่ใช้ประดับตกแต่งห้อง จนแอปเปิ้ลผลปลอมกลิ้งตกลงพื้นระเกะระกะไปทั่วปลุกเรียกสติของดารินธิราที่อยู่ในวังวนแห่งความหวาบหวามนี้ให้ตื่นขึ้น ผลักเขาออกไปแรงๆ หายใจเข้าออกอย่างคนที่ขาดอากาศบริสุทธิ์"แอปเปิ้ล.....""ช่างแอปเปิ้ลเถอะครับ...."เขาบอกแล้วปล้นแกะกระดุมเสื้อตัวเองจนหมดเกลี้ยง แต่ได้นิ้วมือนุ่มของหญิงสาวช่วยแหวกสาบเสื้อสีขาวออกไม่นานชุดนอนซาตินสีดำตัวกะจ้อยร่อยก็ค่อย ๆ ถูกนิ้วเรียวยาวที่สักคำว่า 'เสี่ยว' เป็นภาษาจีนและมีความหมายชื่อเดียวกับเธอ นิ้วเรียวบรรจงเกี่ยวออกไปช้าๆ จนไม่เหลือสิ่งใดห้อหุ้มร่างแมวน้อยเดมี่ของเขาไว้อีกต่อไปฝ่ามือของหญิงสาวรีบตะปปกอดก่ายตนเองไว้เพร
โรงพยาบาล"ฮัดชิ้ว!"เสียงจามของหญิงสาวทำให้ใบหน้าคมขาวตวัดมองด้วยความตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน"เดมี่.....นี่คุณฟื้นแล้ว"ชายหนุ่มพรวดพราดเข้ามาประคองดวงหน้าสดใสด้วยความดีใจ แล้วประทับริมฝีปากสีแดงฉ่ำลงบนหน้าผากมนด้วยความคิดถึงขนาดหนัก"สบายดีหรือเปล่าคะ"เสียงแหบแห้งเอ่ยถามขึ้น แล้วฉีกยิ้มสดใสให้เขาเหมือนอย่างทุกครั้ง"ผมจะสบายดีได้ยังไง หืม ก็คุณเอาแต่หลับ ผมเหงานะรู้ไหม""ฉันเป็นของเล่นของคุณหรือไงคะ""คุณเป็นทุกอย่างของผมเดมี่"เขาบอกแล้วดึงเธอขึ้นมากอดบรรจงหอมแก้มซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักเบื่อณ รีสอร์ทหรูอันเงียบสงบในบิ๊กเซอร์ แคลิฟอร์เนีย บ้านพักที่ชายหนุ่มเลือกให้เธอมาพักฟื้นนั้นสวยราวกับภาพวาด เพราะตัวบ้านสไตล์โมเดริน์ที่ยื่นออกไปเห็นทิวทัศน์ของมหาสมุทรของแปซิฟิกแต่ตอนที่เธอเดินยืนอยู่บนลานชมวิวของรีสอร์ทสวยแห่งนี้ ก็สังเกตุเห็นผู้หญิงใส่หมวกสีเหลืองใบใหญ่กับคุณป้าคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับยัยกุ๊กไก่และแม่ของเธอผลุบหายเข้าไปในบ้านพักอีกหลัง
"อยู่เฉยๆในนี้ จะได้ไม่ต้องตายอย่างทรมาน"หัวหน้าแม่บ้านตวาดเสียงดัง แล้วผลักตัวของเจ้าของสถาบันเข้าข้างในห้องอัดเสียง โดโรธีเดินไปเอาวัตถุไวไฟทั้งหลายในห้องทำความสะอาดออกมา รีบร้อนเปิดแกลลอนแล้วราดเทจนทั่วพื้น"กลิ่นน้ำมัน......ไม่นะคะ คุณอย่าทำแบบนี้เลยขอร้อง สถาบันแห่งนี้ฉันสร้างมากับมือ คุณอย่าทำลายมันทิ้งเลยนะคะ ฉันขอร้องล่ะ ได้โปรด"ดารินธิราตะโกนด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน และมองลอดออกมาจากช่องกระจกของห้องสตูดิโอด้วยใบขอความเมตตาป้าง! ป้าง!กระสุนสองนัดถูกยิงลงที่พื้นหน้าห้องสตูดิโอด้วยความรำคาญ หญิงสาวแน่นิ่งและเงียบไปอัตโนมัติกระทั่งไม้ขีดไฟถูกโยนลงบนคราบน้ำมันไหลเยิ้ม ไฟสีส้มก็ลุกโชนขึ้นในพริบตาเดียว หยาดน้ำตาของเธอมันก็พรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตกเรื่องแรกที่ทำให้เธอเสียใจคือเรื่องของแม็กนัส อาเวนชี่ ส่วนเรื่องที่สองก็คงเป็นสถาบันแห่งนี้ สถาบันที่ของเธอกำลังพังพินาศลงในค่ำคืนเดียวและวันนี้เธอคงจะตายอยู่ในกองเพลิงอย่างเดียวดาย แต่อย่างน้อยก็จะได้ตายไปพร้อมกับสิ่งที่เธอสร้างมากับมือคิดดูแล้วทำไมเธอต้องยอมแล
ดารินธิราอยู่เป็นเพื่อนคนรักที่คฤหาสน์อาเวนชี่จนฟ้าเริ่มมืด ชายหนุ่มยังคงนั่งจิ้มโน้ตบุ็ตอยู่หลายชั่วโมงราวกับว่ากำลังแฮคหาข้อมูลลับบางอย่างครู่หนึ่งเธอเห็นเขาทำหน้าช็อคราวกับได้ข้อมูลที่ว่า แล้วลุกพรวดเดินไปเปิดขวดวิสกี้รินใส่แก้ว กระดกใส่คอพรวด ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายแต่พอเห็นเขาเตรียมรินวิสกี้แก้วที่สามก็รู้สึกว่าคงต้องลุกไปห้าม ก่อนจะน็อคไม่ได้สติไปอีก"พอแล้วค่ะ"ดวงตาขุ่นเขียวแย่งแก้วมาจากมือของอีกฝ่าย"ผมจะกินอีก""ถ้าคุณจะกิน กินฉันแทนได้ไหมล่ะ"เขาตวัดสายตามองอย่างไม่อยากเชื่อที่แม่แมวน้อยจะเสนอด้วยประโยคซาบซ่านใจทว่าตอนนี้เขามึนจนแทบจะยืนไม่อยู่ จะให้ทำอะไร ๆ ที่ร้อนรุ่มเวลานี้กับเธอก็เกรงว่าจะไม่ถึงพริกถึงขิงนัก"ผมปวดหัวไปหมด""มา...ฉันจะพยุงคุณไปนอน"เรียวแขนบางพยุงร่างสูงโปร่งที่เดินตุปั๊ดตุเป๊ พอขายาวแตะขอบตียงได้ไม่ทันไร ใบหน้าแดงจัดก็ปักคว่ำกับหมอนใบโตทันที แล้วก็หลับไม่รู้เรื่อง"โถป๋าของมี่....คออ่อนซะจริงเชียว"รุ่งเช้าเจ้าของ