"ข้าไม่มีทางรอที่นี่ได้ นี่ไม่ใช่นิสัยของข้า"ฟู่จาวหนิงพูดจบ ก็หันหัวม้า ร้องย่าห์เบาๆ ห้อทะยานตรงไปยังหุบเขา"ตามไป!"ไป๋หู่หน้าเปลี่ยนสี กระโจนขึ้นมาไล่ตามฟู่จาวหนิงออกไปทันทีเฉินซานมองพวกเขาห่างออกไป ร้อนรนจนดวงตาแดงเถือก แต่ยังคงกัดฟัน รีบพารถม้ากับม้าที่เหลือตรงไปในป่าที่ไม่ห่างออกไปนัก เข้าไปซ่อนในนั้นก่อนถ้าหากพวกของฟู่จาวหนิงกลับมา ของเหล่านี้หายไปหมดล่ะก็ คงจะเร่งเดินทางไปเขาอวี้เหิงต่อได้ลำบากมากฟู่จาวหนิงใจร้อนรนเหมือนถ่านเผา ควบม้าทะยานไปตลอดทางพวกของไป๋หู่เองก็รีบตามเข้ามา และคอยสังเกตซ้ายขวาอยู่ด้วย"คุณหนู ถึงอย่างไรก็ระมัดระวังตัวด้วย"แม้จะผ่านไปสองสามวันแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนเหลืออยู่อีกหรือไม่? ถ้าเผื่อพวกเขาไม่พบตัวฟู่จาวหนิง แล้วคอยดักอยู่ที่นี่ล่ะ? หรืออาจจะกำลังไล่ตามออกมาล่ะ?"ทุกคนกินยาลูกกลอนแก้พิษที่ข้าให้พวกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ลงไปด้วย"ฟู่จาวหนิงเองก็รู้ว่าต้องระวังตัว พวกเขาทะยานมาตลอดทางเช่นนี้ยังไม่เจอร่องรอยคน สิ่งนี้ทำเอาจิตใจของนางตึงเครียดขึ้นเหมือนกันพวกของไป๋หู่พอได้ยินคำสั่งก็กินยาลูกกลอนทันทียานี้ทำให้พวกเขามีจะไม่ติดพิษได้ง
พวกองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ข้างๆ มีหลายคนที่ได้ยินเสียงฟู่จาวหนิง แต่ก็ยังพยายามลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง มีคนกระทั่งแค่ลืมตาก็ยังทำไม่ได้เลย"พระชายา พระชายามาแล้ว" ชิงอีพังพาบอยู่บนพื้น ขยับนิ้วมือ พูดออกมาคำหนึ่ง แต่เสียงของประโยคนี้ก็เบาจนน่าสงสาร นอกจากตัวเอาเองก็ไม่มีใครได้ยินฟู่จาวหนิงวิ่งห้อขึ้นมาแล้วไม่มีใครลงมืออีกนางพุ่งเข้ามา พอมองก็เห็นคนชุดดำนอนระเนระนาดอยู่บนพื้นที่ห่างออกไปจำนวนไม่น้อย แค่มองผ่านๆ ก็น่าจะเป็นสิบคนและยังมีศพม้า รวมถึงม้าอีกหลายตัวที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างนักบนพื้นหิมะล้วนเป็นรอยเลือด สีแดงเข้มอยู่ทั่วทุกที่ ทำเอาพื้นหิมะเป็นรอยปื้นน่าสยดสยอง"เซียวหลันยวน!!"ฟู่จาวหนิงตะโกนเสียงดังขึ้นมา เสียงเองก็สั่นพร่าเพิ่งสิ้นเสียงตะโกน นางก็มองเห็นคนในชุดจอมยุทธ์เบาสีเขียวเข้มกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงกันนั่นคือองครักษ์จากจวนอ๋อง!และในพวงที่พวกเขาล้อมกันอยู่ มีคนหนึ่งพังพาบอยู่บนพื้น อีกคนหนึ่งพิงอยู่ข้างหิน นั่นมันเซียวหลันยวนนี่?!"คุณหนูจาวหนิง อ๋องเจวี้ยนอยู่ทางนั้น" พวกของไป๋หู่เองก็มองเห็นทางนั้นแล้วรอบๆ คนเหล่านั้น ก็มีคนชุดดำตายอยู่ไม่น้อย ดูท่าคิดจ
ฟู่จาวหนิงหันหน้าเหลือบมองไปยังพวกของไปหู่พวกเขาล้วนกำลังรีบใช้วิธีช่วยชีวิตที่นางบอกกับคนอื่น ไม่ได้สนใจกับนางทางนี้เลยฟู่จาวหนิงไม่คิดมากแล้ว แอบพวกเขาดึงเอาถุงร้อนอกมาจากในห้องเภสัช ฉีกหีบห่อ แล้วแปะไปในเสื้อผ้าเซียวหลันยวนเขาตัวแข็งเหมือนมนุษย์หิมะไปแล้ว ต้องทำใไ้เขาอบอุ่นขึ้นโดยเร็วที่สุดหลังจากนางนั้นจึงโยนเข็มในมือเขาทิ้งไป ประคองเขานอนลง แต่ว่าทั้งตัวเขาก็เย็นจนแข็งทื่อผิดปกติ หลังจากนอนลงก็ยังอยู่ในท่าทางเดิมฟู่จาวหนิงดวงตาแดงรื้น น้ำตาไหลอาบออกมา บดบังสายตาของนางนางรีบยกมือใช้แขนเสื้อเช็ดลงไปตอนนี้ไม่มีเวลาจะมาเสียใจโมโหหรือลนลานแล้ว ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งต้องใจเย็น เช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถช่วยชีวิตเขากลับมาได้นางหยิบเข็มเงินออกมา ปลดเสื้อผ้าของเขาก่อน ปักลงไปที่หน้าอกหลายเข็ม ปกป้องชีพจรหัวใจเสียก่อน จากนั้นจึงหยิบเข็มฉีดยามาหลอดหนึ่ง เลิกแขนเสื้อเขาขึ้น เตรียมจะฉีดให้เขาเซียวหลันยวนตอนนี้แข็งทื่อไปทั้งตัวแล้ว เข้มของนางแทบจะแทงไม่เข้า ครั้งแรกปลายเข็มก็ลื่นออกมาแต่ว่าฟู่จาวหนิงก็กัดฟันแน่น ประคองมือให้มั่นคง ปักลงไปอีกครั้งครั้งนี้ในที่สุดก็ฉีดน้ำ
"พวกเราต้องก่อไฟไหม?" องครักษ์ถามที่นี่หนาวเกินไปแล้วฟู่จาวหนิงคิดจะจุดไฟ แต่เหลือบมองศพกงอนี้ ก็ยังกัดฟันขึ้น "ไม่ พวกเราต้องออกจากที่นี่""จัดการรถม้าที่ยังพอใช้งานได้ หาม้าที่ยังมีชีวิตอยู่กลับมา"ฟู่จาวหนิงเหลือบมององครักษ์เหล่านั้น "พวกเขา ยังมีชีวิตอยู่ไหม?"ไป๋หู่นิ่งงันไป "ตายไปสิบเอ็ดคน คนที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ แต่ลมหายใจอ่อนแรงอย่างมาก"ฟู่จาวหนิงสูดลมหายใจลึก"พาคนทั้งหมดไป" ที่ตายไปก็จะทิ้งรวมกับพวกนักรบเดนตายและมือสังหารเหล่านี้ไม่ได้"ขอรับ"พวกของไป๋หู่รีบจัดการทันทีม้าหนึ่งตัวแบกคนสองคน แล้วยังมีรถม้าบางส่วนที่ใช้การได้ บรรทุกคนขึ้นไป ที่เหลือไม่กี่คน ก็ต้องให้พวกเขาแบกขึ้นหลังไป"อ๋องเจวี้ยนเขา"ไป๋หู่มองไปทางอ๋องเจวี้ยน รู้สึกลำบากใจรถม้ายัดคนไว้จำนวนมาก ถ้าจะยัดอ๋องเจวี้ยนเข้าไปด้วย ร่างกายของเขาก็ไม่รู้จะทนไหวหรือไม่ ถึงอย่างไรอ๋องเจวี้ยนเดิมทีก็พิษกำเริบไปแล้ว"ข้าจะแบกเขาเอง" ฟู่จาวหนิงพูด แล้วแบกเซียวหลันยวนขึ้นไปไป๋หู่เองก็แบกองครักษ์คนหนึ่งอยู่ พอเห็นนางเช่นนี้ก็ร้อนรนขึ้นมา "คุณหนู ทางยังอีกตั้งไกล ท่านจะแบกได้อย่างไรกัน""ไป"ฟู่จาวหนิงก
ฟู่จาวหนิงพอวุ่นวายขึ้นมา ก็ผ่านไปถึงสองวันสองคืนนอกจากเซียวหลันยวน พวกของชิงอีก็ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวหลายคนก็ยังเต็มไปด้วยบาดแผลเฉินซานกับพวกไป๋หู่ก็วุ่นกันจนหายใจหายคอแทบไม่ทันต้องหาฟืนมาจุดไฟ ต้องต้มหิมะให้ละลาย ต้องหาวัตถุดิบยาบางส่วน ต้องต้มยา ต้องช่วยคนเจ็บพันแผล ต้องคอยดูพวกเขาตลอดทั้งคืนว่าเป็นไข้ไหม แล้วยังต้องคอยป้อนน้ำให้พวกเขาตลอดอีกยังดีที่สิ่งของส่วนใหญ่อยู่กับพวกเขาทางนี้ ตอนนี้เสื้อผ้ากับอาหารยังไม่ขาดแคลนฟู่จาวหนิงรักษา ฝังเข็ม จ่ายยา จับคู่ยาให้กับคนทั้งหมด วุ่นจนเวลากินข้าวก็ยังต้องรีบร้อนกินลงไปได้ไม่กี่คำนางยังต้องคอยดูแลเซียวหลันยวน คอยระงับพิษในร่างกายให้เขาเซียวหลันยวนตอนนี้อ่อนแอจนตอนจับชีพจรยังต้องใช้เวลานานกว่าปกติ เพราะชีพจรของเขาอ่อนแรงไปมากที่หนักสุดคือเขาพิษกำเริบขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ใบหน้าครึ่งซีกถูกแผลเป็นพิษคลุมไปแล้ว แผลเป็นพิษสีเองก็คล้ำขึ้นมาก ด้านในยังมีริ้วรอยที่เหมือนกับชีพจรสีม่วงเข้มอยู่เต็มไปหมดอีก ดูแล้วน่ากลัวมากตอนนี้ดูจากสภาพเขา คิดแล้วคงไม่มีใครรู้สึกว่านี่เป็นชายรูปงามคนหนึ่งแน่ แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนเ
เซียวหลันยวนถูกพวกเขาเอะอะกันพักหนึ่งจึงเข้าใจขึ้นมา ว่าตนเองสลบไปหลายวันแล้วพอเห็นว่าฟู่จาวหนิงหลายวันนี้ผอมลงไปมาก อารมณ์เขาก็ซับซ้อนขึ้นมาจนไม่รู้จะพูดอะไรทันทีเดิมทีเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำให้ฟู่จาวหนิงต้องเหนื่อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูดกนางลากกลับมาจากประตูนรกอีกแล้ว แล้วยังทำให้นางต้องเหนื่อยจนแค่จะพูดก็ยังไม่มีแรงเลยและมองต่อไปยังคนอื่น ก็ล้วนเป็นคนที่เดินผ่านวังยมโลกมาแล้วกันทั้งนั้น"ประคองข้าไปดูคนเหล่านั้นหน่อย"เซียวหลันยวนพอมีกำลังวังชาขึ้นหน่อยก็ให้องครักษ์ประคองเขาไปยังจุดที่ฝังองครักษ์ทั้งสิบเอ็ดคนองครักษ์พอได้ยินเขาก็ยังไม่ขยับ แต่มองไปยังฟู่จาวหนิงด้วยสัญชาตญาณพวกเขาใช้สายตาสอบถามมองไปทางฟู่จาวหนิงเซียวหลันยวนมองออกแล้ว ถ้าฟู่จาวหนิงไม่พยักหน้า พวกเขาก็จะไม่ฟังคำพูดพวกเขาแล้ว แล้วคงจะไม่ประคองเขาออกไปด้วย"ข้าจะไปดูพวกเขา จะกล่าวขอบคุณกับพวกเขาเสียหน่อย" เซียวหลันยวนถอนหายใจเบา เอ่ยกับฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยองครักษ์จึงประคองตัวเซียวหลันยวนออกไปชิงอีเองก็เจ็บหนัก แต่ก็ตามออกไปภายใต้การประคองของเองครักษ์ตระกูลเสิ่นระหว่าง
เซียวหลันยวนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อพอไปถึงหน้าหลุมศพเหล่าองครักษ์ เซียวหลันยวนก็นั่งลงหน้าหลุมศพ "ไปหากระดานไม้มาแผ่นหนึ่ง ข้าจะสลักป้ายหลุมศพให้พวกเขา"องครักษ์รีบออกไปเซียวหลันยวนถัดจากนี้จึงนั่งลงสลักป้ายหน้าหลุมศพสุสานขององครักษ์ผู้ซื่อสัตย์แห่งจวนอ๋องเจวี้ยนเซียวหลันยวนยืนขึ้นป้ายไม้ตั้งขึ้น เขายื่นมือประคอง เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก และรู้สึกผิดต่อพวกเจ้าด้วย หลังจากนี้จะให้คนมาย้ายหลุมศพพวกเจ้ากลับไปยังเมืองหลวง จะไม่ให้พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดแน่""ท่านอ๋อง ควรกลับได้แล้ว"ชิงอีเองก็อยู่ที่นี่ด้วยตลอด แต่เห็นว่าเวลาที่ออกมาก็นานมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลมแล้วด้วย เขาจึงรีบเตือนให้เซียวหลันยวนกลับไปถ้านานเกินแล้วยังไม่กลับไป เกรงว่าพระชายาจะโกรธเอาเซียวหลันยวนถูกประคองลุกขึ้นยืน "จำตำแหน่งนี้ไว้ หลังจากนี้จะให้คนมาย้ายหลุมศพพวกเขากลับเมืองหลวง""ขอรับ"กลับไปยังจุดที่พวกเขาตั้งค่าย เซียวหลันยวนก็เห็นฟู่จาวหนิงที่นั่งอยู่หน้ากระโจมที่ตั้งขึ้นชั่วคราวหลังหนึ่งฟู่จาวหนิงพอเห็นเขากลับมา ก็หมุนตัวเข้าไปในกระโจมทันที ไม่พูดอะไรสักคำเดียวเซียวหลันยวนค
"อ๋องเจวี้ยน" ไป๋หู่เห็นเซียวหลันยวนเดินตามฟู่จาวหนิงไป ก็อดเรียกเขาขึ้นมาไม่ได้แค่คิดก็รู้ว่าคุณหนูของพวกเขาจะออกไปทำอะไร แล้วอ๋องเจวี้ยนตามไปมันเหมาะสมหรือ?เซียวหลันยวนชะงัก "ข้าไม่วางใจ จะคุ้มกันอยู่ห่างๆ"ตอนที่ฟู่จาวหนิงตื่นขึ้นมาเขาก็สังเกตเห็นแล้ว จึงลุกขึ้นตามออกมาทันที เขาเดิมทีก็คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอดที่นี่คือในป่าเขา กลางค่ำกลางคืน นางคนเดียวไปในกอหญ้า เขาเองก็ไม่ค่อยจะวางใจนักไป๋หู่คิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นสามีภรรยา เขาเองก้เหมือนจะไม่มีคุณสมบัติไปห้าม ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็กังวลฟู่จาวหนิงด้วย จึงไม่ได้พูดอะไรอีกแม้ว่าอ๋องเจวี้ยนสุขภาพตอนนี้จะย่ำแย่มากก็ตามเซียวหลันยวนรักษาระยะห่างไว้ฟู่จาวหนิงจัดการภารกิจภายในเรียบร้อย ก็มองเห็นเขา แต่ก็ไม่พูดอะไร เดินผ่านข้างตัวเขาไป"..." เซียวหลันยวนริมฝีปากขยับ แต่พอคิดถึงใบหน้าตนเอง ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี จึงทำได้เพียงเดินตามหลังนางอยู่เงียบๆไป๋หู่เห็นพวกเขาคนหนึ่งนำหน้าอีกคนหนึ่งเดินตามกลับเข้ามา ก็ไม่ได้ถามอะไร ยื่นกระบอกไม้ไผ่ใบหนึ่งให้ฟู่จาวหนิง"คุณหนูจาวหนิง น้ำเพิ่งต้ม ระวังลวกด้วย"
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้