คำพูดเหล่านี้ของฟู่จาวหนิง ทำให้ผู้เฒ่าฟู่รองผู้เฒ่าฟู่สามหน้าดำหน้าขาวเลยทีเดียวท่ามกลางสายตาประชดประชันของคนทั้งหมด พวกเขาอยู่ไม่ได้แล้ว มองเหยียดหนักๆ ไปทางฟู่จาวหนิง ทั้งสองคนก้วิ่งหนีออกไปอย่างซมซานตอนที่ออกประตูพวกเขายังหันกลับมาเหลือบมองหินก้อนนั้นผาดหนึ่ง รู้สึกไม่ยินยอมอย่างมากมลายหายไปแล้วหนึ่งพันสองร้อยตำลึง!เหล่าฮูหยินและเด็กๆ ยังล้วนพักอยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาเดิมทีกำลังคิด ว่าเงินก้อนนี้สามารถนำออกมาจ่ายค่าเช่าพักหลายวันนี้ได้ กินเนื้อกินอะไรได้ แล้วเขายังคิดจะซื้อที่นาอีกหลายหมู่ด้วยหลังจากขายบ้านตระกูลฟู่ ค่อยมาซื้อเพิ่มหมู่เพิ่มถึงตอนนั้นพวกเขาก็สามารถทำตัวเป็นเจ้าบ้านในหมู่บ้านนี้ได้แล้วออกศึกไม่ราบรื่น!หนึ่งพันสองร้อยตำลึงหายวับไปแล้ว!หลังจากกลับไป ฮูหยินรองฮูหยินสามพวกเขาก็จ้องมองตาแป๋วเข้ามา"ขายแล้วหรือ? ผู้เฒ่ากู้ให้มาเท่าไร?"ฮูหยินสามรีบถามขึ้น"น้องสี่ทางนั้นให้ความเห็นมาคำหนึ่ง เขาบอกว่าพวกเราแบ่งให้เขาน้อยหน่อยก็ได้" ฮูหยินรองเองก็คำนวณขึ้นมา"เฮ้อ!"ผู้เฒ่าฟู่รองกับผู้เฒ่าฟู่สามสบตากัน ทั้งสองคนถอนล้วนถอนหายใจหนักๆ ออกมาหลังจากพวกเขาไป
"หินของผู้เฒ่ากู้อยู่ที่ไหนหรือ? พวกเราขอดูหน่อย"ฟู่จาวหนิงสนใจขึ้นมา"อยู่ที่เรือนหลัง!" ผู้เฒ่ากู้ยินดีขึ้นมา เรียกคนใช้ให้พาพวกเขาไปที่เรือนหลัง"ผู้เฒ่ากู้ ผู้เฒ่ากู้ ท่านมาดูหินพวกนี้ของข้าหน่อย รื้อออกมาจากภูเขาจำลองในบ้านน่ะ!"มีคนย้ายหินเข้ามาให้ผู้เฒ่ากู้ดูฟู่จาวหนิงเดิมทีกำลังจะไปเรือนหลัง พอได้ยินเสียงก็เหลือบตาดู มองไปยังหินก้อนนั้นนางไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่มองเห็นหินก้อนหนึ่งในนั้นสายตาก็ย้ายออกไม่ได้เลย"เดี๋ยวก่อน พวกเราขอดูหน่อย" ฟู่จาวหนิงดึงฟางซือฉิงไว้"ดูสิดูสิ ลองฟังว่าผู้เฒ่ากู้จะพูดอย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะได้เรียนรู้" เศรษฐีฟางเองก็รีบพูดขึ้นผู้เฒ่ากู้มองหินเหล่านี้อย่างละเอียด เลือกก้อนที่ใหญ่ที่สุดในนั้นออกมา นั่งยองลงลูบๆ มองๆ อย่างละเอียดก้อนที่ฟู่จาวหนิงเพิ่งจะต้องตาก้อนนั้น เขากลับมองผาดเดียวแล้วโยนทิ้งไปข้างๆ ไม่สนใจเสียแล้วหินก้อนนั้นผิวดำแตกลาย ไม่ใหญ่มาก ค่อนข้างเล็ก น่าจะขนาดแค่สองกำปั้นของนางเท่านั้น พออยู่ในกองหินเหล่านั้น หินก้อนนี้เล็กที่สุด เหมือนแค่มีคนสุ่มหยิบขึ้นมาแล้วยัดให้เต็มๆ ก็เท่านั้นแต่ว่าพอนางเหลือบมองก็เห็นหินก้อนนั้
ชายหนุ่มสองคนนั้นมองไปทางผู้เฒ่ากู้"อันนี้ถือเป็นของแถมให้แล้วกัน ข้าให้สามสิบตำลึง ถือโอกาสรับเข้ามาด้วยแล้วกัน" ผู้เฒ่ากู้เองก็ไม่ได้เห็นหินก้อนนั้นอยู่ในสายตาเช่นกันสามสิบตำลึง น้อยขนาดนี้เชียวฟู่จาวหนิงพอคิดๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า "เช่นนั้นข้าให้สี่สิบตำลึง ขายแยกให้ข้าหน่อยได้ไหม?"กลุ่มคนตกตะลึงไปผู้เฒ่ากู้เองก็มึนงง จากนั้นก็เตือนนางขึ้นมา "คุณหนูฟู่ หินก้อนนี้เล็กเกินไป ต่อให้สามารถตัดออกมาเป็นหินหยกได้ แต่ดูจากผิวดำตรงนี้ คุณสมบัติของหยกก็คงไม่ได้ดีมาก เป็นไปได้มากว่าแกะออกมาเป็นหยกพกชิ้นหนึ่งได้ หยกพกธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง น่าจะขายได้ราวห้าตำลึง"ดังนั้นที่เขาให้ราคาสามสิบตำลึงถือว่าสูงกว่าหินก้อนใหญ่ก้อนอื่นแล้ว นี่แค่ถือโอกาสรับเข้ามาเท่านั้นสามสิบตำลึงถือว่าแพงเกินไปแล้ว ฟุ่จาวหนิงยยังให้มาถึงสามสิบแปดตำลึงหรือ?การตัดหินนั้นต้องใช้แรงมาก นางจะตัดหินก็ต้องออกเงินส่วนหนึ่ง ถึงตอนนั้นเรียกคนมาแกะงานก็ยังต้องจ่ายค่าแรง บวกกันแล้วต้นทุนก็น่าจะไปถึงห้าสิบตำลึงแล้วถ้าแกะออกมาได้แค่หยกพกชิ้นหนึ่งราคาห้าตำลึง นี่มันจะขาดทุนหนักเอานะฟู่จาวหนิงยิ้มๆ "ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าหินก้อ
ฟู่จาวหนิงมองหินก้อนนั้น และพบว่าไม่เลวเลย"จาวหนิงจาวหนิง เจ้าคิดว่าหินก้อนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?" ฟางซือฉิงถามนางขึ้นอย่างดีอกดีใจ"ข้าว่าได้อยู่" ฟู่จาวหนิงพยักหน้าเศรษฐีฟางที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะร่าขึ้นมาเขามีความสุขเหลือเกิน "พวกเจ้านี่เป็นพี่น้องกันจริงๆ เลือกหินหยกก็ยังเลือกคล้ายกันอีกหรือ?"แล้วมันเลือกแบบไหนได้อีกกัน?แต่พอเห็นลูกสาวดีอกดีใจเช่นนี้ เขาเองก็ยินดีที่จะจ่ายเงินนี้"ผู้เฒ่ากู้ หินก้อนนี้ราคาเท่าไรหรือ?"ผู้เฒ่ากู้มองๆ ฟู่จาวหนิง"เอาอย่างนี้ หินก้อนนี้ข้าคิดยี่สิบแปดตำลึงแล้วกัน""ท่านพ่อ จ่ายเงินเลย" ฟางซือฉิงรีบพูดกับเศรษฐีฟางทั้งสองคนซื้อหินคนละก้อน ล้วนร้อนรนอยากรู้ว่าในนี้มีหินหยกอยู่หรือไม่ มีหินหยกแบบไหนอยู่หลังจากถามผู้เฒ่ากู้ ทั้งสองคนก็จ่ายเงินสองตำลึงเพื่อทำการแยกหินที่นี่เครื่องตัดหินนั้นถูกดันออกมา ให้ตายเถอะ ใหญ่โตเหลือเกิน"ใบมีดด้านนี้ต้องคอยเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ ดังนั้นค่าใช้จ่ายตัดหินจึงไม่ถูก" ผู้เฒ่ากู้อธิบายกับพวกเนาง "แต่ว่าของพวกท่านเป็นก้อนเล็ก ดังนั้นจึงเก็บแค่สองตำลึงพอ ถ้าใหญ่หน่อย ค่าใช้จ่ายก็จะแพงขึ้นอีก"เรื่องนี้เข้าใจได้
"ได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่ออกไปรับท่านหญิงอวิ๋นเหยาที่นอกเมืองแล้ว ท่านหญิงอวิ๋นเหยาไม่ใช่บอกว่าพาเพื่อนกลับมาด้วยหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนนางคนนั้นยังป่วยเป็นโรคประหลาดด้วย ครั้งนี้เห็นว่ามาเมืองหลวงของเราเพื่อรักษานี่"หงจั๋วเองก็กำลังพูดเรื่องนี้กับเฝิ่นซิงพวกนางเพียงไม่นานก็ได้ยินว่าท่านอ๋องก็จะออกนอกเมืองไปรับท่านหญิงอวิ๋นเหยาแล้วสองสาวใช้พอได้ยินเรื่องนี้ ในใจก็รู้สึกไม่ชื่นมื่นนัก"ถ้าหากไม่มีพระชายาของพวกเรา แล้วท่านอ๋องออกไปรับท่านหญิงอวิ๋นเหยาที่นอกเมืองอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ พวกเราก็คงดีใจอยู่หรอก ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องไม่เคยเอาใครมาไว้ในใจเลย แต่ก่อนท่านหญิงอวิ๋นเหยาบอกให้เขาทำอะไรเขาก็ไม่เคยจะฟังเลยนี่นะ"แล้วทำไมหลังจากท่านอ๋องแต่งงาน ถึงกลับดูเอาใจใส่รู้ใจกว่าแต่ก่อนขึ้นมากัน?"ใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ท่านอ๋องมาเอาใจท่านหญิงอวิ๋นเหยาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ มีพระชายาของพวกเราอยู่แล้วแท้ๆ เขาทำไมถึงทำเช่นนี้อีก?"เฝิ่นซิงถอนใจ"พวกเราตามไปดีไหม?"หงจั๋วกระโดดตัวขึ้นมมา"แต่ท่านอ๋องไม่ได้กำชับให้พวกเราตามไปนี่" เฝิ่นซิงงงงันหงจั๋วไม่ค้านอะไร "ข้าไปข้าไป บางทีท่านอ๋องคงไม่
ยังไม่ทันหย่า อ๋องเจวี้ยนก็ถือว่าเป็นหลานเขยของผู้เฒ่าฟู่แล้วหลานเขยคนนี้มาถึงประตูบ้านแต่ก็ไม่เข้าไป ราวกับไม่มองว่าตนเองเป็นคนในบ้านจริงๆรถม้าแล่นออกไประยะหนึ่ง อ๋องเจวี้ยนจู่ๆ ก็เคาะกำแพงรถชิงอีรีบดึงม้าเข้าข้างทาง ก็ได้ยินอ๋องเจวี้ยนถามว่า "ก่อนหน้านี้ข่าวที่พวกเขาส่งเข้ามา บอกว่าซือถูไป๋ไปที่หมู่บ้านทางตะวันออกใช่ไหม?"ในเมืองหลวงคนที่พิเศษบางส่วน คนของพวกเขาจะคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเหมือนกับซือถูไป๋ ร่องรอยนั้นพวกเขารู้เหมือนอยู่ในกำมือเลย"ท่านอ๋อง ใช่แล้ว"อ๋องเจวี้ยนหัวเราะเย็นชา ไม่พูดอะไรดังนั้น ซือถูไป๋ไปหมู่บ้านทางนั้น ฟู่จาวหนิงก็เลยไปด้วยหรือ? บังเอิญขนาดนี้เชียว? เขาไม่เชื่อหรอกดังนั้นหญิงสาวคนนั้นที่ใจคิดแต่จะหย่าก็เพื่อไปหาอีกคนหรือ?เนินเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองหลวงราวสิบลี้มีเพิงน้ำชาอยู่แห่งหนึ่งด้านนอกเพิ่งน้ำชาตอนนี้มีรถม้าหลายคันจอดอยู่ มีองครักษ์เจ็ดแปดคนยืนล้อมเพิงน้ำชาในเพิงน้ำชามีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ในนี้มีหญิงสาวอายุยี่สิบปีอยู่คนหนึ่ง อยู่ในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนปักลายนกนางแอ่นเงิน สวมเกราะขนกระต่ายม่วงเข้ม รูปร่างสะโอดส
ซ่งอวิ๋นเหยาหัวเราะ"จดหมายที่เขียนกลับเมืองหลวงข้าก็แค่ส่งมาเผื่อๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมาเมืองหลวงแล้วจริงๆ""ที่แท้ท่านหญิงอวิ๋นเหยาก็เขียนจดหมายให้จวนอ๋องเจวี้ยน แล้วให้อ๋องเจวี้ยนออกมารับท่านหรือ?"ซ่งอวิ๋นเหยาพยักหน้า"ถ้างั้น ข้าไปดูท่านพ่อก่อนว่าจับชีพจรเสร็จแล้วหรือยัง" หลี่จื่อเหยาลุกขึ้นออกวิ่งทันที"ท่านหญิง แม่นางหลี่ทำไมถึงดูกลัวเสียขนาดนั้น?" สาวใช้เอ่ยกับซ่งอวิ๋นเหยาซ่งอวิ๋นเหยาเองก็เม้มปากยิ้มๆ"แม่นางหลี่เป็นคนตรงไปตรงมา หลันยวนกลับเมืองหลวง ถ้าเดี๋ยวนางเห็นหลันยวนเข้า อาจจะทำอะไรขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ก็ได้ แล้วหลันยวนเองก็นิสัยเย็นชาด้วย คงจะไม่ไว้หน้าแม่นางหลี่เป็นแน่ คงจะตำหนินางเอา"ความหมายคำพูดนี้ของนางก็คือ หลี่จื่อเหยาอาจจะเจอกับอ๋องเจวี้ยนแล้ว แล้วถูกความหล่อเหลาของเขาดึงดูดเอา ดังนั้นจึงอยากจะใกล้ชิดเขา แต่ด้วยนิสัยนั้นของอ๋องเจวี้ยนก็ไม่ยอมให้หญิงสาวคนไหนเข้าใกล้เลยดังนั้นเขาคงจะสั่งสอนหลี่จื่อเหยามาแล้วหลี่จื่อเหยาจึงกลัวอ๋องเจวี้ยนขึ้นมาหน่อยๆ กระมัง?สาวใช้อิ๋นหลิ่วพอได้ยินคำพูดนี้ก็เม้มปากหัวเราะขึ้นมา พูดกับซ่งอวิ๋นเหยาว่า "ดูท่
"ตอนข้าอยู่ที่ต้าชื่อเคยได้ยินชื่อเสียงของหมอเทวดาหลี่"ท่านเสิ่นน้ำเสียงราบเรียบ ไม่รู้เพราะอะไร หมอเทวดาหลี่พอได้ยินจึงรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา"ครั้งนี้มาเมืองหลวงแคว้นเจาเพื่อมาหาหมอเทวดาหลี่ กอดความหวังใหญ่เข้ามา อายุของข้าเองถึงแม้จะมากแล้ว แต่ก็ยังมีความปรารถนาที่ยังทำไม่สำเร็จอยู่บางส่วน ดังนั้นจึงยังรักชีวิตอยู่ ต้องรบกวนหมอเทวดาหลี่เสียแล้ว""มิกล้ามิกล้า""อื๋อ?""อา ความหมายของข้าคือ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่"เหงื่อบนหน้าผากหมอเทวดาหลี่ผุดขึ้นมาอีกครั้งเขารู้สึกว่าตนเองเวลาอยู่ต่อหน้าท่านเสิ่นคนนี้แล้วเหมือนคนโง่คนเขาบอกให้เขารักษาดีดี แล้วเขาตอบไปว่ามิกล้าได้อย่างไรกัน?"ท่านพ่อ"หลี่จื่อเหยาเดินเข้ามา มองๆ ท่านเสิ่น"พวกเรากลับเมืองหลวงก่อนได้ไหม?""ทำไมหรือ?""เหมือนว่าอีกครู่หนึ่งอ๋องเจวี้ยนจะเข้ามารับท่านหญิงอวิ๋นเหยาแล้ว" หลี่จื่อเยหาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วกับหมอเทวดาหลี่สีหน้าหมอเทวดาหลี่ขรึมลงมาทันที"เขาจะมาหรือ?""ใช่แล้ว"หลี่จื่อเหยาหลังถูกอ๋องเจวี้ยนลากไปเข้าคุกหลายวัน ตอนนี้จึงผวาต่ออ๋องเจวี้ยนมาก นางไม่ค่อยจะกล้าไปปรากฎต่อหน้าอ๋องเจวี้ยนแล้วเพราะน
ถัดจากนี้สำหรับพวกหลานหรงก็ถือเป็นการท้าทายที่มากกว่าแล้วจากที่ท่านอ๋องคาดการณื ตงฉิงจะต้องมีกลไกลและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติแน่นอน น่าจะมีวิะีการที่ทำให้ตงฉิงได้กลับมาเห็นตะวันได้อีกครั้ง ที่ไม่ใช่การขุดทีละนิดๆ ของกำลังคนพวกของหลานหรงต้องหาวิะีให้พบ บางทีอาจจะเป็นกลไก?"ที่นี่ในเมื่อเป็นเมืองเก่าที่ตระกูลของราชครูตงฉิงอยู่ ก็น่าจะมีโอกาส นายท่านเคยพูดไว้ ตระกูลของราชครูตงฉิงมีพลังกำลังทรัพย์ที่ไม่อาจประเมินได้อยู่ เมืองชิงเย่เป็นรากฐานของพวกเขา ไม่มีทางปล่อยให้เมืองนี้ต้องล่มสลายไปแบบนี้แน่"หลานหรงหยิบจดหมายที่เซียวหลันยวนเขียนไว้ออกมา ด้านบนยังวาดรูปของเครื่องพยากรณ์ไว้ บางทีคงต้องหาจุดที่สามารถใช้เครื่องพยากรณ์นี้จดหมาย เพียงไม่นานก็ถูกส่งไปหาเซียวหลันยวนอย่างรวดเร็วฟู่จาวหนิงกับเซียวหลันยวนกำลังสาละวนอยู่ในภูเขาช่วงเช้า และได้รับอะไรมาไม่น้อยนางเจอโสมม่วงร้อยปีต้นหนึ่ง!เดิมทีสิ่งนี้ก็ถือเป็นของที่สุดยอดมากแล้ว ผลลัพธ์คือยังพบวัตถุดิบยาที่ผู้อาวุโสจี้เคยบอกกับนางแต่พันธมิตรโอสถไม่เคยพบมาก่อนอีกหลายชนิดด้วยวัตถุดิบยาพวกนั้น ว่ากันว่าในพันธมิตรโอสถมีแขกลึกลับ
นายท่านบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วน หลังจากหาหยกดาราพบให้รีบส่งออกไปก่อน"ขอรับ"หลานหรงลองสังเกตุทะเลสาบนี้อีกหน่อย วักน้ำขึ้นมาชิม น้ำสะอาดหวาดชื่น น้ำดีที่หาได้ยาก!ที่นี่จะใช่ตำแหน่งที่เมืองหลวงตงฉิงอยู่จริงไหม?"พักกันดีแล้วใช่ไหม? เข้ามาตักน้ำ"หลานหรงเรียกคนเข้ามาทันทีทุกคนเห็นต้นกำเนิดน้ำแบบนี้ก็ดีอกดีใจ เมื่อวานตอนค่ำน้ำถูกดื่มไปจนหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขากระหายกันจะแย่"ก่อไฟต้มน้ำ"เดิมทีตามความเคยชินก่อนหน้านี้ของพวกเขา จะไปที่ไหนก็ล้วนกินน้ำดิบไปตรงๆ แบบนี้สะดวกดี ไม่ได้พิถีพิถันมาก แต่ฟู่จาวหนิงบอกพวกเขาไว้ น้ำจะอย่างไรก็ต้องต้มก่อนถึงจะดี ด้านในอาจจะมีไข่แมลงหรือเชื้อโรคอะไรอยู่ดังนั้นพวกเขาตอนนี้จึงเชื่อฟัง ถ้ามีเวลาและเงื่อนไขเพียงพอ พวกเขาก็จะต้มน้ำให้เดือดก่อนดื่มครั้งนี้พอเห็นน้ำสกปรกขยะแขยงมามากมาย พวกเขาจึงทำตามกฏนี้อย่างเคร่งครัดตอนที่พวกเขาต้มน้ำ หลานหรงเดินไปบนทางเดินเล็กๆ ในทะเลสาบเส้นนั้น ตรงไปทางดงดอกไม้ผืนนั้นเดินอยู่กลางทะเลสาบ สองด้านล้วนเป็นน้ำใสสะอาด สะท้อนภาพฟ้าเมฆคราม ทิวทัศน์งดงามดูกว้างใหญ่ถ้าตงฉิงในอดีตยังดีอยู่ ไม่รู้ว่าจะงดงามขนา
หลานหรงพากลุ่มค้นหามานานมากแล้วก่อนหน้านี้พวกเขาเจอเมืองเล็กเมืองหนึ่งถูกดินปกคลุมไป ถนนหนทางบ้านเรือนล้วนถูกกลบฝังไปแล้ว แต่ฝนตกมาห่าใหญ่ หลังจากดินภูเขาถูกชะล้างไป ก็มีหลังคาเรือนเล็กๆ บางส่วนโผล่พ้นพื้นดินขึ้นมาดังนั้นหลานหรงจึงยืนยันว่าตงฉิงตอนนั้นถูกกลับฝังไปแล้วจริงๆพวกเขาเจอกับทางเดินเส้นหนึ่ง หลังจากเข้ามาก็พบว่ายิ่งเดินก็ยิ่งยาว และไม่รู้ว่าตรงไปที่ไหนด้วยแต่สองด้านของทางเดินก็ปรากฏศาลาหรือบ้านเป็นระยะๆ อธิบายได้ว่าแต่ก่อนนี่เป็นถนนที่อยู่บนพื้นดิน ส่วนถนนของเมืองเล็กจะตรงไปที่ไหน นอจากเมืองใหญ๋แล้วก็อาจจะเป็นวังหลวงดังนั้นตอนนั้นหลานหรงจึงออกคำสั่งให้เดินตรงไป จนหาทางออกพบคิดไม่ถึงว่าเดินมาสิบกว่าวัน ยังดีที่ด้านในยังมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ยังขุดน้ำขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นคงอันตรายไปแล้วแน่นอน พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลยหลังจากผ่านไปสิบวันในที่สุดพวกเขาก็ออกมาแล้ว แล้วจึงเห็นสถานที่นี้เข้า"พี่ใหญ่ ที่นั่นคงไม่ได้ฝังเมืองไว้อีกแห่งหรอกกระมัง?" ลูกน้องเดินเข้ามา ยื่นถุงใส่น้ำให้เขา ด้านในเหลือแค่อึกเดียวแล้ว ก่อนหน้านี้หลานหรงไม่ได้ดื่มเลย ให้พวกเขาไปจนหมด ตอนนี้
เขากุมมือนางแน่น เอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "ซษงจื่อหยิบตำราเก่าม้วนหนึ่งเข้ามา ด้านบนเขียนเรื่องตระกูลถังเขาชิงถงไว้""แล้วยังไงหรือ?"นี่มันเกี่ยวอะไรกับนางล่ะ?"หนิงหนิงรู้ไหมว่าเขาชิงถงมีชื่อเสียงในการผลิตอะไร?""อะไรหรือ?""วัตถุดิบยาน่ะ" เซียวหลันยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบาฟู่จาวหนิงเลิกคิ้วไม่ใช่สิ แม้ว่านางจะเป็นหมอ แม้ว่าจะขาดแคลนวัตถุดิบยามาก แม้จะคิดหาวัตถุดิบยาล้ำค่าอยู่ตลอด แต่ก็ไม่จำเป็นขนาดต้องยอมนับญาติเพื่อวัตถุดิบยานี่?"เซียวหลันยวนท่านรู้ไหมว่าอะไรคือความมั่งคั่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจ?" นางใช้ศอกกระทุ้งเขาไปทีนึงถังอู๋เจวี้ยนฟังพวกเขาแอบกระซิบกระซาบกัน ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างจนใจ"ข้าว่านะ พวกท่านต้องมากระซิบกระซาบต่อหน้าข้าแบบนี้ด้วยรึ? มีอะไรบอกมาตรงๆ ก็พอแล้ว แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ปู่ข้าเพิ่งจะพบว่า สมัยหนุ่มๆ เขาเคยท่องยุทธภพไปกับผู้อาวุดสจี้กับผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง ดังนั้นจึงนับว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน""อ๋า?"จุดนี้ฟู่จาวหนิงกลับไม่รู้เรื่องเลย!"ผู้อาวุโสจี้ตอนนี้ไม่ใช่อาจารย์ของท่านหรือ?" ถังอู๋เจวี้ยนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ยื่นส่งไปตรงหน้าฟู่จาวหนิง "น
ไปแท่นชมดาวช่วงจื่อ(23.00-01.00น.)หรือ?ฟู่จาวหนิงมองไปทางเซียวหลันยวน "แท่นชมดาวเป็นสถานที่แบบไหน?""แท่นชมดาวต้องเดินขึ้นไปจากตำหนักถวายเครื่องหอม อีกด้านหนึ่ง ที่นั่นมีศาลาอยู่ ด้านนอกศาลามีลานอยู่แห่งหนึ่ง เวลาที่อากาศดีจะมองเห็นดาวระยิบระยับ เหมือนยื่นมือไปเด็ดมาได้เลย"เซียวหลันยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย "แต่ว่าแท่นชมดาวเคยมีศิษย์คนหนึ่งตกลงไป หลังจากนั้นจึงปิดตายไว้ ไม่มีคนเข้าไปนานแล้ว"สถานที่อันตรายหรือ? ทำไมถึงมีคนตกลงไปได้?"แล้วเจ้าอารามให้พวกเราไปที่นั่นทำไมกัน?"เซียวหลันยวนมองซางจื่อซางจื่อส่ายหัว "เจ้าอารามไม่ได้บอกอะไร แต่ว่า เหมือนน่าจะไปชมดาวกระมัง"แท่นชมดาวถ้าไม่ไปชมดาวแล้วจะไปทำอะไรได้?แต่พวกเขาดูชวนฝันขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วยังนัดไปดูดาวช่วงจื่ออีกฟู่จาวหนิงถามซางจื่อ "นอกจากเราสองคน ยังเรียกใครไปอีกไหม?""เจ้าอารามให้องค์หญิงใหญ่ไปด้วย"โอ๋? ฟู่จาวหนิงอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ "แยกกันไม่ได้เลยว่างั้น?"สวรรค์ให้อภัยนางด้วย เดิมทีนางไม่ใช่คนใจแคบช่างสอดรู้สอดเห็นขนาดนี้ ใครให้เจ้าอารามสร้างภวังค์เฮงซวยให้นาง แล้วไปสร้างภวังค์ที่เซียวหลันยวนกับองค์หญิงใหญ่เป็นสา
"เรียนพระชายา ชามนี้เป็นของท่านอ๋อง พ่อครัวทำอาหารให้ท่านอ๋องจนชินแล้ว ทำตามรสชาติที่ท่านอ๋องชอบ"คนที่เข้ามายกชามหมี่น้ำใสไปไว้ตรงหน้าเซียวหลันยวน ส่วนอีกชามวางไว้ตรงหน้าฟู่จาวหนิง"ชามนี้คุณชายถังเป็นคนทำ คุณชายถังบอกว่านี่เป็นหมี่ที่คนเขาชิงถงชื่นชอบ ลุงของเขาก็ชอบมาก ดังนั้นจึงลงมือทำชามนี้ให้พระชายาเป็นพิเศษ เชิญพระชายาชิม""ถังอู๋เจวี้ยนเป็นคนทำหรือ?"ฟู่จาวหนิงมองเซียวหลันยวนด้วยสัญชาตญาณ แล้วก็เห็นเขาหน้าขรึมลงจริงๆ"กลัวว่าเขาจะวางยาพิษไหม?" ฟู่จาวหนิงพูดติดตลก"พระชายาวางใจ คุณชายถังตอนที่ปรุงในห้องครัวพวกเราคอยดูอยู่ตลอด ใช้แต่วัตถุดิบในห้องครัวเท่านั้น ไม่มีปัญหาแน่นอน" คนที่นำเข้ามาเอ่ยขึ้นเซียวหลันยวนแม้จะรู้สึกจี๊ดในใจที่ถังอู๋เจวี้ยนประจบนางขนาดนี้ แต่จุดนี้ก็ยังต้องยอมรับ: "ถ้าเขากล้ามาวางยาพิษเจ้าที่นี่จริงก็แสดงว่าไม่กลัวตาย"เขากวาดล้างเขาชิงถงทิ้งทั้งหมดได้ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอารามยอดเขาโยวชิงก็อยู่ที่นี่ด้วย ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ฟู่จาวหนิงพอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็หยิบตะเกียบขึ้น "สู้ท่านลองชิมไหม? แล้วชามนั้นท่านให้ข้ากิน"นางรู้ว่าถ้าตนเองก
ฟู่จาวหนิงเห็นปฏิกิริยาของเซียวหลันยวน รู้สึกไม่เข้าใจอยู่หน่อยๆ"ทำไมหรือ? เจ้าอารามฝึกบำเพ็ญ แต่งงานไม่ได้หรือ?"ก่อนหน้านี้นางเหมือนได้ยินว่าอารามนี้ของเจ้าอาราม ไม่ใช่อารามเต๋าที่ไว้สำหรับฝึกบำเพ็ญเต๋า แล้วก็ไม่เคยได้ยินด้วยว่าจะแต่งงานไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้น หน้าตาของเจ้าอารามยังน่าหลงใหลขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหญิงสาวมาชอบแต่จากคำพูดของเซียวหลันยวนก่อนหน้านี้ บนยอดเขาโยวชิงนี้ไม่มีนายหญิงอยู่จริงๆ ไม่มีผู้อาวุโสหญิงที่ติดตามเจ้าอารามแล้วเลี้ยงดูเขามาจนโต"ได้ยินว่า ตอนเจ้าอารามยังหนุ่มมีคู่หมั้นอยู่" เซียวหลันยวนนึกๆ จำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ "แต่ต่อมาไม่รู้ทำไมจึงไม่ได้แต่งงาน เรื่องนี้ข้าได้ยินมาโดยบังเอิญสมัยยังเด็กน่ะ""แล้วคู่หมั้นของเขาล่ะ?""ไม่รู้สิ ต่อมาข้าก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย และยิ่งไม่เคยถามด้วย"เซียวหลันยวนก่อนหน้านี้ไม่ใช่พวกชอบแส่เรื่องชาวบ้าน นิสัยเองก็ค่อนข้างเย็นชา เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเองก็จะไม่ถามไม่ไถ่ให้มันมากความ"ก่อนหน้านี้ข้ากับเจ้าอารามไม่ค่อยคุยเร่องส่วนตัวกันนัก เคารพเขา แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมาก แขาแค่เอ็นดูข้า ไม่ได้สนิท
นิ้วของเจ้าอารามเคาะเบาๆ บนโต๊ะ มืออีกข้างก็ลูบเบาๆ วาดผ่านบนเตาถ่านข้างๆ พริบตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองไม่เห็น ก็มีผงฝุ่นลอดจากระหว่างนิ้วของเขาปลิวเข้าไปในไฟของเตา แล้วเผาไหม้เป็นกลิ่นหอมจางๆ ออกมาอย่างรวดเร็วองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ทันได้รู้สึกเลยนางกำลังมองเจ้าอารามอย่างตกตะลึง"เจ้าอารามกำลังล้อข้าเล่นใช่ไหม? ข้าจำได้ชัดเจนแท้ๆ แล้วจะเป็นภวังค์ได้อย่างไรกัน?"ชายคนนั้นที่นางกอด ความรู้สึกที่ริมฝีปากชุ่มชื้นอ่อนนุ่มตอนที่จูบ ใจที่เต้นระรัว มันแจ่มชัดอย่างมาก แล้วจะเป็นภวังค์ได้อย่างไรกัน?"องค์หญิงใหญ่ เจ้ามองข้านะ"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองดวงตาเขาข้างหูยังได้ยินจังหวะเคาะโต๊ะเบาๆ ของเขามองดวงตาที่ดูเหมือนมีความเมตตาต่อสรรพชีวิตของเจ้าอาราม นางก็ตะลึงงันไป"ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เป็นแค่ภวังค์ อีกไม่นานเจ้าก็จะลืมเรื่องทั้งหมด ถ้ามีคนพูดเรื่องนี้อีก เจ้าก็แค่บอกว่าตนเองพูดเล่นไปก็พอ ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น"เสียงของเจ้าอารามค่อยๆ ไหลเข้ามาในหู แฝงไว้ด้วยการปลอบโยนที่แข็งแกร่งสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเริ่มเลือนรางไปบ้าง"เป็นแค่ภวังค์หรือ?""ใช่แล้ว""ไม่เกิดอะไรขึ้น
องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเงยหน้าขึ้นมองเขาช้าๆเจ้าอารามกำลังล้างถ้วยชา ไม่มองนาง"ใช่แล้ว""ตอนองค์หญิงใหญ่ยังเล็ก ข้าเคยทำนายว่าเจ้าจะมีเคราะห์ภัย ขอแค่ผ่านเคราะห์ภัยนั้นได้ แล้วมาอยู่ด้วยกันกับอ๋องเจวี้ยน ชะตาของเจ้าก็จะดีขึ้น โชคดีตลอดไปสงบสุขจนแก่เฒ่า"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นได้ยินคำพูดเขาในที่สุดก็ได้สติกลับมา"เคราะห์อะไรหรือ?""ตอนนี้ดูแล้ว เคราะห์นั้นน่าจะอยู่บนตัวฝ่าบาทต้าชื่อ และองค์หญิงใหญ่ก็เป็นแม่นางที่ฉลาด ตัดสินใจเด็ดขาด หนีออกมาจากวังหลวงต้าชื่อ วังจักรพรรดิต้าชื่อกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเข้าประตูวังไปก็เหมือนจมลงสู่ก้นทะเล คำนี้นำมาพูดกับองค์หญิงใหญ่แล้ว ถือว่าถูกต้องอย่างมาก"เจ้าอารามล้างชาไปรอบหนึ่ง ชงชามาสองถ้วย ยกขึ้นมาให้นาง "ดื่มชาเถอะ ชาของอายวน"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเมื่อครู่ร้องไห้ไปยกใหญ่ ตอนนี้คอเองก็แหบพร่าไปหมดแล้ว กระหายมากด้วย พอสูดๆ จมูก นางจึงยกถ้วยช้านั่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น"ดื่มทีละนิด ระวังลวกปาก" เจ้าอารามเตือนนางทันที"โอ้"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นอยู่ต่อหน้าเขาก็ดูว่าง่ายขึ้นมาก ถอนหายใจแล้วหันมาจิบเบาๆในที่สุดก็ได้ดื่มชานี้แล้ว ทำไมนางถึงไม่ดีใ